คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Part XII
Part XII
เวลาเช้าเดินทางมาถึงพร้อมกับอาการปวดศีรษะอย่างแสนสาหัสและอาการไข้ขึ้นเพราะการนอนไม่พอของฉัน
เพื่อนสาวร่วมห้องของฉันจึงต้องทำกิจกรรมที่หล่อนไม่เคยทำมาก่อน นั่นคือการออกไปซื้ออาหารเช้าสำหรับฉันและเจ้าหล่อนมากินที่ห้องด้วยกัน
“กินเองได้ไหม หรือว่าต้องให้ฉันป้อนด้วย” เพื่อนสาวถามหลังจากหล่อนเทโจ๊กร้อนๆลงในถ้วยสำหรับฉัน
“กินเองก็ได้” ฉันตอบทั้งๆที่อาการปวดหัวนั้นรุนแรงจนฉันแทบจะไม่อยากขยับตัว
ไม่นานนัก ฉันก็ถูกประคองให้นั่งพิงหัวเตียง มีถ้วยโจ๊กอยู่บนตัก และช้อนแสตนเลสอยู่ในมือ เพื่อนสาวของฉันนั่งอยู่บนเตียงของหล่อน มีจานข้าวของหล่อนอยู่บนตักเช่นเดียวกับฉัน
ไม่นานนักข้าวในจานของเพื่อนสาวร่วมห้องก็หมดลง เจ้าหล่อนเอาจานของตัวเองออกไปล้างข้างนอกห้อง ในขณะที่ถ้วยโจ๊กของฉันยังไม่พร่องไปเลยแม้แต่น้อย เมื่อเพื่อนสาวเดินกลับมาในห้องพร้อมกับจานและช้อนส้อมที่สะอาด เจ้าหล่อนจึงพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญ
“ไหนบอกกินได้เองไงยัยจิต นี่มันกินหรือว่าดมกันแน่” ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็ตรงเข้าหยิบถ้วยและช้อนไปจากฉัน “มานี่ ฉันป้อนเอง”
ไม่นานหลังจากนั้นโจ๊กในถ้วยก็หมดลง เพื่อนสาวนำถ้วยไปล้างให้ฉัน ก่อนจะกลับเข้ามาและนำยาที่เตรียมไว้มาให้ฉันกิน
“กินยาซะนะ จะได้หายไข้... เห็นแกเป็นแบบนี้ฉันก็ไม่อยากจะไปทำงานเลย เกิดแกเป็นอะไรขึ้นมาตอนฉันไม่อยู่จะทำยังไง”
ฉันส่งเม็ดยาเข้าปาก และดื่มน้ำตาม ตอบเจ้าหล่อนไปด้วยเสียงระโหย
“ไปทำงานเถอะ ฉันอยู่คนเดียวได้”
“หวังว่าแกคงไม่เป็นพวกแอบกรอกยาล้างห้องน้ำประชดชีวิตตอนฉันไม่อยู่บ้านนะ” เจ้าหล่อนยังคงทำหน้าไม่ไว้ใจ
“ไม่หรอกน่า ฉันไม่บ้าขนาดนั้นหรอก”
เพื่อนสาวร่วมห้องถอนหายใจ และมองฉันด้วยสีหน้าสงสารแต่ทำอะไรไม่ได้ และเมื่อเข็มสั้นของนาฬิกาเดินทางมาถึงเลขแปด หล่อนก็ถามย้ำเมื่อหยิบกระเป๋าถือเตรียมที่จะออกจากบ้าน
“แน่ใจนะจิตว่าอยู่คนเดียวได้”
ฉันพยักหน้า ทั้งที่ในใจยังหวั่นไหว แท้จริงแล้วฉันต้องการใครซักคนข้างกาย ใครซักคนที่จะรับฟังปัญหา รับฟังความทุกข์ และช่วยปลอบโยน... จิตประหวัดไปถึงเขา ผู้เคยเป็นทุกสิ่งที่ฉันต้องการ ผู้รับฟัง ผู้ปลอบโยน และคลายความทุกข์ แต่บัดนี้ ‘เขา’ ผู้นั้น กลับเป็นผู้นำความทุกข์อันใหญ่หลวงมาให้ฉัน
“ไปทำงานเถอะ ฉันอยู่คนเดียวได้ ไม่ฆ่าตัวตายหรอกน่ะ” ฉันพยายามจะติดตลกในตอนท้าย แต่ดูเหมือนเพื่อนสาวร่วมห้องจะคิดว่าการฆ่าตัวตายนั้นอยู่ในความคิดของฉันจริงๆ
เพื่อนสาวยังคงมองฉันอย่างไม่ไว้ใจ แต่หล่อนก็ยังคงหยิบข้าวของ และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับไปทำงานอยู่ดี “แน่ใจนะ ฉันลางานครึ่งวันก็ได้นะจิต”
ฉันเลือกที่จะให้ความเงียบเป็นคำตอบ หลับตาลงและซุกตัวลงในผ้านวมผืนนุ่ม หวังให้การนอนหลับช่วยบรรเทาความทุกข์ให้หายไป
“ฉันเคยเตือนแกแล้วไงยัยจิตว่าระวังตาประกาศิตนี่ให้ดีเถอะ สักวันจะทำแกน้ำตาเช็ดหัวเข่า แล้วทีนี้แกจะเอายังไงต่อไปล่ะ?”
คำถามน่าคิดนั้นผุดขึ้นในสมองของฉัน... ฉันจะทำอย่างไรต่อไป? ภาระหน้าที่ต่อการทำงานยังคงรอฉันอยู่ แต่หัวใจของฉันยังไม่พร้อมต่อการพบกับเขา แม้จะเป็นเพียงการพบกันอย่างเจ้านายกับลูกน้องก็ตามที และอันที่จริงแล้วความสัมพันธ์กับเขาแบบ ‘เจ้านาย-ลูกน้อง’ นั่นเองที่ทำให้ฉันกลัวนักหนาต่อการเผชิญหน้ากับเขา
และก่อนที่ฉันจะพบคำตอบที่กลั่นกรองจากสมอง เสียงแหบแห้งโรยราเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ฉันอยากลาออก”
“รักกับนายจ้างมันก็อย่างนี้ล่ะนะ พออกหักแล้วก็อยากลาออก เฮ้อ... แต่ถ้าคิดดูดีๆนะจิต เขาไม่สนใจแก แกก็ไม่ต้องไปสนใจเขา สนแค่งานดีๆกับเงินเดือนงามๆที่เขาให้แกก็พอแล้ว”
เสียงเปิดและปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงถอนหายใจทำให้ฉันรู้ว่าเพื่อนสาวร่วมห้องออกไปทำงานเรียบร้อยแล้ว ในห้องเช่าเล็กคับแคบนี้คงเหลือแต่ฉันและความคิดอันสับสน
***
ฉันตื่นขึ้นอีกครั้งในตอนสายจัดของวัน... อาการปวดศีรษะและอาการไข้ลดลงมากหลังจากที่ได้พักผ่อนจนเต็มที่แล้ว
ฉันเดินไปที่ตู้กับข้าวและหยิบซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและถ้วยเปล่าออกมาวางไว้ ตั้งกาต้มน้ำไฟฟ้าไว้ และเดินไปหยิบยาในกระปุกออกมาเพื่อเตรียมรับประทานในตอนเที่ยง
คำพูดของเพื่อนสาวในตอนเช้าดังขึ้นในความคิดอีกครั้ง
“เฮ้อ... แต่ถ้าคิดดูดีๆนะจิต เขาไม่สนใจแก แกก็ไม่ต้องไปสนใจเขา สนแค่งานดีๆกับเงินเดือนงามๆที่เขาให้แกก็พอแล้ว”
ไม่ใช่ว่าไม่อยากคิดเช่นนั้น หากแต่หัวใจของฉันยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะสามารถคิดเช่นนั้น ทุกครั้งที่นึกถึงใบหน้าของเขา... ภาพของร้านไอศกรีมในบ่ายวันอาทิตย์ สวนสวย จักรยาน และว่าวตัวโต ยังคงปรากฏขึ้นทุกครั้ง พร้อมๆกับคำอีกคำหนึ่งในหัวใจที่สะกดได้ว่า ‘รัก’
ฉันรักเขามากมายเหลือเกิน!
แล้วเขาเล่า? ยังคงรักฉันเหมือนกับที่ฉันเคยเชื่อหรือเปล่า? ในเมื่อเขาไม่เคยบอกรักฉัน และในขณะเดียวกันเขาก็ไม่เคยบอกให้ได้รู้ว่าเขารักผู้หญิงคนอื่น... แม้แต่ผู้หญิงแสนสวยคนนั้น เขายังไม่แม้แต่จะแนะนำว่าหล่อนเป็นคู่รัก เป็นเพื่อน หรือเป็นญาติพี่น้อง
ที่จริงแล้วหญิงสาวผู้นั้นอาจเป็นญาติ หรือเพื่อนสนิทของเขา... ใช่สิ!
เพราะเหตุนี้หล่อนจึงรู้เรื่องราวของเขามากมายเหลือเกิน... และด้วยเหตุนี้หล่อนจึงมีอภิสิทธิ์ในการเล่นหัวและวิสาสะกับเขาตามใจชอบ
แล้วเหตุไฉนเขาจึงไม่บอกหล่อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเขา?
คำถามมากมายไม่รู้จบวนเวียนอยู่ในหัวฉันจนรู้สึกสับสน... ‘หล่อน’ และ ‘เขา’ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร? เขารักฉันดังที่ฉันรักเขาบ้างไหม? ฉันจะทำอย่างไรดี?
ก่อนที่จะคิดฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ ฉันรวบรวมสติที่เหลืออยู่... เก็บยาและซองบะหมี่สำเร็จรูปที่หยิบออกมากลับเข้าที่ ปิดกาต้มน้ำไฟฟ้า อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หยิบกระเป๋าถือ ใส่รองเท้า และออกเดินไปยังสำนักงาน... ไปหาเขา!
***
ภายในสำนักงานยังคงเย็นฉ่ำเพราะเครื่องปรับอากาศตามปกติ และเขาก็คงนั่งอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวเพราะมีเสียงพูดคุยดังมาจากในห้องนั้น และเมื่อฉันเงี่ยหูฟังให้ถนัดก็พบว่ามันเป็นเสียงโต้ตอบระหว่างเขาและหญิงสาวผู้นั้นนั่นเอง
ฉันไม่นิยมการแอบฟังบทสนทนาของผู้อื่น หากแต่ในครั้งนี้เสียงพูดคุยอันเคร่งเครียดนั้นกลับดึงดูดให้ฉันตั้งใจฟังอย่างประหลาด...
ฉันแนบหูกับประตูห้องอย่างแผ่วเบา ด้วยเกรงว่าบุคคลในห้องนั้นอาจทราบว่าฉันได้มาถึงที่นี่แล้ว และกำลังฟังบทสนทนาของทั้งคู่ด้วยความตั้งอกตั้งใจเพียงใด
“คุณควรให้เกียรติฉันบ้างประกาศิต...” เสียงของหญิงสาวชื่อไทยหน้าฝรั่งคนนั้นดังขึ้น “ฉันรู้ว่าคุณชอบทำตามหัวใจมากกว่าหน้าที่ แต่บางครั้งคุณก็จำเป็นที่จะต้องทำตามหน้าที่ด้วยเหมือนกัน” น้ำเสียงหวานที่เคยเจื้อยแจ้วอย่างแจ่มใสนั้นต่างไปจากครั้ง มันเว้าวอนหากแต่เคร่งขรึมยิ่งนัก
“คุณพูดเหมือนไม่รู้จักผมเลยลิลิต” เสียงนั้นเป็นเสียงของเขา เสียงที่แสดงถึงความเหนื่อยหน่ายและสุดรำคาญ
“ถ้าฉันไม่รู้จักคุณ ฉันจะมาทนกับคุณทำไมกัน? คุณออกมาทำตัวเล่นๆไปวันๆอย่างนี้ตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้ว ปล่อยให้ใครๆเขามองว่าฉันเป็น... ว่าฉันมีอำนาจล้นฟ้าแต่รั้งคุณไว้ไม่ได้”
“คุณและผมต่างรู้ดีลิลิตว่าคุณไม่ได้ต้องการรั้งผม และผมเองก็ไม่ได้ต้องการอยู่กับคุณเลย... เราสองคนต่างก็พอใจที่จะอยู่แยกกันและเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ไม่ใช่หรือไง?”
“แต่ยังไงฉันกับคุณก็เป็นสามีภรรยากันแล้วนะคะ เรามีความรับผิดชอบที่จะต้องอยู่ด้วยกันบ้าง เอาใจใส่ดูแลกัน... คุณสาบานต่อพระเจ้าเชียวนะคะ และมันก็เป็นความต้องการของคุณพ่อของคุณด้วย”
ความรู้สึกหนาวเหน็บวูบขึ้นทั่วร่างกาย... สิ่งที่ฉันพยายามบอกตัวเอง... บอกว่าหล่อนกับเขาเป็นเพื่อนหรือญาติกัน ดูจะกลายเป็นข้อสันนิษฐานที่ผิดไปมากนัก
ถึงแม้ฉันจะไม่ใช่คนที่เคร่งครัดศาสนา และไม่เคยสนใจที่จะศึกษาพิธีการต่างๆเกี่ยวกับศาสนาใดๆเลย หากแต่คำ ‘สาบานต่อพระเจ้า’ นั้นก็บอกชัดถึงพิธีการอันเป็นเครื่องผูกพันชายหญิงไว้ด้วยกันจนกว่าชีวิตจะหาไม่... พิธีการแต่งงาน!
หญิงสาวผู้นั้นไม่ใช่แค่เพื่อน หล่อนไม่ใช่แค่ญาติสนิท และหล่อนไม่ใช่แค่คนรัก... แต่หล่อนเป็นถึงภรรยาของเขา!
และแม้ว่าแทบจะไม่มีแรงทรงกายให้ยืนอยู่ได้ แต่ฉันก็ยังคงฟังบทสนทนานั้นต่อไปด้วยหัวใจที่ร้าวราน อาการไข้ที่ลดลงแล้วดูเหมือนจะกลับมาอีกครั้ง
“มันเป็นความต้องการของคุณพ่อ ไม่ใช่ของผม” เขาเน้นเสียง “และผมคิดว่าคุณเข้าใจแล้วซะอีก ไม่คิดเลยว่าคุณจะมีปัญหาแบบนี้”
“แต่คุณก็ขัดความต้องการของคุณพ่อคุณไม่ได้ไม่ใช่หรือคะ?”
เสียงของทั้งคู่เงียบไปในทันใด และในอีกอึดใจต่อมาเสียงที่หนักแน่น และบอกถึงจุดจบของบทสนทนานั้นก็ดังขึ้น พร้อมกับที่หัวใจของฉันเต้นแรงด้วยความรู้สึกแห่งความหวังที่ล้นเอ่อในหัวใจอีกครั้ง
“ใช่! ความต้องการของคุณพ่อผมขัดไม่ได้ ตัวผมอาจจะอยู่กับคุณไปตลอดกาลลิลิต แต่ใจของผมจะอยู่ที่ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง... จะอยู่ที่เธอคนนั้นตลอดกาล และไม่ว่าความต้องการของใครก็พรากใจของผมจากเธอคนนั้นไม่ได้!”
คำตอบของหญิงสาวผู้นั้นเยียบเย็นยิ่งนัก และมันแสดงถึงความรู้สึกโกรธเกรี้ยวโกรธา ความไม่พอใจจนถึงขีดสุด น้ำเสียงของหล่อนแทบจะทำให้ฉันมองเห็นดวงตาสีดำสนิทนั้นลุกเป็นไฟ ริมฝีปากแดงเหมือนเลือดของหล่อนเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเหยียดหยามและสมเพช
“เธอคนนั้นก็คงไม่อยากให้ใครพรากใจของคุณไปจากเธอเช่นเดียวกันค่ะประกาศิต ไม่อย่างนั้นเธอคงจะไม่หยุดงานประท้วงคุณ เพื่อให้คุณง้องอนหรอกค่ะ และคุณก็ควรจะรู้ไว้ว่า ‘ผู้หญิงธรรมดา’ จะเป็นเช่นนี้เสมอเมื่อพวกหล่อนต้องการความสนใจ และรู้สึกได้ว่ากำลังจะสูญเสียสิ่งที่ต้องการไป และฉันขอย้ำอีกครั้งนะคะประกาศิต... ว่าถึงแม้คุณจะพยายามสักแค่ไหน คุณก็ไม่สามารถขัดโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้ไปได้หรอกค่ะ”
ความคิดเห็น