คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : Part XV
Part XV
ฉันยืนอยู่ตรงนี้เหมือนคนที่ไร้ตัวตน ถูกลืมโดยสิ้นเชิงว่าฉันยังคงยืนมองดูโศกนาฏกรรมชีวิตของคนคู่หนึ่งอยู่...
เบื้องหน้าฉันคือชายหญิงที่ครั้งหนึ่งทั้งคู่เคยสาบานว่าจะอยู่ด้วยกัน ดูแลกันและกัน และรักกันจนกว่าความตายจะพรากทั้งสอง และในวันนี้ วันที่ทั้งคู่ยังคงยืนอยู่ตรงหน้าฉัน... ฝ่ายชายกำลังทำทุกวิถีทางเพื่อแยกตัวออกมา แม้ฝ่ายหญิงจะรั้งเขาไว้ด้วยสุดกำลัง เขาทั้งสองกำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดด้วยทุกวิธีที่สามารถทำได้ และที่สำคัญที่สุด... ไม่มีแววแห่งความรักในสายตาทั้งสองคู่นั้น
“ดูเหมือนคุณจะมั่นใจเหลือเกินนะคะว่าจะอยู่ที่นี่ได้... แต่ทำไมนะฉันถึงไม่มันใจเลยว่ามันจะเป็นอย่างนั้น”
“นั่นเป็นสิทธิ์ของคุณที่จะคิด” เขาตอบเรียบๆ
“คุณคงจะคิดว่าชีวิตมันเหมือนเทพนิยายสินะคะประกาศิต... คนสองคนรักกัน มีอุปสรรคเป็นผู้หญิงที่ต้องการตัวคุณเหลือเกินเข้ามาแทรกกลาง แต่แล้วความรักก็จะทำให้คนสองคนนั้นฝ่าฟันทุกสิ่งทุกอย่างไปด้วยกันสำเร็จ นางมารร้ายอย่างฉันก็จะต้องจากไปเพราะทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้” น้ำเสียงของเจ้าหล่อนไม่ได้แสดงถึงความเย้ยหยันในสิ่งที่ตนพูด แต่มันฟังดูเศร้าสร้อยและหมดหวัง จนฉันเองรู้สึกหม่นหมองไปด้วยเมื่อหล่อนกล่าวถ้อยคำนั้นออกมา
“ผมไม่สนว่าคุณจะคิดยังไง ลิลิต แต่ผมขอยืนยันว่าผมจะอยู่ที่นี่กับคนที่ผมรัก”
“ชีวิตรักที่สมบูรณ์ต้องจบลงด้วยการแต่งงานชั่วนิรันดร์ระหว่างคนรักใช่ไหม? แล้วความรักของคุณจะจบลงแบบนั้นไหมล่ะคะ? เหมือนกับที่ครั้งนึงคุณเคยแต่งงานกับฉัน” คราวนี้เสียงของเจ้าหล่อนกลับกร้าวขึ้นอย่างน่ากลัว
“ถ้าคุณอยากรู้จริงๆล่ะก็... ผู้หญิงคนนั้นรู้เรื่องของเรา เธอรักผม และเรากำลังจะแต่งงานกัน” และเมื่อเห็นว่าลิลิตกำลังจะอ้าปากพูดอะไรซักอย่าง เขาก็หันมาทางฉัน “คุณตกลงแต่งงานกับผมใช่ไหมครับจิตรา?”
ฉันหรือจะสามารถหาคำตอบให้กับคำถามจู่โจมนั้นได้? และถึงแม้ว่าคำตอบจะมีให้เลือกอยู่แค่เพียงสองทางคือ ใช่ หรือ ไม่ใช่ ฉันก็ทำแค่เพียงหลบสายตาของคนทั้งคู่ คนที่ในขณะนี้คือสามี ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเขากำลังจะใช้คำตอบของฉันเป็นประกาศิตตัดสินชีวิตสมรสของทั้งคู่
ในวินาทีอันน่าอึดอัดนั้น สายตาทั้งสองคู่มองตรงมาที่ฉัน คู่หนึ่งมองมาอย่างอาวรณ์และร้องขอ ในขณะที่อีกคู่หนึ่งมองอย่างพินิจพิจารณาราวกับจะหยั่งไปให้ถึงก้นบึ้งแห่งหัวใจของฉัน
“จิตรา...” เสียงเว้าวอนของเขาดังขึ้น แต่กระนั้นมันก็ยังไม่สามารถทำให้คำตอบใดๆเล็ดลอดออกจากริมฝีปากของฉันได้
“เฮอะ!” เสียงแค่นขึ้นจมูกจากลิลิตดังขึ้น “คุณสั่งให้เธอให้คำตอบได้นี่คะ ทำไมถึงไม่ทำล่ะ? หรือว่าคุณกลัวคำตอบจากคนที่รักคุณ?”
คำพูดนั้นดูแปลกประหลาดและไร้ความหมายอย่างที่สุด แต่มันก็ทำให้ดวงตาของเขาฉายแววสับสนและเคียดขึ้งขึ้นมาในทันใด
“คุณกลัว?” เสียงแหลมนั้นเจือแววยั่วและเยาะไว้อย่างไม่ปิดบัง
“ผมไม่ได้กลัว”
รอยยิ้มบิดเบี้ยวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้น น้ำเสียงของหล่อนฟังคล้ายปลายมีดแหลมคมที่บาดลึกไปทุกส่วนประสาทของผู้ฟัง
“คุณรู้ใช่ไหมประกาศิตว่าคำตอบของจิตราสำคัญต่อคุณขนาดไหน แต่คุณคงไม่รู้ว่านี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่คุณได้คำตอบจากผู้หญิงที่รักคุณ!”
“คุณขู่ผมงั้นหรือลิลิต” เขาทำลายความเงียบที่แสนตึงเครียดนั้นขึ้น บนขมับของเขาปรากฏเส้นเลือดเส้นเล็กๆเต้นตุบๆอยู่อย่างน่ากลัว แต่ดูเหมือนหญิงสาวที่ยืนเผชิญหน้ากับเขาจะไม่ยี่หระกับท่าทางนั้นเลย
“คุณรู้จักฉันดีนี่คะประกาศิต อันที่จริงน่าจะดีพอๆกับที่ฉันรู้จักคุณด้วยซ้ำ... และคุณก็รู้ว่าฉัน ‘พูด’ น้อยกว่าที่ ‘ทำ’ เสมอ”
คำพูดนั้นพูดด้วยน้ำเสียงฟังสบายคล้ายกับว่ามันไม่ได้มีความหมายจริงจัง หากมีบางสิ่งที่บอกให้ฉันรู้ว่าหล่อนหมายความตามนั้น และหล่อนจะทำให้ยิ่งกว่านั้นตามที่ได้พูดจริงๆ!
“คุณจะทำอะไร”
“คุณจำเป็นต้องทราบด้วยหรือคะ?”
“ไม่จำเป็นถ้ามันไม่เกี่ยวกับผม หรือคนที่ผมรัก”
“น่าเสียใจ” หญิงสาวผู้นั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน “และน่าเสียดายที่ผู้หญิงที่คุณรักมากมายขนาดนี้ ยังคงปฏิเสธที่จะเป็นผู้หญิงที่รักคุณ... คุณรู้สึกยังไงบ้างคะประกาศิตกับการถูกปฏิเสธโดยคนที่คุณรัก? มันทำให้คุณเสียใจได้บ้างหรือเปล่า หลังจากที่คุณสูญเสียหัวใจดวงนั้นไปแล้ว”
ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นคล้ายกับคำพูดของหญิงสาวผู้นั้นเป็นอาวุธแหลมคมที่ทิ่มลงไปกลางหัวใจ และในวินาทีต่อมามือหนาแข็งแรงของเขาก็กำอยู่รอบคอระหงของหญิงสาวผู้นั้น
“อย่าได้พูดอะไรอย่างออกมาอีกเป็นอันขาดลิลิต ถ้าคุณยังรักชีวิตของคุณอยู่!”
“ฉันไม่ใช่คนเก็บซ่อนความลับเก่งเหมือนคุณหรอกนะคะประกาศิต ฉันจะพูดในสิ่งที่เป็นความรู้สึกของฉันเสมอ และฉันหมดความรักชีวิตของฉันไปตั้งแต่วันที่ฉันสูญเสียมันไปนั่นแหละ” เสียงของหล่อนยังคงมั่นคง แม้ว่ามือของเขาจะรัดรอบคอของหล่อนแน่นขึ้น
“ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าให้คุณหยุดพูด”
“คุณอยู่กับ “พวกมัน” นานเกินไปแล้วล่ะค่ะ คุณคงลืมไปแล้วว่า... ฉันไม่ใช่...” เสียงของหญิงสาวผู้นั้นขาดหายไป ไม่ใช่เพราะหายใจไม่ออกหรือหวาดกลัวท่าทีและการกระทำของเขา น้ำเสียงของหล่อนมั่นคงในทุกคำพูด
“คุณก็รู้ว่าฉันไม่ใช่แบบนั้น” หล่อนจบประโยคของหล่อนลงพร้อมทั้งส่งสายตาท้าทายไปยังเขา และในเสี้ยวหนึ่งฉันคิดว่าสายตาของหล่อนตวัดมายังฉัน คล้ายจะท้าทายให้ฉันทำอะไรสักอย่าง... แต่ฉันก็ยังคงยืนอยู่ตรงนี้ มองดูทั้งคนทั้งคู่อย่างอ่อนแรง ไม่แม้แต่จะถลาเข้าไปแยกตัวเขาออกจากหญิงสาวผู้นั้นอย่างที่ใจนึกอยากทำ
เขามองหล่อนด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาได้ว่ามันให้ความหมายอย่างไร และในที่สุดเขาก็ถอนหายใจยาว และปล่อยมือออกจากรอบคอของหล่อน
“กลับไปซะเถอะลิลิต... ผมปล่อยให้คุณทำอะไรตามใจมามากแล้ว ผมจะไม่ยอมปล่อยให้คุณทำอะไรผม หรือคนที่ผมรักอีกแล้ว และคุณก็รู้ว่าคำพูดของผมไม่ว่าใครก็ขัดไม่ได้!”
หญิงสาวมองเขาด้วยสายตาเคียดแค้น
“ฉันกลับแน่ค่ะ ประกาศิต แต่ฉันก็อยากให้คุณรู้ไว้เช่นกันนะคะ ว่าคุณขัดขวางทุกอย่างได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะสำเร็จเสมอไป”
หล่อนว่าก่อนจะเดินออกจากสำนักงานไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ลืมจะปรายสายตามายังฉันที่ยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่
“แล้วเราจะได้พบกันอีก คุณจิตรา”
เมื่อประตูปิดลง สำนักงานสวยสว่างก็กลับมืดครึ้มลง บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบสงัดจนฉันได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง
ฉันเลือกที่จะใช้คำว่า ‘เงียบสงัด’ แทนคำว่า ‘เงียบสงบ’ เพราะความเงียบที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้สร้างความสงบในหัวใจของฉันเลย ตรงกันข้ามมันกลับนำมาซึ่งความอึดอัดที่บรรยายไม่ถูก
“ผม...” เขาทำลายความเงียบขึ้น และมองตรงมาที่ฉันด้วยสายตาแสนปวดร้าว “คุณ... ผมขอโทษ”
“เรื่องอะไรกันคะ?” ฉันถามกลับไปทั้งๆที่รู้คำตอบของคำถามนั้นจนยิ่งกว่ากระจ่างใจ... และใช่! เขาควรจะขอโทษ ควรจะรู้สึกผิด ควรจะรับผิดชอบความรู้สึกรวดร้าวและอ่อนแอของฉัน แต่บางสิ่งในส่วนลึกกลับบอกฉันว่า... ท่ามกลางความชอกช้ำอันมากล้นนี้ ฉันไม่เสียใจเลยที่ได้พบกับเขา ไม่เสียใจสักนิดที่ต้องเจ็บปวดในวันนี้ และไม่คิดว่าเขาควรจะต้องเสียใจกับสิ่งที่เขาทำนับตั้งแต่วันที่เขากับฉันได้พบกัน
“ผมขอโทษที่ไม่ได้บอกคุณเรื่องลิลิตตั้งแต่แรก ลิลิตเป็นคนอันตราย ผมไม่ควรทำให้คุณต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”
“อย่ากังวลเลยนะคะ คุณลิลิตคงไม่ทำอะไรอย่างที่พูดหรอกค่ะ”
แม้คำพูดนั้นจะเป็นเพียงคำพูดปลอบใจตัวเอง แต่ฉันก็หวังจนสุดใจว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้นจะกลายเป็นความจริง!
เมื่อเห็นแววตาไม่เห็นด้วยบนใบหน้าของเขา ฉันจึงพูดย้ำอีกครั้ง
“เชื่อฉันสิคะ คุณลิลิตคงไม่ทำอะไรถึงขนาดที่จะทำให้ฉันหรือคุณต้องตายกันไปข้างหรอกค่ะ... หรือถ้าเธอจะทำก็คงไม่ใช่ตอนนี้... ไม่ใช่วันนี้” ฉันถอนหายใจเพื่อไล่ความรู้สึกแปลกประหลาดอันน่าหวาดหวั่นออกไป ก่อนจะพูดต่อ “คืนนี้เราสองคนควรจะกลับบ้าน ทำใจให้สบาย... ฉันควรจะนอนให้เต็มอิ่ม เตรียมมาทำงานพรุ่งนี้เช้า ส่วนคุณก็ควรจะเตรียมคำพูดไว้บอกครอบครัวของคุณเรื่องของคุณกับคุณลิลิต ฉันเชื่อนะคะว่าทุกคนต้องเข้าใจเราสองคน”
“ผมเองก็อยากจะเชื่ออย่างนั้นเหมือนกัน... แต่ผมรู้จักลิลิตมานาน... นานจนรู้ว่าผู้หญิงอย่างลิลิตจะทำอะไรที่คุณคิดไม่ถึงแน่ๆ... คุณเองก็ได้ยินแล้วนี่”
ฉันพยักหน้าตอบรับช้าๆ... ฉันได้ยินทุกคำพูดของหญิงสาวผู้นั้น และไม่ได้ลืมคำพูดน่าขนลุกของหล่อนเลยแม้ซักคำ และก็ไม่ได้ลืมความรู้สึกคล้ายหายใจไม่ออกเมื่อหล่อนปรายตามองมา แต่ฉันก็ยิ้ม... ยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และบอกลาเขาเหมือนๆที่เราเคยทำในทุกๆวันก่อนการปรากฏตัวของหญิงสาวผู้นั้น
“ผมจะไปส่งคุณ” ทั้งที่คำพูดนี้เป็นคำพูดที่เขาพูดในทุกๆวันหลังจากฉันเอ่ยคำอำลา แต่ในวันนี้คำพูดคำเดิมนี้กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างเมื่อร่องรอยกังวลล้ำลึกปรากฏอยู่บนสีหน้าและน้ำเสียงของเขา “ผมจะไปส่งคุณนะครับ ผมไม่อยากให้คุณคลาดสายตาเลย ให้ตายสิ”
“อย่าเลยค่ะ” ฉันปฏิเสธ “วันนี้คุณเหนื่อยมามากแล้ว ฉันไม่อยากทำตัวเป็นภาระให้คุณต้องเหนื่อยยิ่งไปกว่าเดิมอีก”
“แต่ผมเป็นห่วงคุณ คุณไม่ควรจะอยู่คนเดียว ลิลิต...”
“ฉันจะดูแลตัวเองค่ะ ฉันสัญญา” ฉันบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ให้ผมไปส่งคุณเถอะนะ จิตรา” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเว้าวอน
“ไปส่งฉันแค่ที่หน้าประตูนะคะ วันนี้ฉันอยากเดินคนเดียว” ฉันยื่นคำขาด หยิบข้าวของส่วนตัวมาถือไว้และเดินไปยังประตูทางออกโดยมีเขาเดินตามมา และก่อนที่เขาจะเปิดประตูเพื่อให้ฉันออกไป เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“คุณรู้ใช่ไหมจิตรา ว่าผมอยากจะพูดความจริงทุกๆเรื่องกับคุณจริงๆ”
ฉันหันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับเขา มองลึกเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทนั้น
“มีคนเคยบอกฉันว่า... เวลาที่มีคนบอกว่าเขาอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเรา แปลว่าเขาไม่ได้กำลังทำสิ่งนั้นอยู่ คุณกำลังบอกฉันอยู่หรือเปล่าคะว่าคุณไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดให้ฉันฟัง... ทั้งเรื่องคุณลิลิต เรื่องของคุณ เรื่องความลับที่คุณที่คุณลิลิตพูดถึง?”
ความคิดเห็น