คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : Part XIV
Part XIV
คำถามตรงและแรงนั้นทำให้เขานิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนที่จะค่อยๆคลี่ยิ้มที่ไม่ผ่องใสเท่าใดนักส่งมาให้ฉัน
“คุณพร้อมจะฟัง ‘เรื่องทั้งหมด’ หรือเปล่า?”
ฉันเลิกคิ้วอย่างฉงน... ‘เรื่องทั้งหมด’ นั้นมิใช่หรือคือสิ่งที่ทำให้ฉันเจ็บปวดร้าวรานใจอยู่เช่นนี้? แล้วเขายังจะนำเรื่องทั้งหมดนั้นมาให้ฉันฟังเพียงเพื่อที่จะเพิ่มความชอกช้ำใจให้ฉันกระนั้นหรือ?
“ฉันไม่ได้อยากฟัง ‘เรื่องทั้งหมด’ หรอกค่ะ ฉันอยากฟัง ‘เรื่องจริง’ มากกว่า”
คล้ายกับเขาไม่ทันสังเกตเห็นอากัปกิริยาของฉันและไม่ทันได้ยินคำพูดที่ฉันเอ่ย หรือหากเขาเห็นและได้ยินเขาก็คงมิได้สนใจสักเท่าใดนัก... เขานั่งลงบนเก้าอี้นวมและเริ่มเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงทุ้มกังวานที่ครั้งหนึ่งฉันเคยหลงใหลนัก
“ผมกับลิลิต เราถูกผู้ใหญ่บังคับให้แต่งงานกัน ผมไม่เคยรักเขา และเขาก็ไม่เคยรักผม แต่ลิลิตเป็นคนแปลกอยู่อย่างนึง คือชอบเอาชนะ... พอเขาเห็นผมรักผู้หญิงคนอื่น เขาก็เลยตามมาอาละวาด” เขาหัวเราะเสียงขื่น “นับว่าผมยังโชคดีที่เขามีสติพอที่จะไม่ทำให้ใครเดือดร้อน”
“ถ้าคุณสองคนไม่รักกัน... คุณก็น่าจะปฏิเสธผู้ใหญ่ตั้งแต่แรก”
“ผมกับลิลิต... ถึงอยากทำอย่างนั้นก็ทำไม่ได้” นัยน์ตาของเขาเลื่อนลอย และมีแววเสียใจลึกซึ้งปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
“ทำไมล่ะคะ? ถ้าคนสองคนไม่รักกันเสียอย่าง ใครๆก็คงบังคับให้แต่งงานกันไม่ได้” ฉันแย้งออกไป
“เอ ผมจะอธิบายยังไงดีล่ะ” เขาเอามือลูบท้ายทอยอย่างเดียวกับที่มักทำบ่อยๆ “เอาเป็นว่าคำพูดของคุณพ่อของผมน่ะเป็นประกาศิตเสมอ ท่านสั่งให้เราสองคนแต่งงานกัน เราก็ต้องแต่ง... ลิลิตเองก็ไม่ได้มีความสุขที่จะอยู่กับผม เขาชอบไปอยู่ทางยุโรปโน่น ส่วนผมชอบอยู่ที่นี่ ทำงานของผม อยู่ใกล้ๆกับคนที่ผมรัก... และใช่! คุณคือผู้หญิงคนนั้นที่ผมรัก”
ฉันอยากจะยิ้มและในขณะเดียวกันก็อยากจะร้องไห้... นี่เป็นคำว่ารักคำแรกที่เขาบอกฉัน... บอกว่าเขารักฉัน!
คำบอกรักนี้จะแสนหวานปานไหนหากมันถูกกล่าวออกมาในสถานการณ์ที่แตกต่างจากตอนนี้... ตอนที่เขาเพิ่งจะสารภาพว่าไม่ว่าจะฉันมากเพียงใด เขาก็ยังได้ชื่อว่าเป็นสามีของผู้หญิงอีกคนหนึ่ง!
“ฉัน... คุณ...”
“ที่ผ่านมาผมไม่เคยบอกรักคุณเลยเพราะผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะจัดการเรื่องทั้งหมดยังไง แต่ในวันนี้ถ้าผมไม่บอกคุณคุณอาจจะไม่มีวันรับฟังผมอีกแล้ว”
“ฉัน...” คำพูดมากมายติดอยู่ที่ริมฝีปาก แต่ฉันไม่สามารถจะเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นออกมาได้... สิ่งที่ฉันทำจึงมีเพียงมองใบหน้าหล่อเหลาของเขา จ้องดวงตาคู่สวยที่เคยทำให้ใจสั่งทุกครั้ง และสงสัยเหลือเกินว่าฉันและเขาจะผ่านสิ่งนี้ไปได้อย่างไร
“ผมรักคุณนะจิตรา ผมไม่เคยรักลิลิต และกลัวมาตลอดว่าผู้หญิงคนนั้นจะทำให้คุณจากผมไป กลัวว่าเธอจะบอกคุณเรื่องของผมกับเธอ จิตรา ได้โปรด... บอกว่าคุณรักผมได้ไหม เพื่อที่เราจะได้จัดการเรื่องทั้งหมดนี้ไปด้วยกัน”
ฉันนิ่งงันไปอย่างคาดไม่ถึง และทั้งๆที่คำว่ารักนั้นเป็นคำเดียวที่อยู่ในหัวใจของฉัน ฉันกลับไม่อาจเปลี่ยนให้มันกลายเป็นคำพูดได้ รสชาติเค็มปร่าของน้ำตาสัมผัสกับริมฝีปากของฉันหยดแล้วหยดเล่า และแม้จะกลั้นเสียงสะอื้นไว้เพียงใด มันก็ยังดังออกมาให้ได้ยิน
“แต่คุณกับคุณลิลิต... มันไม่ถูกต้อง... ฉันไม่ควร...”
เขาปิดริมฝีปากของฉันด้วยริมฝีปากของเขาอย่างนุ่มนวล แผ่วเบา และอ่อนหวานเสียจนหัวใจสะท้าน... และในทันใดนั้นก็เหมือนกับความกังวลทั้งมวลจะมลายหายไปจนหมด
เมื่อเขาถอนริมฝีปากออก ฉันก็แทบจะละลายอยู่ตรงนั้นด้วยความสับสนในหัวใจอย่างเหลือแสน
เขายิ้มให้ฉันอย่างอ่อนโยน และมันทำให้ใจของฉันหวั่นไหวเหลือเกิน... หวั่นไหวจนเกือบจะลืมข้อเท็จจริงที่ว่า เขาคือชายที่มีเจ้าของ และหวั่นไหวจนแทบที่จะห้ามตัวเองไม่ให้ซบลงกับแผงอกกว้างอันแสนอบอุ่นของเขาไม่ได้
เขาเองเป็นผู้รั้งฉันเข้าไว้ในอ้อมแขนแข็งแรง ฉันซบใบหน้าลงกับแผงอกกว้างนั้นและร้องไห้อย่างสุดระงับ... ทั้งที่รู้ว่ารักแท้จะต้องมีอุปสรรคขวางกั้นเสมอ แต่ฉันก็ไม่เคยนึกเลยว่ารักแท้ของฉันจะมีอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้
“ผมรักคุณ จิตรา! รักมาก! รักจนพร้อมจะเสี่ยงทุกอย่างเพียงเพื่อจะได้อยู่กับคุณ!”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขา “คุณจะทำอย่างนั้นจริงๆหรือคะ ยอมขัดคำสั่งคุณพ่อของคุณ หย่ากับคุณลิลิตแล้วมาอยู่กับฉัน?”
เขาพยักหน้าทั้งที่นัยน์ตายังคงเป็นกังวล “แล้วคุณล่ะ... รักผมหรือเปล่า? พร้อมที่จะอดทนและต่อสู้ไปพร้อมๆกับผมหรือเปล่า?”
“ฉันรักคุณค่ะ และพร้อมที่จะต่อสู้กับทุกสิ่งทุกอย่างกับคุณ!”
***
“แหม... อย่างกับเทพนิยายเลยนะ แต่ว่าไม่มีจูบแถมจากการสารภาพรักบ้างหรอจิต” เสียงแจ้วๆของเพื่อนสาวทำให้รู้สึกอายจนแทบจะมุดลงไปกับพื้น
เหตุการณ์ในวันนั้นผ่านมาได้เป็นเวลาเกือบหนึ่งอาทิตย์ และฉันก็มีหน้าที่ที่จะต้องเล่าเรื่องราวทั้งหลายให้แม่เพื่อนสาวตัวดีฟังเป็นการตอบแทนสำหรับการดูแลฉันอย่างดีในวันก่อนๆ
เจ้าหล่อนแสดงความยินดีอย่างออกนอกหน้าเมื่อได้ยินเรื่องความคืบหน้าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขาและฉัน
“อย่าบ้าน่ามิ แค่เขายอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
เพื่อนสาวพยักหน้าหงึกหงักในเชิงเห็นด้วย พร้อมกับส่งชิ้นมะม่วงเข้าปาก
“แต่ว่านะ... นายประกาศิตเนี่ย สงสัยจะเป็นลูกเจ้าพ่ออะไรซักอย่างเนอะ แบบว่าลูกเจ้าพ่อสองแก๊งถูกบังคับให้แต่งงานกันอะไรอย่างนี้ไง”
ฉันพยักหน้าเห็นด้วย
“ก็คงอย่างนั้นแหละ... ก็ดูคุณลิลิตสิ คุณประกาศิตบอกฉันว่าปรกติคุณลิลิตชอบอยู่ในยุโรป ไม่ค่อยจะมาอยู่ที่ประเทศไทยหรอก ถ้าไม่รวยจริงก็คงจะทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก”
“ทีนี้ก็ไม่คิดเรื่องลาออกแล้วสิ” เพื่อนสาวเย้า ซึ่งฉันก็ส่งยิ้มสดใสให้เจ้าหล่อนอย่างเต็มใจที่สุด
“อื้อ ไม่คิดแล้วล่ะ ขอบใจนะที่เป็นห่วงฉันตลอดเลย”
“ไม่ต้องพูดซึ้งไปหรอก ฉันเป็นเพื่อนแกนี่ ยังไงก็ต้องห่วงแกอยู่แล้ว” เจ้าหล่อนว่า ก่อนจะคว้าเอากระเป๋าถือและเตรียมตัวไปทำงาน
“ไปก่อนนะจิต วันนี้มีอะไรคืบหน้าอย่าลืมมาเล่าให้ฟังล่ะ”
ฉันพยักหน้าและโบกมือลาเจ้าหล่อน ก่อนจะหยิบของส่วนตัวของตัวเองและเดินออกจากห้องพักไปยังที่ทำงาน ในใจยังนึกถึงความสัมพันธ์แบบใหม่ระหว่างฉันและเขาอยู่
ความสัมพันธ์ที่บอกไม่ได้ว่าเป็นความสัมพันธ์แบบคนรัก... หากขณะเดียวกันก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ามันเป็นไปด้วยความรักที่แสนหวาน
ฉันผลักประตูเข้าไปในสำนักงานทั้งๆที่สมองยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องราวร้อยแปดที่เกิดขึ้นในช่วงระยะหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เรื่องของฉัน เขา และหญิงสาวผู้มีนามว่าลิลิต
ความกังวลในเรื่องระหว่างฉันกับเขาดูจะกลายเป็นเรื่องรอง เมื่อผู้หญิงชื่อไทยหน้าฝรั่งคนนั้นปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในตอนใกล้ค่ำวันรุ่งขึ้น ฉันอดไม่ได้ที่จะผุดลุกขึ้นจากที่นั่งและเชื้อเชิญหล่อนตามมารยาทอย่างตะกุกตะกัก
“สวัสดีค่ะคุณจิตรา วันนี้คุณดูสดใสจังเลยนะคะ อย่างกับคนมีความรักแน่ะ” เสียงทักทายของเจ้าหล่อนยังคงสดใสเป็นปกติ ไม่มีเค้าฝืดฝืนอีกต่อไป ดวงตากลมใสนั้นจ้องมายังฉันอย่างจริงใจ และกลายเป็นฉันเสียอีกที่ต้องหลบตาเจ้าหล่อน
“สวัสดีค่ะคุณลิลิต”
“ประกาศิตไปไหนเสียล่ะคะ ฉันอยากพบเขาจัง” เจ้าหล่อนหันรีหันขวาง และในที่สุดก็มายืนอยู่ข้างหน้าฉัน จ้องลึกเข้าไปในดวงตา
น้ำเสียงสดใสของหล่อนกลับกลายเป็นเยียบเย็นบาดลึกไปทั่วทุกอณูของร่างกายเมื่อเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้เลือดทุกหยดในกายของฉันจับตัวเป็นก้อน
“เธออย่าได้คิดนะว่าฉันจะปล่อยเธอไปง่ายๆ! เธอจะต้องทุรนทุรายด้วยความทรมาน... ทรมานจนอยากจะหยุดหายใจ แต่เธอจะทำไม่ได้ เธอจะต้องเสียใจจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่”
พอพูดจบ เจ้าหล่อนก็สปริงตัวขึ้นยืนและยิ้มให้ฉันอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสดใสร่าเริงที่ขึ้นจมูกเล็กน้อยตามแบบฉบับ
“ถ้าประกาศิตไม่อยู่ฉันก็ลาล่ะนะคะ หวังว่าเราจะได้พบกันอีกนะคะคุณจิตรา!”
แต่ทว่าไม่ทันที่เจ้าหล่อนจะได้ก้าวเท้าพ้นจากประตู ใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามาและเผชิญหน้ากับหล่อนด้วยสีหน้าดุดัน... เขา!
“คุณไม่ควรมาที่นี่ ลิลิต!” เสียงพูดของเขาเกือบเป็นเสียงตวาด ทว่าหญิงสาวกลับไม่แสดงท่าทีสะทกสะท้าน มิหนำซ้ำยังมองสบตากับเขาอย่างท้าทาย
“คุณเองก็ไม่ควรจะอยู่ที่นี่เช่นกัน ประกาศิต!”
“ผมจะอยู่ที่ไหนก็ได้ที่ผมต้องการ” เขาเค้นเสียงพูดอย่างน่ากลัว
“จริงหรือคะ” น้ำเสียงของเจ้าหล่อนฟังดูตกใจอย่างเสแสร้ง “ที่ที่คุณต้องการนี่คงจะหมายถึงที่ที่ไม่มีใครรู้ความลับของคุณกระมัง? ความลับที่มีอยู่มากมายเหลือเกินของคุณ”
พอพูดจบเจ้าหล่อนก็หันหน้ามาทางฉัน มองตรงมาด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อ
“คุณรู้ความลับของเขาบ้างไหมคะ? รู้หรือเปล่าว่าฉันกับผู้ชายคนนี้เป็นอะไรกัน?”
“เอ่อ... ฉัน...” ฉันอึกอัก
“จิตรารู้! เขาเป็นคนตอบแทนฉัน “คุณควรจะกลับไปได้แล้วลิลิต ที่นี่ไม่เหมาะกับคุณ และคุณก็ได้รู้แล้วนี่ว่าที่นี่มีคนรู้ความลับของผม และผมก็ยังยินดีที่จะอยู่ที่นี่”
เจ้าหล่อนเหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มเยาะกึ่งเย้ย... รอยยิ้มที่ฉันเพิ่งรู้สึกเป็นครั้งแรกว่า มันมีอานุภาพมากมายจนทำให้ฉันหวาดกลัวได้เหลือเกิน
ความคิดเห็น