ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผู้กล้าปีศาจ

    ลำดับตอนที่ #19 : บทที่ 19

    • อัปเดตล่าสุด 12 มี.ค. 67


    ตอน เติบโตขึ้นแต่ไม่เคยเปลี่ยนไป

    ราวกับว่ามิคาเอลถูกส่งไปยังอีกมิติโดยสิ้นเชิง ทั้งถ้ำแห่งนี้มองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืดมิดอันไร้ขอบเขตจากเวทมนตร์ประเภทความมืด แม้มิคาเอลจะพยายามมองไปรอบๆ มากแค่ไหนแต่ความมืดก็ยังบดบังการมองเห็นของเขา 

    ท่ามกลางความมืด มีสองสิ่งในห้องนี้ที่เขาสามารถมองเห็น อันแรกคือดวงตามังกรขนาดมหึมาตรงหน้าเขา ส่วนอีกจุดจะต้องเพ่งสายตาถึงจะมองเห็นว่ามันคือห้องๆหนึ่ง

     มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมสร้างจากไม้ ภายในมีโคมไฟแขวนไว้อยู่ แสงสว่างมาจากโคมไฟนั้น ภายในห้องมีเก้าอี้ตัวหนึ่งเป็นเก้าอี้ธรรมดาสร้างจากไม้ 

    สิ่งที่สะดุดตาก็คือบนเก้าอี้มีร่างของชายคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วยท่าทางเอนตัวมาด้านหน้า ร่างกายเขาผอมซูบตามตัวเต็มไปด้วยคราบสีดำมองดูเหมือนเลือดที่แห้งแล้ว เขาเปลือยท่อนบนท่อนล่างเป็นกางเกงขายาวที่ดูทันสมัยมือทั้งสองข้างถูกมัดไว้กับพนักเก้าอี้ ตัวโน้มเอียงมาทางด้านหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง มิคาเอลมองไม่เห็นใบหน้าของชายคนนี้เพราะเส้นผมสีดำยาวปิดใบหน้าของเขาเอาไว้

    ถูกทรมานงั้นหรือ

    สภาพแบบนั้นมองแค่ครั้งเดียวก็มากเกินพอ เขารู้ได้ทันทีว่าชายคนนี้กำลังถูกทรมาน มิคาเอลเคยเห็นภาพแบบนี้หลายครั้งในอดีต 

    การทรมานเป็นการทำให้เกิดความเจ็บปวดไม่ว่าทางร่างกายหรือจิตใจ มีไว้เพื่อหลายจุดประสงค์ เช่น เพื่อเค้นข้อมูล เพื่อให้รับสารภาพ เพื่อให้รู้สึกเสียใจ เพื่อบังคับให้ทำตาม หรือแค่เพื่อความพึงพอใจแบบซาดิสต์ของผู้ที่ลงมือทรมาน 

    คาดว่าชายคนนี้อาจจะเป็นกรณีสุดท้าย

    มิคาเอลมองไปยังดวงตาของเรเกียร์โดยไม่พูดอะไร ส่วนเรเกียร์ก็เหมือนจะเดาความคิดของเขาได้มันจึงกล่าวขึ้น

    “ชายคนนั้นเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดบนโลกก่อนที่เจ้าจะมาถึง แม้ร่างกายอ่อนแอแต่ฆ่าเท่าไหร่ก็ไม่ตาย ถึงได้ลองฆ่าด้วยหลายๆวิธีดู เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจหรอก ”

    จากคำพูดของเรเกียร์มันแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่กงการอะไรของเขา มิคาเอลจึงหันหน้ากลับและไม่สนใจอีก

    “เอาหละ ผู้กล้าปีศาจมิคาเอล ข้าจะให้เวลาเจ้าอธิบาย ว่าเหตุใดเจ้าถึงได้กลายเป็นตัวหมากของพวกเทพบนท้องฟ้า”

    ดวงตาที่ใหญ่ยักษ์เคลื่อนไหวขึ้นลงคำพูดแต่ละคำส่งผลให้ถ้ำมืดสั่นสะเทือน สัตว์ประหลาดเอ่ยถามเขาด้วยเสียงที่ราวกับกำลังสอบปากคำนักโทษ

    “ฉันต่างหากที่อยากจะรู้ว่าตัวหมากของเทพมันคืออะไร ”

    เมื่อเผชิญกับแรงกดดันนี้มิคาเอลไม่ได้มีความกวาดกลัวเขาเดินถอยหลังไปหลายเก้าและนั่งลงบนพื้นโดยนั่งขัด สมาธิและตั้งเข่าข้างหนึ่งขึ้น

    “น่ารำคาญ! ข้าต้องมาอธิบายให้เจ้าฟังงั้นหรือ”

    ร่างเงาส่งเสียงคำรามในลำคอ

    “ตัวหมากของเทพเป็นเพียงชื่อที่ข้าตั้งขึ้นเพื่อเอาไว้เรียก รูปแบบของชีวิตที่ถูกเทพสร้างขึ้นมาโดยฝืนหลักของธรรมชาติ เทพจะนำดวงวิญญาณคนตายจากโลกอื่นมาใส่ในร่างทารกของโลกเวทมนตร์แห่งนี้ ก่อนจะมาเกิดเทพจะให้ดวงวิญญาณเลือกสมบัติ อาวุธ หรือพลังพิเศษบางอยากติดตัวมายังโลกแห่งนี้เด็กทารกที่เกิดมาจึงมีพลังพิเศษที่เหนือกว่าทุกคนบนโลก ข้าเรียกคนเหล่านี้ว่าตัวหมากของเทพเข้าใจรึยัง”

    มิคาเอลประหลาดใจ ทำไมมันถึงฟังดูคุ้นๆ ก่อนที่เขาจะนึกไปถึงนิยายแนวตัวเอกไปเกิดใหม่ต่างโลกพร้อมพลังพิเศษที่เคยอ่านสมัยก่อน 

    สรุปแล้วตัวหมากของเทพก็คือ คนจากโลกอื่นที่มาเกิดใหม่ในโลกนี้ มิคาเอลไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้เพราะไม่คิดว่าเรื่องพวกนี้จะมีอยู่จริง ตัวหมากของเทพมันเหมือนกับกรณีของเขาก็จริงแต่หากพิจารณาดูดีๆมันมีหลายจุดที่ต่างกัน

     เช่น ดวงวิญญาณของตัวหมากของเทพนั้นต้องเป็นของคนตาย แต่มิคาเอลในโลกก่อนยังไม่ตายแต่เขาถูกพามาทั้งตัว ตัวหมากของเทพต้องมาเกิดใหม่โดยเริ่มต้นจากทารก ส่วนมิคาเอลมีอายุเท่าโลกเดิม สุดท้ายคือ พลังพิเศษที่เทพจะมอบให้ก่อนมาเกิดใหม่ สำหรับมิคาเอลเขาไม่ได้รับสิ่งดีๆแบบนั้น

     มันแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่ตัวหมากของเทพ สิ่งที่ยืนยันได้ดีที่สุดคือ ปฏิกิริยาของเรเกียร์ที่พบกับเขาครั้งแรกในป่าภูติ มันไม่ได้พูดอะไรที่เกี่ยวกับตัวหมากของเทพ ถ้าหากไม่ใช่ครั้งแรกก็ต้องเป็นครั้งที่สองที่เขาพบกับเทพ แต่มันก็เหมือนจะไม่ใช่อยู่ดี

    มิคาเอลกระแอมไอก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราว มันเป็นเรื่องหลังจากที่เขาตายและไปพบกับเทพธิดาในห้องสไตล์โรมัน เรื่องที่เขาทำข้อแลกเปลี่ยนโดยเสนอ3สิ่ง คือ ฉายาผู้กล้า พรจากสวรรค์ และพลังศักดิ์สิทธิ์เพื่อแลกกับการคืนชีพ30วัน

    เขาเล่าเรื่องโดยไม่ปิดบังเพราะในเมื่อเรเกียร์ยอมพูดคุยแสดงว่ามันไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าเขาอีก

    “อืม เพราะว่าเจ้ามีสภาวะของเทพอยู่มากกว่าคนอื่นถึงทำให้ข้าเข้าใจผิด เจ้าเป็นคนละกรณีกับตัวหมากของเทพ กรณีของเจ้ามันคือการแลกเปลี่ยนที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายต่างจากตัวหมากของเทพที่พวกมันได้รับผลประโยชน์จากเทพอยู่ฝ่ายเดียว”

    มิคาเอลขมวดคิ้วถาม

    “หมายความว่ายังไง”

    ดวงตาขนาดใหญ่หรี่ลง

    “เคยได้ยินวลีบนโลกไม่มีสิ่งใดได้มาฟรี หรือไม่”

    มิคาเอลไม่ตอบแต่เขาเข้าใจความหมายของมันเป็นอย่างดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับมาล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย แม้จะไม่ได้จ่ายด้วยเงินแต่ก็ต้องจ่ายด้วยสิ่งอื่น แล้วคิดว่า เทพมอบสมบัติล้ำค่าให้ดวงวิญญาณเหล่านั้น โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายงั้นหรือ ไม่มีทาง ในตอนนี้มิคาเอลเริ่มเข้าใจถึงความเป็นภัยร้ายของตัวหมากของเทพแล้ว

    “สิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้นกับโลกเมื่อเทพเริ่มคิดค่าใช้จ่ายจากดวงวิญญาณเหล่านั้น ใช่หรือไม่”

    มิคาเอลถามด้วยสีหน้ามืดครึ้ม เรเกียร์จ้องมาที่มิคาเอล มันจ้องอยู่แบบนั้นซักพักก่อนจะพูด

    “รู้แล้วมีประโยชน์กับเจ้างั้นหรือ อย่างไรเจ้าก็มีเวลาเหลือเพียง 24 วัน เอาเถอะ รู้ไว้เพียงว่า เทพมันไม่ใช่ตัวดีอะไร เท่านั้นก็พอ”

    มิคาเอลไม่คิดจะถามลงลึกกว่านี้เพราะมันเป็นอย่างที่เรเกียร์พูด มันไม่มีประโยชน์อะไรกับเขา 

    มังกรแห่งโรคระบาดเรเกียร์ ไม่มีใครรู้ถึงอายุของมัน แต่จากร่องรอยทางธรณีวิทยาที่มันเคยสร้างเอาไว้บนพื้นผิวโลกเมื่อนานมาแล้วนักวิจัยจึงสันนิษฐานเอาไว้ว่ามันมีอายุมาแล้วไม่ต่ำกว่า1ล้านปี แน่นอนว่ามันย่อมรู้ความลับมากมายที่มนุษย์ยังไม่รู้และไม่จำเป็นต้องรู้

    “บอกตามตรงว่าข้าตกใจจริงๆ”

    รูม่านตาของมังกรยักษ์ในตำนานเลื่อนจากต่ำขึ้นบนอย่างช้าๆราวกับมันกำลังสำรวตร่างของมิคาเอล

    “พรจากสวรรค์เป็นสิ่งที่รูปแบบของชีวิตบนโลกต้องมี ไม่ว่าจะเป็น สัตว์ หรือแม้แต่มอนสเตอร์ก็ไม่เว้น โดยเฉพาะมนุษย์ มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ได้รับความรักจากสวรรค์มากที่สุดดังนั้นรอบตัวของเผ่ามนุษย์จึงมีพรจากสวรรค์อยู่มากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น เเต่ไอ้วัตถุเเปลกปลอมตรงหน้าข้านี้คืออะไร เจ้า…มิคาเอล”

    มันจ้องมาที่ร่างของชายเส้นผมสีดำดวงตาสีแดงรูปร่างผอมบางแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความลึกลับน่าพิศวงอย่างสนใจใคร่รู้

    “เจ้ายกพรจากสวรรค์ทั้งหมดให้กับเทพ แล้วเหตุใดเจ้าถึงยังมีชีวิต พรจากสวรรค์คือสิ่งที่ทำให้สรรพสิ่งยังคงอยู่ หากปราศจากมัน ชีวิตจะถูกทำลายในไม่ช้า หากให้เปรียบเทียบ เด็กเกิดใหม่ที่มีพรจากสวรรค์น้อยอาจจะตายลงในคืนที่อากาศหนาว กลับกันเด็กที่มีพรจากสวรรค์หนาแน่นถึงจะจมน้ำหรือถูกไฟเผาก็ไม่ตาย ”

    เรเกียร์มีชีวิตมาอย่างยาวนาน มันนานเกินไปด้วยซ้ำ หากมันไม่ได้เห็นสิ่งมีชีวิตสุดแปลกประหลาดนี้กับตาตัวเองมันก็ไม่มีทางเชื่อว่ามนุษย์ที่ไม่มีพรจากสวรรค์จะมีชีวิตอยู่ได้ โดยที่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคนๆนั้นคือผู้กล้าที่ได้รับความรักจากสวรรค์ประหนึ่งบุตรหลานของตนทำให้มีพรจากสวรรค์อย่างหนาแน่น

    สายตาที่มันใช้มองมาที่เขาเป็นดวงตาที่เขาเคยเห็นมานับไม่ถ้วน คนดีหลายคนเข่นฆ่ากันหลังจากดวงตานี้ปรากฏขึ้นมันเป็นสายตาของคนที่โลภในสมบัติ

    “มิคาเอล จะมีปัญหาหรือไม่หากหลังจากที่เจ้าสำเร็จเป้าหมายข้าจะขอร่างกายของเจ้ามาทำการวิจัย แล้วข้าจะให้ของขวัญชิ้นใหญ่แก่เจ้า”

    มิคาเอลหัวเราะอยู่ในใจ

    นั่นไงใช่จริงๆด้วย

    เขาตอบสั้นๆ

    “ได้ ”

    ถึงเขาจะตอบตกลงไปแบบนั้นแต่หลังจากจบศึกคิดว่าร่างของเขาจะยังเหลืองั้นหรือ

    “จริงหรือ ขอบคุณเจ้ามาก ไม่แน่มันอาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการก้าวข้ามของข้า”

    มิคาเอลประหลาดใจไม่คิดว่ามังกรในตำนานจะเอ่ยปากขอบคุณออกมาง่ายดายขนาดนี้ ตัวตนของเรเกียร์ในสายตาของมิคาเอลเริ่มเปลี่ยนไป 

    ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องวางท่าสูงส่งเพื่อพิสูจน์อำนาจ ไม่จำเป็นต้องใช้กลอุบายซับซ้อนเพื่อพิสูจน์ปัญญา ไม่จำเป็นต้องกดขี่ผู้อ่อนแอแต่ต้อง แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน เรเกียร์คือผู้ที่อยู่จุดนั้น

    มิคาเอลพยักหน้ายอมรับ ก่อนหน้านี้เขาเคยดูถูกเรเกียร์ว่าเป็นเพียงมอนสเตอร์ไร้สติปัญญา แต่ความคิดของเขาเปลี่ยนไปแล้ว เขายืนขึ้นพร้อมรอยยิ้มใช้มือขวาตบไปที่หน้าอกของตัวเองอย่างแรงแล้วกล่าวอย่างหนักแน่น

    “ฉันอยากขอยืมพลังของนาย มังกรแห่งโรคระบาดเรเกียร์ เพื่อทำลายอาณาจักรเรเซลและอาจรวมไปถึงศาสนจักร”

    “โอ้! เป็นคำขอที่ยิ่งใหญ่นัก มันไม่ยากเลยที่จะทำลายทั้งสองมหาอำนาตนั้น เเต่หากข้าออกไปทั้งทวีปหรืออาจทั้งโลกจะตกอยู่ในความโกลาหล เจ้าเเน่ใจหรือว่าต้องการจะสร้างคลื่นลูกใหญ่นั่น ”

    แน่นอนว่ามิคาเอลเข้าใจเรื่องนั้นดี หากเรเกียร์เคลื่อนไหวมันก็ไม่ต่างไปจากภัยพิบัติระดับจอมมารลูบีกัลหรืออาจมากกว่านั้นปรากฏขึ้น แต่แล้วอย่างไร แขนทั้งสองข้างของมิคาเอลอ้าออกแสดงท่าทางที่ไม่สนใจสิ่งใด

    “คลื่นลูกใหญ่เเล้วอย่างไร วุ่นวายทั้งโลกเเล้วอย่างไรมันเกี่ยวอะไรกับฉันกัน ”

    ชายคนนี้! คราวนี้เป็นเรเกียร์ตกตะลึงอยู่ในใจ

    ทั้งนิสัย ความคิด จิตสำนึก ศิลธรรม เปลี่ยนไปขนาดนี้เลยงั้นหรือ ช่วงเวลาที่เขาถูกคนที่เชื่อใจหักหลังมันคงจะทำให้เขาเติบโตขึ้น

    ความคิดนี้เกิดขึ้นในหัวของเรเกียร์ ระหว่างนั้นก็มีภาพของชายหนุ่มท่าทางกล้าหาญถือดาบเดินตรงเข้ามาหาเขาเพื่อท้าต่อสู้ ตอนนั้นเรเกียร์ไม่แม้แต่จะชายตามองชายผู้นั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปชายคนนั้นกลับสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับโลกทั้งใบ

    “ฮ่าฮ่า ครั้งเเรกที่เราพบกันในป่าภูติ เจ้าบอกว่าจะต่อสู้กับข้าเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ทุกคนที่ข้าสังหารในอดีต เเละจะกำจัดข้าในนามของความถูกต้อง หึๆ ความคิดของเด็กน้อย แต่ตอนนี้เจ้ากลับจะทำลายอาณาจักรรวมถึงเด็กตาดำๆที่ไม่รู้ประสีประสาเพียงเพื่อเติมเต็มความคับแค้น เจ้าเปลี่ยนไปมากนับจากวันนั้น เเต่มันเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี”

    “คนเหล่านั้นสมควรตาย”

    มิคาเอลเผยสีหน้าแห่งความโกรธแค้นที่เขาพยายามข่มกลั้นเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรเรเซลหรือศาสนจักร คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการใส่ร้ายเขา พวกมันต้องตายทั้งหมด

    “อืม มิคาเอล เจ้าเปลี่ยนไปมากนับจากผู้กล้ามิคาเอลจนมาถึงผู้กล้าปีศาจ เอาหล่ะนอกเรื่องมาเยอะเเล้ว บอกสิ่งที่ข้าจะได้รับหากข้ายอมช่วยเหลือเจ้า”

    มิคาเอลกำหมัดทั้งสองข้างเอาไว้แน่นมีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาในดวงตาของเขา คำพูดนี้เปรียบเสมือนว่าเรเกียร์ยอมช่วยเหลือเขาครึ่งหนึ่งแล้ว

    “เมื่อฉันประสบความสำเร็จในการแก้เเค้น ฉันจะดึงดาบเล่มนั้นออกให้และยังจะบอกวิธีรักษาบาดเเผลที่ไม่มีทางรักษาให้นาย”

    “ตกลง”

    เรเกียร์ตอบโดยไม่ต้องคิด มันรู้สึกว่าชายคนนี้สามารถเชื่อใจได้ ธรรมชาติของชายคนนี้เป็นคนซื่อสัตย์และมีจิตใจงาม เพียงแต่ตอนนี้มันถูกบดบังด้วยเพลิงแค้น แต่หลังจากที่เพลิงนี้มอดลง ชายที่หลงผิดคนนี้ก็จะรู้สึกว่างเปล่าในเวลานั้นเขาต้องโหยหาตัวตนเดิมที่สูญเสียไปเพื่อการนั้นเขาจะต้องกลับมาทำตามสัญญาที่ให้ไว้อย่างแน่นอน

    “งั้นมาทำสัญญาเลือดกัน”

    มิคาเอลยกนิ้วโป้งมาที่ปากเตรียมจะกัดนิ้วตัวเอง แต่คำพูดของเรเกียร์ก็ได้ดังขัดจังหวะ

    “ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ข้าเชื่อว่าตัวเองมองคนไม่ผิด เพลิงแค้นนั้นรีบไปดับมันซะ แล้วค่อยกลับมา”

    “เชื่อใจกันน่าดูเลยนะ ถ้าหากฉันไม่ทำตามสัญญาละ”

    มิคาเอลถามหยั่งเชิง

    “ฮ่าฮ่า ถึงตอนนั้นข้าก็แค่ออกไปทำลายซักทวีปให้หายไปจากแผนที่โลก แต่มันคงไม่เกิดขึ้นหรอก”

    “ถ้าเชื่อใจกันขนาดนั้นฉันก็คงจะทำให้ผิดหวังไม่ได้แล้ว”

    หลังจากนั้นก็เป็นขั้นตอนการบอกลา มิคาเอลใช้เขตแดนเวทย์เคลื่อนย้ายที่เรเกียร์กระดิกนิ้วสร้างขึ้นเพื่อเคลื่อนย้ายออกนอกถ้ำ เขาปรากฏตัวในตรอกแคบๆที่เหม็นกลิ่นขยะแห่งหนึ่งของเมืองที่ห่างไกล

    เขาเดินตรงไปตามทาง ในตอนแรกใบหน้าของเขายังปรากฏให้เห็นถึงความตื่นเต้นและความปราถนาที่จะได้ล้างแค้น 

    แต่ในแต่ละก้าวที่ผ่านไปความเร่าร้อนในดวงตากลับค่อยๆ หมองหม่นลง 

    หมัดทั้งสองที่เคยกำแน่นได้คลายออก มันเปลี่ยนเป็นความสงบนิ่ง ในท้ายที่สุดความสงบก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเย็นชา

     สีหน้าอันเคียดแค้นที่แสดงให้เห็นก่อนหน้าได้หายไป ระหว่างนั้นเขาก็เดินไปตามเส้นทางของตน ท่าทางยังคงสงบนิ่งแต่ในตอนนั้น

    รอยยิ้มเล็กๆที่หากไม่สังเกตดีๆจะมองไม่เห็นได้ผุดขึ้นที่มุมปากข้างขวาของเขา

    “ ‘มิคาเอล เจ้าเปลี่ยนไปมากนับจากผู้กล้ามิคาเอลจนมาถึงผู้กล้าปีศาจ’.... งั้นหรือ ฮ่าฮ่า”

    มิคาเอลพูดซ้ำคำกล่าวของเรเกียร์ เขาหัวเราะออกมาด้วยความเย้ยหยัน

    “เปล่าเลยเรเกียร์ ไม่ว่าจะเป็นผู้กล้ามิคาเอลหรือผู้กล้าปีศาจทั้งหมดก็คือฉัน ไม่ว่าโลกก่อนโลกนี้หรือชีวิตที่สอง ฉันเติบโตขึ้นแต่ไม่เคยเปลี่ยนไป”

    ในสายตาของเรเกียร์มิคาเอลคือชายหนุ่มที่มีจิตใจงามเหมาะสมกับตำแหน่งผู้กล้าช่วยเหลือผู้คนโดยไม่หวังผลตอบแทน แม้จะถูกทรยศแต่ก็ยังมีจิตใจที่สูงส่งสุดท้ายเขาจะให้อภัยคนที่เคยหักหลัง 

    แต่ความจริง ไม่ใช่เลย ผู้กล้ามิคาเอลเป็นคนโลภและเห็นแก่ตัว เขาไม่ได้อยากจะช่วยเหลือคน เขาไม่ได้ไร้เดียงสา ในความเป็นจริง ผู้กล้ามิคาเอลรู้กลอุบายของอาณาจักรเรเซล เขามีความคิดที่สามารถวิเคราะห์แผนชั่วต่างๆ เพียงแค่เขาไม่อยากไปสนใจ แม้แต่หลังจากที่เขาถูกหักหลังโดยคนที่ไว้ใจ เขาก็ยอมรับมันได้อย่างรวดเร็ว ไม่ได้ถูกความแค้นบดบัง

     ท่าทางระหว่างสนทนากับเรเกียร์เป็นเพียงการแสดงเพื่อให้อีกฝ่ายคิดว่าเขายังมีจิตใจที่ไร้เดียงสาแต่ถูกความแค้นครอบงำเท่านั้น 

    ผลลัพธ์คือเรเกียร์เชื่อใจเขาอย่างสมบูรณ์ถึงขั้นให้ความสนับสนุนเขาโดยไม่ทำสัญญาเลือดที่เป็นข้อผูกมัดไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา มันหมายความว่าแม้เขาจะไม่ดึงดาบเล่มนั้นออกเขาก็จะไม่ได้รับบทลงโทษใดๆ

     มิคาเอลก้มมองไปที่มือซ้ายที่ตอนนี้ปรากฏเป็นวัตถุทรงกลมสร้างจากหินที่มีลวดลายมังกรสลักเอาไว้

    “แผนการขั้นแรกสำเร็จ”

    มิคาเอลรู้สึกได้เลยว่าแรงกดดันของเขาลดลงอย่างมาก ก่อนหน้านี้สภาพเขาเหมือนกับคันธนูที่สายถูกรั้งจนตึงตลอดเวลา แต่ตอนนี้เขาสามารผ่อนคลายได้แล้ว

     หลังจากนี้สิ่งที่ต้องทำคือเพิ่มพลังต่อสู้ให้ตัวเอง พลังการต่อสู้ของเขาต่ำมากมันไม่พอสำหรับเปิดศึกกับอาณาจักรเรเซล แต่เขาไม่กดดันมากนักเพราะเขาได้รับไพ่ตายที่จะใช้ตัดสินผลแพ้ชนะมาแล้ว

    มิคาเอลสำรวจผังเมืองจากป้ายผังเมือง เมืองแห่งนี้มีชื่อว่า เพตอส

    “เจอแล้ว”

    เขามองโครงสร้างเมืองและหาจุดเชื่อมระหว่างอาคารไม่นานเขาก็คาดเดาจุดที่เป็นสถานที่ตั้งของ ร้านค้าตลาดมืดของเมืองนี้ได้ เมื่อไปถึงก็พบว่าพ่อค้าสาขาเพตอสกำลังยืนต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มราวกับรู้อยู่แล้วว่าเขาจะมา มิคาเอลขมวดคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาเข้าไปในห้องส่วนตัวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับแผนต่อไป

     ระหว่างนั้นก็ได้เช็คสเตตัสของตัวเอง

    “ฮ่าฮ่า ทาสมนุษย์สัตว์ทำงานได้ดีกว่าที่คิด”

    หน้าต่างสเตตัสโปร่งใสปรากฏขึ้นในมุมสายตาของเขา ตัวเลขในค่าปริมาณพลังเวทย์เพิ่มขึ้นอีกครั้งในปริมาณที่เขายังตกตะลึง

    ชื่อ มิคาเอล

    เผ่าพันธุ์ มนุษย์ เพศชาย

    ปริมาณพลังเวทย์ : 507

    ฉายา

    507ตัวเลขนี้หมายถึง เขาสามารถใช้เวทมนตร์ระดับ4ได้ หรือเทียบเท่า ผู้ชำนาญเวทย์ที่มนุษย์ตั้งขึ้น

    ผู้ที่มีปริมาณพลังเวทย์มากกว่า

    50 จะสามารถใช้เวทย์ระดับ 1-2เรียกว่า ผู้ใช้เวทย์ฝึกหัด

    ผู้ที่มีปริมาณพลังเวทย์มากกว่า

    100 จะสามารถใช้เวทย์ระดับ 3 เรียกว่า ผู้ใช้เวทย์สามัญ

    ผู้ที่มีปริมาณพลังเวทย์มากกว่า

    500 จะสามารถใช้เวทย์ระดับ 4 เรียกว่า ผู้ชำนาญเวทย์

    ผู้ที่มีปริมาณพลังเวทย์มากกว่า

    1000 จะสามารถใช้เวทย์ระดับ 5 เรียกว่า จอมขมังเวทย์

    หลังจากปริมาณพลังเวทย์ถึง1500จะสามารถสร้างแกนพลังเวทย์และแกนพลังกาย และร่างกายจะสามารถผลิตพลังเวทย์ได้ด้วยตัวเอง สามารถใช้เวทย์ระดับ 6 และ ระดับ7 หรือเรียกว่า ราชันย์เวทย์

    “ด้วยความเร็วนี้อีกประมาณ10วัน ปริมาณพลังเวทย์ก็น่าจะถึง1500 ร่างกายจะผลิตพลังเวทย์เองได้ หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมนุษย์สัตว์ทุกตัวใน อุปกรณ์เวทย์กระแสหมอกแห่งการกักขังให้กลายทาส ถ้าทำได้อาจจะไปถึงราชันย์เวทย์ระดับแนวหน้าได้ใน1วัน วันที่2ก็ขึ้นไปถึง ปราชญ์เวทย์ ฮ่าฮ่า”

    ราชันย์เวทย์คือจุดเริ่มต้น หากมิคาเอลต้องการเปิดศึกกับอาณาจักรเรเซลเขาต้องสะสมพลังเวทย์จนไปถึงขั้นราชันย์เวทย์เป็นอย่างน้อย


    จบ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×