ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    You Kill me

    ลำดับตอนที่ #3 : Part II

    • อัปเดตล่าสุด 4 ส.ค. 60


    Part II

     

    ภาพของสำนักงานรับออกแบบและตกแต่งภายใน โดยมัณฑนากรมืออาชีพ นายประกาศิต อนุวัฒนวงศ์ ที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าปากซอยแคบ ๆ ที่หอพักโกโรโกโสของฉันตั้งอยู่ต่างหากที่ทำให้เลือดทุกหยดในกายของฉันจับเป็นก้อนแข็ง เหงื่อชื้น ๆ ผุดขึ้นที่มือและหน้าผาก

    สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าฉันนี้ คือห้องหนึ่งของอาคารพาณิชย์ที่ถูกออกแบบอย่างประณีตและสวยงาม ตัวอาคารประกอบไปด้วยกระจกรอบด้าน จนมองเห็นว่าด้านในนั้นมีโต๊ะทำงานตั้งไว้หนึ่งตัว และถัดไปเป็นห้องรับแขก และเมื่อมองเข้าไปอีกก็จะพบห้องอีกหลายห้องภายในที่ตกแต่งอย่างเรียบหรูมีสไตล์สมกับเป็นสำนักงานออกแบบภายใน

    ความสวยงามของอาคารแห่งนี้ไม่ได้ทำให้ฉันเกิดความชื่นชมในการออกแบบอันสวยหรู จนทำให้ซอยเล็ก ๆ สกปรกซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นหอพักเก่า ๆ ราคาถูกที่ใกล้จะพังแหล่มิพังแหล่ หรือพงหญ้าข้างทางแห่งนี้ดูสดสวยขึ้นหลายเท่า

    ภาพที่เห็นเกิดขึ้นเพราะความจดจ่อของฉันต่อข้อเสนอของเขา... หรือเป็นเพราะความเผอเรอ ไม่รู้จักสังเกตของฉัน ที่ทำให้อาคารพาณิชย์รกร้างที่เคยเห็นเจนตาอยู่ทุกวันกลายเป็นสำนักงานสวยสะอาด หรูหราอย่างที่ฉันเห็นในวันนี้ได้!

    ฉันหยิบปากกาออกมาจากกระเป๋าด้วยมือที่สั่นระรัว พอ ๆ กับจิตใจที่สับสนงุนงง และเพียงแค่นาที ฉันก็จดเบอร์ติดต่อ และข้อมูลการรับสมัครเลขานุการของมัณฑนากรนามว่า ประกาศิต คนนั้นลงในกระดาษ และรีบวิ่งกลับไปยังหอพักซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน...

    ฉันเกิดความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายจะเป็นไข้ขึ้นมาเฉย ๆ จนต้องรีบไปล้างหน้าและอาบน้ำโดยเร็ว ความรู้สึกบางอย่างที่ฉันไม่สามารถอธิบายได้กำลังครอบคลุมจิตใจ จนฉันอยากจะรีบเข้านอนและไม่อยากจะตื่นขึ้นมาอีกเลย

    ในเย็นวันนั้น ความรู้สึกแปลก ๆ เกาะกุมความคิดของฉัน... ฉันหวั่น โดยที่ไม่แน่ใจว่าความหวั่นนั้นเป็นความหวั่นแบบใด หวั่นเกรง? หวั่นกลัว? หวั่นไหว? หวาดหวั่น? หากฉันจะเดินลงไปข้างล่างและเห็นสำนักงานที่ดูราวกับถูกเนรมิตขึ้นในพริบตานั้น หรือแม้ว่าฉันจะไม่เห็นมัน มันก็คงเป็นสิ่งที่น่าหวั่นพอ ๆ กัน ฉันแทบจะเอ่ยปฏิเสธอาหารมื้อเย็น เมื่อผู้อาศัยร่วมห้องพักคะยั้นคะยออย่างเอาเป็นเอาตาย

    ในที่สุดฉันและเพื่อนสาวก็นั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกราคาถูกในร้านขายบะหมี่ที่อยู่ลึกเข้าไปในซอย... ทิศทางที่ตรงกันข้ามกับอาคารปริศนาหลังนั้น เรียกได้ว่าอยู่ห่างไกลกันลิบทีเดียว... ความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวของฉันลดลงเมื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับอาคารหลังนั้นได้

    ฉันทอดสายตาไปยังรถเข็นสแตนเลสของร้านขายบะหมี่ เงาของเสื้อผ้าหลากสีที่สะท้อนจากเนื้อโลหะนั้นวิบไหวราวกับดอกไม้ และแล้วเงา ๆ หนึ่งก็ทำให้ฉันสะดุ้งและแทบจะหันหลังกลับไป ก่อนที่สมองจะสั่งการให้นั่งนิ่ง และเบือนหน้าหนี

    เพื่อนสาวคงสังเกตอาการผงะอย่างตกใจของฉันได้... เจ้าหล่อนจึงถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

    จิต เป็นอะไรรึเปล่า?”

    เอ่อ เปล่าหรอก ฉันตัดบทเมื่อชามบะหมี่ที่ส่งกลิ่นหอมฉุยถูกวางลงตรงหน้า

    ฉันเห็นเธอสะดุ้งอย่างกับเจอ... ผี คำสุดท้ายเจ้าหล่อนลดเสียงลงราวกับกลัวว่าสิ่งไม่มีชีวิตที่ตัวเองพูดถึงนั้นจะมาได้ยินเข้า

    น่าแปลกที่เพื่อนสาวผู้นี้ดูจะสังเกตลักษณะอาการของฉันได้อย่างครบถ้วน หากแต่หล่อนมิได้สังเกตความต้องการยุติบทสนทนานี้ที่ปรากฏอยู่บนสีหน้าของฉันเลย

    และเพื่อให้หล่อนได้รับคำตอบที่พอใจ และเพื่อให้บทสนทนาอันไม่พึงประสงค์นี้จบลง ฉันจึงบอกหล่อนเพียงเสียงสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงตัดรำคาญยิ่งกว่าเคย

    ฉันแค่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไปซื้อของแล้วลืมรับเงินทอนน่ะ ไม่มีอะไรหรอก

    ฉันลงมือก้มหน้าก้มตาคีบบะหมี่ใส่ปาก เมื่อเจ้าหล่อนส่งเสียงจิ๊กจั๊กเป็นทำนองว่า ไม่ได้เรื่องเลย ยัยจิตเอ๊ย

    ฉันได้เพียงหวังว่าเสียงบ่นของเพื่อนสาวคงจะไม่ดังพอที่จะทำให้ใครอีกคนหันมามอง และฉันก็รู้ตัวว่าตัวเองคงหวังมากเกินไป เมื่อเสียงทักทายที่คุ้นเคยดังขึ้น

    อ้าว คุณอีกแล้ว

    ฉันเงยหน้าขึ้น โดยไม่ละตะเกียบในมือลง ใช่ค่ะ ฉันเอง

    เขาถือวิสาสะอีกครั้ง ด้วยการลากเก้าอี้ที่ว่างมาที่โต๊ะของฉัน และตะโกนสั่ง เฮีย เอาแบบนี้อีกชามนึงนะครับ!”

    กลิ่นกระเทียมหอมฉุยที่เตะจมูก ทำให้ฉันพูดออกไปโดยไม่ทันคิด

    คุณไม่ชอบกระเทียม

    สีหน้าของเขาเผือดลงเพียงเล็กน้อย แล้วก็กลับร่าเริงแจ่มใสขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเขาตะโกนสำทับ ของผมไม่ใส่กระเทียมนะครับเฮีย!”

    เพื่อนสาวที่นั่งอยู่ด้านตรงกันข้ามเอาเท้าของหล่อนมาเขี่ยเท้าของฉันใต้โต๊ะ ก่อนจะบุ้ยใบ้ไปทางเขาและถามด้วยน้ำเสียงกระซิบที่ฉันแทบไม่ได้ยิน

    ใครน่ะ?”

    ฉันชำเลืองมองไปทางเขา แล้วจึงแนะนำตามมารยาท

    มิ นี่คุณประกาศิตนะ... คุณประกาศิต นี่มิรันตีเพื่อนฉันเองค่ะ

    เพื่อนสาวร่วมห้องของฉันช่างมีพรสวรรค์ในการเข้าสังคมมากมายจริง ๆ และด้วยเวลาไม่นานเจ้าหล่อนก็สามารถที่จะคุยกับเขาได้อย่างไม่ขัดเขินอีกต่อไป และช่างน่าโมโหที่ทั้งเขาและเจ้าหล่อนช่างมีความสามารถในการดึงฉันเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบทสนทนาของพวกเขาได้โดยที่ฉันไม่ทันได้รู้ตัวเลย

    คุณประกาศิตรู้จักกับยัยจิตได้ยังไงหรือคะ?” แม่เพื่อนสาวตัวดีถามหลังจากที่แลกข้อมูลส่วนตัวกับเขาจนพอใจแล้ว

    เขาหันหน้ามาทางฉันคล้ายจะถามความเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่จะเล่า ฉันเลือกที่จะนั่งกินบะหมี่อย่างขมีขมันและทำเป็นมองไม่เห็นสายตาที่ส่งมา

    เราเจอกันที่สวนสาธารณะมาสองครั้งแล้วน่ะครับ ได้พูดคุยกันมาบ้างก็เลยจำกันได้

    อย่างกับพรหมลิขิตเลยนะคะ เพื่อนสาวของฉันทำหน้าเคลิ้มฝัน คุณบังเอิญมาเจอกับยัยจิตตั้งหลายครั้ง... เอ้อ แล้วคุณมาทำอะไรแถวนี้ล่ะค่ะ

    คำถามนั้นน่าคิด เพราะในซอยแห่งนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยแม้แต่น้อย ภายในซอยประกอบไปด้วยหอพักเก่า ๆ หลายแห่ง ซึ่งรวมไปถึงหอพักที่ฉันพักอยู่ด้วย... แต่แล้วความทรงจำที่เพิ่งได้พบก็ทำให้ฉันเบิกตากว้าง

    บริษัทออกแบบภายในที่หน้าปากซอยนั่น... เป็นของคุณ?” ฉันเปรยขึ้นมา มองใบหน้าไร้เดียงสาของเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

    เขากระพริบตาเล็กน้อยคล้ายว่าแปลกใจนักหนา ครับ ใช่ครับ

    อ้าว เพื่อนสาวของฉันทำหน้าแปลกใจยิ่งกว่าเมื่อได้รับทราบข้อมูลนั้น บริษัทที่หน้าปากซอยนี่เป็นของคุณประกาศิตเองหรือคะ มิกำลังคิดเชียวว่าเป็นสำนักงานที่สวยมาก เก๋มาก... ยังพอมีตำแหน่งว่างบ้างไหมคะ มิกับจิตจะได้ไปสมัคร

    ฉันวางตะเกียบในมือลง ความสงสัยที่แล่นขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ ทำให้ปากเอ่ยคำถามที่ฟังดูน่าขันที่สุดออกไป “เธอเคยเห็นสำนักงานของคุณประกาศิตมาก่อนหรอมิ?”

    “ก็เคยน่ะสิ! ใครจะไม่เห็นล่ะ ก็ตอนก่อสร้างน่ะมีช่างเดินไปเดินมาเต็มหน้าปากซอยออกขนาดนั้น แถมยังก่อสร้างอยู่ตั้งหลายเดือน เธอมัวแต่เดินฝันกลางวันอยู่หรอจ๊ะแม่คุณ ถึงได้ไม่เห็นน่ะ”

    “หลายเดือน?”

    “ยัยจิตนี่ท่าจะเพ้อ” เพื่อนสาวของฉันบ่นฉิว ๆ แต่แล้วหล่อนก็ละความสนใจจากฉันไปยังเขาอีกครั้ง “ว่ายังไงล่ะคะคุณประกาศิต ยังพอมีตำแน่งว่างให้มิกับจิตหรือเปล่า?”

    อันนี้ก็คงต้องแล้วแต่เพื่อนของคุณมิแล้วล่ะครับ เขาตอบ และอีกครั้งที่ประกายวิบวับปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา เมื่อเอ่ยขึ้นตอบแววสงสัยในดวงตาของเพื่อนสาวของฉัน ผมชวนเพื่อนของคุณไปทำงานกับผม แต่เธอยังไม่ได้ตกลงอะไรเลย คุณมิช่วยเกลี้ยกล่อมหน่อยสิครับ เผื่อว่าเธอจะใจอ่อน

    โอย แม่เพื่อนสาวลากเสียงยาวอย่างน่าหมั่นไส้ ฉันเม้มริมฝีปากแน่นสกัดกั้นคำพูดเผ็ดร้อนไม่ให้หลุดออกมา ไม่ไหวหรอกค่ะ รายนี้น่ะถ้าเขาไม่สมัครใจจะทำอะไรล่ะก็ กล่อมให้ตายก็ไม่ใจอ่อนหรอกค่ะ จิตเขาเป็นคนใจแข็ง

    ว้า... อย่างนี้ก็แย่ล่ะสิครับ แม่บ้านที่สำนักงานของผมลาออกไปจะครบเดือนแล้ว ถ้าเพื่อนคุณมิไม่รับงานล่ะก็ บริษัทผมฝุ่นเกาะแย่เลย เขาพูดด้วยสำเนียงหยอกล้อ โดยนำเอาคำพูดของฉันเองมาใช้

    เพื่อนสาวร่วมห้องของฉันทำหน้าตื่น ตายจริง! นี่คุณประกาศิตจีบเพื่อนมิไปเป็นแม่บ้านหรอกหรือคะเนี่ย? มิน่าล่ะ ยัยจิตเลยเมินเลย!”

    แม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่สีหน้าของเขาก็แสดงให้เห็นถึงความแปลกใจได้อย่างชัดเจน และเมื่อเห็นดังนั้นเพื่อนสาวของฉันก็ร้องออกมาอย่างต้องการจะเล่าอย่างเต็มที่

    แหม... คุณไม่รู้หรือคะว่ายัยจิตน่ะ ดีกรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเชียวนะคะ ไม่ทราบว่าสำนักงานของคุณประกาศิตนี่จะสนใจรับแม่บ้านกิติมศักดิ์รึเปล่า

    ก็น่าสนใจเหมือนกันนะครับคุณมิ... ว่าแต่ว่าเจ้าตัวเขาจะยอมมาเป็นแม่บ้านกิตติมศักดิ์ให้ผมหรือเปล่านี่สิครับ เขาพูดพร้อมกับจ้องมองฉันด้วยสายตาวิงวอนออดอ้อนเป็นประกาย

    ฉันก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ต่อ พยายามที่จะไม่สนใจสายตาที่จดจ้องอยู่ที่ฉัน ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาจะมีผู้คนมากมายที่ปฏิบัติตนด้วยอาการเช่นเดียวกับเขา และฉันก็ชินชากับพฤติกรรมของคนเหล่านั้นเต็มที แต่ในครั้งนี้มันแตกต่าง และทำให้ฉันรู้สึกประหม่า จนในที่สุดความอดทนของฉันก็สิ้นสุดลง

    นี่คุณ คุณไม่ทราบเหรอคะว่าการจ้องสุภาพสตรีเวลารับประทานอาหารมันเสียมารยาท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉันกำลังทานอาหารอยู่ คุณไม่ควรจะจ้องฉันแบบนี้ ฉัน ใส่ อย่างเผ็ดร้อน

    เขาเอามือลูบท้ายทอยด้วยท่าทางเก้อเขิน... แบบเดียวกับที่ทำในสวนสาธารณะตอนนั้น พร้อมกับส่งรอยยิ้มที่ทรงเสน่ห์และแสนจริงใจมาให้

    ผมขอโทษครับ... เพียงแต่มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริง ๆ ที่ผู้ชายทุกคนจะชอบมองผู้หญิงสวย ๆ

    คำขอโทษที่ดังขึ้นพร้อมกับประกายตาวิบวับราวกับดวงดาวของเขาทำเอาเพื่อนสาวของฉันออกอาการสำลักน้ำอย่างกะทันหัน พร้อมกับมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าคล้ายกับจะขออภัยแทนเขาด้วย

    แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ฉันให้อภัยการเสียมารยาทของเขา

    ฉันไม่ใช่นางงามที่ชอบให้ใคร ๆ มอง และความสวยของฉันก็ไม่ใช่ของสาธารณะ ถ้าคุณจะกรุณาล่ะก็ อย่ามองฉันอย่างนั้นเลยนะคะ

    ดีแล้วล่ะครับที่คุณไม่ได้ชอบให้ใคร ๆ มองคุณ... ผมแค่หวังว่าผมจะเป็นคนเดียวที่ได้มองคุณใกล้ ๆ แบบนี้ ไม่ต้องแบ่งใคร คำพูดที่ฟังดูซื่อๆ และสายตาอ่อนโยนนั้น ทำให้ฉันต้องรีบหลบสายตาเขา กลับมาจดจ้องอยู่กับชามบะหมี่ของตัวเอง...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×