คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : Part XVII
Part XVII
เลือด!
สิ่งแรกที่เข้ามาในมโนความคิดคือ... เพื่อนของฉันกำลังบาดเจ็บและฉันต้องรีบพาเจ้าหล่อนไปโรงพยาบาลโดยด่วน แต่เมื่อเพ่งมองให้ชัดๆอีกครั้ง ฉันก็พบว่าคราบเลือดที่เห็นนั้นไม่ได้เป็นเลือดจากตัวของเพื่อนสาวของฉัน แต่มันเป็นเลือดของสิ่งมีชีวิตอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่เพื่อนของฉันแน่นอน
และนี่เองคือที่มาของกลิ่นสาบสางชวนคลื่นเหียน... และนี่เองคงเป็นเหตุผลที่เจ้าหล่อนไม่ต้องการให้ฉันมองเห็นตัว
แต่สิ่งที่สำคัญไม่ใช่กลิ่น สี หรืออาการคลื่นเหียนของฉัน... คำถามที่สำคัญคือ... เลือดของใคร? และมันมาอยู่บนตัวของเพื่อนสาวร่วมห้องของฉันได้อย่างไร?
ใบหน้าของฉันคงฟ้องถึงสิ่งที่คิด ดวงตาของเจ้าหล่อนจึงฉายแววตื่นตระหนก และส่ายศีรษะไปมาคล้ายจะปฏิเสธว่าสิ่งที่ฉันคิดนั้นไม่ใช่ความจริง
“จิต... ฉันไม่ได้ตั้งใจ” เพื่อนสาวร่วมห้องของฉันร้องออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใบหน้าที่เคยมีแต่รอยยิ้มสดใสนั้นดูเคร่งเครียดและขาวซีด
“มิ เกิดอะไรขึ้น...”
“ฉะ ฉันไม่รู้” เจ้าหล่อนส่ายหน้าอย่างน่าสงสาร “ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
ฉันเดินตรงไปหาเจ้าหล่อนอย่างช้าๆ ในใจหนึ่งนึกกลัวภาพที่เห็น แต่อีกใจหนึ่งฉันกลับสงสารเจ้าหล่อนจับหัวใจ สภาพของเพื่อนสาวร่วมห้องในขณะนี้ดูสับสน และหวาดกลัวยิ่งนัก ฉันเอื้อมมือไปคว้ามือที่ยังมีคราบเลือดติดอยู่ของเจ้าหล่อนมากุมไว้อย่างปลอบโยนแต่เจ้าหล่อนกลับกระชากมือกลับ
“อย่ามาแตะตัวฉัน!”
ฉันคว้ามือของเจ้าหล่อนมากุมไว้อีกครั้ง และคราวนี้ไม่ปล่อยให้หล่อนได้กระชากมันกลับไปอีก “มิ แกไม่เชื่อหรอว่าฉันอยากจะช่วยแก ฉันช่วยแกได้นะ แค่แกเล่ามาว่าเกิดอะไรขึ้น”
เมื่อฉันพูดจบ ความเงียบก็เกิดขึ้น... เพื่อนสาวของฉันไม่ได้ตอบคำใด เจ้าหล่อนยกแขนขึ้นกอดอก ดวงตาหวาดหวั่นนั้นหลุบต่ำหลบสายตาของฉัน
“ว่ายังไง? บอกฉันได้ไหม?” ฉันถามซ้ำ
เจ้าหล่อนยังคงหลุบตาต่ำ แต่ฉันก็รู้สึกได้ว่าเพื่อนสาวของฉันมีเรื่องราวที่อยากจะบอกเล่าให้ฉันฟังมากมาย และเจ้าหล่อนกำลังหาวิธีที่จะพูดเพื่อให้ฉันเข้าใจอย่างถ่องแท้
“มิ ใจเย็นๆนะ” ฉันใช้น้ำเย็นเข้าลูบ จับจูงหล่อนไปนั่งบนเตียงและถามด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม “เล่าให้ฉันฟังได้ไหมว่าเลือดพวกนี้มาจากไหน แกไปทำอะไรมา และฉันจะช่วยแกได้ยังไง?”
“ถ้าฉันบอกว่าฉันไม่ได้ทำอะไรใคร แกจะเชื่อฉันไหมจิต?” น้ำเสียงและสีหน้าจริงจังนั้นทำให้ฉันยอมผงกหัวตอบ
“เชื่อสิ”
“แล้ว... ถ้าฉันบอกว่ามีคนทำร้ายฉันล่ะ?” เจ้าหล่อนถามอีกคล้ายหยั่งความคิดของฉัน
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่น่ะมิ?” ฉันถามกลับโดยไม่สนใจคำถามของเจ้าหล่อน “เล่าให้ฉันฟังนะ ฉันสัญญา ฉันเชื่อแกทุกอย่าง”
“แล้วถ้าฉันบอกแกว่านายประกาศิตนั่นเป็นคนอันตราย ถ้าฉันขอให้แกเลิกยุ่งเกี่ยวกับเขา แกจะเชื่อฉันไหม?”
คำถามนั้นทำให้ฉันชะงักไปในทันที และถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังกว่าเสียงกระซิบ “ทำไมถึงพูดอะไรอย่างนั้นล่ะมิ?”
เพื่อนสาวของฉันไม่ได้ตอบคำถามนั้น หล่อนคว้ามือของฉันมาจับไว้แน่นและถามซ้ำด้วยน้ำเสียงคาดคั้น “เชื่อฉันไหมจิต? แกจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับเขาได้ไหม?”
“ทำไมล่ะมิ? หรือว่าเขา....” ฉันหยุดพูด นึกกลัวในสิ่งที่ตัวเองคิดขึ้นมาในทันที “หรือว่าเขา... เกี่ยวข้องกับ...”
เจ้าหล่อนพยักหน้าเบาๆ เพียงแค่นั้นหัวใจของฉันก็เหมือนกับถูกกระชากออกไปจากร่าง... ทำไมนะ ความรักของฉันถึงต้องมีอุปสรรคมากถึงเพียงนี้? ทำไมนะ เขาถึงต้องมีเรื่องราวมากมายที่ทำให้ฉันต้องตกใจ ประหลาดใจ และเสียใจมากมายขนาดนี้?
“เขาทำอะไรแกหรือมิ?” ฉันถามออกไปด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทาที่ไม่ได้น้อยไปกว่าอาการสั่นสะท้านในหัวใจเลยแม้แต่น้อย
เจ้าหล่อนส่ายหน้า
“หมายความว่ายังไง? เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ฉัน... ฉันบอกแกไม่ได้” เจ้าหล่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูสงบขึ้น คล้ายกับว่าเจ้าหล่อนได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้ว “ฉันบอกแกได้แค่ว่า นายประกาศิตคนนั้นเป็นคนอันตราย และฉันไม่อยากให้แกต้องเป็นเหมือน... ต้องเจออะไรร้ายๆ เพราะฉะนั้น พรุ่งนี้แกไปลาออกซะนะจิต ไปลาออกจากสำนักงานอะไรนั่นซะ อยู่ให้ห่างๆผู้ชายคนนั้น เชื่อฉันนะ”
ฉันนิ่งฟังทั้งๆที่รู้สึกเหมือนหัวใจจะระเบิด
“สัญญากับฉันนะจิต”
ฉันพยายามมองตาของเพื่อนสาว หวังว่าดวงตาของเจ้าหล่อนจะบอกเงื่อนงำของสิ่งที่เกิดขึ้นและทำให้ฉันได้เข้าใจว่าเขาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้อย่างไร แต่นัยน์ตาที่เคยสดใสนั้นบัดนี้แห้งผาก ไร้ซึ่งแววใดๆ หรือเค้าเงื่อนงำอะไรทั้งสิ้น...
คำถามเกิดขึ้นในใจของฉัน...
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ? และฉันควรทำอย่างไรต่อไปดีท่ามกลางสถานการณ์ที่คลุมเครือเช่นนี้? ฉันควรตีตัวออกห่างจากเขา ผู้ชายที่ฉันได้ออกปากว่าจะต่อสู้ไปพร้อมๆกับเขาเพื่อความรักของเราทั้งสองตามที่เพื่อนร่วมห้องได้ขอไว้ หรือควรจะปฏิเสธเจ้าหล่อนและเชื่อมั่นในตัวเขาต่อไป?
“ไม่” คำพูดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของฉันก่อนที่ตัวเองจะได้คำตอบ ทำให้เจ้าหล่อนต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ แต่ก่อนที่เจ้าหล่อนจะได้พูดอะไรต่อไปฉันก็ร้องถามออกไปด้วยน้ำเสียงร้องขอ... “บอกให้ฉันรู้หน่อยได้ไหมมิว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาทำอะไร? เขาอันตรายยังไง? เพราะตอนนี้ฉันสงสัยจนจะบ้าตายอยู่แล้ว!”
“ฉันขอโทษนะจิต ฉันบอกเธอไม่ได้จริงๆ” เจ้าหล่อนตอบด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจปนหวาดกลัวซึ่งฉันไม่เข้าใจว่าอะไรคือเหตุผลของเจ้าหล่อน
***
ฉันตื่นนอนแต่เช้า และแต่งตัวไปทำงานตามปรกติ พยายามจะไม่สนใจเพื่อนสาวผู้บ่นว่าปวดหัวทั้งๆที่ไม่ได้ตัวร้อน ที่พยายามที่รั้งตัวฉันเอาไว้ไม่ให้ไปทำงาน
“อยู่เป็นเพื่อนฉันไม่ได้หรอจิต”
“ไม่ได้หรอกมิ ฉันต้องไปทำงาน งานที่สำนักงานรออยู่อีกตั้งเยอะตั้งแยะ จะให้อยู่ดูแลเธอทั้งวันฉันก็โดนไล่ออกกันพอดี”
สีหน้าของเจ้าหล่อนดูชื่นขึ้นเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายที่ฉันพูด คล้ายจะบอกว่าหล่อนจะดีใจหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ฉันถอนหายใจอีกครั้ง
“ฉันต้องไปทำงานแล้วนะมิ ถ้าแกหิว ฉันเทโจ๊กใส่ชามไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว แล้วตอนเย็นฉันจะรีบกลับมา” เมื่อพูดจบฉันก็ปิดประตูห้องพักและออกเดินไปทำงานตามปรกติ
ฉันใจร้ายเกินไปหรือเปล่านะ?
‘ไม่หรอก’ เสียงในหัวดังขึ้น ‘ยัยมิแค่อยากจะรั้งฉันไว้ที่ห้องโดยไม่มีเหตุผล ฉันจะไม่ทำตัวไร้เหตุผลตามยัยมิหรอก’
เมื่อคิดได้ดังนั้นฉันก็พยายามสลัดเรื่องของเพื่อนสาวออกจากห้วงความคิด และปรับสีหน้าให้ดีก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในสำนักงาน
เขายืนอยู่ตรงนั้น... ที่โต๊ะอาหาร ในมือมีขนมปังปิ้งเกือบเกรียม และมืออีกข้างถือถ้วยกาแฟ เมื่อเห็นว่าฉันเดินเข้ามาเขาก็ส่งยิ้มกว้างมาให้พร้อมคำพูดทักทาย
“สวัสดีครับ กินอะไรมาหรือยัง”
ฉันส่ายศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธและส่งยิ้มกว้างพอๆกันไปให้กับเขา
ฉันมองดูท่าทางการตระเตรียมอาหารด้วยความเต็มใจและต้องการจะเอาใจฉัน และแล้วคำถามของเพื่อนสาวก็กลับดังก้องในหู
“แล้วถ้าฉันบอกแกว่านายประกาศิตนั่นเป็นคนอันตราย ถ้าฉันขอให้แกเลิกยุ่งเกี่ยวกับเขา แกจะเชื่อฉันไหม?”
เมื่ออาหารเช้าอย่างง่ายๆถูกวางลงตรงหน้า ฉันก็รับทั้งหมดมาไว้ในมือและเริ่มรับประทานอาหารเช้า เขาส่งยิ้มมาให้ฉันอีกครั้งก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องทำงาน
รอยยิ้มนั้นยังคงทิ้งกระแสอบอุ่นไว้ในหัวใจ และคำตอบต่อคำถามของเพื่อนสาวก็ปรากฏขึ้นกลางใจของฉันทันที
‘ไม่ ฉันไม่เชื่อ!’
ฉันจะเชื่อได้อย่างไรว่าผู้ชายที่แสนดี เอาใจใส่แลละรักฉันอย่างมากมายคนนี้จะเป็นคนที่อันตรายถึงขนาดที่ฉันจะต้องออกห่างจากเขา
เพื่อนสาวร่วมห้องของฉันคงต้องเข้าใจอะไรผิดสักอย่างเป็นแน่ หล่อนคงจะได้ยินเรื่องอะไรบางอย่างที่ร้ายกาจเกี่ยวกับเขามา ผู้บอกเล่าอาจจะเกี่ยวข้องกับคราบเลือดบนตัวของเพื่อนสาวของฉันที่ฉันเห็นก็ได้
หรือจะเป็นลิลิต?
และความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้น...
ลิลิตนั่นเองคือความอันตรายที่มิรันตีพูดถึง! หล่อนอาจทำร้ายเพื่อนฉันและข่มขู่ให้เพื่อนของฉันมาบอกฉันให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับประกาศิต
หากเป็นเช่นนั้นจริงก็เท่ากับว่าฉันและเขาก็ตกอยู่ในอันตรายอันใหญ่หลวง... ผู้หญิงคนนั้นจะทำดังที่หล่อนได้พูดไว้จริงๆ
ลิ้นไม่สามารถรับรสชาติอาหารอีกต่อไป ฉันวางขนมปังปิ้งทาเนยที่เพิ่งกินไปได้เพียงครึ่งเดียวกลับลงบนจานและเดินไปเคาะประตูห้องทำงานของเขา
ไม่นานประตูก็เปิดออก ฉันก้าวเข้าไปในห้องทำงานสวยสะอาดนั้นและพูดทั้งๆที่ยังไม่ได้นั่งลงตามคำเชื้อเชิญ
“คุณได้พบคุณิลิตบ้างหรือเปล่าคะ?”
เขาสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อสามารถปรับท่าทางได้จนเป็นปรกติแล้วเขาจึงถามฉันด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“ไม่นี่ครับ ตั้งแต่วันที่เขามาโวยวายที่นี่ ผมก็ไม่ได้พบลิลิตอีกเลย”
เมื่อเห็นสีหน้าไม่สบายใจของฉันเขาจึงถาม
“ทำไมหรือครับ? เธอมาหาคุณหรือ จิตรา?” น้ำเสียงของเขาเมื่อถามคำถามนั้นฟังดูร้อนรนและตกใจ และในวินาทีนั้นนัยน์ตาร่าเริงของเขาก็เปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดไปในทันที
“คุณลิลิตไม่ได้มาหาฉันหรอกค่ะ และฉันก็ไมได้พบเธอ”
ท่าทีร้อนรนของเขาหายไปทันทีที่ได้ยินประโยคนี้
“แต่... แต่ฉันคิดว่ามิเจอกับคุณลิลิต” ฉันต่อประโยคด้วยความไม่แน่ใจ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดที่ได้รู้มา... คราบเลือดบนตัวของเพื่อนสาวร่วมห้อง... อาการหวาดผวาในทีแรก... ท่าทางที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือและคำพูดแปลกๆของเจ้าหล่อน
เขานั่งฟังเรื่องทั้งหมดอย่างตั้งใจ ในบางครั้งนัยน์ตาสีช็อกโกแลตของเขาส่อแววกังวลออกมา และในบางครั้งมันก็ดูเยียบเย็นจนฉันนึกกลัว
และเมื่อฉันเล่าให้เขาฟังถึงสิ่งที่เพื่อนสาวขอร้อง คำบอกเล่าที่เกี่ยวกับ ‘เขา’ ท่าทีของเขาก็ดูเกรี้ยวกราดขึ้นมาในทันที
“คุณเชื่อเธอหรือเปล่า จิตรา?” คำถามนั้นหนักแน่นนัก “ได้โปรดบอกผมว่าคุณไม่เชื่อ”
โดยที่ไม่รู้ตัว ฉันตอบคำถามนั้นออกไปด้วยความรู้สึกเลื่อนลอย “ไม่ค่ะ ฉันไม่เชื่อยัยมิ”
และทันทีที่สติกลับมาเป็นของตัวเอง ฉันก็สะบัดศีรษะไล่ความมึนงงออกไป และแปลกใจที่เห็นแววตาสำนึกผิดในดวงตาของเขา
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ไม่... เปล่า”
ฉันจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา...
“สัญญากับผมอย่างหนึ่งได้ไหม” สีหน้าของเขาขณะถามฉันนั้นดูจริงจังเสียจนฉันอดประหวัดจิตไปถึงสีหน้าของเพื่อนสาวร่วมห้องเมื่อขอสัญญาจากฉันเมื่อคืนไมได้
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น ฉันก็อดขนลุกซู่ขึ้นมาไม่ได้
“ได้ไหมจิตรา? สัญญากับผมได้ไหม?” เขาถามซ้ำ
“ถ้าทำได้ฉันจะทำค่ะ”
สีหน้าของเขาคลายความเครียดลงเมื่อฉันแบ่งรับแบ่งสู้
“สัญญากับผมได้ไหมจิตราว่าต่อไปนี้คุณจะระวังตัวให้มากขึ้น อย่าไว้ใจใคร อย่าใกล้ชิดใคร อยู่ให้ห่างจากทุกๆคนไว้นอกจากผมคนเดียว”
ความคิดเห็น