ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo] WOLF (chanbaek) -ไม่เขียนต่อแล้วฮะ-

    ลำดับตอนที่ #4 : WOLF - III

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 45
      0
      21 มิ.ย. 58

    WOLF - III

     


     

    แบคฮยอนเดินตามร่างสูงมาถึงหินขนาดมหึมาก้อนหนึ่ง ท้องฟ้าสดใสมีเมฆจำนวนมากต่างกับท้องฟ้าปลอมๆ พรางตาที่เห็นจากภายนอกป่านั้น ชานยอลค่อยๆ ยกมือขึ้นแตะบนก้อนหินอย่างนุ่มนวล ทันใดนั้นแสงสีขาวก็เปล่งออกมาจากก้อนหินสีทึบนี้ ไม่สิ มันเปลี่ยนเป็นคริสตัลสีใส

    เมื่อแบคฮยอนกระพริบตา หมู่บ้านใหญ่ก็ปรากฎขึ้นตรงหน้า ชานยอลจูงมือคนตัวเล็กกว่าเดินไปยังทางเข้าหมู่บ้าน วูล์ฟในร่างหมาป่าหลายตัวกำลังนั่งจ้องมาที่คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ วูล์ฟตัวหนึ่งเปลี่ยนร่างตัวเองเป็นร่างคนแล้วฉีกยิ้มกว้าง

    "ชานยอล!!" เสียงทักทายชานยอลจากผู้หญิงที่นั่งอยู่หน้าบ้านหินของเธอ

    "สวัสดี...มาริน" ชานยอลโบกมือให้เธอกลับ

    บ้านทุกหลังที่นี่สร้างจากก้อนหินทั้งหมด แต่แอบซ่อนความสวยงามเอาไว้ หินสีทึบถูกบรรจงสลักลวดลายและนำมาวางทับซ้อนกันจนมีลักษณะคล้ายกับบ้านของคนในอดีต

    "บ้านทั้งหมดทำจากหินเหรอเนี่ย.." แบคฮยอนเผลอพูดความคิดของตนออกมา

    "ใช่แล้ว" ชานยอลตอบ

    แบคฮยอนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นคนตัวใหญ่ตอบแบบนั้น เขาไม่ได้ตั้งใจพูดมันออกมานะ "แล้วมันจะไม่ถล่มลงมาเหรอ.."

    ชานยอลหันมาส่ายหน้าเบาๆ แล้วยิ้มบาง "ไม่หรอกน่า หินพวกนี้ถูกเชื่อมกันด้วยกาวที่แข็งแกร่งที่สุด รู้ไหม วูล์ฟเป็นพวกที่ปราณีตมากเลยนะ กว่าบ้านหลังหนึ่งจะเสร็จ ต้องทำอะไรมากมายเลยล่ะ ไม่เหมือนพวกคนในเมืองที่ใช้เครื่องจักรสร้างบ้านกัน"

    "เข้าใจแล้ว" แบคฮยอนพยักหน้า

    "แล้วบ้านของนายล่ะ..เป็นแบบไหน" ชานยอลต่อบทสนทนา

    "ฉันอยู่ใต้ดิน"

    ชานยอลหลุดขำออกมาเสียงดัง "ใต้ดิน?...เหมือนมดเลยอะ"

    "อืม...ฉันก็ว่างั้นแหละ"

    ชานยอลจูงมือคนตัวเล็กกว่าต่อ ระหว่างทางมีแต่ผู้คนทักทายมาที่ชานยอลเสมอ

    "จะพาฉันไปไหนเนี่ย" แบคฮยอนขมวดคิ้วสงสัย

    "มาเถอะน่า"

    ชานยอลพาคนตัวเล็กเข้าไปในบ้านหินขนาดใหญ่ คาดว่าน่าจะเป็นบ้านของเขาเอง เด็กผู้หญิงตัวเล็กวิ่งเข้ามาเกาะขาชานยอลแน่น

    "พี่ชานยอล...คิดถึงจังเลยค่ะ" เด็กหญิงยังคงเกาะขาร่างสูงแน่นไม่ยอมปล่อย

    "ฮ่าๆ ยูราปล่อยก่อนครับ คุณป้าเป็นยังไงบ้าง"

    "พี่ชานยอลไปดูเองดีกว่าค่ะ คุณป้าไม่ดีขึ้นเลย" เด็กหญิงตัวเล็กทำหน้าเศร้าเมื่อพูดถึง

    แบคฮยอนเดินตามชานยอลที่อุ้มยูราอยู่เดินเข้าไปในห้องชั้นบน บ้านของชานยอลตกแต่งเรียบๆ แต่แอบมีความหรูหราแบบย้อนยุค

    ร่างของหญิงวัยกลางคนนอนอยู่บนเตียงหินหนา ร่างกายของเธอซีดเผือก แบคฮยอนสัมผัสได้ถึงพลังงานความร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวของเธอ

    ชานยอลยกเก้าอี้หินไปวางไว้ข้างเตียงแล้วทิ้งตัวนั่งลงมองคนตรงหน้าอย่างมีความหวัง

    "ป้านายเป็นอะไรเหรอ" คนตัวเล็กถามขึ้น

    "ไม่รู้สิ...จู่ๆ กลับบ้านมาป้าก็สลบไปแล้วก็ไม่ฟื้นอีกเลย แต่ป้ายังไม่ตายหรอก"

    แบคฮยอนเข้าไปสัมผัสแขนของหญิงวัยกลางคนที่กำลังนอนหายใจรวยริน ไอความร้อนแผ่ออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด "อืม...ฉันว่า..สวนดอกกุหลาบอยู่ที่ไหนเหรอชานยอล"

    "ออกจากบ้านฉันจะมีป้ายบอกทาง"

    เมื่อคนตัวเล็กได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งลงไปทันที

     

    ไม่นานนักแบคฮยอนก็กลับมาพร้อมกับดอกกุหลาบสีรุ้งในมือ ดอกกุหลาบเปล่งแสงสีรุ้งออกมาจางๆ ถูกแบคฮยอนนำไปวางไว้ในมือของหญิงวัยกลางคนที่นอนอยู่บนเตียง อาการของเธอเริ่มหนักขึ้นทุกทีที่มอง

    "ทำอะไรน่ะ" ชานยอลหันมาเลิกคิ้วให้คนตัวเล็ก

    "กุหลาบสีรุ้งสามารถถอนพิษได้"

    จู่ๆ ผิวของหญิงวัยกลางคนที่เคยขาวซีดเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที เลือดสูบฉีดอย่างเป็นปกติอย่างน่าอัศจรรย์ ผิวของเธอกลายเป็นสีชมพูระเรื่อหมดสิ้นอาการป่วยเป็นปลิดทิ้ง

    "อะไรกันเนี่ย!" ชานยอลเบิกตาโตแล้วหันมากอดแบคฮยอนอย่างแรงและแนบแน่น คนโดนกอดทำหน้าอย่างงงๆ

    "ขอบคุณแบคฮยอน"

    "เอ่อ..ฉันอ่านหนังสือเจอน่ะ" แบคฮยอนยิ้มบางๆ

    "อื้ม..นายจะไปเก็บดอกกุหลาบไม่ใช่เหรอ งั้นไปกันเถอะ"

    ร่างของคนสองคน คนหนึ่งสูงโปร่ง ผมสีควันบุหรี่ถูกตัดอย่างเรียบๆ แต่มีความดูดีรับกับใบหน้าหล่อเหลา สวมชุดสีดำทำจากขนสัตว์ดูเรียบง่ายแต่ซ่อนความหรูหราเอาไว้ อีกคนหนึ่งตัวเล็กผอมบางผมสีดำขลับปรกหน้าดูยุ่งเหยิงสวมเสื้อผ้าสีขาวสะอาดตาไร้จุดตำหนิใดๆ กำลังช่วยกันเก็บดอกไม้สีรุ้งเรืองแสงได้ที่มีสรรพคุณเป็นประโยชน์หนักหนากันทีละนิดละหน่อย ชานยอลเต็มใจช่วยแบคฮยอนอย่างมากเพราะคนตัวเล็กเป็นคนช่วยชีวิตป้าของเขาหรือเพราะเขารู้สึกถูกชะตากับเด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่รู้ เขายังไม่แน่ใจความรู้สึกของตนเองนัก ใบหน้าของคนสองคนยิ้มแย้มและดูมีความสุขอย่างมากราวกับคู่รักข้าวใหม่ปลามัน แกล้งหยอกล้อกันไปมาอย่างสนุกสนาน

    ภารกิจของแบคฮยอนเสร็จสิ้นด้วยดีเพราะมีกำลังของชานยอลมาช่วยเสริมอีกแรง ชานยอลทำหน้าบูดนิดหน่อยเมื่อรู้ว่าถึงเวลาที่คนตัวเล็กต้องกลับสู่สถานที่ของเขาแล้ว เป็นธรรมดาของโลก เมื่อมีการพบกันก็ต้องมีการจากลา แต่เมื่อมีการจากลา ย่อมมีการพบกันใหม่เช่นกัน ชานยอลซ่อนดอกไม้สีดำไว้ข้างหลังอย่างลับๆ ซึ่งเขาได้ไปตัดมาก่อนหน้านี้แล้ว คนสองคนเดินออกจากหมู่บ้านจนเข้าเขตป่า และมาโผล่ที่หน้าป่าโดยใช้เวลาไม่นาน ดวงจันทร์สีขาวนวลลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าเมื่อมองขึ้นไปแล้วดูเป็นดวงไฟดวงใหญ่ส่องไสวยามค่ำคืน ชานยอลไม่อยากให้แบคฮยอนกลับช้าไปกว่านี้เพราะมันเป็นตอนกลางคืน และตอนกลางคืนก็ไม่มีสเลวฟ์หรือเมจิเชี่ยนคนไหนออกมาเดินเพ่นพ่าน

    "ฉันส่งแค่นี้นะ" ร่างสูงเอ่ย กำดอกไม้ภายหลังไว้แน่น เหงื่อแตกเพราะความกล้าๆ กลัวๆ ของเขา

    "โอเค"

    "เอ่อ..." ชานยอลค่อยๆ ยื่นดอกกุหลาบสีดำให้คนตัวเล็กที่ทำหน้างงๆ อยู่

    "อะไรเหรอ" แบคฮยอนงงเป็นไก่ตาแตก ทำไมเขาต้องให้ดอกกุหลาบสีดำแบคฮยอนด้วยล่ะ เพราะความหมายของมันคือ 'ความรักอันเป็นอมตะนิรันดร์' เขาคิดอะไรอยู่นะ

    ทุกๆ อย่างสืบทอดมาจากในอดีต ไม่เว้นแม้แต่ความหมายของดอกกุหลาบ

    "ฉันให้" ชานยอลก้มหน้าอย่างเขินอาย มือสั่นเหมือนคนอยู่ในอุณหภูมิติดลบ

    "ขอบคุณนะ" มือเล็กรับมาแล้วชื่นชมเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังกลับเพื่อเดินกลับสู่เมืองซึ่งอยู่ห่างจากหน้าป่าประมาณแปดร้อยเมตร

    ความจริงชานยอลอยากส่งเขาให้ถึงห้องเลยด้วยซ้ำ แต่เขาไม่สามารถเข้าใกล้เขตเมืองได้มากกว่านี้อีกแล้วเพราะสุ่มเสี่ยงที่จะโดนจับเอาได้ง่ายๆ

    กึก!

    ร่างเล็กหยุดชะงักแล้วค่อยๆ หันหลังกลับมาหาชานยอลที่เฝ้ารอคนตัวเล็กเดินกลับไปอย่างปลอดภัย ร่างสูงที่กำลังรออยู่นั้นทำสีหน้าสงสัย

    "เราจะได้เจอกันอีกไหม" ร่างเล็กเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นคลอ มือกำกุหลาบสีดำไว้แน่น น้ำตาเริ่มก่อตัวบดบังสายตา

    "ไม่รู้เหมือนกันแต่...โชคดีนะ" ชานยอลเป็นฝ่ายพูดบ้าง น้ำตาของเขาตกลงมาข้างแก้ม ความจริงตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยร้องไห้ให้ใคร อาจเป็นเพราะความรู้สึกผูกพันละมั้ง ชานยอลค่อยๆ ชูมือขึ้นแล้วโบกให้คนตรงหน้าที่ห่างกันประมาณห้าเก้าเบาๆ

    "อื้ม...โชคดีเหมือนกัน" แบคฮยอนโบกมือกลับ แล้วหันหลังเพื่อมุ่งหน้ากลับเข้าเมือง มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตานับครั้งไม่ถ้วน รอบกายมีเพียงเสียงสะอื้นของคนตัวเล็กดังไปทั่วทั้งบริเวณ พระจันทร์สะท้อนแสงสีขาวนวลคล้ายกับมองลงมาแล้วปลอบเขา โอบกอดเขาด้วยแสงสีขาวอันอบอุ่น

    กว่าจะหายสะอื้นได้ แบคฮยอนก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูเมือง เขาคาบดอกกุหลาบสีดำไว้ที่ปากก่อนจะกระชับกระเป๋าแล้วเดินเข้าไปภายในประตู กล้องวงจรปิดหันตามเขาทุกฝีก้าว เป็นระบบของรัฐบาลใช้ตรวจสอบบุคคลแปลกหน้า ประตูค่อยๆ เปิดเองด้วยระบบอัตโนมัติ แบคฮยอนเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูอีกชั้นก่อนจะมีแสงสีเขียวสาดส่องมาทั่วร่างกายของคนตัวเล็ก ประตูชั้นที่สองเปิดอย่างอัตโนมัติ เสียงติ๊ดบ่งบอกว่าข้อมูลกายภาพของเขาตรงกับข้อมูลในฐานข้อมูล บุคคลที่ไม่ได้รับการบันทึกข้อมูลลงในทะเบียนรายชื่อของรัฐบาลจะไม่สามารถเข้าประตูได้

    ร่างเล็กดูเหมือนล่องหนชั่วขณะก่อนจะกลับมาเป็นปกติ เขากลับมาถึงแล้ว ห้องของเขาเอง แบคฮยอนทิ้งตัวลงไปที่เตียงหนาจนทิ้งรอยยับ ยกมือขึ้นพิจารณาดอกไม้อมตะนี้อย่างใจจดจ่อ

    ดอกกุหลาบสีดำนี้...เขาจะเก็บมันไว้อย่างดีเลย

    พินิจพิจารณาสักครู่ก็หยิบหนังสือเล่มหนามาเปิดไปถึงหน้ากลาง แล้ววางดอกกุหลาบอมตะนี้ไว้

     

    แบคฮยอนสะบัดหัวเบาๆ ไล่ความคิดนึกย้อนไปในอดีต เขายิ้มกว้างทุกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาค่อยๆ หยิบดอกกุหลาบที่ตอนนี้แห้งกรังแต่ยังคงความงามอมตะไว้ โน้มตัวลงไปจูบที่ดอกกุหลาบหนึ่งครั้งแล้วเก็บเข้าที่เดิม

    แว้บ!

    หนังสือสีขาวที่เขาได้มาจากพ่อค้าเมจิเชี่ยนเปล่งแสงสีขาวสว่างจ้า แบคฮยอนที่นั่งอยู่บนเตียงยกมือขึ้นมาป้องไว้และหรี่ตาเล็กน้อย

    ภาพวันนั้น...หญิงสาวผ้าคลุมสีแดง...มันปรากฏอยู่ในหัวเขาอีกแล้ว

    แบคฮยอนร้องครางด้วยความเจ็บปวดที่ศีรษะ

    "แบคฮยอน"

    "แบคฮยอน" เสียงกระซิบอันเยือกเย็นลอยอยู่รอบตัวของร่างเล็ก แบคฮยอนน้ำตาไหลเพราะความเจ็บปวด ทันใดนั้นมือของเขาก็ปัดหนังสือที่อยู่บนเตียงตกลงไปวางนิ่งอยู่บนพื้น

    เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เหตุการณ์ทุกอย่างสงบนิ่ง แบคฮยอนหอบหายใจอย่างแรง เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกัน?

    แบคฮยอนใช้เวลาหลังเลิกงานไปหาช่างวาดรูปมืออาชีพใจกลางเมือง เขาไม่ลืมที่จะหยิบหนังสือเล่มสีขาวไปด้วย วันนี้เขาต้องรู้ให้ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ผีงั้นเหรอ? แล้วเขาไปทำอะไรให้ ผู้คนสมัยนี้ยังมีความเชื่อเก่าคือความเชื่อเรื่องภูตผียังคงสืบทอดมาจนปัจจุบัน

    ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในเรือนไม้เก่าๆ และไม่มีสิ่งของใดๆ นอกจากโต๊ะเคาน์เตอร์เก่าแก่นี้ หญิงชราคนหนึ่งก็เดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มหวานทันที

    "สวัสดีครับ" แบคฮยอนโค้งตัว

    "สวัสดี...หนุ่มน้อย" หญิงชราเสกกระดานวาดรูป กระดาษ และพู่กันไว้แล้วอีกด้านของห้อง

    "คือว่า..."

    "ฉันจะวาดให้ฟรี" หญิงชรายิ้มจนเห็นฟันที่ไม่ครบเท่าไรนัก

    "คุณรู้ได้ยังไงครับ" แบคฮยอนทำหน้าตกตะลึง

    แบคฮยอนยืนดูหญิงชราบรรจงใช้มือเหี่ยวย่นดูไร้เรี่ยวแรงลงปลายพู่กันจรดกับกระดาษหนา สีต่างๆ ถูกแต่งแต้มจนภาพนั้นค่อยๆ มีชีวิตชีวาขึ้นมา

    "ฉันรู้เสมอว่าเธอจะทำอะไร" หญิงชรายิ้มแล้วยื่นภาพวาดของหญิงสาวผ้าคลุมสีแดงให้กับแบคฮยอน

    "เอ่อ...แล้วจะให้ผมทำอะไรตอบแทนครับ" ร่างเล็กกอดรูปภาพไว้บนอกอย่างแน่น

    "ฟรีจ้ะ"

    "จริงเหรอครับ..."

    "เอาล่ะ ภารกิจของฉันเสร็จแล้วล่ะ ถึงเวลาของฉันที่จะต้องไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขสักที...ดูแลตัวเองให้ดีล่ะ แบคฮยอน" สิ้นเสียงหญิงชรา ร่างของเธอก็ค่อยๆ จางหายไปทันที แบคฮยอนยืนนิ่งด้วยความงุนงง

    "นี่! นายน่ะ" หญิงสาวร่างบางเดินออกมาจากประตูหลังแล้วจ้องเขม็งมาทางเขา

    "..." แบคฮยอนยังคงยืนนิ่งราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง

    "เข้ามาในบ้านฉันได้ยังไง!" หญิงสาวง้างมือแล้วรวบรวมเวทมนตร์จนกลายเป็นวงแสงสีชมพูอ่อน จากนั้นจึงปล่อยมาโจมตีผู้บุกรุกทันที

    พรึบ!

    แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นแล้วปัดการโจมตีนั้นออกจากตัวได้

    "เมื่อกี้ฉันมาขอให้คุณยายวาดรูปให้" ชายหนุ่มชูภาพวาดนั้นให้หญิงสาวตรงหน้าดู

    โบมีทำหน้าตื่นตระหนก "จะบ้าเหรอ"

    แบคฮยอนเหลือบไปเห็นภาพของคุณยายคนนั้นบนผนัง "คนนั้นไง"

    "นี่! อย่ามาล้อเล่นนะ คุณยายของฉันเสียชีวิตไปตั้ง 10 กว่าปีแล้ว" หญิงสาวหน้าเสีย "จะบอกว่ายายฉันเป็นผีงั้นเหรอ..."

    "จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ท่านคงไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแล้วล่ะ ฉันแบคฮยอน"

    "อ้อ...ฉันโบมี"

    ทั้งสองคนจับมือทำความรู้จักกัน ทันใดนั้นโบมีก็ทำหน้าตื่นตระหนกอีกครั้ง

    "เกิดอะไรขึ้น" หนุ่มร่างบางถาม

    "ฉันพาไปได้นะ...ฉันรู้จักหลายสถานที่เลย" โบมียิ้มอย่างผู้รู้

    "เดี๋ยวๆ เธอรู้ได้ยังไงอีกว่าฉันจะทำอะไร"

    "ฉันมีญาณหยั่งรู้" โบมีเสยผมหน้าม้าขึ้น ดวงตาสีรุ้งถูกเปิดขึ้นบนหน้าผากของเธอ "ฉันอ่านใจคนได้ถ้าแตะตัว และทำนายอนาคตได้ช่วงสั้นๆ แต่อนาคตมันเปลี่ยนแปลงได้เสมอล่ะ ฉันไม่เคยทำนายเลยสักครั้ง" โบมีอธิบาย

    "เมจิเชี่ยนมีความสามารถพิเศษหนึ่งอย่างนอกเหนือจาการใช้เวทมนตร์ แต่ฉันคิดว่าความสามารถนี้จะมีแต่ในตำนานเสียอีก" แบคฮยอนพูด

    เขารู้แล้วล่ะ ว่าโบมีสืบทอดญาณหยั่งรู้มาจากยายของเธอ

    "มันยังมีอะไรอีกมากมายที่เป็นความลับ มาสิ ฉันจะพาไปตามหาหญิงผ้าคลุมสีแดงคนนั้น"

     
     

    โบมีพาแบคฮยอนเทเลพอร์ตมายังสถานรับเลี้ยงเด็กพร้า สถานที่นี้เป็นที่ที่แบคฮยอนเติบโตมา เขาจึงรู้สึกผูกพันกับมันเป็นพิเศษ แต่หลังจากที่เขาโตขึ้นและต้องไปทำงาน ก็ไม่ได้กลับมาเยี่ยมอีกเลย หญิงสาวกับชายหนุ่มร่างบางเดินผ่านสนามเด็กเล็กยักษ์ที่มีเหล่าเด็กกำพร้าหลายคนกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานเข้าไปยังตึกสูง ไม่นานนักก็เดินมาถึงห้องของผู้อำนวยการ

    "คุณคะ คนนอกเข้าไม่ได้นะคะ" พนักงานสาวเดินเข้ามาห้ามโบมีไม่ให้เปิดประตูเข้าไป โบมึดีดนิ้วดังแป๊ะ ทันใดนั้นร่างของพนักงานสาวก็หยุดนิ่งทันที ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปยังห้องผู้อำนวยการ

    "สวัสดีค่ะ" ผู้อำนวยการสาวยิ้มแย้มต้อนรับ

    "สวัสดีค่ะคือดิฉันอยากจะถามว่า..รู้จักผู้หญิงในรูปไหมคะ" แบคฮยอนส่งรูปวาดให้โบมี

    "อ๋อ...ไม่ค่ะ"

    "แล้วมีใครที่เก่าแก่ที่สุดในบ้านเด็กกำพร้านี้ไหมคะ" โบมีเค้นต่อ

    "ไม่เลยค่ะ"

    "แน่ใจเหรอคะ คุณผู้อำนวยการ" โบมีเท้าโต๊ะแล้วหยิบรูปวาดเดินออกมาทางแบคฮยอน"

    "ก็บอกว่าไม่!" ใบหน้าสวยของผู้อำนวยการสาวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นใบหน้าของปีศาจ โบมีหันหลังกลับก่อนที่จะรวบรวมเวทมนตร์ไว้ในมือทั้งสองข้างแล้วกระโดดไปหาปีศาจนั่น ก่อนที่จะปล่อยพลังใส่ตรงจุดหน้าผาก ทันทีที่ปีศาจโดนโจมตีมันก็แน่นิ่งไป เหลือไว้เพียงซากกระดูกผุพังนั้น

    "เก่งจัง...แต่เธอฆ่าเขานะโบมี!" แบคฮยอนทำตาโตก่อนจะกอดรูปวาดแน่น

    "ร่างที่ถูกควบคุมตายแล้วทั้งนั้น รู้ไหม พวกยองมินเริ่มส่งคนมาฆ่าผู้คนในเมืองแล้วแฝงตัวแทนแล้ว" โบมีทำสีหน้าจริงจัง

    "ยองมิน..ประธานาธิบดีน่ะเหรอ"

    "ก็ใช่น่ะสิ...นายต้องรีบปลดผนึกเวทมนตร์ของนายนะแบคฮยอน" หญิงสาวจ้องเขม็งตรงมายังชายหนุ่ม

    "เวทมนตร์? ฉันเป็นแค่คนธรรมดา ไม่มีเวทมนตร์อะไรทั้งนั้น" แบคฮยอนทำสีหน้างงงวยกว่าเดิม

    "นายควรเชื่อฉัน" สิ้นเสียงของโบมี เธอก็หายตัวไปทันที

     

    #wolfchanbaek
    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×