คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : Part XVI
Part XVI
ทางเดินในซอยที่คุ้นเคยดูแปลกตาไปกว่าที่เคย เมื่อวันนี้ไม่มีเขาเดินมาส่งฉันที่หอพักดังเช่นที่เคย แสงสว่างของพระจันทร์ที่สาดส่องมาดูมืดไปถนัดใจ สายลมอ่อนๆกลับให้ความรู้สึกสะท้านไปทุกรูขุมขน
ฉันรีบสาวเท้าเพื่อให้ถึงที่หมายโดยเร็วและยกแขนขึ้นกอดอกเพื่อบรรเทาความรู้สึกสะท้านที่เกิดขึ้นในอก... ความรู้สึกที่ส่งความเยียบเย็นไปทุกรูขุมขน
ในทีแรกนั้น ฉันนึกขำท่าทีเป็นห่วงเป็นใยจนเกินไปของเขา และคิดว่าในสถานที่ที่ฉันเดินไปกลับอยู่ทุกวันนั้นจะกลายเป็นสถานที่ที่อันตรายจนเขาไม่สามารถที่จะปล่อยให้ฉันเดินกลับบ้านคนเดียวได้อย่างไร แต่ในขณะนี้... ในขณะที่ฉันกำลังเดินอยู่ตรงนี้เพียงลำพัง ฉันจึงได้เข้าใจว่าความเป็นห่วงของเขานั้นไม่ได้มากมายจนเกินไปเลย
เสียงเห่าหอนของสุนัขที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนดังขึ้นเป็นระยะๆ ความรู้สึกบอกฉันว่ากำลังมีใครบางคนจับตามองอยู่ไม่ห่าง...
หรือว่าเขาจะตามฉันมา?
ความคิดนั้นช่วยให้ความรู้สึกสะท้านในอกลดลง แต่กระนั้นฉันก็ยังรู้สึกว่าต้องรีบเดินกลับไปให้ถึงที่พักให้เร็วที่สุด
และแล้วความคิดเช่นนั้นก็หมดลงเมื่อไม่มีเสียงสดใสของเขาเรียกหา หรือแม้แต่การวิ่งตรงเข้ามาเดินเคียงดังที่เขาน่าจะทำ หากว่าได้เดินตามฉันมาจริงๆ
บรรยากาศน่าขนลุกนี้ทำให้ฉันรู้สึกหวาดผวาจนไรผมที่ท้ายทอยลุกชันขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ ความรู้สึกที่ว่าใครบางคนกำลังเดินตามฉันมาทำให้หวาดกลัวจนจับหัวใจ
ใบหน้าของหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขายังคงเด่นชัดอยู่ในห้วงความคิด... ใบหน้าของเจ้าหล่อนคือใบหน้าของคนที่พร้อมจะแลกทุกอย่างกับชัยชนะ... แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นชีวิตของใครสักคนหนึ่งที่ไม่ใช่ตัวของเจ้าหล่อนเอง...
อะไรบางอย่างในดวงตาดำสนิทคู่นั้นบ่งบอกชัดว่า... หญิงสาวผู้นั้นจะไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อยที่จะ ‘กำจัด’ ฉันออกจากวิถีชีวิตของเจ้าหล่อน หากว่ามันจะทำให้เจ้าหล่อนได้ในสิ่งที่ต้องการ
... สิ่งที่หญิงสาวผู้นั้นประกาศกร้าวว่าต้องการที่สุด และไม่มีวันที่จะปล่อยให้หลุดมือไป... เขา!
และแม้ว่าจะเพียรบอกตัวเองมากเท่าไรว่าเจ้าหล่อนคงจะไม่ทำอะไรที่เกินความคาดหมาย แต่ในใจลึกๆฉันก็ยังหวาดระแวงว่าเจ้าหล่อนอาจปรากฏตัวออกมาในนาทีใดนาทีหนึ่งและลงมือ ‘กำจัด’ ฉันให้พ้นไปจากวิถีของเจ้าหล่อนและเขาผู้นั้นเสีย
และไม่ใช่ว่าหล่อนจะไร้เหตุผลซะทีเดียว
แม้ว่าฉันจะมีความสุขกับความสัมพันธ์ที่คืบหน้าไประหว่างฉันกับเขาหลังจากวันที่เขาได้เล่า ‘ความจริง’ ทั้งหมดให้ฟัง แต่ในใจของฉันก็ยังรู้อยู่เสมอว่าสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่นี่มันผิดมหันต์ ทั้งต่อกฎหมายและต่อศีลธรรม... การกระทำที่เรียกได้ว่าเป็นชู้!
... แต่มันช่างยากเหลือเกินที่จะหักห้ามใจไม่ให้ทำบาปอันแสนหวานนี้... ใครกันจะสามารถห้ามหัวใจไม่ให้ตกหลุมรักชายหนุ่มผู้มากด้วยเสน่ห์เช่นเขาได้?
‘ความรัก’ ฉันรำพึงในใจ... คำว่าความรักเพียงคำเดียวเท่านั้นหรือที่ทำให้ฉันยอมจำนนต่อเขา ยอมทำในสิ่งที่แม้แต่ตัวเองก็รู้ว่าไม่ถูกต้อง ยอมเสี่ยงชีวิตของตัวเองให้ตกอยู่ในอันตรายจากการคุกคามของผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขา...
ฉันนึกเสียใจที่ปฏิเสธเมื่อเขายืนยันว่าจะมาส่งที่หอพัก แต่ตอนนี้ก็คงจะสายเกินไปที่จะนึกถึงเรื่องนั้น ฉันสาวเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะได้ไปถึงจุดหมายเร็วที่สุด
ไม่นานหอพักสตรีเก่าคร่ำคร่าก็ปรากฏอยู่ต่อสายตา ฉันรีบวิ่งขึ้นบันไดตรงไปที่ห้องพักของตัวเอง นึกดีใจที่มีเพื่อนสาวร่วมห้องอยู่ด้วย เพราะมิเช่นนั้นแล้วฉันไม่สามารถที่จะนอนหลับทั้งที่ได้ยินเสียงสุนัชเห่าหอนและสายลมหวีดหวิวเช่นนี้ได้
ฉันเปิดประตูเข้าไปในห้อง รู้สึกถึงลมเย็นๆที่พุ่งมาปะทะกับใบหน้า ภายในห้องมืดสนิท เพื่อนสาวร่วมห้องของฉันคงยังไม่กลับ...
ฉันขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะโดยปรกติแล้วเพื่อนสาวผู้นี้มักจะเดินทางมาถึงที่พักก่อนฉันเสมอ... ทุกๆวันเจ้าหล่อนจะนั่งรออยู่ในห้องเพื่อกล่าวถ้อยคำหยอกเย้าฉัน และถามไถ่ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันสลับกับการเล่าเรื่องต่างๆที่เจ้าหล่อนได้พบ
ฉันเอื้อมมือไปยังสวิชต์ไฟที่ผนัง เตรียมตัวที่จะเปิดก่อนที่จะหดมือกลับเมื่อได้ยินเสียงแผ่วๆที่ดังขึ้น
“จิต... อย่าเพิ่งเปิดไฟเลยนะ” เสียงของเจ้าหล่อนขาดเป็นห้วงๆ เสียงครวญครางคล้ายสัตว์บาดเจ็บหลุดออกมาจากริมฝีปากที่เคยพูดจาด้วยน้ำเสียงสนุกสนานให้ฉันฟังอยู่เสมอ
ฉันหยุดยืนนิ่งอยู่ที่ประตูห้องที่ยังไม่ได้ปิดลง ความรู้สึกอย่างหนึ่งปะทุขึ้นในหัวใจอย่างไร้เหตุผล... ไม่ไว้ใจ! และ หวาดระแวง!
ใจหนึ่งฉันอยากวิ่งหนีไปจากสถานที่นี้ให้ไกลที่สุด แต่ใจหนึ่งก็กลัวเกินกว่าที่จะก้าวเท้าหนี...
“เธอกลับมานานแล้วหรอมิ?”
“กะ ก็... ก็... นานพอสมควรแล้ว” น้ำเสียงของเจ้าหล่อนขาดเป็นห้วงๆ บางครั้งฟังคล้ายเสียงสะอื้นแต่ะในบางครั้งก็ฟังดูโหยหวนอย่างน่ากลัว
“ทำไมอยู่มืดๆล่ะมิ? ไฟอะไรก็ไม่เปิด?”
จะเป็นเพราะเจ้าหล่อนเลี่ยงที่จะตอบคำถามนั้นหรืออย่างไร ฉันก็สุดจะรู้ แต่สิ่งที่เจ้าหล่อนพูดขึ้นนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวกับคำถามที่ฉันถามไปเลยแม้แต่น้อย
“ทำไมไม่เข้ามาในห้องล่ะจิต เปิดไปประตูไว้แบบนั้นเดี๋ยวก็ยุงเข้ากันพอดี” เสียงของเจ้าหล่อนดังขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้มันไม่ขาดเป็นห้วงๆ แต่กลับหวานสนิท เชิญชวนให้ทำอย่างที่เจ้าหล่อนร้องบอก และมันทำให้ฉันนึกถึงหญิงสาวอีกคนหนึ่งซึ่งการเผชิญหน้ากับหล่อนผู้นั้นยังคงทิ้งความรู้สึกสะท้านไปทุกรูขุมขนไว้กับฉัน
ฉันปิดประตูห้องเบาๆ พยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืดเร็วๆ ปากก็เอ่ยถามเพื่อนสาวร่วมห้องด้วยความรู้สึกเป็นห่วง
“ไม่สบายรึเปล่ามิ? เสียงเธอฟังดูแปลกๆนะ”
“มะ ไม่หรอก ฉันสบายดี” เจ้าหล่อนตอบกลับมา
ฉันพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ในขณะที่เดินไปยังเตียงของตัวเอง วางสัมภาระลงบนนั้นและยกแขนขึ้นกอดอกอีกครั้ง
“คืนนี้หนาวจังนะมิ” ฉันเปรยขึ้น
“ธะ เธอว่าอย่างนั้นหรอ?” เพื่อสาวของฉันถามกลับด้วยเสียงที่ขาดเป็นห้วงๆอีกครั้ง ฉันหันไปมองเจ้าหล่อนอย่างสงสัย และสังเกตเห็นว่าหน้าต่างที่หัวเตียงของเจ้าหล่อนเปิดอยู่ ฉันจึงตรงเข้าไปปิดมันเพื่อกันลมไม่ให้เข้ามาในห้องได้
เมื่อจัดการกับหน้าต่างเสร็จ ฉันจึงย่อตัวลงจนอยู่ใกล้กับเพื่อนสาวที่นอนอยู่บนเตียง เอื้อมมือไปยังตำแหน่งหน้าผากของเพื่อนสาวเพื่อตรวจดูอาการไข้ ในขณะเดียวกันก็ต้องใช้มืออีกข้างปิดจมูกเมื่อกลิ่นสาบสางจากตัวของเพื่อนสาวร่วมห้องลอยมากระทบจมูก
“เธอเองก็แปลกๆนะมิ แน่ใจหรอว่าสบายดี ตาย!... กลิ่นเธอเหม็นสาบอย่างกับไปกินหนูมาทั้งตัวอย่างนั้นแหละ” ฉันพูด
“เธอตัวเย็นมากเลยนะมิ ฉันว่าไปหาหมอเถอะ ฉันจะพาไปเอง”
มือเรียวที่เย็นเยียบราวกับน้ำแข็งคว้าข้อมือของฉันไว้ก่อนที่จะทันไหวตัว
“มะ ไม่ต้องหรอกจิต ฉันไม่เป็นไรจริงๆ”
น้ำเสียงนั้นฟังดูหวาดผวาจนฉันนึกห่วง แต่เมื่อเห็นความมุ่งมั่นในดวงตาของเพื่อนสาวแล้ว ฉันจึงตอบเจ้าหล่อนพร้อมกับบีบมือเย็นเฉียบนั้นอย่างให้กำลังใจ
“เอาเถอะ ไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไร แล้วเธออาบน้ำอาบท่าหรือยัง? กินอะไรหรือยัง? จะให้ฉันหาอะไรให้กินไหม”
หล่อนหลบสายตาของฉันวูบ และตอบด้วยเสียงตะกุกตะกัก
“มะ ไม่ เอ่อ ฉัน... ฉันอาบน้ำกินข้าวมาเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องห่วงฉันหรอก”
ฉันพยักหน้าอีกครั้งและเตรียมข้าวของสำหรับการอาบน้ำเพื่อจะไปอาบน้ำก่อนนอน และเดินไปยังสวิชต์ไฟอีกครั้งเพื่อจะเปิดไฟ... ไม่ทันที่นิ้วจะได้สัมผัสกับสวิชต์ มือเย็นเยียบก็คว้าข้อมือของฉันไว้และออกแรงกระชาก
“อย่าเปิดไฟนะ!”
ฉันเซถลาล้มลงบนพื้นไม้ นัยน์ตาเบิกกว้างอย่างงุนงงและตกใจ... เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนสาวของฉันกันแน่?
“มิ! เธอเป็นอะไรไปน่ะ!”
คำตอบคือความเงียบสงัด
“ทำไมเธอถึงต้องห้ามไม่ให้ฉันเปิดไฟด้วย มืดขนาดนี้ถ้าไม่เปิดไฟแล้วฉันจะเห็นทางได้ยังไง” ฉันถามเจ้าหล่อนด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เธอทำตัวแปลกมากเลยนะมิ ไหนจะเรื่องไฟ ไหนจะเรื่องเสียง แล้วไหนจะตัวเย็นอีก ฉันอยากพาเธอไปโรงพยาบาลตอนนี้เลย”
จบคำพูด ฉันก็ตรงเข้าคว้าข้อมือของเจ้าหล่อนและพยายามจะฉุดไปยังประตูห้อง หมายใจว่าจะลากเจ้าหล่อนไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจอาการความผิดปกติ แต่ราวกับผู้ที่ฉันออกแรงดึงนั้นไม่ใช่หญิงสาวร่างระหงบอบบาง เพียงแรงกระตุกข้อมือเบาๆของเจ้าหล่อนก็ส่งฉันลงไปนอนกองกับพื้นอีกครั้ง
“มิ...”
“อย่ามายุ่งกับฉัน!” เสียงพูดนั้นห้วนกร้าว ผิดกับลักษณะนิสัยของเพื่อนสาวร่วมห้องของฉันอย่างสิ้นเชิง
ความคิดนั้นทำให้ฉันตกใจจนแทบสิ้นสติ... หรือว่านี่จะเป็นใครคนหนึ่งที่ไม่ใช่เพื่อนร่วมห้องของฉัน? และหากเป็นเช่นนั้นแล้วบุคคลผู้นี่มาที่นี่เพื่อจุดประสงค์ใด? เพื่อทำร้ายฉันอย่างนั้นหรือ?
และนี่คือคำอธิบายน้ำเสียงแปลกๆ ท่าทีแปลก และเรื่องการเปิดไฟ บุคคลผู้นั้นคงกลัวว่าฉันจะทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาหากว่าฉันเปิดไฟ
ฉันรวบรวมความกล้าและถามออกไป
“เธอเป็นใคร? เธอไม่ใช่มิรันตีเพื่อนฉันใช่ไหม? เธอเอาเพื่อนฉันไปไว้ที่ไหน?”
“ฉันคือมิรันตีเพื่อนของเธอ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมายังคงความดุดันไว้เช่นเดิม แต่กระนั้นบางอย่างในน้ำเสียงก็ฟังดูจริงใจจนฉันอยากจะเชื่อว่าผู้หญิงที่ส่งฉันลงมานั่งจ้ำเบ้าอยู่บนพื้นนั้นคือเพื่อนสาวร่วมห้องคนเดิมที่คุ้นเคย
“เชื่อฉันเถอะนะจิต ฉันคือมิรันตีจริงๆ เธอไม่ต้องกลัวฉันหรอก... แค่... แค่อย่าเปิดไฟเท่านั้นเอง ได้ไหม?” น้ำเสียงเว้าวอนดังขึ้น และนี่คือเสียงของเพื่อนสาวร่วมห้องของฉันแน่ๆ
... แต่อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เจ้าหล่อนต้องขอร้องให้ฉันอยู่ในความมืดเช่นนี้เล่า?
เร็วกว่าความคิด ฉันพุ่งตัวไปยังสวิชต์ไฟอีกครั้ง และคราวนี้ฉันกดเปิดไฟอย่างรวดเร็วจนไม่ทันที่จะมีใครมาห้าม
ฉันหลับตาเพราะสายตายังไม่ชินกับแสงสว่างอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงค่อยๆลืมตาและแทบผงะเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า!
ความคิดเห็น