คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Part XI
Part XI
แม้บางครั้งฉันต้องยอมรับว่าเพื่อนร่วมห้องคนนี้เป็นคนน่ารำคาญ และใส่ใจในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องมากเกินไป แต่เมื่อเห็นแววห่วงใยกังวลลึกซึ้งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเพื่อนร่วมห้อง ซึ่งครั้งหนึ่งฉันเคยพบแต่ความน่ารำคาญของเจ้าหล่อนแล้ว ฉันก็สลัดความรู้สึกร้ายกาจเหล่านั้นทิ้งไป และมองความเป็น ‘เพื่อน’ ของเจ้าหล่อนที่บัดนี้ฉายชัดยิ่งกว่าสิ่งใด
หลังจากที่ฉันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนเย็นให้หล่อนฟัง เพื่อนสาวผู้แสนดีก็มีอาการเจ็บแค้นแสนสาหัส ราวกับว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นกับตัวหล่อนเอง และเหนือกว่านั้นคือเจ้าหล่อนแสดงอาการเอาใจใส่ต่อความรู้สึกของฉันอย่างล้นเหลือ
“ยัยคุณลิลิตอะไรนั่นก็ใช่เล่นเลยนะยัยจิต ฉันว่าทางที่ดีแกไม่ควรไปยุ่งกับเขาเลยนะ ท่าทางจะร้ายน่าดู... นายประกาศิตนั่นก็แย่จริงๆเลย คิดจะจับปลาสองมือรึไงกันนะ?”
“อย่าพูดอย่างนั้นเลย คุณลิลิตเขาก็ดี ส่วนเขาก็... เขาก็ไม่เคยบอกรักฉันนี่”
“แต่ก็อุตส่าห์จีบแกอยู่ตั้งนาน” เพื่อนสาวต่อให้ และทั้งๆที่พยายามบอกกับตัวเองอย่างที่บอกหล่อนไป แต่ฉันก็อดที่จะรู้สึกว่าเขา ‘จีบ’ ฉันมาตลอดไม่ได้
“อย่าพูดเลยมิ เขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรเลยก็ได้ ฉันอาจจะ...” คำว่า ‘คิดไปเอง’ เตรียมจ่ออยู่ที่ริมฝีปาก แต่แล้วฉันเองก็ไม่สามารถกล่าวคำนั้นออกมาได้ เพราะการกระทำของเขานั้นมันช่างห่วงใย และแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความรัก... ความรักที่เขาไม่เคยบอกฉันว่าเขามีให้
“แกอาจจะอะไร?” เพื่อสาวถามเสียงเข้ม นัยน์ตาขุ่น “ห้ามบอกนะยะแอบรักเขาข้างเดียว”
ฉันหันไปจ้องหน้าของเพื่อนสาว... คำว่า ‘รักเขาข้างเดียว’ ช่างดูน่าหวาดกลัวเหลือเกิน... เป็นคำพูดที่ฉันไม่เคยนึกถึงมาก่อน และเมื่อคำนี้เข้ามาในห้วงความคิดแล้ว มันก็ทำให้ฉันหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ
คำพูดต่างๆของเขาไหลเวียนเข้ามาในความคิดของฉัน... คำพูดที่ว่าความสุขของฉันคือความสุขของเขา... คำพูดที่ว่าแค่เขาอยู่กับฉันเขาก็รู้สึกเพียงพอแล้ว... คำพูดที่ว่าเขาไม่เคยมีใครนอกจากฉัน... คนที่พูดคำพูดเหล่านี้น่ะหรือ คือคนที่ฉันรักเขาแต่เพียงข้างเดียว โดยที่เขาไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษใดๆกับฉันเลย
“ฉันรู้จักแกมานานแล้วนะจิต รู้ดีว่าคนอย่างแกน่ะไม่ได้รักใครง่ายๆ ยิ่งแอบรักใครยิ่งไม่เคยเข้าไปใหญ่เลย นี่ถ้าอีตาประกาศิเขาไม่จีบแกแบบเช้าถึงเย็นถึงก่อนนอนถึง สามเวลาก่อนอาหารและหลังอาหารขนาดนี้ล่ะก็ ไม่มีวันหรอกที่แกจะไปรักไปชอบเขา! เพราะฉะนั้นอย่ามาแก้ตัวแทนเขาด้วยการบอกฉันว่าแกรักเขาข้างเดียว!”
“แล้วไอ้เรื่องสวนที่บ้านเขา ที่ยัยคุณลิลิตอะไรนั่นชวนแกไปน่ะ แทนที่แกจะตอกกลับไปเลยว่าอยากจะไปดูไอ้สวนบ้าบออะไรนั่นกับเขา แล้วก็บอกยัยคุณลิลิตไปเลยว่าแกก็เคยเห็นมาแล้วเหมือนกัน แกก็กลับปฏิเสธ ฉันล่ะไม่เข้าใจแกจริงๆเลยนะจิต”
คำตอกย้ำนั้นทำให้น้ำตาของฉันไหลออกมา และเมื่อพูดเสียงของฉันก็สั่นเหมือนกับหัวใจที่สั่นเพราะความน้อยใจ
“ก็เขาพูดออกจะชัดว่าไม่อยากให้ใครๆไปด้วย แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ? ฉันไม่หน้าด้านพอที่จะไปทั้งๆที่เขาไม่ได้อยากให้ไปหรอกนะ... ขนาดคุณลิลิตขอร้องเขาขนาดนั้นเขายังไม่ฟังเลย”
“ก็นั่นแหละน่า” แม่เพื่อนสาวยังคงบ่นอุบอิบ “ก็น่าจะไปให้มันรู้กันไปเลยว่าใครเป็นใคร พูดใส่ยัยลิลิตตัวมารนั่นไปเลยว่าเธอก็เคยไปไอ้สวนบ้าบอนั่นกับเขาเหมือนกัน ถ้าเกิดว่าว่าไอ้นายประกาศิตนั่นลืมเขาก็จะได้จำได้ขึ้นมาบ้างว่าเขาน่ะเป็นคนชวนแกไปเอง”
“เขาอาจจะไม่ได้อยากจำเรื่องนั้นแล้วก็ได้” ฉันตอบเบาๆปนเสียงสะอื้น
“ก็ฉันถึงบอกให้แกเตือนความจำเขาไง” เพื่อนสาวขึ้นเสียง “แกนี่มันแปลกคนจริงๆนะยัยจิต เรื่องอะไรล่ะก็เก่งกล้าสามารถสารพัด แต่แค่ตอกหน้าไอ้ผู้ชายหลายใจคนเดียวแค่นี้ก็ไม่อยากจะทำ ต้องกลับมานั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่คนเดียว”
“ช่างมันเถอะ ยังไงมันก็ผ่านไปแล้ว”
“ช่างไม่ได้นะ! แล้วถ้าพรุ่งนี้แกไปทำงานกับเขา แล้วเขาทำอย่างนี้กับแกอีกแกจะทำยังไง ก็นั่งนิ่งเป็นนางเอกถูกกระทำ แล้วก็กลับบ้านมานั่งซังกะตายอย่างนี้น่ะหรอ มันไม่ถูกนะจิต... เขาจีบแกมาเป็นปี แล้วอยู่ๆวันดีคืนดีก็มาทำตัวเหมือนคนไม่เคยรู้จักกันแบบนี้น่ะมันไม่ถูกนะ แกต้องพูดกับเขาให้รู้เรื่องว่านี่มันเรื่องอะไรกันเขาถึงต้องมาทำอย่างนี้กับแก!”
ฉันไม่ได้ตอบคำถามของเพื่อนสาว แต่พยายามนึกถึงสาเหตุของความเย็นชาของเขา... ฉันยังจำได้อย่างแม่นยำถึงวันสุดท้ายที่ฉันและเขาทะเลาะกัน เขาพยายามคาดคั้นให้ฉันบอกว่าหญิงสาวชื่อไทยหน้าฝรั่งคนนั้นบอกอะไรกับฉันบ้าง
และนับจากวันนั้นฉันไม่เคยได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะมาถึงสำนักงานเลย และอันที่จริงแล้ว เหตุการณ์นั้นก็เป็นเพียงเหตุการณ์ธรรมดาๆเหตุการณ์หนึ่ง ไม่ได้มีความพิเศษอะไร และเจ้าหล่อนก็ไม่ได้บอกอะไรกับฉันมากไปกว่าที่ฉันได้รู้อยู่แล้วแต่เดิม
ความรู้สึกในส่วนลึกของฉันบอกให้ฉันรู้ว่าเขามีความลับบางอย่างที่ไม่อยากให้ฉันรู้ และมันจะต้องเกี่ยวกับความไม่สบายใจของเขาในช่วงก่อน และหญิงสาวผู้นั้นจะต้องรู้ความลับนั้นและมันทำให้เขากลัวนักหนาว่าหล่อนจะเปิดเผยความลับนั้นออกมา
... ความลับที่เขาบอกว่าอยากให้ฉันไม่มีวันรู้...
“ยัยจิต!” เสียงเพื่อนสาวร่วมห้องที่ตวาดเสียงดังทำให้ฉันตื่นขึ้นจากภวังค์ความคิด
“ฮะ อะไร? เธอว่าอะไรนะ”
“เหม่ออะไรขึ้นมาอีกล่ะ ก็ฉันถามแกว่าช่วงหลังๆเนี่ยแกได้คุยกับนายประกาศิตตามลำพังบ้างรึเปล่า?”
ฉันสั่นหน้าปฏิเสธ “เขาไม่คุยกับฉันนี่... แค่อยู่กับเขาตามลำพังฉันยังไม่เคยเลย ตั้งแต่คุณลิลิตมาเธอก็อยู่กับเขาตลอด”
เพื่อนสาวพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงรับทราบ
“พรุ่งนี้นะจิต พออีตาประกาศิตนั่นมาทำงานปุ๊บนะ แกรีบกระชากคอเสื้อแล้วลากไปคุยกันให้รู้เรื่องเลย หวังว่ายัยลิลิตอะไรนั่นคงจะไม่โผล่ไปทำงานพร้อมกับเขาหรอกนะ”
ฉันตัดบทหล่อนด้วยการขอตัวไปนอนเพื่อจะเตรียมตัวไปทำงานในวันรุ่งขึ้น ทั้งที่จริงแล้วมันยากยิ่งยากที่จะปิดเปลือกตาให้ปิดลงทั้งๆที่หัวใจยังคงเต็มไปด้วยความกังวล
ไม่นานเพื่อนสาวร่วมห้องก็หยุดบ่นกระปอดกระแปดเรื่องชีวิตรักของฉัน และยอมปิดไฟนอน เจ้าหล่อนไม่ลืมที่จะเดินมาดูที่เตียงนอนของฉันเพื่อให้แน่ใจว่าฉันหลับไปแล้วแน่ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ
“จิตนะจิต... ฉันจะช่วยแกยังไงดีนะ”
คำพูดสั้นๆนั้นทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย... อย่างน้อยก็ยังมีใครคนหนึ่งห่วงความรู้สึกของฉัน... ห่วงฉันเหมือนกับที่เขาเคยห่วง
ฉันหลับตาและผ่อนลมหายใจเข้าออกให้สม่ำเสมอเพื่อให้หล่อนเชื่อว่าฉันหลับไปแล้วจริงๆ เมื่อเพื่อนสาวของฉันมั่นใจแล้วหล่อนจึงเดินไปที่เตียงของตัวเองและหลับไปในเวลาไม่นาน
ท่ามกลางบรรยากาศแสนมืดและแสนเงียบนี้... ฉันลืมตาขึ้นมองเพดาน พยายามฝืนไม่ให้น้ำตาไหลลงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่ฉันจะกลับบ้าน
เหตุการณ์ที่เขาทำเหมือนฉันไม่มีตัวตนต่อหน้าผู้หญิงคนนั้น... หญิงสาวที่ยืนเกาะแขนเขา ออดอ้อน ออเซาะแกมบังคับให้เขาชักชวนฉันไปยังสถานที่ส่วนตัวของเขา
“นะคะ ประกาศิต ฉันอยากให้คุณจิตราไปด้วยนะคะ นะคะๆๆ พลีส...”น้ำเสียงของหญิงสาวนามลิลิตฟังน่าเคลิบเคลิ้มยิ่งกว่าเคยเมื่อหล่อนตั้งใจจะใช้มันเพื่อออดอ้อนขอความร่วมมือ
“คุณจิตราเองก็อยากไปกับเราด้วยใช่ไหมคะ”
ฉันไม่ได้ตอบคำถามของหล่อน หรือแม้แต่พยักหน้าเพื่อแสดงความเห็นด้วย
“นะคะ ให้คุณจิตราไปด้วยนะคะ”
เสียงเรียกร้องของเจ้าหล่อนไม่ได้รับการตอบรับแต่อย่างใด เขาสะบัดแขนออกและเดินออกจากสำนักงานไปโดยไม่แม้แต่จะปรายตามองมาทางฉัน
“คุณลิลิตคะ... ถ้าเกิดว่าคุณประกาศิตไม่สบายใจฉันไม่ไปก็ได้ค่ะ” ฉันเอ่ยเบาๆกับหญิงสาวผู้นั้นเมื่อเขาเดินออกไปแล้ว
“เฮ้อ... แย่จังนะคะ ฉันอยากให้คุณจิตราไปกับเราด้วยจริงๆ สวนที่ประกาศิตจัดเองน่ะสวยมากๆ แต่เขาไม่ค่อยชอบให้คนอื่นไปดูซักเท่าไหร่ ดีไม่ดีก็คงจะมีแต่ฉันคนเดียวนี่ล่ะมั้งคะที่เคยเห็น เสียดายนะคะ ของสวยๆงามๆประกาศิตไม่น่าหวงอะไรขนาดนี้เลย”
เมื่อเห็นว่าฉันไม่ได้พูดอะไรเจ้าหล่อนจึงเอ่ยต่อ
“แต่ประกาศิตนี่ก็แย่จริงๆเลยนะคะ คุณเองก็เป็นเลขาของเขา เขาก็น่าจะทำตัวเป็นกันเองกับคุณบ้าง ไม่เห็นต้องทำตัวต่างชนชั้นอะไรกันขนาดนี้เลย... เอ่อ คุณจิตราคะ อย่าหาว่าอะไรเลยนะคะ ถ้าฉันเป็นคุณล่ะก็ ถ้ามีเจ้านายอย่างประกาศิตฉันหนีไปทำงานที่อื่นดีกว่า
เมื่อพูดจบเจ้าหล่อนก็รีบวิ่งออกไปขึ้นรถของเขา โดยไม่ลืมที่จะโบกมือลาและส่งยิ้มแปลกประหลาดของหล่อนให้ฉันเป็นการส่งท้าย
ภาพในความคิดนั้นทำให้ฉันสุดกลั้นน้ำตาต่อไป... สิ่งที่หล่อนพูดเกี่ยวกับ ‘เจ้านายอย่างเขา’ ทำให้ฉันรู้สึกถึงความว่างเปล่าในอก
ฉันคิดถึง ‘เจ้านายอย่างเขา’ ในแบบที่เขาเคยเป็นก่อนที่หญิงสาวชื่อไทยหน้าฝรั่งผู้นี้จะปรากฏตัวขึ้นมาอย่างจับหัวใจ!
... เจ้านายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเหมือนแสงสว่างในยามเช้าของฉัน คนที่ฉันดีใจทุกวันที่ได้พบ ใครบางคนที่ทำให้ฉันตื่นเช้าขึ้นอย่างสดใสและพร้อมที่จะสู้อุปสรรคต่างๆที่จะได้เจอในแต่ละวัน
... เจ้านายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อน เคยเป็นใครบางคนที่ฉันไว้ใจ ใครบางคนที่พร้อมจะยืนอยู่เคียงข้างฉันทุกๆครั้งที่ฉันทุกข์ใจ
แต่ทว่าในวันนี้เขาคนนั้นกลับเป็นแค่ใครบางคนที่ฉันไม่รู้จัก... ใครบางคนที่เย็นชาเหลือเกิน... เย็นชาจนฉันนึกขยาด
คนเราสามารถจะเปลี่ยนแปลงไปได้มากมายเพียงนี้ภายในเวลาที่น้อยนิดเพียงแค่นี้เองล่ะหรือ?
ฉันปิดเปลือกตา ปล่อยให้น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงอาบแก้ม... นึกสงสัยในใจว่าถ้าหากเขาเป็นเช่นนี้ตลอดไป ฉันจะทำอย่างที่หญิงสาวผู้นั้นบอกว่าจะทำหากว่าหล่อนเป็นฉันหรือไม่?
ความคิดเห็น