ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo] WOLF (chanbaek) -ไม่เขียนต่อแล้วฮะ-

    ลำดับตอนที่ #2 : WOLF - I

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 51
      2
      21 มิ.ย. 58

    WOLF - I

     

    แบคฮยอนปิดหนังสือสีน้ำตาลเล่มหนาลง ยกแก้วน้ำชาขึ้นมาจิบเล็กน้อย แล้วค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ เพื่อพักสายตาจากการอ่านหนังสือที่ยาวนาน

    นี่เขาอ่านมันมานานแค่ไหนแล้วนะ

    ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด!

    เสียงเตือนจากชิพที่ฝังอยู่ใต้ผิวหนังที่หลังมือของเขาเตือนขึ้นบ่งบอกว่าขณะนี้ถึงเวลาทำงานแล้ว

    เมื่อตอนเกิด สเลวฟ์ทุกคนจะต้องถูกฝังชิพไว้ที่ใต้ผิวหนังที่หลังมือเสมอ หน้าที่ที่พวกเขาต้องกระทำคือรับใช้เมจิเชี่ยน

    กึก!

    แบคฮยอนกดปุ่มสีแดงตรงผนังทึบหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นผนังก็งอกชั้นหนังสือใหญ่ออกมา บนผนังปรากฎชั้นวางหนังสือที่มีหนังสือเรียงรายอยู่เกินกว่าห้าสิบเล่ม ด้วยความที่เขาเป็นคนชอบค้นคว้า ทำให้หนังสือที่ห้องมากมายขนาดนี้

    ถึงแม้ยุคนี้จะอ่านหนังสือแบบฉายลงไปในอากาศกันหมดแล้ว แต่ก็ยังหลงเหลือหนังสือที่เป็นหนังสือจริงๆ อยู่บ้าง และเขาก็ชอบอ่านหนังสือจริงๆ ด้วยสิ

    เขาสอดหนังสือเล่มหนาเข้าไป กดปุ่มสีน้ำเงิน จากนั้นผนังก็หดกลับเป็นสภาพเดิม แล้วเดินไปยังโต๊ะข้างเตียง บนนั้นมีเครื่องคล้ายเครื่องชงกาแฟของสมัยก่อนเล็กๆ ถือแก้วชาไปวางลงในช่องขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือแล้วกดปุ่มใส แสงสีฟ้าสว่างวาบขึ้นภายในช่อง จากนั้นแก้วชาก็หายไปทันที

    ความจริงห้องนี้ไม่ได้ใหญ่นัก ก้าวเท้าเพียงสิบก้าวก็สามารถเดินครบรอบห้องนี้ได้แล้ว

    สเลวฟ์ทุกคนมีห้องประจำตัวเล็กๆ ที่เมจิเชี่ยนรุ่นเริ่มต้นปลูกสร้างไว้ให้ใต้ดิน และสืบทอดมาจวบจนปัจจุบัน ความจริงมันดูเหมือนกับว่าที่อยู่ของสเลวฟ์นั้นคล้ายๆ กับรังมดขนาดยักษ์ เพียงแต่ต่างกันตรงเวลาต้องการออกไปข้างนอก สามารถใช้เทเลพอร์ตขึ้นไปข้างบนได้เลย ไม่ต้องขึ้นบันไดให้เหนื่อยโดยเฉพาะพวกที่อยู่ชั้นล่างๆ

    ส่วนเมจิเชี่ยนนั้นปลูกบ้านอยู่บนพื้นดิน ทำให้ที่อยู่ของสเลวฟ์นั้นไม่กินเนื้อที่มากมาย มีก็แต่เครื่องเทเลพอร์ตเครื่องยักษ์ที่อยู่บนพื้นดินของห้องพวกสเลวฟ์นั้น

    บางครั้ง เขาอิจฉาเมจิเชี่ยน เพราะพวกเขาได้อยู่บนพื้นดิน เขาอยากมีบ้านบนดินเป็นของตัวเอง เขาอยากเห็นแสงอาทิตย์ในตอนเช้า และดวงจันทร์ขึ้นในตอนกลางคืน

    แบคฮยอนเดินไปยังมุมของห้องที่มีผ้าม่านพลาสติกกั้นอยู่ และนี่คือห้องน้ำของยุคห้าพัน ชักโครกดูจะเป็นสิ่งเดียวที่สืบทอดมาจากอารยธรรมโบราณหลายพันปีก่อน เพียงแต่มันถูกนำมาพัฒนากับเทคโนโลยี ไม่มีน้ำ เป็นระบบไฟฟ้าทั้งหมด แบบที่ในหนังสือเขียนไว้

    เขาพูดรหัสอะไรบางอย่าง ทันใดนั้น เสื้อผ้าของเขาก็หายไป ร่างกายของเขาเปลือยเปล่า เผยให้เห็นผิวขาวนวลราวกับหิมะ จากนั้นเสื้อและกางเกงสีขาวก็ปรากฎขึ้นแทนที่ชุดที่แล้ว

    เทคโนโลยีทำให้ผู้คนในยุคนี้ไม่ต้องอาบน้ำ พลังงานที่ถูกพัฒนาขึ้น นำมาชำระล้างร่างกายแทนน้ำ นั่นหมายความว่า อาบน้ำก็ไม่ต้องเปียกแต่สะอาดนั่นเอง และยังใช้เวลาเพียงแค่เสี้ยวนาที

    แต่เครื่องเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่ได้หมายความว่าจะเลือกเสื้อผ้าแบบไหนก็ได้ คนจะใช้ต้องมีเสื้อผ้าต้นแบบ แล้วบ้นทึกเสื้อผ้านั้นลงไปในฐานข้อมูล เสื้อผ้าที่ถูกดูดเข้าไป จะทำความสะอาดตัวเองได้

    แบคฮยอนส่องกระจกเพื่อจัดทรงผม จากนั้นจึงเดินไปยังเครื่องรูปร่างแปลกๆ ซึ่งน่าจะเป็นเทเลพอร์ตของสมัยใหม่ แต่นี่น่ะคือเทเลพอร์ตย่อยที่ใช้เข้าและออกจากห้องของสเลวฟ์แต่ละคน เขาพูดรหัสบางอย่างอีกเช่นกัน ทันใดนั้นแสงสีฟ้าก็สว่างวาบขึ้น แล้วร่างเล็กก็หายไป

    เขาปรากฎตัวมาอยู่บนพื้นดินพร้อมกับสเลวฟ์ทั้งชายหญิงอีกหลายคนที่ใช้เครื่องเทเลพอร์ตในห้องของแต่ละคนในเวลาเดียวกัน

    เครื่องเทเลพอร์ตบนนี้มีรูปร่างคล้ายกับเครื่องในห้องของแบคฮยอนคือ มันเป็นโครงเหล็กเพียงแต่มันมีขนาดใหญ่กว่า เครื่องเทเลพอร์ตเวลาที่ไม่ถูกใช้งานแสงจะเป็นสีม่วง ส่วนเวลาที่กำลังถูกใช้งานแสงจะเป็นสีฟ้า เพียงแค่ไปยืนในวงแสงแล้วพูดรหัสก็สามารถใช้ได้แล้ว แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องจำรหัสให้ได้

    แบคฮยอนเดินไปยังจุดเทเลพอร์ตอีกด้าน ป้ายเขียนไว้ว่าไปรอบเมือง แสดงว่าเครื่องตรงนี้สามารถไปได้ทั่วทั้งเมือง เทเลพอร์ตจุดนี้ใช้สำหรับการเดินทางไปรอบๆ เมืองเซอร์ไวเวอร์ แต่ในตอนนี้การเดินทางไปที่ไหนก็ได้คงไม่ใช่ทางเลือกสำหรับเขา ตอนนี้เขาต้องไปทำงาน

    เขาพูดรหัสที่ไม่ใช่ภาษาที่ใช้สื่อสาร แสงสีม่วงปกคลุมตัวแบคฮยอนแล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีฟ้า จากนั้นเขาก็หายไป

    เสี้ยววินาทีเขาก็ไปโผล่ที่ร้านกาแฟที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานที่นี่

    ยุคสมัยนี้ยังคงมีร้านกาแฟแบบคลาสสิคอยู่

    สเลวฟ์ทุกคนไม่สามารถเลือกงานได้ ทุกคนจะได้รับงานตามความเหมาะสม แต่งานบางงานหนักจนคนร่างบางอย่างเขาทนไม่ได้แน่ๆ แบคฮยอนเลยได้มาทำงานที่ร้านกาแฟแห่งนี้ เขาคิดว่าเขาโชคดีมากเลยล่ะ ที่ไม่ต้องไปทำงานหนักๆ อย่างยกหินแบกปูน หรือไปเป็นคนใช้ของพวกเมจิเชี่ยนให้โดนจิกหัวเล่น เพียงแค่เป็นเด็กเสิร์ฟทำงานธรรมดาๆ

    เมจิเชี่ยนในปัจจุบันน่ะ ไม่ได้มีจิตใจที่งดงามน่านับถือเหมือนในอดีตหรอก

    กรุ๊งกริ๊งๆๆ...

    แบคฮยอนเปิดประตูกระจกใสทำให้กระดิ่งที่อยู่ด้านบนดังขึ้น กระดิ่งนี่คงเป็นอีกอย่างที่คลาสสิคเสมอ

    "ต๊ายย! แบคของพี่ มาแล้วหรอ" เสียงของฮโยลิน หญิงสาวเชื้อสายเมจิเชี่ยนหน้าตาสะสวยมีผิวสีแทนผ่องน่าหลงใหล เธอมีผมสีบรอนซ์ทองแวววับเมื่อจับแสง ปากที่ถูกแต่งแต้มด้วยลิปสติกสีชมพูอ่อนหวานทำให้ขัดกับลุคเซ็กซี่ของเธอ แต่มันก็ดูเข้ากันอย่างน่าประหลาด

    แต่ความจริง...เมจิเชี่ยนไม่ได้ใจร้ายไปหมดทุกคนหรอกนะ แบคฮยอนคงคิดมากเกินไป แถมเขายังลืมคิดถึงพี่สาวคนสวยคนนี้อีกด้วย แบคฮยอนน่ะน่าตีมากๆ เลยนะ

    แป๊ะ!

    ฮโยลินแปะมือเข้าหากันทำให้เกิดเสียง ทันใดนั้นหมวกแก็ปสีน้ำตาลก็ปรากฎอยู่บนหัวของแบคฮยอน เขาหมุนปีกหมวกไปข้างหลังแล้วยิ้มให้หญิงสาวตรงหน้า

    "น่ารักแล้วๆ" ฮโยลินยกมือขึ้นมาหยิกแก้มเด็กหนุ่มร่างบางเบาๆ

    "พี่ฮโยลินอ่า ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ" แบคฮยอนทำหน้ายู่

    ...วันนี้คงเป็นวันดีอีกวัน

     

    แบคฮยอนคลำสร้อยหินหยกที่สวมไว้ที่คอตลอดเวลาตั้งแต่จำความได้ เขาไม่เคยถอดมันเลยสักครั้ง และมันก็ยังถอดไม่ออกด้วย สร้อยเส้นนี้เป็นสร้อยที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด เขาคิดว่านี่อาจจะเป็นสร้อยที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้เขา ใช่แล้ว เขาไม่มีพ่อแม่ เขาเป็นเด็กกำพร้า สเลวฟ์กำพร้าจะถูกเลี้ยงดูโดยบ้านเด็กกำพร้าเหมือนในอดีต เขาคิดอย่างนั้น เพราะโลกในอดีตก็มีบ้านเด็กกำพร้าเหมือนกัน ความจริงเขาอ่านหนังสือเจอน่ะ สเลวฟ์กำพร้าจะต่างกับสเลวฟ์ที่มีพ่อแม่ทั่วไปคือ พวกเขาต้องทำงานตั้งแต่อายุสิบห้า ซึ่งสเลวฟ์ทั่วไปจะได้ทำงานเมื่ออายุครบยี่สิบปี ตอนนี้แบคฮยอนสิบหก แปลว่าเขาทำงานมาได้ปีหนึ่งแล้ว แต่ในบางเหตุผล มันก็ดีนะ เพราะมันทำให้แบคฮยอนได้รู้จักโลกนี้ได้มากและเร็วขึ้น

    บางครั้งเขาก็คิด ว่าสเลวฟ์ทำงานหนักๆ ไปเพื่อใคร

    'บรรพบุรุษกล่าว

    'เป็นหน้าที่'

    เขาได้รับคำตอบกลับมาเช่นเดิมในทุกครั้ง

    แล้วทำไมพวกเราต้องทำตามเพียงเพราะเขาพูดกันมาล่ะ ความคิดแบบนี้ถือเป็นกบฏไหม ถ้าเขาพูดต่อหน้าคนอื่นๆ แล้วพวกเมจิเชี่ยนมาได้ยินเข้า เขาคงถูกจับแหง เลยได้แต่คิดในใจน่ะนะ

    สิ่งของที่ตอบแทนก็ใช่ว่าจะเป็นเงินเสียเมื่อไหร่ พวกสเลวฟ์ได้แค่ที่อยู่อาศัยฟรีกับอาหารฟรี ก็แค่นั้น สเลวฟ์น่ะ ไม่รู้จักคำว่าเงินหรอก พวกเขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะซื้อของด้วยซ้ำ เสื้อผ้าที่ใส่ก็มีแต่ของเก่าๆ จากพวกเมจิเชี่ยน แต่ถ้าอยากได้อะไร ก็สามารถทำงานแลกได้

    บางครั้งแบคฮยอนฝันว่าอยากเป็นเมจิเชี่ยนบ้าง เพราะเขาจะได้เปลี่ยนแปลงความคิดที่ว่า วูล์ฟคือปีศาจ เขาไม่ต้องการให้มองวูล์ฟแบบนั้น อย่างน้อยพวกเขาไม่ได้เป็นหมาป่าจริงๆ พวกเขาแค่ถูกสาป พวกเขาอาจจะจิตใจดีก็ได้นะ ตำนานของวูล์ฟที่ผู้คนเขียนกันเอาเองทำให้เกิดความคิดบ้าๆ ขึ้น

    แว้บ...

    สร้อยหินหยก...มันเรืองแสง!

     
     

    ภาพของหญิงวัยกลางคนสวมผ้าโพกหัวสีแดงคนหนึ่ง ปรากฎขึ้นในหัวแบคฮยอน

    หญิงสวมผ้าโพกหัวสีแดงวิ่งไปหลบในซอกหลืบของตึกสูงเสียดฟ้า ท่ามกลางฝูงชนนับร้อยที่กำลังตามล่าเธออยู่พร้อมอาวุธครบมือ

    "มันอยู่ที่ไหน!"

    หญิงวัยกลางคนวิ่งไปอีกด้านของซอกหลืบที่มีแสงสว่างลอดเข้ามาเล็กน้อย มันคงจะเป็นทางออกไปอีกซอยหนึ่ง

    โชคร้าย...เธอติดอยู่ในช่องแคบๆ เพราะทางออกนั้นเล็กเกินกว่าที่คนจะออกได้

    เธอยกมือขึ้นมาชี้นิ้วไปแตะที่ปากช่องนั้น รวบรวมสมาธิ วงเวทย์ใหญ่ปรากฎขึ้นซัดหินแตกกระจาย

    ปลั่ก!

    ซอกหลืบหินแตกกระจายเป็นวงกว้างพอที่จะออกไปได้ นั่นเป็นเพราะเธอใช้เวทมนตร์ทำลายมัน เธอเป็นเมจิเชี่ยน

    หญิงสาวกับผ้าโพกหัวสีแดงวิ่งไปอีกด้าน เธอวิ่งมาสักพักจนมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง

    ป้ายนั้นเขียนว่าอะไร...แบคฮยอนมองไม่ชัดนัก

    หญิงสาวที่คาดว่าเป็นเจ้าของบ้านหลังนั้น เปิดประตูออกมาด้วยท่าทีงงงวย

    "ฝาก...ด้วยนะคะ ฉันขอร้อง" หญิงวัยกลางคนยื่นกล่องเล็กๆ กล่องหนึ่งให้กับหญิงสาวอีกคนที่หน้าบ้านหลังนี้

    "อ๊ะ! ท่าน...ท่าน" สาวเจ้าของบ้านดูท่าจะรู้จักเธอดี น้ำเสียงและแววตาที่คุ้นเคย

    "เธอช่วยฉันได้ไหม..." หญิงวัยกลางคนน้ำตาไหลออกมาจากนัยน์ตาเศร้าสร้อย

    "ได้ค่ะ ท่าน"

    หญิงสาวอีกคนรับไว้ ทันใดนั้น หญิงสวมผ้าโพกหัวสีแดง ก็วิ่งไปอีกทางทันที

    "ฉันจับสัญญาณมันได้แล้ว!" ฝูงคนตะโกนโหวกเหวกมาแล้วไล่ล่าอย่างน่ากลัว

    เธอวิ่งจนสุดชีวิต

    วิ่งจนชีวิตจะหาไม่

    วิ่งจนหมดสติลง!

    "กรี๊ดดดดดดด!"

     
     

    วูบ!

    แบคฮยอนสลัดภาพนั้นออกจากหัวก่อนที่จะรีบยัดสร้อยหินหยกที่เพิ่งเรืองแสงเข้าไปในเสื้อแล้วทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    "แบคฮยอน นายเป็นอะไรน่ะ" เสียงของคยองซู เพื่อนสเลวฟ์ที่ทำงานร้านเดียวกันพูดขึ้น เขาเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ใหม่ เลยไม่ค่อยคุ้นหน้ากันนัก

    "เอ่อ เปล่าน่ะ ฉันแค่...ปวดหัวนิดหน่อย" แบคฮยอนตอบด้วยนำ้เสียงมึนงง หัวของเขา มันเห็นโลกหมุนคล้ายกับแผ่นดินไหว

    ตุบ!

    เขาล้มลงไปกับพื้นด้วยตัวที่อ่อนแรง

    "เฮ้ย! จงอิน มาช่วยหน่อย แบคฮยอนเป็นลม!"

     

    แบคฮยอนค่อยๆ ลืมตาขึ้นจากความอ่อนเพลีย เขากำลังนอนอยู่บนตักนุ่มของชายคนหนึ่ง เพื่อนของเขาเอง จงอิน

    "เป็นยังไงบ้างแบคฮยอน" คยองซูลืมตาจนโตแล้วจ้องมาที่ใบหน้าของคนที่เพิ่งฟื้น

    "..." แบคฮยอนมองอะไรได้ไม่ชัดเจนนัก สายตาเขายังเบลออยู่จากที่เพิ่งฟื้น อาการปวดหัวยังไม่หายดีนัก

    "ดีขึ้นไหม" จงอินเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง

    "ฉัน...ยังปวดหัวนิดหน่อย" แบคฮยอนยังคงนอนอยู่บนตักของจงอิน

    "เพราะนายน่ะคยองซู ทำไมไม่ช่วยแบคฮยอนให้เร็วกว่านี้" จงอินพูดแล้วหันไปค้อนคนตัวเล็กที่นั่งอยู่อีกฟากของโซฟา

    "อ้าว! ฉันผิดหรอ ไอจงอินบ้า" คยองซูเบ้ปากแรง

    "ผิดที่ไม่ช่วยแบคฮยอนไง ทำให้แบคฮยอนของฉันต้องเป็นลมไปขนาดนั้น" จงอินใช้มือเล่นผมแบคฮยอนเบาๆ

    "อย่ามาพูด ฉันนี่แหละเป็นคนตะโกนเรียกนายให้มาช่วย เพราะฉันอุ้มแบคฮยอนไม่ไหว ไอ้บ้า เชอะ!" คยองซูกอดอกแล้วหันไปอีกด้าน

    "ฉันก็ เชอะ! เหมือนกันล่ะวะ" จงอินทำเสียงล้อเลียนคนตัวเล็ก

    "เออดี เชอะ!"

    "ฮ่าๆๆ ทำหน้าแบบนั้นเหมือนเด็กเอ๋อเลย" จงอินล้อเลียนอีกคนที่กำลังยู่ปากเหมือนเด็ก

    "แล้วไง เป็นบ้าหรอ ชอบว่าคนอื่น ไอบ้า"

    "คำก็ไอบ้า สองคำก็ไอบ้า ด่าเป็นอยู่คำเดียวหรือไง"

    "ได้...ไอ้ ไอ้ ไอ้ ไอ้ดำ!" คยองซูหลุดขำเล็กน้อย

    "นายล่ะ ไอ้ตัวเล็ก!" จงอินเลือกคำด่ากลับได้น่ารักทีเดียว

    "โอ้โหห เจ็บมากก" คยองซูลากเสียงยาวประชด

    "พอได้แล้ว สองคนนี้นี่ กัดกันตลอดเลยนะพวกเธอเนี่ย" หญิงสาวผิวแทนผ่องเดินเข้ามา

    "...พี่ฮโยลิน" จงอินกับคยองซูพูดเป็นเสียงเดียวกันแล้วทำหน้าจ๋อยทั้งคู่

    "แบคฮยอนเป็นยังไงบ้าง" ฮโยลินถามอย่างเป็นห่วง

    "เมื่อกี้ตื่นมาแป๊บเดียวแล้วก็หลับไปแล้วครับ" จงอินพูดแล้วมองคนตัวเล็กที่กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่บนตักของตนเอง

    "งั้น..พวกเธอสองคนกลับไปทำงานต่อเถอะ เดี๋ยวพี่เฝ้าแบคฮยอนเอง"

    "คร้าบบบ"

    "ไปก่อนนะ ไอ้ดำ ฮ่าๆๆ" คยองซูรีบวิ่งแล้วปิดประตูเสียงดัง

    "หน็อย! ไอคยองซู มาให้จับเดี๋ยวนี้เลยนะ!" จงอินวิ่งตามไป

    ฮโยลินยิ้มบางแล้วส่ายหัวให้กับความเป็นคู่กัดของเด็กทั้งสองก่อนจะหยิบเก้าอี้มาตั้งเป็นที่นั่งเฝ้าแบคฮยอน แล้วอุ้มเขาไปที่เตียงอย่างทะนุถนอม

     
     

    ในยุคสมัยโบราณว่าไว้

    คู่กัดมักจะเป็นคู่รักกัน

    แต่นั่นมันคำกล่าวในอดีตที่ผ่านมานานแสนนาน

    ไม่รู้ว่ามันจะยังใช้กับยุคนี้ได้อยู่ไหม?

     

     #wolfchanbaek







     

    @teriizs : ฮ่าสวัสดีทุกคนที่เข้ามาอ่านนะ เอาจริงๆ เรียกว่าหลงเผลอกดเข้ามาดีกว่า 5555555555 ทำเหมือนเยอะเนาะ ฟิคนี้เป็นแนวที่เราอยากอ่าน เราแต่งสนองนี้ดตัวเองแหละ 55555555555 ไม่ว่าจะหลงเข้ามาหรืออะไรก็ตามแต่ โอเค๊ อันนี้เป็นเรื่องแรก(มั้ง) ลองอ่านแล้วมันไม่ดีเลยอะ T__T ด่าได้ ไม่ว่า 5555555555555555555555

    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×