คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Part IV
Part IV
ฉันไม่รู้จักวิธีการเป็นเลขานุการ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจน้อยกว่าที่เป็นอยู่เมื่อคำถามหนึ่งเกิดขึ้นในใจ... หน้าที่ของ ‘เลขานุการ’ น่ะหรือที่ฉันกำลังทำอยู่?
‘ไม่ต้องสนใจว่าสิ่งที่คุณทำเข้าข่ายอาชีพอะไร แต่สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่มันคือหน้าที่ของคุณ’ นั่นคือคำพูดที่เขาเอ่ยขึ้นทุกครั้งที่ฉันมีคำถาม สายตาตำหนิปนเอ็นดูจะถูกส่งมาที่ฉันทุกครั้งที่เอ่ยคำถามเกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมาย
ฉันยังคงจำวันแรกที่ฉันเดินเข้ามาทำงานในสำนักงานแห่งนี้ได้ดี...
สำนักงานของเขาเป็นสำนักงานตกแต่งภายในขนาดเล็ก และคำว่า ‘เล็ก’ นั้น ฉันหมายถึง ‘เล็ก’ จริงๆ ในวันแรกที่ฉันเข้าทำงาน สำนักงานแห่งนี้สวยสะอาด หรูหรา ถูกออกแบบด้วยสไตล์เรียบหรู... และมันเงียบสนิทราวกับไม่มีมนุษย์คนอื่นอยู่เลย
“แล้วห้องของคนอื่นๆล่ะคะ?” ฉันถามออกไปด้วยความงุนงง เมื่อเขาพาชมห้องต่างๆในสำนักงาน... ห้องครัว ห้องน้ำ ห้องรับแขก ตัวอย่างห้องนอนที่เขาออกแบบ ตัวอย่างห้องรับแขก สวนหย่อมเล็กๆตรงกลางสำนักงาน และห้องทำงานของฉันและเขา
เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน
“ฉันหมายถึงคนอื่นๆที่ทำงานที่นี่นอกจากฉันน่ะค่ะ” ฉันขยายความ
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็หมายถึงผม เพราะนอกจากคุณแล้ว ก็มีผมที่ทำงานที่นี่” เขาตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นร้อนรนเมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของฉัน “หวังว่าคุณคงจะไม่รังเกียจที่จะทำงานในบริษัทเล็กๆนะครับ คือว่าผมเพิ่งจะเปิดบริษัทไม่นานนี้เองก็เลยยังไม่ได้จ้างใคร บังเอิญผมเจอคุณ รู้ว่าคุณหางานทำอยู่ผมก็เลยชวนมาทำงานเป็นคนแรก แต่ไม่ต้องห่วงนะครับผมไม่ใช้งานคุณหนักหรอก หรือว่าถ้าวันไหนมีงานเยอะจริงๆผมก็มีค่าล่วงเวลาให้”
ในวันนั้นฉันยิ้มกับน้ำเสียงร้อนรนคล้ายคำแก้ตัวของเขา ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงล้อเลียน “ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่คะ”
และในวันนี้... ฉันก็พบว่าเขาทำอย่างที่พูดจริงๆ บริษัทเล็กๆแห่งนี้มีงานเข้ามาอยู่เสมอๆ แต่ฉันก็ไม่เคยต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ หรือเหน็ดเหนื่อยจนเกินความสามารถ และทุกๆครั้งที่ฉันจำเป็นจะต้องอยู่ทำงานจนเลยเวลาเลิกงาน ค่าล่วงเวลาจำนวนมากก็จะถูกเพิ่มเข้าในบัญชีเงินเดือนเสมอ
นับตั้งแต่วันที่ฉันเข้าทำงานจนถึงวันนี้ ความรู้สึกตื่นเต้นกับค่าจ้างมหาศาลเริ่มลดลงทีละนิด จนในขณะนี้ความรู้สึกสำนึกในค่าจ้างอันมากโขนั้นต่างหากที่เกาะกุมจิตใจของฉัน... งานเฝ้าสำนักงานในเวลาที่เขาไม่อยู่ งานรับโทรศัพท์เล็กน้อย งานตรวจสอบเอกสารจำนวนไม่มากมายเท่าไหร่ และการออกความเห็นเกี่ยวกับงานออกแบบของเขา ดูออกจะไม่คุ้มกับเงินจำนวน 30,000 ที่ไม่รวมค่าโบนัส และค่าล่วงเวลาที่ฉันได้รับเลย
สิ่งที่ดูจะพัฒนาขึ้นมากที่สุดในการทำงานของฉันนั้นน่าแปลกที่ไม่ใช่ประสบการณ์การทำงาน หรือความเก่งฉกาจฉกรรจ์ในหน้าที่ แต่กลับกลายเป็นความสัมพันธ์ระหว่างฉันและเจ้านายผู้มากด้วยเสน่ห์คนนั้นต่างหาก
หน้าที่การเป็นเลขานุการของฉันนั้นดูจะมีคุณค่าต่อเขาน้อยกว่าการนั่งทานอาหารเช้าเป็นเพื่อนเขาก่อนเวลาทำงาน การนั่งวิจารณ์ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการออกแบบของเขาในเวลาทำงาน การเดินชมถนนยามค่ำคืน พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันจนดึก และการบอกราตรีสวัสดิ์ก่อนนอนทุกคืน
สิ่งเหล่านี้กลายมาเป็นกิจวัตรประจำวันของฉันโดยที่ตัวฉันแทบไม่รู้ตัวเอง... และก่อนที่ฉันจะห้ามความรู้สึกของตัวเองได้ ความสุขและความอิ่มใจที่ได้อยู่ใกล้เขาก็ได้ครอบครองหัวใจของฉันจนหมดสิ้น ชีวิตที่เคยรู้สึกขาดหาย และว้าเหว่ของฉันถูกเติมเต็มเพราะเขาคนนี้
อาจฟังดูเป็นเรื่องแปลกที่ฉันคนนี้จะรู้สึกถึงความสุขได้มากถึงเพียงนี้... และอาจเป็นเรื่องที่แปลกกว่าที่ฉันคนนี้สามารถพูดได้เต็มปากว่าในวันนี้ฉันมีความสุขที่จะได้แบ่งปันหยดน้ำตาจากเขา แทนที่จะนั่งมองเขาร้องไห้อยู่เพียงคนเดียว
ไม่ใช่เพราะเขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีผู้มีอารมณ์อ่อนไหวกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต และมองหาใครสักคนมาแบ่งปันรอยน้ำตา... ไม่หรอก! ฉันไม่ใช่คนที่จะสยบยอมต่อสิ่งเหล่านั้น และไม่! เขาไม่ใช่คนเช่นนั้น
เขาก็คือเขา... เป็นชายหนุ่มผู้มากด้วยเสน่ห์คนนั้นที่ฉันพบที่สวนสาธารณะ แต่ในบางครั้งฉันก็มองเขาด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป... เขาไม่ใช่เพียงชายหนุ่มทรงเสน่ห์ที่มากด้วยความสามารถ หากแต่เขาเป็นเพียงชายคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตตามความฝันของตนโดยลำพังมานาน ไม่เคยแม้แต่จะมีโอกาสที่จะแบ่งปันความเศร้า หรือแม้กระทั่งความฝันของเขากับใคร
อาจเป็นเพราะรูปลักษณ์และบุคลิกของเขาที่ดูสบายๆ และดูมีความสุขกับชีวิตเกินกว่าที่ใครจะสนใจว่าชายคนนี้ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องการใครสักคนมาเติมเต็มชีวิต และบางครั้งรอยยิ้มกับประกายสดใสในดวงตาของเขาก็ทำให้ใครต่อใครลืมไปว่าการเดินทางตามความฝันของตัวเองเพียงลำพังนั้นมันว้าเหว่สักเพียงใด และแม้ความฝันอันโดดเดี่ยวนั้นจะกลายเป็นความจริงแล้ว มนุษย์ปุถุชนธรรมดาเช่นเขาก็ย่อมต้องการมีใครสักคนเข้ามาร่วมแบ่งปันความสุขและความทุกข์... และฉันก็ยินดีเหลือเกินที่จะเป็นบุคคลผู้นั้น ผู้ที่เข้ามาแบ่งปันรอยยิ้มและคราบน้ำตาของเขา ผู้เติมเต็มชีวิตของเขา
ก็ใครเล่าจะไม่ยินดีที่จะเป็นส่วนเติมเต็มให้กับชีวิตของบุคคลที่ช่างแสนดีเหลือเกินอย่างเขา?
เขาเองก็คงรู้สึกเช่นเดียวกันกับฉัน... ทุกสิ่งที่ฉันต้องการ ทุกความปรารถนาของฉันแทบจะเป็นจริงไปเสียทั้งหมดนับตั้งแต่วันที่ฉันได้พบเขา...
ทุกบ่ายวันอาทิตย์ฉันและเขาจะนั่งอยู่ข้างเคียงกันในร้านไอศกรีมเล็กๆ เล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้กันและกันฟัง ทุกครั้งที่ฉันท้อแท้และเหนื่อยล้า เขาจะเป็นเหมือนศาลาให้ฉันได้นั่งพัก เพื่อที่จะเตรียมตัวให้พร้อมต่อการเผชิญอุปสรรคนานัปการ... คำพูดและแววตาของเขาคลายความกังวลทั้งหมดที่ฉันมีให้มลายหายไปราวกับไอศกรีมที่ละลายในฤดูร้อน
อาทิตย์ที่แสนสุขในร้านไอศกรีมกลายมาเป็นกิจวัตรของฉันเสียแล้ว
แต่วันอาทิตย์นี้ต่างออกไป...
เขาจูงมือฉันมาที่ด้านหลังของสำนักงานซึ่งเป็นที่จอดรถโฟร์วีลไดรฟ์ของเขา ดวงตาของเขาเปล่งประกายล้อแสงแดดในยามสายราวกับมีเรื่องถูกอกถูกใจเป็นหนักหนา
“ผมจะพาคุณไปเที่ยว” เขาบอกสั้นๆ เมื่อเปิดประตูรถให้ฉันเข้าไปนั่งในที่นั่งข้างคนขับ และบรรจงปิดตาของฉันด้วยผ้าขาวสะอาด
รถโฟร์วีลไดรฟ์ของเขาขับไปเรื่อยๆ... เสียงฮัมเพลงอย่างมีความสุขของเขาดังขึ้นเป็นระยะๆตลอดการเดินทาง ต่างกับฉันที่กำลังรู้สึกหงุดหงิดกับผ้าผูกตาที่ทำให้ฉันมองไม่เห็นสิ่งรอบกาย
ในที่สุดรถก็หยุดลงพร้อมกับผ้าผูกตาที่ถูกเปิดออก
“สวยจัง” คำพูดหลุดออกริมฝีปากของฉัน โดยที่ฉันเองก็ไม่คิดจะหยุดมัน เมื่อตรงหน้าฉัน คือทุ่งหญ้าเขียวขจีประดับประดาด้วยดอกไม้ป่าหลากสีที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ทิวเขาสูงตระหง่านราวกับจะกั้นโลกแสนสวยใบนี้ไว้จากความโหดร้ายภายนอก แสงพระอาทิตย์จับปลายยอดหญ้าเป็นประกายงดงาม... อากาศบริสุทธิ์เย็นสบายปะทะเข้ากับใบหน้าของฉัน ไอดิน และกลิ่นหญ้าที่หอมหวานปะทะประสาทความรู้สึกจนฉันรู้สึกสดชื่น
เขาโอบเอวฉันอย่างแผ่วเบา และเกยคางไว้ที่หัวไหล่ของฉัน มือทั้งสองข้างกุมมือของฉันไว้ เสียงกระซิบของเขาไพเราะราวกับเสียงดนตรีสวรรค์...
“เมื่อก่อนเวลาผมเหงาผมจะมาที่นี่... แต่ต่อไปนี้ผมจะมาที่นี่ทุกครั้งที่มีความสุข เพราะตอนนี้ผมมีคุณ ผมจะไม่เหงาอีกแล้ว”
คำพูด ‘ผมมีคุณ’ ทำให้ความอบอุ่นแล่นซ่านไปทั่วร่างกายของฉัน... เขามีฉัน และ ฉันมีเขา เรามีกันและกัน... ความรู้สึกนี้ช่างอบอุ่นและเป็นสุขเหนือคำบรรยายใดๆ
เราสองคนเดินตามทางไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงม้านั่งริมสระน้ำ...
“ที่นี่ที่ไหนกันคะ?”
“ที่นี่เป็นที่ดินของพ่อผม” เขาพูด สายตาเปล่งประกายคู่นั้นทอดมองไปแสนไกล น้ำเสียงแผ่วเบานั้นกระซิบอยู่ที่ริมหูของฉัน “ผมหวังเสมอว่าซักวันเราสองพ่อลูกจะได้มานั่งที่นี่ด้วยกัน... แต่ท่านไม่มีโอกาสได้มา... ท่านไม่มา”
ฉันไม่แน่ใจในความนัยของประโยคนั้น แต่ฉันคิดว่าคงเป็นการดีที่จะส่งยิ้มให้ และกล่าวปลอบใจเขา
“ฉันเสียใจด้วยค่ะ ฉันเชื่อนะคะว่าท่านต้องอยากมาเห็นที่นี่กับคุณแน่ๆ”
เขายังคงถอนหายใจและมองทุกสิ่งรอบๆตัวด้วยสายตาเหม่อลอย...
“คุณมาที่นี่บ่อยๆหรือคะ” ฉันตั้งคำถามเพื่อทำลายความเงียบที่แสนจะอึดอัด
“ผมไม่มีเพื่อนเลยซักคนเดียว ผมไม่รู้จะไปที่ไหนนอกจากที่นี่” น้ำเสียงขมขื่นและแสนว้าเหว่นั้น ทำเอาจิตใจของฉันอ่อนยวบ... นานแค่ไหนกันหนอ ที่ชายคนหนึ่งต้องทนอยู่กับความเปล่าเปลี่ยวเดียวดายเพียงลำพัง เขาจะต้องใช้ความแข็งแกร่งซักเพียงไหน เพื่อที่จะเดินทางมาจนถึงวันนี้ และเป็นชายหนุ่มผู้แสนอ่อนโยนคนนี้
“คุณมีฉันแล้ว อย่าเหงาอีกเลยนะคะ”
สายตาของเขาที่จับจ้องฉัน ดูราวกับเด็กชายตัวน้อยที่มองดูคนที่เขาไว้เนื้อเชื่อใจ และรักอย่างไม่มีข้อแม้ และที่สำคัญมันทำให้ใจที่เคยแข็งกระด้างของฉันหวั่นไหว และสั่นระรัว... ไม่นานฉันก็เลือกที่จะหลบสายตาของเขาอีกครั้ง
“อาทิตย์หน้ามาที่นี่กันอีก... ได้ไหมครับ” เขาเอ่ยชวน
“ถ้าคุณต้องการ ฉันก็จะมาค่ะ” ฉันตอบรับอย่างแผ่วเบา แต่ทว่าหนักแน่นทั้งในน้ำเสียง และในจิตใจ
และหนึ่งรอบอาทิตย์ก็จบลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง...
ว่าวตัวเขื่องถูกวางลงในมือของของฉัน... ด้านหน้าคือรถจักรยานสำหรับสองคนนั่ง เขาสวมหมวกกันกระแทกให้ฉัน และผายมือไปทางรถจักรยาน
“เราจะไปกันแบบนี้จริงๆหรือคะ?” ฉันถามทั้งๆที่คำตอบก็ดูจะชัดเจนอยู่แล้ว และแน่นอนเขาตอบตกลงด้วยอาการพยักหน้า
ฉันจัดแจงนั่งลงบนเบาะหลังจักรยาน และจับเอวเสื้อของเขาไว้หลวมๆด้วยมือข้างซ้าย ส่วนแขนขวาทั้งข้างก็โอบเจ้าว่าวตัวใหญ่นั้นไว้ในวงแขน
“เกาะแน่นๆสิครับคุณ ถ้าคุณเกาะผมแบบนี้ คุณอาจจะลอยไปกับว่าวก็ได้นะครับ” เขากล่าวเย้าเมื่อเห็นท่าทางอันทุลักทุเลของฉัน
เขาเริ่มปั่นจักรยานออกนอกตัวเมืองด้วยความเร็วอันคงที่... ภาพของชายหนุ่มสวมกางเกงยีนส์และเสื้อเชิ้ตลายทางกำลังปั่นจักรยานอย่างขะมักเขม้น และหญิงสาวในชุดกระโปรงบางเบาสีขาวที่ในมือข้างหนึ่งถือว่าวตัวโตเอาไว้กำลังซ้อนท้ายจักรยานอยู่ คงเป็นภาพที่แปลกตาของผู้คนบนท้องถนนอยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้โลกของฉันทั้งใบไม่ได้มีพื้นที่สำหรับใครๆเลยนอกจาก... เขา
เมื่อพ้นเขตเมือง ฉันก็ปล่อยว่าวหางยาวในมือให้ลอยขึ้นไปบนอากาศ มือซ้ายกอดกระชับเอวของเขาไว้แน่น
... ภาพของว่าวที่ลอยลมอยู่บนฟ้า ถนนลูกรังแคบๆสีแดง รถจักรยานที่เรานั่งด้วยกัน ต้นหญ้าสีเขียวขจีที่ริมทาง และภาพที่ฉันซบอยู่บนแผ่นหลังที่อุ่นและกว้างของเขาจะตราติดอยู่ในความทรงจำของฉันตราบชั่วลมหายใจสุดท้ายเลยทีเดียว...
“สนุกไหมครับ” เขาหันมาถาม
“ฉันไม่เคยสนุกอย่างนี้มาก่อนในชีวิตเลยค่ะ” ฉันตอบเสียงใส ความทุกข์ทั้งหมดทั้งมวลของฉันถูกปล่อยไปในอากาศพร้อมกับว่าวที่ในมือ “แล้วคุณล่ะคะ?”
“จำไว้นะครับว่าความสุขของผม คือการได้เห็นคุณมีความสุข”
ความคิดเห็น