ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    You Kill me

    ลำดับตอนที่ #5 : Part IV

    • อัปเดตล่าสุด 25 ต.ค. 53


    Part IV

     

    ฉันไม่รู้จักวิธีการเป็นเลขานุการ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจน้อยกว่าที่เป็นอยู่เมื่อคำถามหนึ่งเกิดขึ้นในใจ... หน้าที่ของ เลขานุการ น่ะหรือที่ฉันกำลังทำอยู่?

    ไม่ต้องสนใจว่าสิ่งที่คุณทำเข้าข่ายอาชีพอะไร แต่สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่มันคือหน้าที่ของคุณ นั่นคือคำพูดที่เขาเอ่ยขึ้นทุกครั้งที่ฉันมีคำถาม สายตาตำหนิปนเอ็นดูจะถูกส่งมาที่ฉันทุกครั้งที่เอ่ยคำถามเกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมาย

    ฉันยังคงจำวันแรกที่ฉันเดินเข้ามาทำงานในสำนักงานแห่งนี้ได้ดี...

    สำนักงานของเขาเป็นสำนักงานตกแต่งภายในขนาดเล็ก และคำว่า เล็ก นั้น ฉันหมายถึง เล็ก จริงๆ ในวันแรกที่ฉันเข้าทำงาน สำนักงานแห่งนี้สวยสะอาด หรูหรา ถูกออกแบบด้วยสไตล์เรียบหรู... และมันเงียบสนิทราวกับไม่มีมนุษย์คนอื่นอยู่เลย

    แล้วห้องของคนอื่นๆล่ะคะ?” ฉันถามออกไปด้วยความงุนงง เมื่อเขาพาชมห้องต่างๆในสำนักงาน... ห้องครัว ห้องน้ำ ห้องรับแขก ตัวอย่างห้องนอนที่เขาออกแบบ ตัวอย่างห้องรับแขก สวนหย่อมเล็กๆตรงกลางสำนักงาน และห้องทำงานของฉันและเขา

    เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน

    ฉันหมายถึงคนอื่นๆที่ทำงานที่นี่นอกจากฉันน่ะค่ะ ฉันขยายความ

    ถ้าอย่างนั้นคุณก็หมายถึงผม เพราะนอกจากคุณแล้ว ก็มีผมที่ทำงานที่นี่ เขาตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นร้อนรนเมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของฉัน หวังว่าคุณคงจะไม่รังเกียจที่จะทำงานในบริษัทเล็กๆนะครับ คือว่าผมเพิ่งจะเปิดบริษัทไม่นานนี้เองก็เลยยังไม่ได้จ้างใคร บังเอิญผมเจอคุณ รู้ว่าคุณหางานทำอยู่ผมก็เลยชวนมาทำงานเป็นคนแรก แต่ไม่ต้องห่วงนะครับผมไม่ใช้งานคุณหนักหรอก หรือว่าถ้าวันไหนมีงานเยอะจริงๆผมก็มีค่าล่วงเวลาให้

    ในวันนั้นฉันยิ้มกับน้ำเสียงร้อนรนคล้ายคำแก้ตัวของเขา ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงล้อเลียน ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่คะ

    และในวันนี้... ฉันก็พบว่าเขาทำอย่างที่พูดจริงๆ บริษัทเล็กๆแห่งนี้มีงานเข้ามาอยู่เสมอๆ แต่ฉันก็ไม่เคยต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ หรือเหน็ดเหนื่อยจนเกินความสามารถ และทุกๆครั้งที่ฉันจำเป็นจะต้องอยู่ทำงานจนเลยเวลาเลิกงาน ค่าล่วงเวลาจำนวนมากก็จะถูกเพิ่มเข้าในบัญชีเงินเดือนเสมอ

    นับตั้งแต่วันที่ฉันเข้าทำงานจนถึงวันนี้ ความรู้สึกตื่นเต้นกับค่าจ้างมหาศาลเริ่มลดลงทีละนิด จนในขณะนี้ความรู้สึกสำนึกในค่าจ้างอันมากโขนั้นต่างหากที่เกาะกุมจิตใจของฉัน... งานเฝ้าสำนักงานในเวลาที่เขาไม่อยู่ งานรับโทรศัพท์เล็กน้อย งานตรวจสอบเอกสารจำนวนไม่มากมายเท่าไหร่ และการออกความเห็นเกี่ยวกับงานออกแบบของเขา ดูออกจะไม่คุ้มกับเงินจำนวน 30,000 ที่ไม่รวมค่าโบนัส และค่าล่วงเวลาที่ฉันได้รับเลย

     สิ่งที่ดูจะพัฒนาขึ้นมากที่สุดในการทำงานของฉันนั้นน่าแปลกที่ไม่ใช่ประสบการณ์การทำงาน หรือความเก่งฉกาจฉกรรจ์ในหน้าที่ แต่กลับกลายเป็นความสัมพันธ์ระหว่างฉันและเจ้านายผู้มากด้วยเสน่ห์คนนั้นต่างหาก

    หน้าที่การเป็นเลขานุการของฉันนั้นดูจะมีคุณค่าต่อเขาน้อยกว่าการนั่งทานอาหารเช้าเป็นเพื่อนเขาก่อนเวลาทำงาน การนั่งวิจารณ์ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการออกแบบของเขาในเวลาทำงาน การเดินชมถนนยามค่ำคืน พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันจนดึก และการบอกราตรีสวัสดิ์ก่อนนอนทุกคืน

    สิ่งเหล่านี้กลายมาเป็นกิจวัตรประจำวันของฉันโดยที่ตัวฉันแทบไม่รู้ตัวเอง... และก่อนที่ฉันจะห้ามความรู้สึกของตัวเองได้ ความสุขและความอิ่มใจที่ได้อยู่ใกล้เขาก็ได้ครอบครองหัวใจของฉันจนหมดสิ้น ชีวิตที่เคยรู้สึกขาดหาย และว้าเหว่ของฉันถูกเติมเต็มเพราะเขาคนนี้

    อาจฟังดูเป็นเรื่องแปลกที่ฉันคนนี้จะรู้สึกถึงความสุขได้มากถึงเพียงนี้... และอาจเป็นเรื่องที่แปลกกว่าที่ฉันคนนี้สามารถพูดได้เต็มปากว่าในวันนี้ฉันมีความสุขที่จะได้แบ่งปันหยดน้ำตาจากเขา แทนที่จะนั่งมองเขาร้องไห้อยู่เพียงคนเดียว

    ไม่ใช่เพราะเขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีผู้มีอารมณ์อ่อนไหวกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต และมองหาใครสักคนมาแบ่งปันรอยน้ำตา... ไม่หรอก! ฉันไม่ใช่คนที่จะสยบยอมต่อสิ่งเหล่านั้น และไม่! เขาไม่ใช่คนเช่นนั้น

    เขาก็คือเขา... เป็นชายหนุ่มผู้มากด้วยเสน่ห์คนนั้นที่ฉันพบที่สวนสาธารณะ แต่ในบางครั้งฉันก็มองเขาด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป... เขาไม่ใช่เพียงชายหนุ่มทรงเสน่ห์ที่มากด้วยความสามารถ หากแต่เขาเป็นเพียงชายคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตตามความฝันของตนโดยลำพังมานาน ไม่เคยแม้แต่จะมีโอกาสที่จะแบ่งปันความเศร้า หรือแม้กระทั่งความฝันของเขากับใคร

    อาจเป็นเพราะรูปลักษณ์และบุคลิกของเขาที่ดูสบายๆ และดูมีความสุขกับชีวิตเกินกว่าที่ใครจะสนใจว่าชายคนนี้ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องการใครสักคนมาเติมเต็มชีวิต และบางครั้งรอยยิ้มกับประกายสดใสในดวงตาของเขาก็ทำให้ใครต่อใครลืมไปว่าการเดินทางตามความฝันของตัวเองเพียงลำพังนั้นมันว้าเหว่สักเพียงใด และแม้ความฝันอันโดดเดี่ยวนั้นจะกลายเป็นความจริงแล้ว มนุษย์ปุถุชนธรรมดาเช่นเขาก็ย่อมต้องการมีใครสักคนเข้ามาร่วมแบ่งปันความสุขและความทุกข์... และฉันก็ยินดีเหลือเกินที่จะเป็นบุคคลผู้นั้น ผู้ที่เข้ามาแบ่งปันรอยยิ้มและคราบน้ำตาของเขา ผู้เติมเต็มชีวิตของเขา

    ก็ใครเล่าจะไม่ยินดีที่จะเป็นส่วนเติมเต็มให้กับชีวิตของบุคคลที่ช่างแสนดีเหลือเกินอย่างเขา?

    เขาเองก็คงรู้สึกเช่นเดียวกันกับฉัน... ทุกสิ่งที่ฉันต้องการ ทุกความปรารถนาของฉันแทบจะเป็นจริงไปเสียทั้งหมดนับตั้งแต่วันที่ฉันได้พบเขา...

    ทุกบ่ายวันอาทิตย์ฉันและเขาจะนั่งอยู่ข้างเคียงกันในร้านไอศกรีมเล็กๆ เล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้กันและกันฟัง ทุกครั้งที่ฉันท้อแท้และเหนื่อยล้า เขาจะเป็นเหมือนศาลาให้ฉันได้นั่งพัก เพื่อที่จะเตรียมตัวให้พร้อมต่อการเผชิญอุปสรรคนานัปการ... คำพูดและแววตาของเขาคลายความกังวลทั้งหมดที่ฉันมีให้มลายหายไปราวกับไอศกรีมที่ละลายในฤดูร้อน

    อาทิตย์ที่แสนสุขในร้านไอศกรีมกลายมาเป็นกิจวัตรของฉันเสียแล้ว

    แต่วันอาทิตย์นี้ต่างออกไป...

    เขาจูงมือฉันมาที่ด้านหลังของสำนักงานซึ่งเป็นที่จอดรถโฟร์วีลไดรฟ์ของเขา ดวงตาของเขาเปล่งประกายล้อแสงแดดในยามสายราวกับมีเรื่องถูกอกถูกใจเป็นหนักหนา

    ผมจะพาคุณไปเที่ยว เขาบอกสั้นๆ เมื่อเปิดประตูรถให้ฉันเข้าไปนั่งในที่นั่งข้างคนขับ และบรรจงปิดตาของฉันด้วยผ้าขาวสะอาด

    รถโฟร์วีลไดรฟ์ของเขาขับไปเรื่อยๆ... เสียงฮัมเพลงอย่างมีความสุขของเขาดังขึ้นเป็นระยะๆตลอดการเดินทาง ต่างกับฉันที่กำลังรู้สึกหงุดหงิดกับผ้าผูกตาที่ทำให้ฉันมองไม่เห็นสิ่งรอบกาย

    ในที่สุดรถก็หยุดลงพร้อมกับผ้าผูกตาที่ถูกเปิดออก

    สวยจัง คำพูดหลุดออกริมฝีปากของฉัน โดยที่ฉันเองก็ไม่คิดจะหยุดมัน เมื่อตรงหน้าฉัน คือทุ่งหญ้าเขียวขจีประดับประดาด้วยดอกไม้ป่าหลากสีที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ทิวเขาสูงตระหง่านราวกับจะกั้นโลกแสนสวยใบนี้ไว้จากความโหดร้ายภายนอก แสงพระอาทิตย์จับปลายยอดหญ้าเป็นประกายงดงาม... อากาศบริสุทธิ์เย็นสบายปะทะเข้ากับใบหน้าของฉัน ไอดิน และกลิ่นหญ้าที่หอมหวานปะทะประสาทความรู้สึกจนฉันรู้สึกสดชื่น

    เขาโอบเอวฉันอย่างแผ่วเบา และเกยคางไว้ที่หัวไหล่ของฉัน มือทั้งสองข้างกุมมือของฉันไว้ เสียงกระซิบของเขาไพเราะราวกับเสียงดนตรีสวรรค์...

    เมื่อก่อนเวลาผมเหงาผมจะมาที่นี่... แต่ต่อไปนี้ผมจะมาที่นี่ทุกครั้งที่มีความสุข เพราะตอนนี้ผมมีคุณ ผมจะไม่เหงาอีกแล้ว

    คำพูด ผมมีคุณ ทำให้ความอบอุ่นแล่นซ่านไปทั่วร่างกายของฉัน... เขามีฉัน และ ฉันมีเขา เรามีกันและกัน... ความรู้สึกนี้ช่างอบอุ่นและเป็นสุขเหนือคำบรรยายใดๆ

    เราสองคนเดินตามทางไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงม้านั่งริมสระน้ำ...

    ที่นี่ที่ไหนกันคะ?”

    ที่นี่เป็นที่ดินของพ่อผม เขาพูด สายตาเปล่งประกายคู่นั้นทอดมองไปแสนไกล น้ำเสียงแผ่วเบานั้นกระซิบอยู่ที่ริมหูของฉัน ผมหวังเสมอว่าซักวันเราสองพ่อลูกจะได้มานั่งที่นี่ด้วยกัน... แต่ท่านไม่มีโอกาสได้มา... ท่านไม่มา

    ฉันไม่แน่ใจในความนัยของประโยคนั้น แต่ฉันคิดว่าคงเป็นการดีที่จะส่งยิ้มให้ และกล่าวปลอบใจเขา

    ฉันเสียใจด้วยค่ะ ฉันเชื่อนะคะว่าท่านต้องอยากมาเห็นที่นี่กับคุณแน่ๆ

    เขายังคงถอนหายใจและมองทุกสิ่งรอบๆตัวด้วยสายตาเหม่อลอย...

    คุณมาที่นี่บ่อยๆหรือคะ ฉันตั้งคำถามเพื่อทำลายความเงียบที่แสนจะอึดอัด

    ผมไม่มีเพื่อนเลยซักคนเดียว ผมไม่รู้จะไปที่ไหนนอกจากที่นี่ น้ำเสียงขมขื่นและแสนว้าเหว่นั้น ทำเอาจิตใจของฉันอ่อนยวบ... นานแค่ไหนกันหนอ ที่ชายคนหนึ่งต้องทนอยู่กับความเปล่าเปลี่ยวเดียวดายเพียงลำพัง เขาจะต้องใช้ความแข็งแกร่งซักเพียงไหน เพื่อที่จะเดินทางมาจนถึงวันนี้ และเป็นชายหนุ่มผู้แสนอ่อนโยนคนนี้

    คุณมีฉันแล้ว อย่าเหงาอีกเลยนะคะ

    สายตาของเขาที่จับจ้องฉัน ดูราวกับเด็กชายตัวน้อยที่มองดูคนที่เขาไว้เนื้อเชื่อใจ และรักอย่างไม่มีข้อแม้ และที่สำคัญมันทำให้ใจที่เคยแข็งกระด้างของฉันหวั่นไหว และสั่นระรัว... ไม่นานฉันก็เลือกที่จะหลบสายตาของเขาอีกครั้ง

    อาทิตย์หน้ามาที่นี่กันอีก... ได้ไหมครับ เขาเอ่ยชวน

    ถ้าคุณต้องการ ฉันก็จะมาค่ะ ฉันตอบรับอย่างแผ่วเบา แต่ทว่าหนักแน่นทั้งในน้ำเสียง และในจิตใจ

    และหนึ่งรอบอาทิตย์ก็จบลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง...

    ว่าวตัวเขื่องถูกวางลงในมือของของฉัน... ด้านหน้าคือรถจักรยานสำหรับสองคนนั่ง เขาสวมหมวกกันกระแทกให้ฉัน และผายมือไปทางรถจักรยาน

    เราจะไปกันแบบนี้จริงๆหรือคะ?” ฉันถามทั้งๆที่คำตอบก็ดูจะชัดเจนอยู่แล้ว และแน่นอนเขาตอบตกลงด้วยอาการพยักหน้า

    ฉันจัดแจงนั่งลงบนเบาะหลังจักรยาน และจับเอวเสื้อของเขาไว้หลวมๆด้วยมือข้างซ้าย ส่วนแขนขวาทั้งข้างก็โอบเจ้าว่าวตัวใหญ่นั้นไว้ในวงแขน

    เกาะแน่นๆสิครับคุณ ถ้าคุณเกาะผมแบบนี้ คุณอาจจะลอยไปกับว่าวก็ได้นะครับ เขากล่าวเย้าเมื่อเห็นท่าทางอันทุลักทุเลของฉัน

    เขาเริ่มปั่นจักรยานออกนอกตัวเมืองด้วยความเร็วอันคงที่... ภาพของชายหนุ่มสวมกางเกงยีนส์และเสื้อเชิ้ตลายทางกำลังปั่นจักรยานอย่างขะมักเขม้น และหญิงสาวในชุดกระโปรงบางเบาสีขาวที่ในมือข้างหนึ่งถือว่าวตัวโตเอาไว้กำลังซ้อนท้ายจักรยานอยู่ คงเป็นภาพที่แปลกตาของผู้คนบนท้องถนนอยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้โลกของฉันทั้งใบไม่ได้มีพื้นที่สำหรับใครๆเลยนอกจาก... เขา

    เมื่อพ้นเขตเมือง ฉันก็ปล่อยว่าวหางยาวในมือให้ลอยขึ้นไปบนอากาศ มือซ้ายกอดกระชับเอวของเขาไว้แน่น

    ... ภาพของว่าวที่ลอยลมอยู่บนฟ้า ถนนลูกรังแคบๆสีแดง รถจักรยานที่เรานั่งด้วยกัน ต้นหญ้าสีเขียวขจีที่ริมทาง และภาพที่ฉันซบอยู่บนแผ่นหลังที่อุ่นและกว้างของเขาจะตราติดอยู่ในความทรงจำของฉันตราบชั่วลมหายใจสุดท้ายเลยทีเดียว...

    สนุกไหมครับ เขาหันมาถาม

    ฉันไม่เคยสนุกอย่างนี้มาก่อนในชีวิตเลยค่ะ ฉันตอบเสียงใส ความทุกข์ทั้งหมดทั้งมวลของฉันถูกปล่อยไปในอากาศพร้อมกับว่าวที่ในมือ แล้วคุณล่ะคะ?”

    จำไว้นะครับว่าความสุขของผม คือการได้เห็นคุณมีความสุข

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×