คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : บทที่ 20
ความลับถูกเปิดเผย
มิคาเอลเกิดคำถามเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมพ่อค้าของร้านค้าตลาดมืดจะต้องเป็นชายชราทุกครั้ง สาขานี้ก็เช่นกันชายชรารู้ถึงสถานะของมิคาเอลและยังให้ความช่วยเหลือเขาโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แต่อันที่จริงกำไรของพ่อค้าคนนี้ก็คือการที่ได้ผูกมิตรกับผู้กล้ามิคาเอลที่จะกลับมาผงาดอีกครั้งในอนาคต
มิคาเอลพักผ่อนอยู่ในห้องส่วนตัว เขาสังเกตว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของพลังเวทย์เริ่มต่ำลง ส่วนสาเหตุน่าจะเป็นเพราะทาสมนุษย์สัตว์ที่เขาปล่อยเอาไว้ในสเปชป่าสนระดับ E เสียชีวิต พวกมันเหนื่อยตายจากคำสั่งของเขาที่ให้ล่าอย่างไม่หยุดพัก มิคาเอลใช้เวลาทั้งคืนเพื่อเปลี่ยนมนุษย์สัตว์ชุดใหม่อีก33ตัวให้กลายเป็นทาสที่เชื่อฟัง
“ครั้งนี้ใช้ไปไม่น้อยเลย เหลือพลังเวทย์อีกแค่110หน่วย ถึงจะต้องกลับมาเป็นผู้ใช้เวทย์สามัญอีกครั้งแต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ”
ด้วยอุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายแบบพกพามิคาเอลนำทาสมนุษย์สัตว์ทั้ง33ไปที่ มอนสเตอร์สเปช เพื่อออกสะสมพลังเวทย์ มอนสเตอร์สเปชแห่งนี้อยู่ในระดับF สภาพแวดล้อมของมันเป็นบึงโคลนขนาดใหญ่ มิคาเอลใช้เวทย์แปลงเป็นนกเพื่อบินไปสำรวจจากด้านบน แต่แม้จะบินสูงแค่ไหนก็ยังมองไม่เห็นขอบ
“สเปชที่มีพื้นที่กว้างและเครื่อนไหวลำบากแบบนี้ไม่เหมาะกับการออกล่า มันใช้เวลานานเกินไป”
มิคาเอลเปลี่ยนที่ทันที คราวนี้เขามายืนอยู่ต่อหน้าต้นไม้ยักษ์ มันไม่อาจเรียกว่า อิกดราซิล ได้ก็จริง แต่ขนาดของมันก็ไม่ธรรมดา มิคาเอลมุ่งตรงไปที่กิ่งไม้กิ่งหนึ่ง ที่แห่งนั้นมีรังผึ้งขนาดใหญ่ซึ่งก็คือมอนสเตอร์สเปชของสถานที่แห่งนี้
“สเปชรังผึ้งระดับF ที่นี่แหละ ไป”
เมื่อได้ยินคำสั่งมนุษย์สัตว์33คนกระโดดไปเกาะกิ่งไม้ที่มีรังผึ้งเพื่อเตรียมตัวโจมตี มิคาเอลรวบรวมเศษไม้ใบหญ้ามามัดรวมกัน ใช้เวทย์เพื่อจุดไฟ เมื่อไฟไหม้เศษไม้เหล่านั้นพอประมาณเขาก็ดับมันทำให้เกิดควัน คิลเลอร์บีคือชื่อของมอนสเตอร์ที่อยู่ในรัง มันมีเหล็กในที่ไม่ต่างจากปลายหอก จุดอ่อนของมันคือควัน มิคาเอลเข้าใกล้รังผึ้งเพื่อรมควันให้พวกมันเกิดอาการเมาหลังจากนั้นก็สั่งให้ทาสกระโดดไปบนรังผึ้งแล้วเริ่มเข่นฆ่าผึ้งที่กำลังเมาควัน
คิลเลอร์บี ระดับF ถูกสังหาร ได้รับพลังเวทย์ +9
คิลเลอร์บี ระดับF ถูกสังหาร ได้รับพลังเวทย์ +5
คิลเลอร์บี (บอส) ระดับF ถูกสังหาร ได้รับพลังเวทย์ +15
ผ่านไป1วัน มนุษย์สัตว์กำลังกัดกินซากร่างของคิลเลอร์บีอย่างตะกละตะกราม ปริมาณพลังเวทย์เพิ่มขึ้นมาที่ 310 หน่วย สาเหตุที่ได้รับพลังเวทย์เพียง310จากการฆ่าคิลเลอร์บีนับหมื่นเป็นเพราะการฆ่ามอนสเตอร์ชนิดเดียวกันจำนวนมากจะทำให้พลังเวทย์ที่ได้รับลดน้อยลง
มิคาเอลนำทาสมนุษย์สัตว์ออกล่าอีกหลายครั้ง โดยที่เริ่มแรกมันเป็นสเปชระดับ F เมื่อทาสมนุษย์สัตว์แข็งแกร่งขึ้นผ่านการกินจนก้าวเข้าสู่ขั้นผู้ชำนาญเวทย์ มิคาเอลจึงออกล่าที่สเปชระดับEและระดับD ด้วยการออกคำสั่งของเขาทำให้ทาสทั้ง33 ประสานงานกันได้อย่างลงตัว หากมีตัวไหนบาดเจ็บหรือเหนื่อยล้าเขาจะสั่งให้มันออกจากสนาบรบ เขาจะไม่ปล่อยให้ทาสตัวไหนตายเหมือนครั้งก่อนเพราะเขาต้องคงสภาพความเร็วของการออกล่าในปัจจุบันเอาไว้
การล่าเป็นไปอย่างราบรื่น ผ่านไป3วัน ปริมาณพลังเวทย์ของเขาก็ทะลุถึง 1208หน่วย เขากลายเป็น มนุษย์ที่เลื่อนขั้นเป็นจอมขมังเวทย์ได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ การเลื่อนขั้นด้วยความเร็วขนาดนี้หากไปพูดให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อ แม้แต่ตัวเขายังแทบไม่อยากจะเชื่อ
“หาบเทียบกับตอนนี้ สถิติ1ปีก็เป็นแค่เรื่องตลก”
ในตอนที่เขายังเป็นผู้กล้า เขาต้องใช้เวลา1ปีกว่าจะมาถึงขั้นนี้ 1ปีขึ้นสู่จอมขมังเวทย์สำหรับคนธรรมดาก็นับว่าน่าเหลื่อเชื่อแล้ว มันถูกนับเป็นสถิติที่ไม่อาจถูกทำลาย จนกระทั่งตอนนี้ 11วันคือเวลาตั้งแต่ที่เขาฟื้นคืนชีพ
“ใกล้ถึงเวลาต้องเลื่อนขึ้นสู่ ราชันย์เวทย์แล้ว”
มิคาเอลถอนหายใจอยู่ในห้องส่วนตัวที่ร้านค้า
หากถามว่าราชันย์เวทย์สำคัญอย่างไร มันคือจุดเปลี่ยน ตั้งแต่ขั้นผู้ใช้เวทย์ฝึกหัดจนถึงจอมขมังเวทย์จะใช้เพียงพลังเวทย์และสูตรเวทย์ในสมองเพื่อใช้งานเวทมนตร์ ตั้งแต่ขั้นราชันย์เวทย์ขึ้นไปองค์ประกอบในการใช้เวทมนตร์จะเพิ่มขึ้นมา นั่นคือ แกนพลังเวทย์ และแกนพลังกาย สิ่งที่เพิ่มขึ้นมานี้จะสร้างความแตกต่างมหาศาลระหว่างขั้นจอมขมังเวทย์และราชันย์เวทย์
สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือ หลังจากที่เป็นราชันย์เวทย์ภาระเรื่องพลังเวทย์ไม่พอก็จะถูกแก้ไขเพราะ ร่างกายจะสร้างพลังเวทย์ขึ้นมาเติมเต็มด้วยตัวเอง เขาจะกลับมาต่อสู้ได้อีกครั้ง มิคาเอลมีเวทมนตร์ระดับทำลายทั้งอาณาจักรมากมายที่เขาไม่ได้ใช้เพราะปริมาณพลังเวทย์ไม่เพียงพอ หลังจากนี้เขาก็จะได้นำมันออกมาใช้
เมื่อนึกถึง เวทมนตร์ผสานกับ อาภรณ์มนตราก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกคาดหวัง
แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาจะกลายเป็นเรื่องเพ้อฝันทันทีหากเขาตายจากการเลื่อนขั้นนี่คือสิ่งที่มิคาเอลเป็นกังวล
ขั้นตอนการเลื่อนขึ้นสู่ขั้นราชันย์เวทย์ล้วนเต็มไปด้วยอันตราย การสร้างแกนพลังเป็นขั้นตอนที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนมากหากมีข้อผิดพลาดคนๆนั้นอาจจะตัวระเบิดได้ ในส่วนนี้มิคาเอลมี ประสบการณ์มาแล้วเขามั่นใจว่าจะไม่มีทางผิดพลาด แต่สิ่งที่ทำให้มิคาเอลถอนหายใจก็คือ อันตรายจากภายนอก
การเลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นราชันย์เวทย์ต้องทำในสถานที่เปิด ไม่สามารถทำในสิ่งก่อสร้าง ไม่สามารถกางม่านพลังป้องกันหรือซ่อนอยู่ใต้ดิน การแปลงโฉมก็ทำไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นเขาจะไม่สามารถซ่อนตัวได้ในระหว่างนี้ ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาอย่างต่ำ1ชั่วโมง
ใน1ชั่วโมงนี้ ลองคิดดูว่าหากมีคนคิดจะสังหารเขาแล้วเขาก็หนีไม่ได้จะเป็นยังไง สิ่งที่สำคัญคือ ขั้นตอนเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก เฉลี่ยแล้วจะมีเพียง1คนต่อ1ปีเท่านั้นที่เลื่อนระดับเป็นราชันย์เวทย์เพราะฉะนั้นมันจะต้องดึงดูดความสนใจจากคนระดับสูงอย่างไม่ต้องสงสัย หากในนั้นมีศัตรูของเขาก็เป็นอันจบ มิคาเอลถอนหายใจ
“ในเมื่อหนีไม่ได้ก็ต้องมีแผนรับมือ ”
เขาเดินไปปิดหน้าต่างห้องและนอนพักผ่อน ร่างกายเขานอนพักแต่สติเขายังอยู่และคิดแผนการรับมือตลอดทั้งคืน
ท่ามกลางที่ราบกว้างใหญ่ ใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่เมฆสีดำ กองทัพขนาดใหญ่ได้จัดกระบวนทัพเตรียมพร้อมออกศึก ทหารทุกคนติดตราสัญลักษณ์ของอาณาจักรคาลิฟาไว้บนอก แนวหน้านำโดยจอมเวทย์ขั้นราชันย์เวทย์ที่มีประสบการณ์ในการศึก100นาย
เบื้องหลังคือจอมเวทย์ขั้นจอมขมังเวทย์นับแสนคน การรวมตัวกันนี้สร้างเป็นภาพฉากที่ยิ่งใหญ่ ชุดเกาะส่งเสียงโลหะเสียดสี ดาบและหอกถูกลับให้คมกริบ แม้จะเป็นผู้ใช้เวทมนตร์แต่ในสนาบรบหากพลังเวทย์หมดลงก็เป็นอันจบดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่เชื่อถือได้มากกว่าอาวุธที่อยู่ในมือ
ด้านหน้าสุดผู้บัญชาการ ปราชญ์เวทย์ ไททัส กวาดตามองกองทัพของตนด้วยความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม
“เอาหละ นี่แหละกองทัพของข้า พวกเจ้าจะเอาอะไรมาสู้กับพวกเราอาณาจักรเรเซล”
อาณาจักรเรเซลมีพื้นที่ใกล้กับมหาสมุทร ธุรกิจทางทะเลของพวกเขาจึงเจริญรุ่งเรือง ท่าเรือคึกคัก การค้ามีชีวิตชีวา อาณาจักรแห่งนี้อาศัยความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลเพื่อขึ้นเป็นหนึ่งในมหาอำนาจ โดยมีธุรกิจตั้งแต่การค้ามอนสเตอร์ทะเล การขนส่งทางทะเล ไปจนถึงการเก็บเกี่ยวทรัพยากรทางทะเลเพื่อนำไปขายเอากำไร
อย่างไรก็ตามในวันนี้ เมืองชายฝั่งทะเลของเรเซลกลับเกิดบรรยากาศที่เงียบสงัด ชาวประมงกลับจากการออกล่าด้วยอวนที่ว่างเปล่า สัตว์ทะเลที่ปกติจะจับได้กลับไม่มี ผู้คนต่างสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้นขณะเดียวกันก็หวั่นวิตกว่าจะเกิดเหตุเลวร้ายขึ้น
ในห้องนอนของราชาแอสเบิร์น
แอสเบิร์นนอนหลับบนเตียงด้วยความอ่อนล้าในขณะที่ข้างกายมีหญิงสาวรูปร่างทรงเสน่ห์นอนเปลือยกายพร้อมทั้งใช้ร่างกายอันเยาว์วัยกอดรัดแขนของเขาเอาไว้ สำหรับนางผู้นี้หากใครจำได้นางก็คือ อัศวินหญิงนามว่า ฟริกซ์ ผู้เป็นถึงหัวหน้าอัศวินหน่วยที่2 ในวันมอบรางวัลแอสเบิร์นเป็นผู้ที่ยื่นดาบให้นางด้วยตนเอง
หลังจากนั้นแอสเบิร์นก็ได้นัดพบนางและทั้งสองก็ได้ร่วมเตียงกัน ไม่รู้ว่าเป็นการเต็มใจทำหรือถูกบังคับแต่ใบหน้าของอัศวินหญิงในตอนนี้กลับเผยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขออกมา
ในวินาทีต่อมาดวงตาของแอสเบิร์นก็ได้เปิดออก
“กล้ามากนะที่มายืนเหยียบหัวของข้าเจ้าพวกคาลิฟา! แล้วทำไมสัญญาณเตือนจึงไม่ดัง”
เขาลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกำหมัดเอาไว้แน่นด้วยความโกรธจนฟริกซ์ที่นอนอยู่ข้างๆตกใจ ไม่มีเวลามาสงสัย
“ทหารเรเซลทุกนายเตรียมตัวออกศึก! ”
แอสเบิร์นเรียกรวมพลเร่งด่วน
จุดศูนย์กลางของอาณาจักรเรเซลเมฆครึ้มได้พัดมาปกคลุมทั่วพื้นที่ สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ต่างพากันกลับเข้าไปในรัง ชาวเมืองใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบโดยที่บอกไม่ถูกว่าเหตุใดพวกเขาจึงรู้สึกร้อนรนราวกับมีมีดมาจ่อที่คอพวกเขาแบบนี้
“วันนี้มันดูแปลกๆไหม ถึงจะไม่รู้ว่าแปลกตรงไหนก็เถอะ”
“ข้าเองก็รู้สึกว่าวันนี้ไม่ควรออกมาเดินข้างนอกเช่นกัน แถมอากาศก็ยังแปรปรวนมาก”
ชาวเมืองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงได้พยายามใช้ชีวิตตามปกติ
“อ้าก! นั่นมัน ข้างบนนั้น”
บางคนตะโกนออกมาขณะที่ล้มกระแทกพื้น เขาล้มก็จริงแต่สายตาของเขายังมองขึ้นไปด้านบน สิ่งนี้ทำให้คนที่เห็นทำตาม ชาวเมืองมองขึ้นไปบนฟ้าด้วยความสงสัย แต่ทุกคนก็ส่ายหน้าพรางคิดไปว่าคนที่ตะโกนก่อนหน้านี้ ต้องการเรียกร้องความสนใจ เพราะที่พวกเขาเห็นก็มีเพียงก้อนเมฆธรรมดาๆก้อนหนึ่ง
ในสายตาคนธรรมดาพวกเขาอาจจะเห็นเป็นเช่นนั้นแต่ในสายตาของจอมเวทย์ชั้นผู้ชำนาญเวทย์ขึ้นไปกลับเห็นสิ่งที่แตกต่างไปจากก้อนเมฆอย่างสิ้นเชิง เมฆดำที่ลอยตัวอยู่บนฟ้าแท้ที่จริงแล้วมันคือกองทัพขนาดใหญ่ที่มีอาวุธครบมือ
กองทัพอาณาจักรคาลิฟาได้มาถึงเหนือน่านฟ้าของอาณาจักรเรเซลแล้ว
เวลาผ่านไปไม่นานก็ได้พบว่ามีเมฆอีกก้อนที่มีขนาดใกล้เคียงกันปรากฏขึ้น มันหยุดอยู่ห่างจากเมฆก้อนแรกเล็กน้อย เมฆก้อนนั้นแท้จริงก็คือ กองทัพของอาณาจักรเรเซล
อาณาจักรเรเซลและอาณาจักรคาลิฟามีความขัดแย้งที่ไม่อาจคืนดีกันได้ เมื่อกองทัพทั้งสองประจันหน้ากันก็ไม่มีเหตุผลต้องพูดคุย ผู้บัญชาการของทั้งสองฝ่ายสั่งบุกทันที
ผู้บัญชาการฝ่ายของอาณาจักรเรเซล ปราชญ์เวทย์โปเรียส นำทัพอัศวินตั้งแต่หน่วยที่1จนถึงหน่วยที่10พุ่งเข้าไปโจมตีฝ่ายของอาณาจักรคาลิฟาโดยที่มีราชันย์เวทย์อีกนับร้อยและจอมขมังเวทย์นับแสนตามมาด้านหลัง สงครามกลางฟากฟ้าได้ปะทุขึ้น
(การทำสงครามของจอมเวทย์ขั้นสูงมีกฎว่าจะต้องสู้กันเหนือพื้นดินเท่านั้น เพื่อไม่ให้สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อภูมิประเทศ ทรัพย์สินและประชาชน)
อัศวินหน่วยที่1ทั้ง5คนของอาณาจักรเรเซลซึ่งได้รับความมั่นใจมาจากผลงานก่อนหน้านี้ได้แยกกันสู้กับอัศวินหน่วยที่1ของอาณาจักรคาลิฟาตัวต่อตัว ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้คงจะง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก เพราะพวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อเสียงหรือผลงานเด่นๆของอีกฝ่ายมาก่อน แต่เมื่อได้ต่อสู้จริงกลับพบว่าอีกฝ่ายเองก็ไม่ธรรมดา ถึงขนาดที่พวกเขาทั้ง5ใช้พลังเวทย์ไปจำนวนมากก็ยังไม่สามารถเอาชนะ
โปเลียสที่คอยบัญชาการทัพเริ่มมีท่าทางเคร่งเครียด
ด้วยประสบการณ์การทำศึกที่มากพอทำให้เขาพอที่จะคาดเดาผลลัพธ์ล่วงหน้าของศึกครั้งนี้ แม้ว่าสถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายจะดูเท่าเทียมกันแต่อีกไม่นานฝ่ายของพวกเขาจะค่อยๆเสียเปรียบหลังจากเปลี่ยนรูปทัพไปเป็นแนวป้องกันก็จะยื้อไว้ได้ประมาณ3ชั่วโมงแต่สุดท้ายก็จะต้องพ่ายแพ้
“กำลังรบของอีกฝ่ายเหนือกว่าอย่างชัดเจน จะบอกว่าเป็นเพราะซ่องสุมกำลังรบมานานงั้นหรือ ไม่ใช่แล้วทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ ตามที่ท่านราชาบอก กำลังรบของพวกเราสูสีกันศึกในครั้งนี้ก็ควรจะไม่มีฝ่ายใดได้รับชัยชนะเหมือนทุกครั้ง ท่านแอสเบิร์นคาดเดาผิดงั้นหรือ”
โปเลียสที่เห็นสถานการณ์ดูไม่ดีก็ได้เริ่มตั้งข้อสงสัยกับข้อมูลที่เขาได้รับมาจากแอสเบิร์น
เมื่อการต่อสู้ดำเนินไปได้ไม่นานมันก็เป็นอย่างที่โปเลียสคาดเดา ฝ่ายของอาณาจักรเรเซลเริ่มเกิดความสูญเสียแล้ว ราชันย์เวทย์ของอาณาจักรคาลิฟาได้ใช้ดาบตัดผ่ากลางลำตัวสังหารราชันย์เวทย์ของอาณาจักรเรเซล สิ่งนี้ส่งผลต่อขวัญกำลังใจของทหารอย่างรุนแรง
“กลับมาตั้งรับ”
ในเมื่ออีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าก็มีแต่จะต้องตั้งรับ การบุกไปก็มีแต่จะสูญเสียทหารมากขึ้น อย่างน้อยสิ่งที่โปเลียสทำได้ในสถานการณ์ที่เป็นรองตั้งแต่แรกเช่นนี้ก็มีแต่รักษาชีวิตของทหารเอาไว้ให้มากที่สุด ส่วนหลังจากนี้จะทำอย่างไรก็ค่อยคิด
ห่างจากจุดที่ทั้งสองกองกำลังสู้กัน ชายหนุ่ม2คนกำลังประชันดาบ ทั้งสองคือ หัวหน้าอัศวินหน่วยที่1 ผู้กล้าคนใหม่อย่างลูเซียสและองค์ชายแห่ง อาณาจักรคาลิฟา ผู้ที่ได้รับรางวัลลำดับที่2ในการจัดอันดับผลงาน เอ็ดเวิร์ด
“ปกติเขาจะไม่ให้เชื้อพระวงศ์ลงมาต่อสู้ในสนาบรบ เพราะมันเปรียบเสมือนกับการนำอนาคตของบ้านเมืองเข้ามาเสี่ยง ”
น้ำเสียงของเอ็ดเวิร์ดเนิบช้าไร้อารมณ์
“แต่ข้าทนไม่ไหวหรอก ผู้ที่ได้รับสมญานามผู้กล้าล้วนต้องเป็นคนพิเศษ ข้าอยากสู้กับผู้กล้า ให้ข้าได้เห็นฝีมือของเจ้า ลูเซียส! ”
เอ็ดเวิร์ดตะโกนดาบยาวคริสตัลของเขากระแทกดาบศักดิ์สิทธิ์สีทองของลูเซียสทำให้ร่างของเขาพุ่งทะลวงหมู่เมฆไปไกล ลูเซียสเหยียบอากาศเมื่อตั้งหลักได้ก็มองกลับไปทางเอ็ดเวิร์ดด้วยความรู้สึกที่ตกตะลึง
“องค์ชายคนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ เราอยู่ในจุดสูงสุดของราชันย์เวทย์แถมยังใช้แกนพลังกายทั้งหมดแล้ว แต่ก็ยังเป็นฝ่ายถูกซัดกระเด็น พละกำลังอะไรจะแข็งแกร่งขนาดนี้ แต่ว่า ไม่ยอมแพ้หรอก ”
ลูเซียสพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วร่างกายของเขาส่องประกายสีทองศักดิ์สิทธิ์ออกมา
ผู้บัญชาการกองทัพอาณาจักรคาลิฟา ไททัส ยืนกอดอกจ้องมองสนามรบด้วยแววตาสงบนิ่งปราศจากความกังวล ผมยาวของเขาพัดไปตามแรงลมจากการต่อสู้ทำให้ทหารคาลิฟาที่มองมารู้สึกมีขวัญกำลังใจมากขึ้น เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“องค์ราชาฟาคัสช่างมองขาดจริงๆ วิเคราะห์กำลังรบของเรเซลจนแปลงออกมาเป็นตัวเลขที่แม่นยำได้ กำลังรบ57 เปอร์เซ็นต์ของเรเซลมาจากปาตี้ผู้กล้า อาณาจักรเรเซลที่ไม่มีผู้กล้ามิคาเอลกับกลุ่มปาตี้ผู้กล้าก็ไม่ต่างจากพยัคฆ์ไร้เขี้ยวเล็บกลับอ่อนแอได้ถึงเพียงนี้ ช่างน่าตกใจจริงๆ ”
ไททัสยกมือข้างหนึ่งขึ้นด้วยสายตาเลื่อนลอย
“เอาหละ จบเท่านี้แหละ มหาอำนาจที่ทำร้ายตัวเอง”
ในความเป็นจริงไททัสยังซ่อนกำลังรบส่วนหนึ่งเอาไว้ สรุปได้ว่าที่ผ่านมาเป็นเพียงการต่อสู้ลองเชิงเท่านั้น
หากเขากดมือข้างนี้ลงมันจะเป็นสัญญาณให้ราชันย์เวทย์จำนวน 50 คนที่ซ่อนตัวอยู่เริ่มโจมตี หากทั้ง50คนเข้าสู่สนาบรบแม้จะเป็นไปไม่ได้ที่จะกวาดล้างทั้งหมด แต่ทหารเกือบหนึ่งในสามของกองทัพเรเซลจะต้องตายอย่างแน่นอน
หากสูญเสียกำลังรบหนึ่งในสามก็เท่ากับอาณาจักรเรเซลได้สูญเสียความแข็งแกร่งเดิมไปอย่างถาวร และต้องตกจากตำแหน่งหนึ่งในมหาอำนาจ
ทันทีที่โปเลียสสังเกตเห็นสัญญาณมือของไททัสก็ตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ความสงบนิ่งของเขาหายไป
“ไม่ต้องสนอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดถอยทัพ เร็ว!”
เสียงคำรามของโปเลียสดังสะท้อนไปทั่วสนามรบ แต่มันกลับไม่ทันการ มือของไททัสได้กดลงแล้วราวกับเป็นการพิพากษากองทัพเรเซล ขนของโปเลียสตั้งชูชันเขาได้ทำผิดพลาดแล้ว หลังจากนี้หากเขาไม่ตายหรือถูกลงโทษก็นับว่าปาฏิหารย์มีจริง ในวินาทีต่อมาสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ร่างเงาของมนุษย์ค่อยๆปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันเริ่มมาตั้งแต่ส่วนเท้าขึ้นมาจนถึงศรีษะ ทุกคนมองเห็นภาพของชายชราในชุดบาทหลวงสีขาวมือข้างหนึ่งถือไม้เท้า
“ทหารกล้าทั้งสองฝ่ายโปรดหยุดความบาดหมางไว้ชั่วคราวเถอะ ”
น้ำเสียงของชายชราล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกที่สงบและผ่อนคลาย มันเป็นโทนเสียงที่ฟังสบายเหมือนกับบทสวดมนต์
“เรามีนามว่า เฮนดริกซ์ คาร์ดินัลแห่งศาสนจักร เรามีข่าวสำคัญมาแจ้งแก่ทุกท่าน ”
เมื่อรู้ถึงสถานะของชายชราทุกคนก็หยุดการเข่นฆ่าและหันมาตั้งใจฟัง ทันใดนั้นคนสองกลุ่มก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมา กลุ่มแรกคือราชาของอาณาจักรเรเซลอย่างแอสเบิร์นและเหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายวิโอล่าก็รวมอยู่ในนี้เช่นกัน อีกกลุ่มคือราชาของอาณาจักรคาลิฟา ฟาคัส และเชื้อพระวงศ์ ทั้งสองกลุ่มปรากฏตัวเพราะได้ยินว่าเฮนดริกซ์จะประกาศข่าวใหญ่พวกเขาทำความเคารพโดยไม่กล้าพูดแทรก เฮนดริกซ์ยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดต่อ
“ในนามผู้ศรัทธาในองค์เทพไฮเนส เราขอสาบานว่าทั้งหมดที่เราจะกล่าวล้วนเป็นความจริง ทุกท่านโปรดตั้งใจฟัง”
ทั้งสนามรบที่เคยเต็มไปด้วยเสียงการต่อสู้บัดนี้ได้เงียบลงราวกับไร้ผู้คน ในช่วงวินาทีที่เฮนดริกซ์เรียบเรียงคำพูด สมองของผู้คนก็ต่างคาดเดากันไปต่างๆนาๆ ว่าเรื่องน่าตกใจใดที่ทำให้คาร์ดินัลถึงกับต้องป่าวประกาศด้วยตัวเอง ผู้คนเตรียมใจกับเรื่องที่เฮนดริกซ์จะเล่าแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าการเตรียมใจของตนจะยังน้อยไป เฮนดริกซ์กล่าวแต่ละคำด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแต่ยังชัดเจนทุกถ้อยคำ
“ผู้กล้าปีศาจมิคาเอลที่ทุกท่านคิดว่าตายไปแล้วในความจริงคือ เขายังมีชีวิต”
จบ
ความคิดเห็น