ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผู้กล้าปีศาจ

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 7

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ย. 66


    ตอน อุบัติเหตุเล็กน้อยในงานเลี้ยงวันเเรก(2)

    “ลึกๆในใจของพวกเเกคงจะอิจฉาเขาคนนั้นล่ะสิ ทุกคน ทั้งไอ้พวกราชวงศ์ ไอ้อัศวิน เเล้วก็ไอ้ราชา อิจฉาผู้กล้ามิคาเอลใช่ไหม อิจฉาความสำเร็จของเขา อิจฉาที่เขาได้รับการยกย่อง เเละพวกเจ้าก็อิจฉาที่มันไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเจ้าเอง พวกเจ้าไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เท่าผู้กล้า เเละเมื่อตัวเองทำไม่ได้ ก็เลยมีเเต่ต้องดึงผู้กล้าให้ต่ำลงเพราะถ้าทำเเบบนั้นพวกเจ้าถึงจะมีความสุขใช่ไหม ตัวตนที่คอยเเต่อิจฉาริษยาสิ่งที่คนอื่นมีเเต่ตัวเองไม่มี พวกเจ้ามันสมควรเเล้วกับคำว่า เดรัจฉาน ”

    หลังจากจบการร่ายยาวของเด็กชาย สีหน้าของผู้คนก็เปลี่ยนไป ดวงตาของพวกเขากลายเป็นสีเเดง ความโกรธของพวกเขามาถึงขีดจำกัดเเล้ว พวกเขาต้องการฉีกเนื้อเด็กชายเป็นชิ้นๆ สิ่งที่เด็กชายพูดนั้นมันเหมือนกับการตบหน้าผู้คน500,000คนพร้อมกัน

     เด็กชายไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น ทุกคนในที่เเห่งนี้ต้องการหยุดการกระทำของเขา เเต่ไม่ว่าจะขอร้องหรือข่มขู่เด็กชายก็ไม่มีทีท่าจะหยุด

    “เราจะทำอย่างไรดีครับองค์ราชา” อัศวินคนหนึ่งถามด้วยความกังวลเมื่อเห็นสถานการณ์มาถึงทางตัน

    เเอสเบิร์นส่ายศีรษะ เขาพูดไม่ดัง เเต่เสียงของเขาถูกขยายด้วยเวทมนตร์

    “ ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน เเม้ผู้กล้าปีศาจจะตายเเล้ว เเต่ดูเหมือนว่าจะยังมีคนที่ถูกเขาล้างสมองอยู่”

    เเอสเบิร์นมีสีหน้าที่โศกเศร้า เเต่เเอบยิ้มอยู่ในใจ เส้นเลือดของเด็กชายปูดขึ้นเมื่อได้ยินคำใส่ร้ายนี้

    “ไร้สาระข้าไม่ได้ถูกล้างสมอง เจ้านั่นเเหละที่ใส่ความข้า ไอ้คนชั่ว”

    เด็กชายกรีดร้องด้วยความโกรธ เเอสเบิร์นทำเป็นไม่ได้ยินที่เด็กชายพูด เขายังกล่าวต่อ

    “ประชาชนของข้า เด็กน้อยผู้น่าสงสารผู้นี้ถูกปีศาจผู้กล้าล้างสมอง เขาจะไม่มีทางกลับมามีความคิดปกติเหมือนเดิมอีกเเล้ว ข้าคิดว่า เขาควรจะได้รับการปลดปล่อยก่อนที่เขาจะทำเรื่องเลวร้ายในอนาคต เรื่องนี้ ข้าจะให้พวกเจ้าเป็นคนตัดสินใจ ว่าเด็กผู้นี้ควรจะได้รับสิ่งใด ”

    องค์หญิงลำดับที่เจ็ด เธอเป็นเด็กสาวอายุ10ขวบ มีเส้นผมสีขาวยาวสลวยลงมาถึงต้นขา ใบหน้าที่อ่อนเยาว์เเละผิวที่ขาวเนียนทำให้ผู้คนที่มองดูรู้สึสึกเอ็นดู ชุดเดรสของเธอพริ้วไหวเมื่อเธอก้าวเดินออกมา

    “ปะป๊า ข้าอยากลองเวทมนตร์ใหม่กับเจ้านั่น”

    เธอส่งยิ้มให้เเอสเบิร์น

    “โอ้? เวทย์ใหม่งั้นรึ คิดค้นเองรึเปล่า”

    เเอสเบิร์นทำตาโตด้วยความสนใจ

    “ใช่เเล้วปะป๊า เป็นเวทย์ที่มีเเค่เวนดี้เท่านั้นที่รู้หลักการใช้งาน ให้ข้าได้ทดลองมันตอนนี้ได้ไหม”

    เด็กสาวกระพริบตา

    “มันก็ได้อยู่หรอก เเต่เวนดี้ปะป๊าบอกเเล้วไงอยู่ข้างนอกให้เรียกว่าองค์ราชา ”

    เเอสเบิร์นผู้สูงส่งตอนนี้กลับเเสดงท่าทางพ่อที่โอ๋ลูกสาวออกมา เขาทำเหมือนจะดุเเต่ก็ไม่ได้ดุ

    เวนดี้ตกใจ

    “ปะป๊า เอ้ย! องค์ราชาข้าลืมเรื่องนั้นไปเลย”

    นางสบัดหน้าอย่างลืมตัว เเอสเบิร์นถอนหายใจ

    “เอาเถอะ เด็กน้อย ข้าอยากถามว่าเจ้าเข้าใจสถานการณ์ดีเเค่ไหน”

    “ข้าเข้าใจสถานการณ์ดี เวทมนตร์ใหม่ของข้าสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้”

    พูดจบเธอก็ยื่นเเขนเล็กๆออกมาด้านหน้า เวทมนตร์ของเธอกำลังถูกเรียกใช้งาน

    “เจ้าเด็กน้อย...ไม่สิบางทีเจ้าอาจอายุเท่าข้า เอาเป็นว่า เจ้าดำ เจ้าบังอาจว่าร้ายปะ- องค์ราชา จงรับผลที่ตามมาซะ เวทมนตร์ระดับ3 ที่ข้าพึ่งคิดค้น ขอตั้งชื่อว่า พันธนาการกางเขนดารา”

    เวนดี้มีท่าทีลนลานระหว่างที่พูดเเต่สุดท้ายเวทมนตร์ของเธอก็ถูกใช้งาน เด็กชายมองดูเด็กสาวด้วยความกังวน ร่องรอยความกลัวปรากฏขึ้น เเต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับไม่มีพลังเวทย์หรืออะไรก็ตามออกมาจากมือของเด็กสาว มันทำให้เด็กชายรู้สึกหัวเสียที่ตนเองเกิดกลัวขึ้นมา เเต่ไม่นานนักพื้นที่ที่เด็กชายเหยียบอยู่ก็เปร่งเเสงออกมา

     เเสงสว่างพุ่งขึ้นมาจากพื้นเเละกลืนกินร่างของเด็กชาย หลังจากนั้นมันกลายเป็นเสาลำเเสงที่มีลักษณะคล้ายกับไม้กางเขนขนาดใหญ่ เสาลำเเสงนั้นมีสีดำเเละมีดวงดาวจำนวนมากอยู่ภายใน เด็กชายถูกพันธนาการอยู่บนไม้กางเขน เเม้เขาจะพยายามดิ้นอย่างเต็มกำลังเเต่เขาก็ไม่สามารถหลุดไปได้

    เหล่าชนชั้นสูงมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความสนใจเเละชื่นชมองค์หญิงเจ็ด

    “โห! น้องเล็กเราสุดยอดไปเลยเนอะ ข้าอยากเรียนเวทย์นั้นบ้างจัง นางจะยอมสอนให้ข้าไหมนะ ”

    ชายคนหนึ่งลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกับเบิกตาโตเมื่อมองสิ่งที่เกิดขึ้น เขาอยู่ในชุดของราชวงศ์ที่มีเครื่องประดับมากมาย ใบหน้าหล่อค่อนไปทางสวย ร่างกายบอบบางเเต่ก็ยังมีสเน่ห์ของชายหนุ่ม เขาคือองค์ชายสี่ เรคิเอล

    “เเน่นอน ก็เธอไม่ได้เอาเเต่เที่ยวเล่นเหมือนใครบางคนนิ”

    หญิงสาวที่ดูเย่อหยิ่งส่งสายตาที่ดูถูกไปทางองค์ชายสี่ก่อนจะเบือนหน้าหนี นางคือองค์หญิงห้า อลิซ

    “พวกพี่ๆก็หยุดพูดอะไรไร้สาระเเล้วมาพนันกับข้าดีมั้ย ว่าต่อไปจะมีเรื่องสนุกเเบบไหนเกิดขึ้น ข้านะเดาว่าหมอนั่นจะถูกเผาทั้งเป็น หรือไม่ก็คงถูกลอกหนัง ไม่สิภาพเเบบนั้นจะเอาให้ประชาชนที่เป็นเด็กดูได้ยังไง”

    เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาและยังฉายแววเย็นชา ขณะเดียวกันก็ดูเหมือนเด็กที่ติดเล่น องค์ชายลำดับที่หก เฟรุน

    “นี่พี่วิโอล่า...ต่อไปพี่คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหมอนั่นเหรอ”

    เฟรุนส่งยิ้มที่ดูไม่น่าไว้ใจไปทางหญิงสาวที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สามของที่นั่งบุตรธิดาของเเอสเบิร์น ก่อนหน้านี้เธอนั่งอยู่เงียบๆ เเละปิดตาเอาไว้ตลอดเวลา เมื่อได้ยินเสียงขององค์ชายหกเธอก็ลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงตาของเธอส่องประกายที่เย้ายวน เมื่อรวมเข้ากับชุดสีขาวรัดรูปก็ยิ่งทำให้เธองดงามราวกับเทพบนสวรรค์

    “ฉันคิดว่าเราควรหยุดการพูดคุยนี้ เเล้วรับชมการเเสดงของเหล่าประชาชนดีกว่าค่ะ”

    “คราบๆ”

    เฟรุนตอบด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวัง

    ผู้คนจ้องมองเสาไม้กางเขนอย่างไม่วางตา ภายในกลุ่มคนเหล่านี้ ชายคนหนึ่งได้สติกลับมาจากภวังค์เเละหยิบก้อนหินที่อยู่ตามพื้นขึ้นมา จ้องมองมัน เขากำลังเลือก ทางเลือกสองทางที่ยากลำบาก สายตาของเขาว่างเปล่าภายในของเขาเกิดความขัดเเย้งระหว่างทำตามสิ่งที่หัวใจเรียกร้องหรือศิลธรรมที่เขาเชื่อมั่น เมื่อเขามองก้อนหินในมือสลับกับเด็กชายที่อยู่บนไม้กางเขน ในที่สุดความรู้สึกที่เอ่อล้นของเขาก็ก้าวข้ามศิลธรรม เขาตัดสินใจทำตามหัวใจตนเอง

    “นี่! หะ เห็นบอกว่า เด็กนี่ถูกผู้กล้าปีศาจล้างสมองใช่ไหมนะ ถะ ถ้างั้น ทำไมเราไม่...

    ชายคนนั้นใช้การกระทำเเทนคำพูด เขาปาก้อนหินในมือใส่เด็กชาย หินก้อนนั้นะพุ่งไปไม่เร็วมาก เเต่มันพุ่งเข้าไปกระเเทกตรงใบหน้าเด็กชายทำให้เลือดสดๆไหลออกมา เด็กชายสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นผ่านร่างกายเขาทำให้เขาร้องออกมา

    โอ๊ย! ...เจ็บนะเว้ย

    คนที่ยืนอยู่ข้างๆชายที่ปาหินมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสายตาที่ตื่นตระหนก เขาพูดขึ้นด้วยความสับสนเเละลนลาน

    “จะ เจ้าทำอะไร นั่นเป็นเเค่เด็กนะ ”

    ชายที่ปาหินก่อนหน้านี้ตกใจเมื่อได้ยินคำถามก่อนจะหันมามองชายข้างๆด้วยร่างกายสั่นเทา ก่อนจะพูดอย่างตะกุกตะกักราวกับคนบ้า

    “ไม่ใช่นะ ขะ ข้าไม่ผิดซะหน่อย ใช่ไหมละ นั่นไง เจ้าเด็กนั่นมันทำตัวเอง อีกอย่างเจ้าก็ได้ยินเเล้วนิ เด็กนั่นถูกล้างสมองความคิดของเขาไม่ปกติ เขาไปเข้ากับปีศาจเเล้ว ข้าเเค่จะลงโทษปีศาจ มะ มันผิดรึไง!

    เสียงของเขาเริ่มจากเบาเเละจบลงด้วยการตะโกนอย่างสุดเสียงในคำสุดท้าย เนื่องจากทั้งจัสตุรัสเเห่งนี้อยู่ในภาวะเงียบสงั่น ทำให้คนทั้ง500,000คนได้ยินสิ่งนี้ทั้งหมด เเละเมื่อรวมกับความโกรธที่ถูกเด็กชายก่นด่าว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานก่อนหน้า มันก็ทำให้ผู้คนเริ่มมีความคิดที่เเปลกประหลาดเกิดขึ้น

    พวกเขาก้มตัวลงโดยไม่ได้นัดหมายเพื่อเก็บก้อนหินตามพื้น อย่าไม่เร่งรีบ เมื่อเก็บได้จนเต็มมือ พวกเขาก็เริ่มปาหินใส่ร่างกายผอมซูบของเด็กชาย พวกเขาปามันอย่างไม่รีบร้อนราวกับมันเป็นเรื่องที่ธรรมดาที่สุดในโลก สิ่งนี้มันกลายเป็นภาพเหตุการณ์ที่เกินจะบรรยายเป็นคำพูด

    ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ชายเเละหญิง ต่างหยิบก้อนหินบนพื้นเเล้วปาใส่เด็กชายที่ถูกตรึงด้วยกางเขน สิ่งที่เเปลกคือพวกเขาทำมันโดยไม่เอ่ยปากพูดเเม้เเต่คำเดียว พวกเขาก้มตัวหยิบหิน เเละปาออกไป ทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างธรรมชาติเเละเกิดขึ้นโดยไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ในจัตุรัสเเห่งนี้มีเพียงสองเสียงที่ดังกึกก้องไปทั่ว นั่นก็คือ เสียงกรีดร้องเเห่งความเจ็บปวดของเด็กชายที่ถูกผู้คนปาหินใส่ เเละเสียงที่สองคือเสียงของหินที่ตกลงพื้น

    เสียงร้องของเด็กชายดังมาก เพราะทุกคนในสถานที่เเห่งนี้เงียบ ความเจ็บปวดของเด็กชายไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรับไหว เมื่อเจ็บปวดมากๆ ร่างกายของคนๆนั้นจะมีการป้องกันตัวเองด้วยการทำให้สลบ เเต่เวทมนตร์ของเวนดี้ยังทำให้เด็กชายมีสติอยู่ตลอดเวลาเเละเมื่อเขากำลังจะตายเวทมนตร์นั้นก็จะรักษาร่างกายกลับมาใหม่อีกครั้ง

    ผู้คนสังเกตเห็นสิ่งนี้เเละเริ่มปาหินให้รุนเเรงมากขึ้น ถูกต้องตอนเเรกพวกเขายั้งมือเอาไว้ เหตุผลนั้นช่างโหดร้าย นั่นก็เพราะพวกเขากลัวว่าเด็กชายจะตายง่ายเกินไป

    ฟิลิบที่สังเกตเหตุการณ์ตลอดเวลา เมื่อพบเจอกับภาพที่ผิดปกตินี้เขาเเสร้งทำเป็นคลึงขมับ ราวกับคนปวดหัว เเต่ในความเป็นจริง เขากำลังปกปิดน้ำตา เขากำลังโกรธจนน้ำตาไหล ในใจของเขาเกิดคำถามว่าคนเหล่านี้ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่ พวกเขากำลังทรมานเด็กตัวเล็กๆเเล้วยังมีท่าทีที่หรรษาอย่างมาก

    ถูกต้อง มันดูเหมือนกับพวกเขากำลังสงบนิ่งเเละยังมีสติดี เเต่ในความเป็นจริง กลุ่มคนเหล่านี้สติเเตกกันไปนานเเล้ว ประชาชน500,000คนกำลังสนุกเเละเพลิดเพลินกับช่วงเวลาที่พวกเขาได้ทรมานเด็กชาย ความรังเกียจที่มีต่อเด็กชายก่อนหน้านี้ยังไม่หายไปไหน เเละพวกเขาก็ไม่ได้อดกลั้น เเต่ตรงกันข้ามพวกเขากำลังระบายมันออกมา ระบายความเเค้นโดยการฟังเสียงกรีดร้องของเด็กชาย 

    การที่พวกเขาเอาเเต่ปาหินเเละไม่ปริปากพูดนั้นมีเหตุผลซ่อนอยู่ มันเป็นเพราะพวกเขาเคียดเเค้นเเละชิงชังเด็กชายมากเกินไป มันมากเกินกว่าที่จะจบลงด้วยความตายของเด็กชาย พวกเขาต้องการฟังเสียงเเห่งความเจ็บปวดของเด็กชาย หากพวกเขาปาหินพร้อมกับตะโกนสาปแช่งเสียงของพวกเขาจะกลบเสียงกรีดร้องของเด็กชายจนหมด ดังนั้นพวกเขาจึงเงียบ เพื่อที่จะได้ฟังเสียงนั้นชัดๆเเละเพลิดเพลินไปกับมันโดยไม่สนใจเลยว่าพวกเขาได้ละทิ้งคุณธรรมของมนุษย์ไปเเล้ว พวกเขากำลังหลงไหลมัน มีบางครั้งที่พวกเขาหลุดยิ้มออกมา บางคนกระทั่งน้ำมูกน้ำลายไหล หนักที่สุดก็คือมีคนเริ่มสำเร็จความใคร่

    ยิ่งเด็กชายส่งเสียงดังเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ณ จุดนี้เรื่องคุณธรรม จริยธรรมทั้งหมดถูกลบออกไปจากหัวพวกเขาอย่างสิ้นเชิง ทุกการปาหินพวกเขาจะใส่ความเกรียดชังที่มีต่อเด็กชายลงไปด้วยการตะโกนอยู่ในใจตัวเอง

    “ไอ่เด็กเดรัจฉาน พ่อเเม่ไม่เคยสั่งสอนรึไง”

    “เเกว่าใครอิจฉาไอ้ผู้กล้านั่น”

    “เป็นเเค่เด็กก็อย่ามาทำเป็นรู้ดี”

    “เก่งมากนักใช่มั้ย ตอนนี้ไม่เก่งเเล้วรึไง”

    “อยู่อย่างเจียมกะลาหัวก็ดีอยู่แล้ว”

    “ดังกว่านี้ ร้องให้มันดังกว่านี้อีกไม่ได้รึไง”

    “อ๊า! ร้องให้ดังกว่านี้อีก เสียงนี้มันช่างไพเราะ ข้าทนไม่ไหวแล้ว ”

    บนที่นั่งของเหล่าบุตรธิดาของเเอสเบิร์น ตำแหน่งที่สอง หญิงสาวจ้องมองเด็กชายที่กำลังถูกรุมประชาทัณฑ์ เธอใส่ชุดกราวสีขาวที่เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์ เธอไม่ได้เเต่งหน้าแถมยังใส่เเว่นตาที่มีเลนส์กลมโต เเต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้เธอมีสเน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด สายตาของเธอเเหลมคมมันจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเด็กชาย

    “ ใช้ได้นิ ไม่สิ นี้มันเยี่ยมมาก ดีสุดๆไปเลย เขาเหมาะสมมาก ทั้งที่กำลังถูกรุมประชาทัณฑ์เเละยังร้องเหมือนผู้หญิงเเต่เเววตาคู่นั้นกลับยังเเข็งกร้าวเเละมั่นคง ดีมากข้าต้องการเขา”

    เธอลุกพรวดขึ้นเเละเดินไปหน้าเเอสเบิร์น เธอคุกเข่าลงทำความเคารพก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “องค์ราชา ข้าปรารถนาจะได้ตัวเด็กคนนั้นอย่างมาก”

    “เจ้าต้องการเด็กนั้นงั้นหรือ ไอเนีย”

    ไอเนียพยักหน้า

    “ใช่เเล้วเพคะ ในการทดลองคิดค้นเวทมนตร์รูปเเบบใหม่ๆ ข้าจำเป็นต้องใช้มนุษย์เป็นๆในการทดลอง โดยเฉพาะคนที่มีจิตใจเข้มแข็ง”

    เเอสเบิร์นครุ่นคิดก่อนจะตอบตกลง

    “ ดีกว่าจะให้มันตายอย่างเปล่าประโยชน์ จะดีกว่าถ้าข้ายกให้เจ้า ว่าเเต่การทดลองเเบบไหนกันถึงต้องใช้คนที่มีจิตใจเข้มเเข็ง”

    ไอเนียยิ้ม“ก็นะท่านพ่อ คนที่ท่านพ่อส่งมาให้ ถูกทดลองเเค่ไม่กี่ครั้งก็ทนไม่ไหวเเล้ว บอกว่าตายซะยังดีกว่ากันทุกคนเลย ข้าจะต้องเปลี่ยนคนอยู่บ่อยๆทำให้การคิดค้นเวทมนตร์ไม่ก้าวหน้าซักที”

    “เป็นเช่นนี้เอง ทำไมไม่บอกข้าก่อนหน้านี้ หากบอกข้าก็จะได้จัดหาไปให้เจ้า ไอเนีย สติปัญญาของเจ้าเป็นอันดับหนึ่งของเหล่าบุตรธิดาของข้าเเละยังเป็นที่หนึ่งในอาณาจักร หากเจ้าต้องการสิ่งใดเพียงบอกข้า เพราะความต้องการของเจ้าก็คือความต้องการของทั้งอาณาจักร”

    เเอสเบิร์นยกมือเพื่อลูบศีรษะของไอเนียอย่างอ่อนโยน

    “ขอบพระคุณท่านพ่อ ถ้างั้น ข้าอยากจะได้คนจำนวนมาก เเละจะดีมากหากเป็นคนที่ศรัทธาผู้กล้ามิคาเอล เพราะเเบบนั้นข้าจะได้ไม่รู้สึกผิดเเละจะได้ใช้งานคนเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่”

    แอสเบิร์นหัวเราะ

    “ดีมาก รู้จักใช้ผู้คนให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด เจ้าช่างเหมือนข้ายิ่งนัก เอาหล่ะ ทหารนำตัวของเด็กผู้ชายคนนั้นมาให้กับธิดาของข้า องค์หญิงลำดับที่สอง ไอเนีย ”

    “รับทราบ”

    ทหารหลายสิบนายตอบอย่างพร้อมเพรียงเเละเริ่มดำเนินการทันที หลังจากนี้ไปไม่มีใครรู้เลยว่าเด็กชายจะต้องพบเจอกับนรกเเบบใด 

    แอสเบิร์นมองดูสถานการณ์เมื่อถึงจุดที่เหมาะสมเขาจึงเริ่มพูดด้วยเสียงที่ถูกขยายด้วยเวทมนตร์

    “ประชาชนของข้า ข้าเห็นถึงจิตใจที่รักในคุณธรรมเเละต่อต้านปีศาจของพวกเจ้าเเล้ว จากนี้อีกเป็นเวลา7วัน เชิญดื่มด่ำกับงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกันให้เต็มที่ ”

    เมื่อได้ยินเสียงของเเอสเบิร์นพวกเขาก็ได้สติกลับมา ราวกับถูกปลุกให้ตื่นจากความฝัน

    พวกเขากลับไปสนุกกับงานเลี้ยงอีกครั้งราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

    เหตุการณ์นี้ไม่ได้ถูกปิดเป็นความลับเเต่มันก็ไม่ได้รับการเผยแพร่ออกไปในวงกว้างเช่นกัน เหตุผลง่ายมากเพราะในสายตาของมหาอำนาจเรื่องนี้มันไม่สำคัญ มันเป็นเพียงอุบัติเหตุเล็กๆที่เกิดขึ้นในระหว่างงานเลี้ยงเท่านั้น เเต่เเม้จะเป็นเรื่องเล็กๆมันก็ไม่รอดพ้นสายตาของร้านค้าตลาดมืด พวกเขามีหูตาอยู่ทุกที่ เรเซลก็เช่นกัน เเต่จากการประเมินของพวกเขาข่าวนี้ไม่มีส่วนไหนที่สำคัญพอจะทำให้เหล่าผู้มีอิทธิพลสนใจ ดังนั้นมันจึงถูกใส่ไว้ในส่วนสุดท้ายของ อุปกรณ์เวทย์บันทึกข้อมูล

    ในป่าสนเเห่งหนึ่ง ใกล้กับเมืองโฮเอม

    มอนสเตอร์สเปชระดับE

    ที่เเห่งนี้มีต้นสนขนาดใหญ่ ความสูงของต้นสนเเต่ละต้นอยู่ประมาณ 50เมตร

    ชายคนหนึ่งกำลังใช้พลั่วขุดหลุมอย่างขมักเขม้น หลังขุดได้ความลึกประมาณ3เมตร เขาก็นำไม้ที่ปลายถูกเหลาจนเเหลมราวกับหอกลงไปทำการเสียบตามพื้นโดยปลายเเหลมหันขึ้นด้านบน หลังจากนั้นชายคนนั้นก็ปีนขึ้นมาด้านบน ใช้ใบไม้ที่มีขนาดเท่าประตูบ้านปิดด้านบน

     สุดท้ายก็นำดินมากลบ ทำให้มันเนียนไปกับพื้น เมื่อทำเสร็จมิคาเอลก็เดินไปหลบหลังต้นไม้ เพื่อรอมอนสเตอร์เดินมาติดกับจนตกลงไปในหลุม 

    มิคาเอลออกมานอกเมืองโฮเอมด้วยเวทย์เคลื่อนย้ายระยะใกล้ของพ่อค้า เวทมนตร์เคลื่อนย้ายระยะใกล้เป็นเวทย์ระดับ4ที่ค่อนข้างใช้งานยากเเต่มันก็สะดวกอย่างมาก ข้อเสียเดียวของมันก็คือระยะทางที่มันสามารถเคลื่อนย้ายมีจำกัด เหตุผลที่มิคาเอลขอให้พ่อค้าใช้เวทมนตร์ชนิดนี้เป็นเพราะ เมืองโฮเอมมีเขตเเดนเวทย์บรรชาการทาส เขาไม่สามารถเดินทางผ่านเมืองตรงๆได้ 

    เมื่อมาถึงมอนสเตอร์สเปชเเห่งนี้มิคาเอลก็เริ่มสำรวตพื้นที่ หลังจากที่เขารู้เส้นทางการเดินของมอนสเตอร์ เขาก็สร้างกับดักทันที มันเป็นกับดักที่หากมีสัตว์ไปเหยียบมันจะตกลงไปเเละจะมีหอกไม้ที่เขาเตรียมไว้เเทง มันเป็นกับดักที่เรียบง่ายเเต่มันก็ปลอดภัยเเละมีประสิทธิภาพ หากเป็นกับดักชนิดจับเป็นหากมันดิ้นจนหลุดเขาเองที่ต้องตาย กับดักชนิดนี้จะทำให้ตัวอะไรก็ตามที่ตกลงไปได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือถึงขั้นเสียชีวิตทันที

     สิ่งที่มิคาเอลต้องทำมีเพียงรออยู่นิ่งๆ การรอนิ่งๆเเบบนี้อาจจะใช้เวลานานหากเป็นพื้นที่ปกติ เเต่ที่เเห่งนี้คือ มอนสเตอร์สเปซที่มีมอนสเตอร์จำนวนมากเดินว่อนไปทั่ว

     เป็นอย่างที่คิดมีมอนสเตอร์รูปร่างคล้ายมนุษย์ยักเดินมาทางกับดัก มิคาเอลหยุดเคลื่อนไหวร่างกายทันทีเขากระทั่งหยุดหายใจ มันเดินเข้ามาทางกับดัก ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด มอนสเตอร์ตัวนั้นตกลงไปในหลุมกับดักมันร้องครวญครางออกมาเพียงชั่วครู่ก่อนจะเงียบไป มิคาเอลเดินมาดูที่ปากหลุม มอนสเตอร์ตัวนี้คือ อ็อค ร่างของมันถูกเเทงตาย

    เสียงเเจ้งเตือนดังขึ้นมาในหัวของเขา

    อ็อคระดับFถูกสังหาร ได้รับพลังเวทย์+5

    ชื่อ มิคาเอล

    เผ่าพันธุ์ มนุษย์ เพศชาย

    ปริมาณพลังเวทย์ : 5

    ฉายา —


    จบ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×