ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    You Kill me

    ลำดับตอนที่ #4 : Part III

    • อัปเดตล่าสุด 25 ต.ค. 53


    Part III

     

    สำหรับนักศึกษาจบใหม่ที่ยังหางานทำไม่ได้แล้ว การเดินเลือกสินค้าในห้างสรรพสินค้าโดยไม่ได้คิดจะจ่ายเงินกับข้าวของพวกนี้อย่างจริงจังคงเป็นกิจกรรมนี่น่าอภิรมย์อยู่ไม่ใช่น้อย เพราะการได้ละความกังวลจากการไร้รายได้มาจดจ่ออยู่ที่สินค้าต่างสีสัน ต่างขนาดนั้นทำให้อารมณ์ที่เรียกได้ว่า ‘พื้นเสีย’ ของฉันที่เกิดขึ้นตลอดสัปดาห์ล่องลอยหายไปราวกับติดปีก

    ... อารมณ์ ‘พื้นเสีย’ ที่ฉันยังไม่แน่ใจว่ามันเกิดขึ้นจากความผิดหวังจากการหางานจริงหรือ?...

    กริ๊งงงง!!!

    เสียงโทรศัพท์มือถือของฉันกรีดร้องขึ้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องในใจของฉันเมื่อได้ยินเสียงที่ตอบรับจากเครื่องสื่อสารในมือ

    “สวัสดีครับคุณจิตรา”

    “คุณ! ฉันเพิ่มระดับความดัง และความตกใจลงในน้ำเสียงจนแม้แต่ตัวเองยังตกใจเมื่อได้ยิน “คุณโทรหาฉัน! คุณไปเอาเบอร์โทรศัพท์ฉันมาจากที่ไหน? ใครให้คุณ? ยัยมิหรอ?

    ฉันหันไปส่งสายตาขุ่นเขียวให้เพื่อนสาวที่ยืนเลือกสินค้าอยู่ข้างๆ เจ้าหล่อนส่ายหน้าดิก และโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธเป็นพัลวัน

    “คุณมิรันตีไม่ได้ให้เบอร์โทรศัพท์คุณมาหรอกครับ อย่าไปทำตาเขียวใส่เธอเลย ส่วนผมจะได้มาด้วยวิธีไหนคุณอย่ารู้เลยดีกว่า... และใช่ครับ ผมโทรหาคุณ” ปลายสายตอบอย่างสบายอารมณ์ราวกับว่าสิ่งที่เขาทำนั้นช่างปรกติและธรรมดาเสียเหลือเกิน “แม่บ้านคนสวยของผมเอาแต่เดินช็อปปิ้งอยู่แบบนี้ ผมกลัวว่าผมจะจำเป็นต้องถอดคุณออกจากตำแหน่ง แล้วหาคนมาทำแทนแล้วล่ะครับ”

    “ฉันไม่เคยไปตกลงทำงานกับคุณ” เสียงของฉันที่ตอบไปนั้นแสนจะเย็นชา แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับความ ‘เย็น’ และ ‘ชา’ ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเมื่อได้คำตอบของเขา

    “ถ้าคุณไม่สนใจจะทำงานกับผมจริงๆ คุณคงไม่จดรายละเอียดงาน แม้กระทั่งเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของผมไปหรอก จริงมั้ยครับ?

    “คุณรู้?  เสียงของฉันเพิ่มระดับขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับคำถามที่ถูกพ่นออกไปไม่ยั้ง “คุณรู้ได้ยังไง? คุณตามฉันมาใช่ไหม? บอกมานะว่าคุณเอาเบอร์โทรศัพท์ของฉันมาจากไหน?

    “ไม่มีอะไรที่ผมอยากรู้แล้วไม่รู้ ผมได้ทุกอย่างที่ผมต้องการเสมอ” เสียงที่ตอบกลับมานั้นเยียบเย็นจนทำให้เส้นขนที่ท้ายทอยของฉันลุกซู่ แต่แล้วความเยียบเย็นนั้นก็มลายหายไปจนหมดสิ้น เมื่อน้ำเสียงออดอ้อนฟังสบายของเขาดังมาตามสาย “ ผมเป็นเด็กเอาแต่ใจตัวเองนะครับคุณ และเด็กเอาแต่ใจตัวเองคนนี้ก็กำลังต้องการให้คุณตอบตกลงมากๆด้วย ผมอยากได้คำตอบจากคุณเร็วๆ... ได้ไหมครับ?”

    ภาพดวงตาวิบวับที่ฉายแววออดอ้อนของเขาแทบจะเด่นชัดขึ้นในมโนนึกทันทีที่คำพูดนั้นจบลง... แม้ว่าจะตั้งใจทำตัวปั้นปึ่งกับเขาให้สมกับความเสียมารยาทของเขาในวันที่เจอกันในร้านบะหมี่และการรู้เบอร์โทรศัพท์มือถือของฉันโดยที่ฉันไม่ได้อนุญาต แต่ฉันกลับได้ยินตัวเองถามออกไปด้วยเสียง ‘พยายาม’ จะปั้นปึ่งอย่างเต็มที่ และหากฟังดูดีๆแล้วก็คงได้ยินเสียงกลั้วหัวเราะอยู่ในคำพูดนั้น

    “ฉันชักสงสัยแล้วนะคะว่าสำนักงานคุณนี่จะสกปรกแค่ไหนกัน ถึงได้อยากได้หัวหน้าแม่บ้านไปทำงานมากขนาดนี้?”

    เสียงจากอีกฟากของโทรศัพท์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “แหมคุณ ผมก็พูดเล่นๆไปอย่างนั้นเอง แต่ที่จะให้ทำจริงๆน่ะคือตำแหน่งเลขาฯของผมต่างหาก”

    “เอาไว้ฉันจะคิดดูค่ะ ถ้าแน่นอนแล้วจะติดต่อกลับไป”

    “ครับ ผมจะรอนะครับ สวัสดีครับ”

    ฉันยกโทรศัพท์มือถือออกจากหู มองดูหน้าจอโทรศัพท์ที่ยังคงแสดงให้เห็นว่าเขายังคงอยู่ในสาย

    “ทำไมไม่วางสายล่ะคุณ” เสียงของเขาดังออกมาจากเครื่องโทรศัพท์  เหมือนจะตำหนิ

    “แล้วทำไมคุณไม่วางสาย...” ฉันถามกลับไปเรียบๆ

    “แม้กระทั่งโทรศัพท์คุณก็ต้องให้ผมวางเอง เอ้า! ได้ ผมจะนับ 1 2 3 ล่ะนะ... 123...”

    เสียงสัญญาณทำให้ฉันรู้ว่าเขาวางสายไปแล้ว ฉันมองดูหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง แล้วรอยยิ้มที่ฉันแทบจะลืมว่ามันเป็นอย่างไรก็ปรากฏอยู่บนใบหน้าของฉันอีกครั้ง...

    “ยัยจิต ใครโทรมาน่ะ” เสียงของเพื่อนสาวร่วมห้องดังขึ้น เมื่อฉันหันหน้าไปหาหล่อน ก็พบกับรอยยิ้มรู้ทันอยู่บนใบหน้านั้น

    “นายประกาศิตที่บังเอิ๊ญ บังเอิญไปเจอกับเธอที่ร้านบะหมี่นั่นใช่ไหมล่ะ... ดูๆไปก็หล่อนะเธอ แถมยังสปอร์ตแมนอีกต่างหาก งานการก็มีทำแล้ว เป็นถึงเจ้าของสำนักงาน... โอ๊ย ทำไมเขาไปจีบแกนะ ถ้าลองมาจีบฉันดูล่ะก็ ฉันรักตายเลย”

    “ใครจีบใคร ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ ยัยมิ... ทำเป็นพูดไป เดี๋ยวใครได้ยินเข้ามันจะไม่ดี” ฉันเอ็ดกลับไปอย่างไม่จริงจังนัก

    “กลัวทำไมยะ แค่มองใครๆก็เขารู้กันหมดแล้ว” แม่เพื่อนสาวพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนรำคาญซะเต็มแก่ “ก็เขาจีบแกน่ะสิ... ดูแค่นี้ก็รู้ ยัยจิตเอ๊ย แกจะเล่นตัวทำไมมากมาย ผู้ชายอย่างนายประกาศิตคนนั้นน่ะ ไม่ได้เดินมาจีบแกทุกวันหรอกนะ”

    “พูดเว่อร์ไปแล้ว เขาได้บอกเธอซักคำหรือไงว่าเขาชอบฉัน เขาจะจีบฉัน” ฉันยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง แม้สีหน้าของเพื่อนสาวร่วมห้องจะไม่มีแววเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย และแท้ที่จริงแล้วฉันเองก็ไม่ได้เชื่อคำพูดของตัวเองเท่าใดนัก

    “ของอย่างนี้ต้องบอกกันด้วยหรือไงล่ะ เขาเจอแกโดยบังเอิญหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่บอกว่าบังเอิญตั้ง 3 ครั้ง ชวนแกไปทำงานกับเขา พูดจาชวนให้หัวใจผู้หญิงละลายใส่แก แถมยังโทรเช็คความประพฤติอีก... อย่างนี้ไม่เรียกจีบจะให้เรียกอะไร? แล้วฉันจะบอกอะไรให้อย่างนะยัยจิต ผู้ชายดีๆอย่างนี้น่ะรับรักไปเถอะ ไม่ต้องไปคิดคำนวณอะไรให้มากเรื่องหรอก”

    “ฉันขอดูๆไปก่อนแล้วกัน”

    “โธ่แก... แกจะรออะไรอีกล่ะ ในเมื่อเค้ามาจีบ แกก็ลองดูให้มันเห็นๆกันไปเลยสิ ไม่เห็นต้องห่วงอะไรนี่ ไม่ใช่ก็เลิก มันก็เท่านั้น” แม่เพื่อนตัวดียุยงราวกับแม่สื่อแม่ชักมืออาชีพ

    “เอาเถอะน่า... อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย เกิดแกยุฉันมากๆแล้วฉันไปชอบเขาจริงๆ แต่เขาดันไม่ได้ชอบฉัน ฉันไม่หน้าแตกแย่หรือ?” ฉันส่ายหน้าอย่างระอาในความเอาใจใส่ในเรื่องไม่เป็นเรื่องของเพื่อนสาว ก่อนที่เราทั้งคู่จะเดินออกจากห้างสรรพสินค้าโดยไม่ได้สินค้าอะไรติดมือออกมา

    ***

    คำตอบรับที่ติดอยู่ริมฝีปากนับตั้งแต่วันที่ฉันพบเขาที่สวนสาธารณะ กำลังจะหลั่งไหลออกมาตามที่ความต้องการลึกๆของฉันอยากให้มันเป็น... ในมือของฉันคือโทรศัพท์มือถือที่ปรากฏหมายเลข 10 หลัก อันเป็นหมายเลขติดต่อเขอคนนั้น จิตใจของฉันตอบตกลงกับข้อเสนออันเย้ายวน แต่บางสิ่งที่ฉันไม่รู้ว่าคืออะไรกำลังร่ำร้องให้ฉันทบทวนเรื่องทั้งหมดใหม่อีกครั้ง

    ‘ฉันคิดดีแล้วหรือ?

    ไม่!... ฉันตอบตัวเอง ฉันยังคงลังเล ความรู้สึกหวาดหวั่นในครั้งแรกที่เห็นอาคารปริศนานั้นยังคงฝังตัวอยู่ในจิตสำนึก... ฉันพร้อมแล้วล่ะหรือที่จะเผชิญกับมัน? ฉันพร้อมแล้วหรือที่จะเผชิญกับ ‘เขา’?

    แต่แล้วเสียงของหัวใจก็กลบเสียงเรียกร้องอื่นจนหมดสิ้น...

    ฉันตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาเขา!

    “สวัสดีครับคุณ... ตัดสินใจเรียบร้อยหรือยังครับ?

    “ฉันจะเอาเอกสารที่จำเป็นไปให้คุณพิจารณา... สำนักงานของคุณอยู่ที่ไหนคะ?” ฉันถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ราบเรียบ แต่ที่แท้แล้วมันสั่นระรัวพอๆกับร่างกายและจิตใจของฉัน

    “อ้าว! ลืมซะแล้วหรือครับ สำนักงานของผมก็อยู่หน้าปากซอยของหอพักคุณไงล่ะ แต่ถ้าคุณกลัวจะหลงทาง ผมจะลงไปยืนรอหน้าสำนักงานนะครับ”

    ฉันปิดห้อง และเดินตรงไปยังประตูทางออกของหอพัก... มันช่างแปลกประหลาดนักที่ฉันกำลังย่างเท้าไปยังสถานที่ที่ฉันพยายามหลบเลี่ยงมาตลอดอาทิตย์

    นั่นไง... อาคารสวยหรูนั่น และชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังกระโดดโลดเต้น โบกไม้โบกมือให้ฉัน ฉันกำลังเดินตรงไปที่นั่น!

    “มาจนได้นะครับคุณ... นึกว่าผมจะต้องจัดห้องทำงานให้คุณเก้อซะแล้ว”

    ฉันยิ้มแค่นๆแทนคำตอบ และยื่นเอกสารในมือให้เขา

    “เอกสารสำคัญค่ะ คุณอาจอยากอ่านทั้งหมดก่อน... ฉันไม่ได้จบมาทางการเป็นเลขา และไม่รู้เลยว่าคนที่เป็นเลขาต้องทำอะไรบ้าง”

    “เอกสารพวกนี้ไม่จำเป็นหรอกครับ ผมพิจารณาให้คุณผ่านตั้งแต่ตอนที่ผมได้ยินเสียงโทรศัพท์แล้ว... ตอนนี้คุณต่างหากที่ต้องพิจารณา”

    “ฉัน... พิจารณา?” ฉันชี้นิ้วมาที่ตัวเองพร้อมกับส่งสายตาเต็มไปด้วยความสงสัยไปยังเขา นึกไม่ออกสักนิดว่าเขากำลังพูดถึงอะไร

    “คุณอยากได้เงินเดือนเท่าไหร่?

    ฉันขมวดคิ้วจนเป็นปมแน่นระหว่างหัวคิ้ว... คำถามนี้ไม่ใช่คำถามที่ฉันคาดว่าจะได้ยินในการสัมภาษณ์งาน ไม่ว่าจะป็นที่นี่หรือที่ไหนก็ตาม และความไม่คาดคิดนี้ก็ทำให้เสียงที่พูดออกไปฟังดูสั่นจนน่าขำ... และคงจะน่าขำพอๆกับคำถามที่เรียกรอยยิ้มของเขาได้

    “ฉัน... เอ่อ... เลือกได้ด้วยหรือคะ?

    ดวงตาของเขาเป็นประกายวิบวับเมื่อได้ยินคำถามและได้เห็นสีหน้างุนงงของฉันคล้ายกับกำลังกลลั้นหัวเราะจนสุดความสามารถ และนั่นยิ่งทำให้ปมที่หัวคิ้วของฉันขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม และหากแปลสายตาเป็นคำพูดได้แล้ว สายตาของฉันก็คงแปลความได้ว่า... คำถามของฉันมันน่าขำนักหรือ?

    ผมหมายความว่าคุณลองบอกมาสิครับว่าคุณคิดว่าตัวเองควรได้รับเงินเดือนเท่าไหร่ คือ...เขาลูบท้ายทอยเก้อๆ ผมจบออกแบบภายในนี่ครับ ไม่ใช่บริหารธุรกิจ ผมไม่ทราบหรอกว่าควรจะให้คุณเท่าไหร่ดี กลัวว่าจะให้คุณน้อยกว่าแรงงานขั้นต่ำ แล้วผมจะถูกจับเอาง่ายๆ

    ฉันแทบจะกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่อยู่เมื่อได้ยินคำตอบของเขา แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ และดวงตาเคว้งคว้างนั้น ฉันก็เลือกที่จะซ่อนความขบขันเอาไว้และถามเขาด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงขึ้น

    “บอกเพดานให้หน่อยสิคะ ว่าน้อยที่สุดและมากที่สุดที่คุณจะให้ได้คือเท่าไหร่ ฉันจะได้ตอบถูก”

    “ผมไม่ได้กำหนดอะไรไว้ทั้งนั้น ผมให้คุณเลือกได้ตามชอบใจ”

    ถ้าฉันบอกว่า 30,000 บาท คุณจะสู้ราคาไหมคะ?” ฉันพูดติดตลก และหวังว่าจะไม่ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะ หรือคำปฏิเสธ ยกเลิกที่จะจ้างงานฉัน

    “ตกลง 30,000 บาทต่อเดือน ไม่รวมโบนัส ไม่รวมค่าล่วงเวลา”

    คำตอบของเขาทำเอาฉันตาค้าง เมื่อสิ่งที่ฉันขวนขวายมาเกือบปีด้วยความยากลำบากกำลังเดินเรียงแถวเข้ามาเพียงในพริบตา!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×