ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    You Kill me

    ลำดับตอนที่ #10 : Part IX

    • อัปเดตล่าสุด 25 ต.ค. 53


    Part IX

     

    สวัสดีค่ะ ฉันมาพบคุณประกาศิต เสียงหวานสนิทที่มีสำเนียงขึ้นจมูกนิดๆดังขึ้น ปลุกฉันให้เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารที่กำลังพยายามอ่านอย่างขะมักเขม้นอยู่...

    เบื้องหน้าของฉันคือหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง ผู้มีใบหน้าหวานแฉล้มตามแบบฉบับของชาวตะวันตก ผิวของเจ้าหล่อนขาวจนเกือบซีด อย่างที่เรียกว่า ขาวราวกับแตงร่มใบ ดวงตาและผมของหล่อนมีสีเดียวกันคือดำขลับเป็นประกายสะท้อนกับแสงแดด ริมฝีปากจิ้มลิ้มที่ประดับอยู่บนหน้าสวยนั้นถูกเคลือบไว้ด้วยสีแดงสดจนดูคล้ายสีเลือด

    ริมฝีปากสีแดงสดที่เหยียดออกเป็นรอยยิ้มที่ฉันรู้สึกคล้ายเคยเห็นมาก่อน ใช่! รอยยิ้มของหญิงสาวในร้านไอศกรีมในวันนั้น!... รอยยิ้มกึ่งสมเพช กึ่งเยาะเย้ย!

    หญิงสาวผู้นี้เองที่นั่งอยู่กับเขาในร้านไอศกรีมในวันนั้น!

    เจ้าหล่อนทำให้ฉันนึกถึงตัวละครเอกในเทพนิยายชื่อดังที่ชื่อ สโนไวท์... หญิงสาวแสนสวยที่ถูกแม่มดใจร้ายหลอกให้กินผลแอปเปิ้ลอาบยาพิษจนสิ้นสติและถูกครอบไว้ในโลงแก้ว เพียงเพราะแม่มดร้ายอิจฉาในความงามของหล่อน

    แต่หากเจ้าหล่อนเป็นสโนไวท์จริง แม่มดใจร้ายคงหมดสิทธิ์หลอกให้หล่อนกินแอปเปิ้ลอาบยาพิษได้ เพราะบางสิ่งในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นช่างแข็งกร้าวและน่าสะพรึงกลัวจนเกินกว่าที่ใครจะกล้า ลองดี กับหล่อนแน่นอน

    ฉันต้องการพบคุณประกาศิต ไม่ทราบว่าเขาอยู่หรือเปล่าคะ ราวกับหล่อนล่วงรู้ว่าคำถามที่พูดไปเมื่อครั้งแรกนั้นไม่ได้กระทบโสตประสาทของฉัน หล่อนถามซ้ำพร้อมเสริมอีกประโยคด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ฉันนัดเขาไว้เวลานี้ แต่โดยปรกติเขามักจะมาสาย

    เขายังไม่มาหรอกค่ะ ฉันตอบคำถามสั้นๆ และเมื่อรู้สึกว่าห้วนเกินไปจึงพูดต่อ คุณนั่งรอที่ห้องรับแขกก่อนนะคะ ฉันจะไปเอาน้ำมาให้

    ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณ...เอ่อ... หล่อนนิ่งเงียบไป คิ้วเรียวดกดำเลิกขึ้นเป็นสัญลัษณ์ของการถาม หล่อนโบกมือไปมาประกอบคำพูดของตนเอง เคาะนิ้วสองสามรอบเมื่อตั้งคำถามเกี่ยวกับชื่อของฉัน

    ฉันจิตราค่ะ ฉันพูดพร้อมๆกับที่ลุกจากกองงานและเดินนำหล่อนไปยังห้องรับแขกของสำนักงานที่ตั้งอยู่ในห้องที่แยกกัน

    ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณจิตรา ฉันลิลิต ทราบว่าเขามาเป็นมัณฑนากรอยู่ที่นี้ก็เลยแวะมาเยี่ยม หล่อนพูดเมื่อเราทั้งสองนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ และยื่นมือขวามาสัมผัสกับฉัน... น่าแปลก ทั้งๆที่อากาศในวันนี้ค่อนข้างร้อน แต่มือของเจ้าหล่อนกลับเย็นนัก

    คุณลิลิตมือเย็นจังนะคะ

    ฉันคงเป็นคนเลือดเย็นมั้งคะ คำตอบนั้นคล้ายจะเป็นคำหยอกล้อเล่นๆ หากแต่มันก็ทำให้ขนที่ท้ายทอยของฉันลุกชันอย่างควบคุมไม่อยู่ และเมื่อสบสายตาของหญิงสาวผู้นั้นแล้วก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหวาดหวั่นจนต้องเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

    คุณลิลิตชื่อแปลกจังนะคะ... เหมือนชื่อโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน

    รู้ตัวดีทีเดียวว่าคำพูดที่พูดออกไปนั้นช่างฟังดูไร้สาระ และเป็นสิ่งที่ไม่น่าพูดออกไปอย่างที่สุด แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศในการสนทนาไปได้

    ไม่ใช่โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอนหรอกค่ะคุณจิตรา ลิลิตเป็นชื่อของเทพธิดาในยุโรปน่ะค่ะ... ฉันเกิดในแถบนั้น คุณพ่อก็เลยตั้งชื่ออย่างนี้ คุณจิตราเคยได้ยินตำนานของลิลิตบ้างมั้ยล่ะคะ?”

    เมื่อเห็นสายตาที่ว่างเปล่าของฉัน หล่อนก็พูดต่อไปคล้ายกับทราบดีอยู่แล้วว่าฉันคงจะไม่เคยได้ยินเรื่องที่เจ้าหล่อนถามถึง ลิลิตเป็นชื่อของผู้หญิงคนแรกที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาให้อยู่กับอาดัมในสวนอีเด็นยังไงล่ะคะ พระเจ้าสร้างเธอขึ้นมาจากดินเหมือนกับที่สร้างอาดัมขึ้นมาจากดิน

    ฉันคิดว่าอีฟเป็นผู้หญิงคนแรกซะอีกนะคะ ฉันพูดขึ้นให้เหมือนกับว่ากำลังสนใจฟังเรื่องเล่าของหล่อนอยู่เต็มที่ทั้งๆที่ที่จริงแล้ว จิตใจของฉันไม่ได้อยู่กับการต้อนรับหล่อนเลยแม้แต่น้อย

    แต่ว่าหลังจากการสร้างไม่นาน ลิลิตก็ไม่ต้องการอยู่กับอาดัม... อยู่ภายใต้คำสั่งของพระเจ้า เธอต้องการชีวิตที่เป็นของเธอเอง ต้องการความรู้ต่างๆในโลก ต้องการอำนาจ เธอจึงย้ายออกจากสวนอีเด็นเพื่อไปหาลูซิเฟอร์ผู้สัญญาจะให้ทุกอย่างที่เธอต้องการ เมื่อลิลิตออกจากสวนอีเด็น พระเจ้าถึงได้สร้างอีฟ ผู้หญิงอีกคนขึ้นมาจากซี่โครงของอาดัม เพื่อให้เธอเป็นส่วนหนึ่งของอาดัม และแยกออกจากเขาไม่ได้

    หญิงสาวผู้นั้นเงียบเสียงลง และเหยียดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มอีกครั้ง... รอยยิ้มที่เยาะเย้ย เต็มไปด้วยความสมเพชเวทนา และแล้วก็เปลี่ยนรอยยิ้มนั้นเป็นเสียงหัวเราะใสกังวาน

    คุณจิตราคงไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของเรื่องเล่าพวกนี้นะคะ ท่าทางคุณเบื่อ

    เปล่านะคะ คือ ฉันไม่ได้สนใจเรื่องตำนานอะไรมากนัก แต่ก็ฟังได้ค่ะ ไม่ได้เบื่ออะไร ฉันรีบส่ายศีรษะปฏิเสธคำพูดนั้นของเจ้าหล่อนแม้ว่ามันจะเป็นความจริงก็ตาม

    ฉันไม่เคยสนใจในเทพนิยาย ไม่ว่าจะเป็นของซีกโลกใดทั้งนั้น สิ่งที่หญิงสาวใบหน้าสวยหวานคนนั้นพูด จึงเป็นสิ่งที่ฉันไม่ได้เก็บมาคิดมากมายนัก... สิ่งที่เราทั้งสองคนพูดคุยกันต่อๆมา จึงเป็นเรื่องทั่วไป เช่นแฟชั่น การเมือง และเรื่องของ เขา

    ฉันรู้จักประกาศิตมาตั้งนานแล้วล่ะค่ะ แทบจะเรียกได้ว่าเรารู้จักกันมาตั้งแต่เกิด รู้จักกันอย่างดีที่สุด... เอ่อ ไม่ทราบว่าคุณจิตราทำงานกับเขามานานหรือยังคะ?”

    ก็ประมาณหนึ่งปีน่ะค่ะ คุณลิลิต

    หรือคะ? น่าแปลกจัง ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินเรื่องคุณมาก่อนเลย เจ้าหล่อนทำหน้าแปลกใจ ดวงตาสีดำสนิทนั้นเบิกกว้าง ก่อนจะออกปากเล่าถึงสาเหตุที่หล่อนแปลกใจมากมายขนาดนั้น ปรกติแล้วฉันรู้จักเพื่อนของเขาเกือบทุกคนเลยนะคะ มาช่วงหลังที่เขาย้ายมาที่นี่นี่เอง ที่เราได้คุยกันน้อยลง เพราะอยู่ห่างกันเหลือเกิน

    ฉันตอบรับคำพูดของหล่อนอย่างสุภาพ ในขณะที่หัวสมองไม่ได้รับฟังสิ่งที่หญิงสาวผู้นั้นพูดมาอย่างมากมายเลยแม้สักน้อยนิด ในที่สุดฉันจึงขอตัวกลับไปทำงานที่คั่งค้างอยู่ ทั้งที่จริงแล้วงานเหล่านั้นมิใช่งานเร่งด่วนแต่อย่างใดเลย... หากแต่สิ่งที่เร่งด่วน คือความต้องการที่จะหลุดพ้นจากหัวข้อสนทนาอันชวนให้เกิดความรู้สึกอันแปลกประหลาดนี้เท่านั้น!

    เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ก็คล้ายว่าความอดทนหญิงสาวชื่อไทยที่มีใบหน้าฝรั่งผู้นั้นจะหมดลง หล่อนจึงพูดขึ้นเมื่อจ้องมองดูนาฬิกาข้อมือ ประกาศิตเบี้ยวฉันอีกแน่ๆเลย ปกติประกาศิตมาทำงานสายครึ่งค่อนวันอย่างนี้เสมอหรือคะ?”

    ไม่หรอกค่ะ ปกติคุณประกาศิตมาเช้ากว่าดิฉันอีก ฉันรีบบอกเมื่อเห็นสีหน้าตำหนิของหล่อน และกล่าวชวนให้หล่อนนั่งรออีกสักครู่ตามมารยาท คุณประกาศิตคงใกล้จะมาแล้วล่ะค่ะ คุณลิลิตนั่งรออีกสักครู่นะคะ จะให้ดิฉันโทรตามให้ไหมคะ?”

    ไม่ล่ะค่ะ ขอบคุณมาก ฉันคิดว่าเขาคงไม่มาแล้ว

    ไม่รอให้ฉันได้แสดงความคิดเห็นใดๆ เจ้าหล่อนก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ฟังดูเดือดร้อนนัก ฉันลาล่ะค่ะคุณจิตรา แล้วถ้าว่างๆจะแวะมาใหม่นะคะ

    เจ้าหล่อนเดินออกจากสำนักงานไป ทิ้งให้ฉันอยู่กับความคิดอันแสนสับสน

    เขาไปไหนกันนะ?’

    ***

    คำแรกที่เขาพูดเมื่อฉันเดินเข้าไปในห้องทำงานติดแอร์นั้นคือ... เมื่อวาน

    ใช่สิ... เมื่อวาน...

    ฉันเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารมากมายบนโต๊ะ มองเขาด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม ทั้งๆที่ได้ย้ำไว้กับหัวใจของตัวเองแล้วว่า ฉันจะไม่ถาม

    สายตาของเขาที่มองกลับมาที่ฉันนั้นชวนให้จิตใจไหวหวั่นเหมือนทุกครั้ง แต่ที่แตกต่างในครั้งนี้คือมันทำให้ความเย็นแล่นเข้าไปถึงขั้วหัวใจ

    ท่าทางคุณเหมือนคนไปออกรบมาอย่างนั้นแหละ เมื่อวานเคลียร์งานไปเยอะมากเลยหรือครับ?”

    ฉันทวนคำถามที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินในใจ นึกถึงสิ่งที่จะตอบออกไปเพื่อให้เหมาะสมที่สุด นับเป็นเรื่องแปลกที่ฉันรู้สึกเหมือนคนจมน้ำ รอบกายเต็มไปด้วยคำแก้ตัวสารพัด ทั้งๆที่เขาต่างหากที่ควรจะเป็นคนรู้สึกเช่นนี้ และเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ เอาฝ่ามือแนบกับหน้าผากของฉันเพื่อตรวจหาอาการไข้ ตัวฉันก็แทบจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ

    ถ้าคุณไม่สบายจะกลับบ้านก่อนก็ได้นะครับ

    กลับบ้าน?” ฉันทวนคำถามด้วยน้ำเสียงอันแปลกแปร่ง

    ถ้าเกิดว่าคุณอยากจะออกไป ทำธุระ ข้างนอกอีกล่ะก็ คุณสั่งให้ฉันหยุดงานก็ได้นะคะ ไม่จำเป็นต้องแนะนำให้ฉันหยุดงานหรอกค่ะ ฉันเน้นคำ ทำธุระ อย่างจงใจ และทั้งที่ตัวเองมั่นใจว่าน้ำเสียงที่พูดออกไปนั้นเต็มไปด้วยความเข้มแข็งและเย้ยหยัน หากน้ำเสียงที่ฉันได้ยินกลับเป็นเสียงของผู้พ่ายแพ้ที่แสนอ่อนแอ

    คุณหมายความว่ายังไง?” เสียงที่ถามกลับมาช่างเยียบเย็น

    คุณลิลิตมาที่นี่เมื่อเช้าตอนที่คุณไม่อยู่... เธอน่ารักดีนะคะ

    ลิลิต? มาที่นี่..?” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยคำถามและความกังวลใจ แล้วตอนนี้ลิลิตอยู่ที่ไหน?”

    เธอกลับไปแล้วค่ะ

    กลับไปแล้ว?”

    ค่ะ ฉันตอบ และก้าวเท้าเพื่อจะกลับไปยังกองเอกสารบนโต๊ะทำงาน แต่ก่อนที่จะเดินไปถึงโต๊ะ เขาก็เข้ามาคว้าแขนของฉันไว้ และตั้งคำถามด้วยเสียงกร้าว

    ลิลิตพูดอะไรกับคุณ? เธอบอกอะไรคุณหรือเปล่า? บอกผมมานะจิตรา เธอมาพูดกับคุณใช่ไหม? เธอบอกคุณว่าอะไร?”

    ฉันหลับตาลง ภาพต่างๆวิ่งเข้ามาในสมองราวกับภาพยนตร์... ภาพของหญิงสาวแสนสวยที่หันมายิ้มให้กับฉันราวกับหล่อนรู้ว่าฉันกำลังมองหล่อน คำพูดที่แสดงถึงความสนิทสนมอย่างน่าอิจฉา และรอยยิ้มอันแปลกประหลาด...

    เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ฉันก็พบกับสายตาคาดคั้นของเขา... มันน่าเจ็บใจที่ฉันไม่สามารถใช้สายตาแบบเดียวกับเขาได้ ทั้งๆที่ที่จริงแล้ว ฉันต่างหากคือผู้มีสิทธิ์ในการคาดคั้นเขา ถามถึงเรื่องราวเมื่อวาน ฟังคำแก้ตัวจากเขา และเลือกที่จะให้อภัยหรือเอาผิด

    ... แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม...

    เขากลับกลายเป็นผู้คาดคั้นเอาความจริงจากฉัน... ฉันที่เคยเข้มแข็งอ่อนแอลงถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

    แต่แล้วความเข้มแข็งเฮือกสุดท้ายก็ทำให้ฉันพูดออกไป

    ฉันควรถามคุณมากกว่านะคะ ว่าเมื่อวานคุณทำอะไร กับใครในเวลางาน? และวันนี้คุณหายไปไหนมา?”

    ทั้งๆที่คำถามนั้นดังกังวาน แต่ในจิตใจของฉันกลับมีคำพูดที่ดังยิ่งกว่า... คำขอร้องให้เขาแก้ตัว หาคำพูดที่จะทำให้ฉันสบายใจ แม้เป็นเพียงคำโกหก ฉันก็จะฟัง

    คำตอบที่ได้มามีเพียงความเงียบและสายตาที่เย็นชาจากเขา เพียงเท่านี้ความเข้มแข็งที่ฉันพยายามสร้างขึ้นก็มลายหายไป มีเพียงความอ่อนแอ และพ่ายแพ้ ทั้งต่อเขาและต่อหัวใจของตัวเอง!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×