คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3
ตอน ปฐมบทเเห่งการฆ่า
ในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ นกตัวหนึ่งโบยบินอย่างอิสระท่ามกลางท้องฟ้าเเละเเสงเเดด นกตัวนี้ไม่ใช่ใครนอกจากมิคาเอล
หลังจากคิดอย่างรอบคอบในทุกเเง่มุม ทางเลือกที่ดีที่สุดคือเวทมนตร์ประเภท เเปลงร่าง เขาใช้เวทย์เเปลงร่างเป็นนก ในสถานการณ์ปัจจุบันเวทมนตร์ประเภทนี้เหมาะสมที่สุด
จุดเด่นของเวทย์ประเภทเปลี่ยนร่างคือ ใช้เพียงครั้งเดียว เเต่ผลกระทบของมันจะอยู่ได้นานกว่าเวทย์มนต์ประเภทอื่น ยกตัวอย่างเช่น เวทย์มนต์ธาตุลม มันจะส่งเขาบินไปบนท้องฟ้า เเต่มันต้องเผาผลาญพลังเวทย์ตลอดเวลาเพื่อใช้งาน เมื่อคำนวณจากเวลาการใช้งานที่ไม่เเน่นอนโดยรวมเเล้วมันใช้พลังเวทย์มากเกินไป
ดังนั้นเวทมนตร์ประเภทเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์จึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
เเล้วทำไมถึงต้องเป็นนก นั่นเป็นเพราะว่า นกสามารถบินได้เเละนกตัวเล็กมากมันกินพลังเวทย์น้อยเเละจะยืดเวลาการใช้ได้นานขึ้น เเล้วทำไมถึงไม่ใช้เวทย์มนต์เเสงเเล้วพุ่งไปที่เป้าหมายย่างรวดเร็ว ข้อดีของเวทย์เเสงคือความเร็วเเละใช้พลังเวทย์น้อยเช่นกัน เเต่ข้อเสียของมันคือ เมื่อใช้งานจะไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางมันจะพุ่งตรงเพียงอย่างเดียว
ในสถานการณ์ที่เขาไม่รู้ตำแหน่งที่เเน่ชัดของเมืองเป้าหมาย หากเลือกทิศทางเเบบสุ่มมันอาจส่งเขาไปที่ๆเเย่ยิ่งกว่าทุ่งหญ้าหรือหากโชคร้ายเขาอาจจะเข้าไปอยู่ในฝูงมอนสเตอร์เเละเขาจะถูกฆ่าตายอย่างน่าสมเพช
ดังนั้นเวทย์เปลี่ยนร่างเป็นนกที่สามารถบินได้อย่างอิสระจึงเหมาะสมกับสถานการณ์นี้ที่สุด
ระหว่างการเดินทางมิคาเอลก็สำรวจพื้นดินไปด้วยเเต่เขาก็ได้เเต่ถอนหายใจนอกจากทุ่งหญ้าสีเขียวก็มีเพียงมอนสเตอร์กลุ่มเล็กๆ
เเละส่วนมากจะอยู่ประมาณระดับF ซึ่งเป็นมอนสเตอร์ระดับต่ำสุด ระดับของมอนสเตอร์จะเเบ่งออกเป็น ระดับFที่อ่อนเเอที่สุด ยกตัวอย่างเช่น สไลม์ พวกมันก็เป็นมอนสเตอร์ระดับF ต่อมาคือระดับE ยกตัวอย่างเช่น แร้งที่กินศพเขาไปก่อนหน้านี้ ต่อมาก็เป็นระดับ D C B A เเละ S
โดยปกติเเล้วมอนสเตอร์ที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้สูงสุดก็อยู่ที่ระดับ A เพราะข้อมูลของระดับ S จะถูกทางอาณาจักรหรือโบสถ์ปกปิดเอาไว้เพราะมันเป็นสิ่งที่อันตรายเกินไป คนทั่วไปหรือกระทั่งนักผจญภัยระดับสูงก็รู้เพียงว่ามันมีตัวตนอยู่จริงเเต่ไม่เคยเห็น เเต่ในสถานการณ์ปัจจุบันไม่จำเป็นต้องพูดถึงระดับ AหรือS เพราะเเค่ระดับFตัวเดียวก็ฆ่าเขาตายได้เป็นร้อยครั้งเเล้ว
มิคาเอลไม่คิดจะลงไปเสี่ยงชีวิต ดังนั้นเขาจึงบินผ่านฝูงมอนสเตอร์เหล่านี้ไปอย่างไม่ใส่ใจ เเม้การฆ่าพวกมันจะให้พลังเวทย์เเก่เขาจำนวนมาก เเต่เพราะเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเเละยังตัวเปล่า การต่อกรกับพวกมันก็มีเพียงจะไปเป็นอาหารให้พวกมันเท่านั้น ด้วยการเปลี่ยนเป็นนกเขาสามารถหลบเลี่ยงพวกมันได้อย่างไม่มีปัญหา เมื่อบินมาได้ซักระยะเขาก็เริ่มเห็นสัญญาณที่ดี
มีควันไฟลอยขึ้นมาด้านหน้าที่เขากำลังบินไป ในที่สุดเขาก็ออกจากเขตของทุ่งหญ้า เขาตัดสินใจบินเข้าใกล้ควันไฟนั้น ในที่สุดก็ปรากฏบ้านหลังเเรก เมื่อบินไปอีกก็มีบ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เเต่ทว่าบ้านทุกหลังถูกเผาจนเหลือเพียงซาก
“มีกลิ่นเลือด ดูเหมือนเมืองนี้จะพึ่งถูกโจมตี ”
มิคาเอลคาดเดา เขามองสภาพบ้านเมืองที่จมอยู่ภายใต้กองเพลิงด้วยอารมณ์ที่สงบนิ่ง
กองเลือดสามารถพบเห็นได้ตามพื้น มีร่องรอยเวทมนตร์เเละอาวุธของมนุษย์ ไม่มีร่องรอยเวทย์ของมอนสเตอร์ ด้วยข้อมูลที่มีเขาสามารถคาดเดาได้คร่าวๆว่า เมืองนี้พึ่งถูกมนุษย์โจมตี อาจจะเป็นกองโจรหรือเมืองคู่อริ เขาบินต่อไปถึงจุดที่คาดว่าจะเป็นใจกลางเมือง เเละบินวนเพื่อสังเกตการณ์
“เมืองนี้มีร่องรอยการสร้างเขตเเดนเวทย์ เขตเเดนนี้คือ เขตเเดนเวทมนตร์บรรชาการทาส เขตเเดนนี้จะทำให้คนที่อยู่ข้างในถูกบังคับให้ทำตามคำสั่ง ปกติเขตเเดนเวทย์นี้ต้องใช้เวลาสร้างนานเเละเสี่ยงที่จะถูกทำลาย ถ้าหากมันถูกเรียกใช้เเสดงว่า มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพ่ายเเพ้เเล้ว ฉันควรสังเกตการณ์ต่ออีกหน่อย”
ที่ใจกลางเมือง เจ้าเมืองคุกเข่าลงต่อหน้าชายคนหนึ่ง ไม่นานมานี้เมืองเเห่งนี้ถูกโจมตีโดยเมืองข้างเคียง พวกเขามีปัญหาเนื่องจากมีอาณาเขตติดกัน ผลลัพธ์คือฝ่ายเมืองข้างเคียงที่เป็นฝ่านโจมตีได้รับชัยชนะ ด้วยการโจมตีอย่างกระทันหันทำให้เมืองที่ถูกโจมตีไม่มีเวลาระดมกำลังรบ ด้านป้องกันทั้งหมดจึงถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว กองทัพทหารหลายพันนายหลั่งไหลเข้ามาในเมือง
โดยปกติเเล้วกองทัพทั้งสองเมืองจะมีพลังเท่าเทียมกันเเต่ใน สถานการณ์นี้ฝ่ายที่ถูกโจมตีเป็นฝ่ายเสียเปรียบ กองทัพเมืองต้องสู้กับกองทัพศัตรูพร้อมทั้งปกป้องประชาชนที่ อพยพไม่ทันไปด้วยทำให้พวกเขาเสียเปรียบอย่างหนัก จนในที่สุดพวกเขาก็ไม่สามารถอดทนได้
พวกเขาเป็นฝ่ายพ้ายเเพ้ในสงครามเเละต้องสูญเสียทุกอย่าง เจ้าเมืองสามารถยอมรับการสูญเสียทรัพย์สินหรือเงินทองได้ เเต่เขาไม่ยอมรับที่จะให้ชาวเมืองต้องมาจบชีวิตลงอย่างไร้ค่า เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียชีวิตของชาวเมือง เขาจึงต้องคุกเข่าเเละยอมสวามิภักดิ์ ด้วยเหตุนี้การเข่นฆ่าจึงหยุดลง
“เเม้ข้าจะยอมเเพ้เเละชาวเมืองต้องตกเป็น เชลย เเต่มันก็ยังดีกว่าที่ทุกคนจะถูกฆ่าตายอย่างเปล่าประโยชน์ ข้ามันเป็นเจ้าเมืองที่ไร้ความสามารถนี่คือสิ่งเดียวที่ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้ จงมีชีวิต เเม้จะหาเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ไม่เจอ พวกเจ้าก็ต้องมีชีวิต ข้าเชื่อว่าซักวันจะต้องมีคนยื่นมือมาช่วยพวกเจ้าอย่างเเน่นอน ”
เจ้าเมืองมองไปยังชาวเมืองด้วยความเจ็บปวดก่อนจะหันมามองชายวัยกลางคนหน้าตาธรรมดาที่ยืนอยู่หน้าเขา ชายคนนั้นพูดขึ้น
“ตั้งเเต่เริ่มต้นพวกเจ้าก็ไม่มีทางชนะได้อยู่เเล้ว กลยุทธ์ของฝ่ายเราเหนือกว่าพวกเจ้า หากเจ้ายอมลดศรีษะลงเเล้วคำนึงถึงจุดนี้เเล้วยอมเเพ้เเต่เเรก จำนวนผู้เสียชีวิตคงไม่มากมายขนาดนี้ มองดูกองซากศพนั่นสิ น่าสงสาร ผู้บริสุทธิ์ที่ต้องมาสละชีวิตเพราะความทะนงตนไร้สาระของผู้นำขยะอย่างเจ้า!”
“ ฮ่าฮ่าฮา อย่าพูดให้ขำเลย คนสารเลวอย่างเจ้านะหรือจะมาสงสารผู้อื่น คิดว่าข้าไม่รู้งั้นหรือ เจ้ามันเป็นเพียงทรราชย์เจ้าได้รับ ไม่สิ ยึดตำเเหน่งเจ้าเมืองมาจากพ่อของเจ้า ขนาดผู้ให้กำเนิดเจ้ายังสังหารได้ เเล้วจะนับประสาอะไรกับศัตรู”
เจ้าเมืองที่พ่ายเเพ้ศึกตะโกนด้วยความรังเกียจเเต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ชายที่เป็นเจ้าเมืองฝ่ายโจมตียืนมองอย่างสงบเเม้จะถูกด่าเเต่เขากลับไม่สะทกสะท้าน เขาเมินเจ้าเมืองที่กำลังคุกเข่า อย่างสมบูรณ์ เขาเป็นผู้ชนะ เหตุใดผู้ชนะจึงต้องฟังเสียงเห่าหอนจากผู้เเพ้
เขายิ้มอย่างไม่ถือสาก่อนจะตะโกนเสียงดัง
“ทหารทุกนายเริ่มการเก็บกวาดสนามรบ เก็บทรัพย์สินเเละของมีค่าทั้งหมดมา เเต่จำไว้ให้ขึ้นใจอย่าเข้าใกล้เขต ‘ร้านค้า’ ”
ทหารจำนวนเกือบร้อยคนที่อยู่ด้านหลังเขาเดินออกมาเเละเริ่มค้นหาของมีค่าทันที หากเจอของมีค่าพวกเขาจะเก็บไว้ หากเจอชาวเมืองพวกเขาจะบังคับให้ทำสัญญาทาส โดยปกติ การทำสัญญาทาสจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคนๆหนึ่งยินยอมที่จะตกเป็นทาสด้วยความเต็มใจเท่านั้น เเต่ในสถานการณ์นี้ไม่มีใครเต็มใจที่จะตกเป็นทาส เเต่สิ่งที่ทำให้ชาวเมืองสิ้นหวังก็คือ
เขตเเดนเวทย์บรรชาการทาส ความสามารถของมันมีเพียงอย่างเดียวคือ บังคับให้เป็นทาสโดยที่ไม่ต้องรับความยินยอม ตอนนี้ชาวเมืองส่วนใหญ่ถูกทำสัญญาทาสเรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่าเมืองเเห่งนี้จบสิ้นเเล้ว
เจ้าเมืองมองภาพที่คนของเขาถูกทำให้เป็นทาสด้วยความโกรธเเค้นเเละความเสียใจ
ในช่วงเวลานี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้หากเขาเคลื่อนไหว การเข่นฆ่าจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง เขาเป็นถึงจอมขมังเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่เเต่ในตอนนี้สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงการภาวนาให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเท่านั้น
หลังจาก สังเกตการณ์อยู่ซักพักมิคาเอลในร่างนกบินลงมาในตรอกเเคบๆที่ไม่มีอะไรพิเศษ เขาพิจารณาจากปัจจัยหลายๆอย่างเเละสามารถคาดเดาว่า สถานที่ที่เขากำลังตามหาอยู่ภายในตรอกเเคบๆนี้ เมื่อเขาบินลงถึงพื้นก็เป็นเวลาเดียวกับที่ระยะเวลาการใช้เวทย์เเปลงร่างหมดลง เขากลับคืนสู่ร่างมนุษย์ในสภาพเปลือยเปล่า
ฉันควรหาเสื้อผ้ามาใส่ก่อน
ข้อเสียของเวทย์เเปลงร่างก็คือ เมื่อกลับคืนร่างเสื้อผ้าจะหายไป มิคาเอลไม่ได้รู้สึกอายที่จะเปลือยกาย เเต่มันค่อนข้างลำบากในการพูดคุยกับผู้คน เเละมันจะยิ่งเลวร้ายหากมีใครเห็นใบหน้าของเขาเเล้วจำมันได้ เขาเห็นเศษผ้าที่ตกอยู่ที่พื้นเเละเก็บมันขึ้นมาคลุมร่าง ในระหว่างที่เขากำลังจะคลุมใบหน้า นั้นเขาไม่ทันรู้ตัวเลยว่ามีคนเดินเข้ามาจากด้านหลัง
เอ่อคือว่า คุณคือ ผู้กล้ามิคาเอลใช่ไหม
มิคาเอลเบิกตากว้าง ร่างกายเขากระตุกอย่างรุนเเรงเขาไม่อยากจะเชื่อ
ใครกัน เสียงผู้หญิง เสียงนี้วิโอล่างั้นหรอ ตัวตนของฉันถูกเปิดเผยเเล้ว ได้ยังไง
เขาหันหลังกลับอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งกระโดดถอยหลังไปหลายก้าว เเต่เมื่อเห็นหน้าเจ้าของเสียงนั้นชัดๆ คิวที่ขมวดเเน่นก็คลายตัวออก
ใช่จริงๆด้วย ท่านมิคาเอล ท่านมาช่วยพวกเราเเล้วใช่ไหม ย่ามานี่เร็ว
เจ้าของเสียงนี้ไม่ใช่วิโอล่า นางเพียงมีเสียงที่คล้ายคลึงกันเท่านั้น มิคาเอลรู้สึกโล่งใจ หากพวกราชวงศ์โดยเฉพาะวิโอล่ามาพบตัวเขาในตอนนี้เขาต้องถูกฆ่าตายโดยที่ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย เขามองหญิงสาวที่มีเสียงคล้ายวิโอล่านางมีบาดเเผลเลือดไหลที่เเขน ชุดของนางค่อนข้างธรรมดา เเต่นางกลับมีใบน่าที่เเหลมคม ดวงตาสีฟ้าส่องประกายระยิบระยับ นางพูดด้วยเสียงที่ตื่นเต้น
“คุณย่า ในที่สุดพวกเราก็รอดเเล้ว นี่คือผู้กล้าที่คุณย่าเคยพูดให้ข้าฟัง ท่านจะมาช่วยพวกเรา”
หญิงสาวจับมือหญิงชราคนหนึ่งออกมาด้านหน้า หญิงชรากับเด็กชายวัยประมาณ10ขวบเดินออกมา หญิงชรามีท่าทางใจดีส่วนเด็กชายมีสภาพมอมเเมมเเละคิ้วขมวดเเน่นใบหน้าเเสดงถึงความโกรธ ในตอนเเรกหญิงชรามีท่าทีไม่เชื่อเเต่เมื่อมองเห็นมิคาเอล น้ำตาก็เริ่มไหลออกมาจากใบหน้าของนาง พร้อมทั้งเดินมาทางเขาด้วยความรู้สึกที่หลากหลายก่อนที่นางจะคุกเข่าลงกับพื้นเเละร้องไห้ออกมา
“พระเจ้า นี้ต้องเป็นความฝัน ข้าคิดว่าท่านตายไปเเล้ว ”
หญิงชราก้มกราบเท้าของมิคาเอลเเละร้องไห้ออกมา
หญิงสาวที่มีเสียงคล้ายวิโอล่าก็ร้องไห้ออกมาเช่นกัน ส่วนเด็กชายจ้องมองมิคาเอลอย่างไม่ละสายตา หญิงสาวที่มีเสียงคล้ายวิโอล่ากับหญิงชระมีสายเลือดเดียวกัน พวกนางทั้งสองเป็นชาวเมืองธรรมดาที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ครอบครัวของพวกนางเคยทำอาชีพขายผักผลไม้ตามตลาดเเต่ในคืนที่เมืองถูกโจมตี ชาวเมืองเกือบครึ่งถูกฆ่าครอบครัวของพวกนางก็ถูกฆ่าตายเหลือเพียงย่ากับหลานสองคนที่รอดชีวิตเเต่ถึงจะรอดชีวิตก็ไม่ต่างจากตายไปเเล้วชะตากรรมของพวกนางยังต้องตกเป็นทาส โดยที่ไม่เเม้เเต่จะสามารถฆ่าตัวตายตามครอบครัวไป ส่วนเด็กชายครอบครัวเสียชีวิตทั้งหมดเเละได้มารวมกลุ่มกับหญิงชราภายหลัง
มิคาเอลมองพวกนางด้วยสายตาที่เฉียบคมไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรเเต่ไม่นานการเเสดงออกของเขากลับกลายเป็นอ่อนโยน รอยยิ้มที่อบอุ่นที่พร้อมจะรับเอาภาระทั้งหมดมาไว้กับตัวเองปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“วางใจได้ ข้าอยู่นี่เเล้ว การพบพานของพวกเราไม่ใช่เพียงความบังเอิญเเต่มันคือโชคชะตา เมื่อข้าอยู่ที่นี่ก็หมายความว่าเมืองนี้ได้รับการคุ้มครองของผู้กล้า ข้าจะไม่ยอมให้ใครน่าไหนมาทำร้ายพวกเจ้าหรือชาวเมืองเป็นอันขาด ขอสาบานด้วยชื่อของผู้กล้า”
เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงของเขาทำให้คนที่ฟังรู้สึกสบายใจ
“เราจะไม่มีวันลืมบุญคุณในครั้งนี้”
“ ฮ่าฮ่า เรื่องตอบเเทนบุญคุณอะไรนั่นช่างมันเถอะ ข้าไม่ได้ทำเพราะต้องการสิ่งตอบเเทน เเล้วพวกเจ้าชื่ออะไร”
หญิงสาวเเสดงอาการประหลาดใจนางไม่คิดว่าผู้กล้าจะถามชื่อของตัวเองนางจึงตอบออกไปด้วยเสียงสั่นๆ
“ข้าชื่อ เรอา นี่คือย่าข้า เรล่า นางเป็นจอมเวทย์ขั้น ผู้ชำนานเวทย์”
“ไม่เอาน่าเรอา ผู้กล้าเป็นถึงจอมเวทย์ขั้น มหาปราชญ์ต้นกำเนิด เเล้วเจ้าจะโอ้อวดระดับของข้าให้ได้อะไร ต้องการให้ข้าอับอายใช่ไหมเด็กบ้า”
“ฮ่าฮ่า ข้าเเค่ล้อเล่นเองเท่านั้น โอ๊ย ท่านหยิกเเก้มข้าทำไม”
ยายเรล่าเเสดงท่าทีไม่สบอารมณ์กับหลานตัวเอง
ยายคนนี้เป็นผู้ชำนาญเวทย์งั้นหรอ
มิคาเอลเเอบตกใจอยู่ภายใน เเต่ภายนอกการเเสดงออกของเขายังไม่เปลี่ยน
“เเล้วเด็กหนุ่มเจ้าละชื่ออะไร”
“ ความจริงเป็นเจ้าต่างหากที่ต้องบอกพวกข้าว่าเจ้าเป็นใคร”
เด็กชายปฏิเสธด้วยความโกรธ ทัศนคตินี้ทำให้คู่ยายหลานประหลาดใจ
“อัลเลทีสทำไมเจ้าถึงพูดเเบบนั้น!”
“เฮอะ! พวกเจ้าไม่ได้ยินข่าวนั้นรึไง”
“ข่าวอะไร”
“ก็ข่าวที่ว่าผู้กล้าเข้ากับฝ่ายปีศาจยังไงละ เขาทรยศมนุษย์เเล้วไปเข้ากับปีศาจ เเต่สุดท้ายก็ถูกกองกำลังจอมเวทย์สังหาร เขาตายเเล้ว ไม่มีทางที่เขาจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้หรอก!”
“ไร้สาระ! ผู้กล้ามิคาเอลไม่มีทางทำเรื่องเเบบนั้นอย่างเเน่นอน ทั้งหมดเป็นเพราะเขาถูกใส่ความต่างหาก”
เรอาโต้ตอบด้วยความโกรธเช่นกัน
“ ในวันประหารผู้กล้ามีผู้คนมากมายเป็นพยานว่าผู้กล้าถูกสังหารเเล้ว เเล้วคนที่อยู่ตรงหน้าพวกเจ้ามันเป็นใคร”
“เสียมารยาท ท่านมิคาเอลคือคนที่จะมาช่วยเมืองของเรา เจ้าควรหุบปากไปซะ! ”
“ข้าไม่หุบ!”
การเถียงกันก็ดำเนินต่อไปโดยที่มิคาเอลยืนฟังอย่างสงบ จนถึงจุดที่คิดว่าเหมาะสมเเล้ว มิคาเอลก็ยื่นมือออกไปคั่นกลางระหว่างทั้งสองคน
“ฮ่าฮ่าฮ่า พอเเล้วๆ นี้ไม่ใช้เวลาทะเลาะกันนะทั้งสองคน ”
เขาพูดด้วยรอยยิ้ม เขาย่อตัวลงในระดับเดียวกับเด็กชายอัลเลทีสพร้อมตบที่ไหล่ของเขาเบาๆ
“ นั่นเจ้ากำลังทำอะไร! อย่ามาเเตะตัวข้า ปล่อยนะ”
อัลเลทีสพยายามขัดขื่น มิคาเอลก็ไม่คิดจะพันธนาการเด็กชายเอาไว้ จึงปล่อยไป จากนั้นมิคาเอลก็พูด
“เด็กหนุ่มข้ารู้ว่าเจ้ากำลังกลัว ข้ารู้ดีเเววตาของเจ้าคือคนที่พึ่งสูญเสียคนสำคัญไป มันทั้งเเตกตื่น เเละหวาดระเเวง ขอโทษนะที่ข้าช่วยไม่ทัน คนสำคัญของเจ้าน่ะ ”
“อะ อะ อะไรของเจ้ากัน ”
เด็กชายอัลเลทีสเริ่มมีน้ำตาไหลออกมา สุดท้ายเขาก็ร้องไห้ออกมา
เด็กยังไงก็ยังเป็นเด็ก
“พ่อ เเม่ ข้าขอโทษที่เป็นข้าที่มีชีวิตรอด หากในตอนนั้นเป็นข้าที่ตายเเทน..”
“ห้ามพูดนะอัลเลทีส ห้ามพูดอะไรที่โหดร้ายเเบบนั้นออกมานะ ”
มิคาเอลโอบกอดอัลเลทีสที่กำลังร้องไห้เอาไว้ หลังจากผ่านไปซักพัก มิคาเอลเริ่มพูดอีกครั้ง
“ถ้าข้าดูไม่ผิดเจ้าคงจะอยู่ในระดับผู้ใช้เวทย์ฝึกหัดสินะ อยากชมเจ้าจริงๆที่เข้าถึงระดับนี้ตั้งเเต่อายุน้อย เเต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา รีบหนีไปที่หลบเถอะ”
“เเต่ว่า”
“ไม่มีเเต่รีบไปซะ”
มิคาเอลพูดด้วยเสียงที่จริงจัง
“ขะ เข้าใจเเล้ว”
หลังจากได้ร้องไห้ออกมาเด็กหนุ่มก็มีท่าทีอ่อนลงมาก เขาทำตามที่มิคาเอลบอกอย่างเชื่อฟัง
หลังจากนั้นเด็กชายก็วิ่งไปยังทิศทางหนึ่ง
“เอาละ ตอนนี้ก็เหลือเเค่ผู้ใหญ่เเล้ว รีบพาข้าไปหาศัตรูเถอะ”
มิคาเอลพูด
“ได้ เชิญตามข้ามา ข้าจะอธิบายสถานการณ์ระหว่างทาง”
มิคาเอลพยักหน้า หญิงสาวเเละหญิงชราวิ่งนำหน้าในขณะที่เขาวิ่งตามไปด้านหลัง
..พวกเจ้าทั้งหมดต้องชดใช้กับสิ่งที่ทำกับเมืองนี้ ทำกับชาวเมืองทุกคน เเละทำกับพ่อเเม่ของข้า
เรอาคิด ความโกรธปะทุขึ้นภายในใจนาง
ผู้กล้ามิคาเอล เขาคือชายคนเดียวที่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์สุดเลวร้ายนี้ได้
เรอามองไปด้านหลังอย่างคาดหวัง เเต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อะไรที่ทำให้นางมีความรู้สึกเเบบนี้ ทำไมนางถึงมีลางสังหรณ์ร้ายจากการจ้องมองผู้กล้ามิคาเอล ภาพที่นางเห็นคือ มิคาเอลวิ่งตามมาโดยไม่ได้พูดอะไร นัยตาสีเเดงเลือด ส่องประกายภายใต้ความมืดของตรอกไม่รู้ทำไมเเต่เมื่อมองไปยังดวงตาสีเเดงนั้น เรอาไม่สามารถมองเห็นอารมณ์ความรู้สึกของมิคาเอล นั่นทำให้จิตใจของนางสั่นไหวด้วยความไม่สบายใจ
เดิมทีเเล้วทำไมผู้กล้าที่ควรจะถูกสังหารไปเเล้วถึงยังมีชีวิตอยู่ ก่อนหน้านี้เพราะข้าตื่นเต้นเกินไปจึงยังไม่ทันคิด เเล้วทำไมถึงมาปรากฏตัวขึ้นที่เมืองเล็กๆเเห่งนี้ เเปลกจริงๆ
ท่านผู้กล้าข้ามีเรื่องที่อยากจะถามได้หรือไม่
ในที่สุดนางก็รวบรวมความกล้าเเละถามออกไป เเต่ในจังหวะที่นางพูดนางก็หยุดฝีเท้าลง วินาทีนั้นฝ่ามือ ปริศนาก็สับลงมาที่ลำคอของนาง ด้วยเเรงกระเเทกมหาศาลนี่ทำให้นางเสียหลักเเละล้มลงกระเเทกพื้น
โอ้ ไม่ตายในทันทีงั้นหรอ ดูเหมือนเจ้าจะเป็นผู้ใช้เวทย์สามัญที่ได้เรียนรู่บางอย่างมาสินะ มิคาเอลคิดอยู่ในใจ เเน่นอนว่าเขาตั้งใจจะฆ่าเรอาอย่างเต็มที่เพราะคนธรรมดาที่รู้ตัวตนของเขา เขาจะปล่อยให้นางมีชีวิตต่อไปไม่ได้
“ท่านมิคาเอล ท่านทำอะไร”
เรล่ากะโกนด้วยความตกใจ ถูกต้อง เจ้าของฝ่ามือปริศนาที่สับหลังคอของเรอานี้ไม่ใช่ใครนอกจาก มิคาเอล
มิคาเอลที่เห็นผู้ชำนาญเวทย์เตรียมต่อสู้เขายังคงสงบนิ่ง สถานการณ์นี้อยู่ในความคาดหมายของเขา เขาพูด
“อย่าพึ่งตื่นตระหนกไป ข้าไม่ได้คิดจะทำร้ายนาง เพราะหากข้าต้องการนางคงตายไปนานเเล้ว ที่ข้าทำให้นางสลบก็เพื่อตัวนางเอง การต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้มันอันตรายเกินไปสำหรับผู้ใช้เวทย์สามัญ
น้ำเสียงของมิคาเอลราบเรียบเเต่มันยังเเฝงไปด้วยความเป็นห่วง เรล่าที่ได้ยินคำอธิบายนี้ก็เริ่มเชื่อ จากที่กำลังโกรธก็เริ่มใจเย็นลง เเละหันไปทางเรอาที่ตอนนี้ได้สลบไปเเล้ว
ท่านมิคาเอลพูดถูกเเล้ว เด็กน้อยข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนที่กล้าหาญเเละเเข็งเเกร่งไม่ต่างจากผู้ชาย หากห้ามเจ้าตั้งเเต่เเรกเจ้าคงไม่ยอมฟัง ท่านมิคาเอลรับรู้เรื่องนี้ เเละไม่ได้ห้ามเจ้าเเต่เเรก เเต่เขาก็ไม่ยอมให้เจ้าไปตายในสนามรบเช่นกัน
นางหันมาทางมิคาเอลเเละมองด้วยสายตาที่เเน่วเเน่
“ข้าเข้าใจท่านผิดไป โปรดยกโทษให้ความโง่เขลาของข้า ”
ในตอนเเรกนางคิดว่ามิคาเอล มีเจตนาจะฆ่าเรอาจริงๆ เเต่ในความเป็นจริงมิคาเอลกลับเป็นคนช่วยเรอาเอาไว้ ตอนนี้เรล่าเชื่อในตัวมิคาเอลอย่างสุดใจ
มิคาเอลยิ้มอย่างอ่อนโยน เขาพูด
“เรื่องเเค่นี้เอง อย่าคิดมากเลย หลานสาวของท่านยายเป็นเด็กที่กตัญญูเเละกล้าหาญนางจะต้องเติบโตมาเป็นจอมเวทย์ที่มีฝีมือเเน่นอน ข้าไม่อยากทำลายอนาคตที่สดใสของคนรุ่นใหม่หรอกนะ ”
เรล่ามองมิคาเอลอย่างลึกซึ้งเเละยิ้มออกมา
“ท่านพูดเหมือนตัวเองเป็นตาลุงเเก่ๆเลยนะ”
“ก็ไม่รู้สินะ ”
มิคาเอลยิ้มตอบ ทั้งสองต่างหัวเราะออกมาก่อนที่มิคาเอลจะพูดต่อ
“ท่านยายรีบพาเรอาไปที่ๆปลอดภัยก่อนดีกว่า
“เข้าใจเเล้ว”
เรล่าพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง นางเริ่มอุ้มร่างที่นอนหลับไหลของเรอาขึ้นมาช้าๆเเละเบามือระหว่างนี้นางก็ยังไม่หยุดที่จะยิ้มออกมา
ระหว่างกระบวนการนี้มิคาเอลเฝ้ามองจากด้านหลัง รอยยิ้มที่อ่อนโยนของเขาหุบลงอย่างกระทันหัน เเต่กลับมีรอยยิ้มที่ชั่วร้ายปรากฏขึ้นมาเเทนที่ เจตนาสังหารปรากฏขึ้นในดวงตาสีเเดงเลือด
“ง่ายดาย ติดกับอย่างสมบูรณ์แบบ”
เขายกก้อนหินขนาดเท่าลูกบอลที่วางอยู่ตามพื้นขึ้นมา มันหนักมากเเต่เขาก็พอที่จะยกมันขึ้นเหนือศีรษะได้ โดยไม่รอช้าเขาฟาดมันลงมาทันที
ตูบ !
มิคาเอลใช้หินทุบลงบนศีรษะของเรล่าด้วยเเรงทั้งหมดของเขา หินที่มีน้ำหนักกว่า10กิโลกรัมอัดกระเเทกศีรษะอย่างจัง เรล่าที่ไม่รู้ตัวเเม้เเต่น้อยก่อนที่นางจะรู้สึกเจ็บที่ศีรษะเเละภาพก็ตัดลง
จบ
ความคิดเห็น