คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Part II
Part
II
ภาพของสำนักงานรับออกแบบและตกแต่งภายใน
โดยมัณฑนากรมืออาชีพ ‘นายประกาศิต
อนุวัฒนวงศ์’ ที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าปากซอยแคบ ๆ ที่หอพักโกโรโกโสของฉันตั้งอยู่ต่างหากที่ทำให้เลือดทุกหยดในกายของฉันจับเป็นก้อนแข็ง
เหงื่อชื้น ๆ ผุดขึ้นที่มือและหน้าผาก
สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าฉันนี้
คือห้องหนึ่งของอาคารพาณิชย์ที่ถูกออกแบบอย่างประณีตและสวยงาม
ตัวอาคารประกอบไปด้วยกระจกรอบด้าน
จนมองเห็นว่าด้านในนั้นมีโต๊ะทำงานตั้งไว้หนึ่งตัว และถัดไปเป็นห้องรับแขก
และเมื่อมองเข้าไปอีกก็จะพบห้องอีกหลายห้องภายในที่ตกแต่งอย่างเรียบหรูมีสไตล์สมกับเป็นสำนักงานออกแบบภายใน
ความสวยงามของอาคารแห่งนี้ไม่ได้ทำให้ฉันเกิดความชื่นชมในการออกแบบอันสวยหรู
จนทำให้ซอยเล็ก ๆ สกปรกซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นหอพักเก่า ๆ ราคาถูกที่ใกล้จะพังแหล่มิพังแหล่
หรือพงหญ้าข้างทางแห่งนี้ดูสดสวยขึ้นหลายเท่า
ภาพที่เห็นเกิดขึ้นเพราะความจดจ่อของฉันต่อข้อเสนอของเขา...
หรือเป็นเพราะความเผอเรอ ไม่รู้จักสังเกตของฉัน ที่ทำให้อาคารพาณิชย์รกร้างที่เคยเห็นเจนตาอยู่ทุกวันกลายเป็นสำนักงานสวยสะอาด
หรูหราอย่างที่ฉันเห็นในวันนี้ได้!
ฉันหยิบปากกาออกมาจากกระเป๋าด้วยมือที่สั่นระรัว
พอ ๆ กับจิตใจที่สับสนงุนงง และเพียงแค่นาที ฉันก็จดเบอร์ติดต่อ และข้อมูลการรับสมัครเลขานุการของมัณฑนากรนามว่า
‘ประกาศิต’ คนนั้นลงในกระดาษ และรีบวิ่งกลับไปยังหอพักซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน...
ฉันเกิดความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายจะเป็นไข้ขึ้นมาเฉย
ๆ จนต้องรีบไปล้างหน้าและอาบน้ำโดยเร็ว
ความรู้สึกบางอย่างที่ฉันไม่สามารถอธิบายได้กำลังครอบคลุมจิตใจ
จนฉันอยากจะรีบเข้านอนและไม่อยากจะตื่นขึ้นมาอีกเลย
ในเย็นวันนั้น
ความรู้สึกแปลก ๆ เกาะกุมความคิดของฉัน... ฉันหวั่น
โดยที่ไม่แน่ใจว่าความหวั่นนั้นเป็นความหวั่นแบบใด หวั่นเกรง? หวั่นกลัว? หวั่นไหว? หวาดหวั่น?
หากฉันจะเดินลงไปข้างล่างและเห็นสำนักงานที่ดูราวกับถูกเนรมิตขึ้นในพริบตานั้น
หรือแม้ว่าฉันจะไม่เห็นมัน มันก็คงเป็นสิ่งที่น่า ‘หวั่น’
พอ ๆ กัน ฉันแทบจะเอ่ยปฏิเสธอาหารมื้อเย็น
เมื่อผู้อาศัยร่วมห้องพักคะยั้นคะยออย่างเอาเป็นเอาตาย
ในที่สุดฉันและเพื่อนสาวก็นั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกราคาถูกในร้านขายบะหมี่ที่อยู่ลึกเข้าไปในซอย...
ทิศทางที่ตรงกันข้ามกับอาคารปริศนาหลังนั้น เรียกได้ว่าอยู่ห่างไกลกันลิบทีเดียว...
ความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวของฉันลดลงเมื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับอาคารหลังนั้นได้
ฉันทอดสายตาไปยังรถเข็นสแตนเลสของร้านขายบะหมี่
เงาของเสื้อผ้าหลากสีที่สะท้อนจากเนื้อโลหะนั้นวิบไหวราวกับดอกไม้ และแล้วเงา ๆ หนึ่งก็ทำให้ฉันสะดุ้งและแทบจะหันหลังกลับไป
ก่อนที่สมองจะสั่งการให้นั่งนิ่ง และเบือนหน้าหนี
เพื่อนสาวคงสังเกตอาการผงะอย่างตกใจของฉันได้...
เจ้าหล่อนจึงถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“จิต เป็นอะไรรึเปล่า?”
“เอ่อ เปล่าหรอก” ฉันตัดบทเมื่อชามบะหมี่ที่ส่งกลิ่นหอมฉุยถูกวางลงตรงหน้า
“ฉันเห็นเธอสะดุ้งอย่างกับเจอ...
ผี”
คำสุดท้ายเจ้าหล่อนลดเสียงลงราวกับกลัวว่าสิ่งไม่มีชีวิตที่ตัวเองพูดถึงนั้นจะมาได้ยินเข้า
น่าแปลกที่เพื่อนสาวผู้นี้ดูจะสังเกตลักษณะอาการของฉันได้อย่างครบถ้วน
หากแต่หล่อนมิได้สังเกตความต้องการยุติบทสนทนานี้ที่ปรากฏอยู่บนสีหน้าของฉันเลย
และเพื่อให้หล่อนได้รับคำตอบที่พอใจ
และเพื่อให้บทสนทนาอันไม่พึงประสงค์นี้จบลง ฉันจึงบอกหล่อนเพียงเสียงสั้น ๆ
ด้วยน้ำเสียงตัดรำคาญยิ่งกว่าเคย
“ฉันแค่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไปซื้อของแล้วลืมรับเงินทอนน่ะ
ไม่มีอะไรหรอก”
ฉันลงมือก้มหน้าก้มตาคีบบะหมี่ใส่ปาก
เมื่อเจ้าหล่อนส่งเสียงจิ๊กจั๊กเป็นทำนองว่า ‘ไม่ได้เรื่องเลย ยัยจิตเอ๊ย’
ฉันได้เพียงหวังว่าเสียงบ่นของเพื่อนสาวคงจะไม่ดังพอที่จะทำให้ใครอีกคนหันมามอง
และฉันก็รู้ตัวว่าตัวเองคงหวังมากเกินไป เมื่อเสียงทักทายที่คุ้นเคยดังขึ้น
“อ้าว คุณอีกแล้ว”
ฉันเงยหน้าขึ้น
โดยไม่ละตะเกียบในมือลง “ใช่ค่ะ ฉันเอง”
เขาถือวิสาสะอีกครั้ง
ด้วยการลากเก้าอี้ที่ว่างมาที่โต๊ะของฉัน และตะโกนสั่ง “เฮีย เอาแบบนี้อีกชามนึงนะครับ!”
กลิ่นกระเทียมหอมฉุยที่เตะจมูก
ทำให้ฉันพูดออกไปโดยไม่ทันคิด
“คุณไม่ชอบกระเทียม”
สีหน้าของเขาเผือดลงเพียงเล็กน้อย
แล้วก็กลับร่าเริงแจ่มใสขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเขาตะโกนสำทับ “ของผมไม่ใส่กระเทียมนะครับเฮีย!”
เพื่อนสาวที่นั่งอยู่ด้านตรงกันข้ามเอาเท้าของหล่อนมาเขี่ยเท้าของฉันใต้โต๊ะ
ก่อนจะบุ้ยใบ้ไปทางเขาและถามด้วยน้ำเสียงกระซิบที่ฉันแทบไม่ได้ยิน
“ใครน่ะ?”
ฉันชำเลืองมองไปทางเขา
แล้วจึงแนะนำตามมารยาท
“มิ
นี่คุณประกาศิตนะ... คุณประกาศิต นี่มิรันตีเพื่อนฉันเองค่ะ”
เพื่อนสาวร่วมห้องของฉันช่างมีพรสวรรค์ในการเข้าสังคมมากมายจริง
ๆ และด้วยเวลาไม่นานเจ้าหล่อนก็สามารถที่จะคุยกับเขาได้อย่างไม่ขัดเขินอีกต่อไป
และช่างน่าโมโหที่ทั้งเขาและเจ้าหล่อนช่างมีความสามารถในการดึงฉันเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบทสนทนาของพวกเขาได้โดยที่ฉันไม่ทันได้รู้ตัวเลย
“คุณประกาศิตรู้จักกับยัยจิตได้ยังไงหรือคะ?” แม่เพื่อนสาวตัวดีถามหลังจากที่แลกข้อมูลส่วนตัวกับเขาจนพอใจแล้ว
เขาหันหน้ามาทางฉันคล้ายจะถามความเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่จะเล่า
ฉันเลือกที่จะนั่งกินบะหมี่อย่างขมีขมันและทำเป็นมองไม่เห็นสายตาที่ส่งมา
“เราเจอกันที่สวนสาธารณะมาสองครั้งแล้วน่ะครับ
ได้พูดคุยกันมาบ้างก็เลยจำกันได้”
“อย่างกับพรหมลิขิตเลยนะคะ” เพื่อนสาวของฉันทำหน้าเคลิ้มฝัน “คุณบังเอิญมาเจอกับยัยจิตตั้งหลายครั้ง...
เอ้อ แล้วคุณมาทำอะไรแถวนี้ล่ะค่ะ”
คำถามนั้นน่าคิด
เพราะในซอยแห่งนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยแม้แต่น้อย ภายในซอยประกอบไปด้วยหอพักเก่า ๆ หลายแห่ง
ซึ่งรวมไปถึงหอพักที่ฉันพักอยู่ด้วย... แต่แล้วความทรงจำที่เพิ่งได้พบก็ทำให้ฉันเบิกตากว้าง
“บริษัทออกแบบภายในที่หน้าปากซอยนั่น...
เป็นของคุณ?” ฉันเปรยขึ้นมา
มองใบหน้าไร้เดียงสาของเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
เขากระพริบตาเล็กน้อยคล้ายว่าแปลกใจนักหนา
“ครับ ใช่ครับ”
“อ้าว” เพื่อนสาวของฉันทำหน้าแปลกใจยิ่งกว่าเมื่อได้รับทราบข้อมูลนั้น “บริษัทที่หน้าปากซอยนี่เป็นของคุณประกาศิตเองหรือคะ
มิกำลังคิดเชียวว่าเป็นสำนักงานที่สวยมาก เก๋มาก... ยังพอมีตำแหน่งว่างบ้างไหมคะ
มิกับจิตจะได้ไปสมัคร”
ฉันวางตะเกียบในมือลง
ความสงสัยที่แล่นขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ ทำให้ปากเอ่ยคำถามที่ฟังดูน่าขันที่สุดออกไป
“เธอเคยเห็นสำนักงานของคุณประกาศิตมาก่อนหรอมิ?”
“ก็เคยน่ะสิ! ใครจะไม่เห็นล่ะ
ก็ตอนก่อสร้างน่ะมีช่างเดินไปเดินมาเต็มหน้าปากซอยออกขนาดนั้น
แถมยังก่อสร้างอยู่ตั้งหลายเดือน เธอมัวแต่เดินฝันกลางวันอยู่หรอจ๊ะแม่คุณ ถึงได้ไม่เห็นน่ะ”
“หลายเดือน?”
“ยัยจิตนี่ท่าจะเพ้อ”
เพื่อนสาวของฉันบ่นฉิว ๆ แต่แล้วหล่อนก็ละความสนใจจากฉันไปยังเขาอีกครั้ง
“ว่ายังไงล่ะคะคุณประกาศิต ยังพอมีตำแน่งว่างให้มิกับจิตหรือเปล่า?”
“อันนี้ก็คงต้องแล้วแต่เพื่อนของคุณมิแล้วล่ะครับ” เขาตอบ และอีกครั้งที่ประกายวิบวับปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา เมื่อเอ่ยขึ้นตอบแววสงสัยในดวงตาของเพื่อนสาวของฉัน
“ผมชวนเพื่อนของคุณไปทำงานกับผม แต่เธอยังไม่ได้ตกลงอะไรเลย
คุณมิช่วยเกลี้ยกล่อมหน่อยสิครับ เผื่อว่าเธอจะใจอ่อน”
“โอย” แม่เพื่อนสาวลากเสียงยาวอย่างน่าหมั่นไส้
ฉันเม้มริมฝีปากแน่นสกัดกั้นคำพูดเผ็ดร้อนไม่ให้หลุดออกมา “ไม่ไหวหรอกค่ะ
รายนี้น่ะถ้าเขาไม่สมัครใจจะทำอะไรล่ะก็ กล่อมให้ตายก็ไม่ใจอ่อนหรอกค่ะ จิตเขาเป็นคนใจแข็ง”
“ว้า...
อย่างนี้ก็แย่ล่ะสิครับ แม่บ้านที่สำนักงานของผมลาออกไปจะครบเดือนแล้ว
ถ้าเพื่อนคุณมิไม่รับงานล่ะก็ บริษัทผมฝุ่นเกาะแย่เลย”
เขาพูดด้วยสำเนียงหยอกล้อ โดยนำเอาคำพูดของฉันเองมาใช้
เพื่อนสาวร่วมห้องของฉันทำหน้าตื่น
“ตายจริง! นี่คุณประกาศิตจีบเพื่อนมิไปเป็นแม่บ้านหรอกหรือคะเนี่ย? มิน่าล่ะ ยัยจิตเลยเมินเลย!”
แม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมา
แต่สีหน้าของเขาก็แสดงให้เห็นถึงความแปลกใจได้อย่างชัดเจน
และเมื่อเห็นดังนั้นเพื่อนสาวของฉันก็ร้องออกมาอย่างต้องการจะเล่าอย่างเต็มที่
“แหม...
คุณไม่รู้หรือคะว่ายัยจิตน่ะ ดีกรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเชียวนะคะ
ไม่ทราบว่าสำนักงานของคุณประกาศิตนี่จะสนใจรับแม่บ้านกิติมศักดิ์รึเปล่า”
“ก็น่าสนใจเหมือนกันนะครับคุณมิ...
ว่าแต่ว่าเจ้าตัวเขาจะยอมมาเป็นแม่บ้านกิตติมศักดิ์ให้ผมหรือเปล่านี่สิครับ” เขาพูดพร้อมกับจ้องมองฉันด้วยสายตาวิงวอนออดอ้อนเป็นประกาย
ฉันก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ต่อ
พยายามที่จะไม่สนใจสายตาที่จดจ้องอยู่ที่ฉัน
ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาจะมีผู้คนมากมายที่ปฏิบัติตนด้วยอาการเช่นเดียวกับเขา
และฉันก็ชินชากับพฤติกรรมของคนเหล่านั้นเต็มที แต่ในครั้งนี้มันแตกต่าง
และทำให้ฉันรู้สึกประหม่า จนในที่สุดความอดทนของฉันก็สิ้นสุดลง
“นี่คุณ
คุณไม่ทราบเหรอคะว่าการจ้องสุภาพสตรีเวลารับประทานอาหารมันเสียมารยาท
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉันกำลังทานอาหารอยู่ คุณไม่ควรจะจ้องฉันแบบนี้” ฉัน ‘ใส่’ อย่างเผ็ดร้อน
เขาเอามือลูบท้ายทอยด้วยท่าทางเก้อเขิน...
แบบเดียวกับที่ทำในสวนสาธารณะตอนนั้น
พร้อมกับส่งรอยยิ้มที่ทรงเสน่ห์และแสนจริงใจมาให้
“ผมขอโทษครับ...
เพียงแต่มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริง ๆ ที่ผู้ชายทุกคนจะชอบมองผู้หญิงสวย ๆ”
คำขอโทษที่ดังขึ้นพร้อมกับประกายตาวิบวับราวกับดวงดาวของเขาทำเอาเพื่อนสาวของฉันออกอาการสำลักน้ำอย่างกะทันหัน
พร้อมกับมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าคล้ายกับจะขออภัยแทนเขาด้วย
แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ฉันให้อภัยการเสียมารยาทของเขา
“ฉันไม่ใช่นางงามที่ชอบให้ใคร
ๆ มอง และความสวยของฉันก็ไม่ใช่ของสาธารณะ ถ้าคุณจะกรุณาล่ะก็
อย่ามองฉันอย่างนั้นเลยนะคะ”
“ดีแล้วล่ะครับที่คุณไม่ได้ชอบให้ใคร
ๆ มองคุณ... ผมแค่หวังว่าผมจะเป็นคนเดียวที่ได้มองคุณใกล้ ๆ แบบนี้ ไม่ต้องแบ่งใคร” คำพูดที่ฟังดูซื่อๆ และสายตาอ่อนโยนนั้น ทำให้ฉันต้องรีบหลบสายตาเขา
กลับมาจดจ้องอยู่กับชามบะหมี่ของตัวเอง...
ความคิดเห็น