ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผู้กล้าปีศาจ

    ลำดับตอนที่ #16 : บทที่ 16

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.พ. 67


    ตอน สัตว์ประหลาดจากยุคมืด กริมเฟเธอร์

    ทวีปเซเรนทีส อาณาจักรดราก้อน ถ้ำของมังกรเรเกียร์

    มิคาเอลปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่ๆมืดสนิดกลิ่นอับโชยเข้าจมูกของเขา เมื่อดวงตาเขาปรับสภาพก็พบว่าบริเวณโดยรอบเป็นผนังหินและมีหินงอกหินย้อยอยู่ที่พื้นและเพดาน ตอนนี้เขาอยู่ในถ้ำของเรเกียร์อย่างไม่ต้องสงสัย

    “เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เรามาที่นี่ ต่างจากที่คิดไว้ ไม่มีมอนสเตอร์พุ่งเข้ามาจู่โจม”

    แม้ว่าเมื่อก่อนเขาจะเป็นผู้กล้าแต่การเข้ามาในถิ่นของเรเกียร์มันก็อันตรายถึงชีวิต และอีกอย่างคือการฆ่าเรเกียร์มันก็ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับเขามากนักทำให้เขาไม่สนใจมัน เขาเคยคิดว่าก้าวแรกที่เหยียบลงพื้นจะถูกฝูงมอนสเตอร์รุมโจมตี แต่มันกลับไม่เกิดขึ้น

    เวทย์ระดับ1 ดวงไฟ

    มิคาเอลพยายามจุดไฟแต่มันกลับดับลงในพริบตา เขาคาดเดาว่าความมืดของสถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากเวทมนตร์ทำให้เวทมนตร์ประเภทให้แสงสว่างใช้การไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าเรเกียร์ทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร เขาเริ่มเดินไปตามเส้นทางอันมืดมิดด้านหน้า

    ถ้ำนี้มีลักษณะคดเคี้ยวแต่โชคดีที่มันไม่มีทางแยกทำให้เขามุ่งหน้าตรงไปได้เรื่อยๆแต่ยิ่งเดินเข้าไปลึกก็ยิ่งหายใจลำบาก มิคาเอลถือบอลเหล็กเอาไว้ในมือซึ่งมันก็คืออุปกรณ์เวทย์กระแสหมอกแห่งการกักขัง ตัวมันไม่มีพลังการโจมตีหรือพลังป้องกันแต่หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดอย่างการถูกลอบโจมตีเขาจะเรียกมนุษย์สัตว์ภายในนี้ออกมาเป็นโล่มนุษย์

    ในขณะที่เขาเดินลึกเข้าไปในถ้ำก็พบว่าทางเดินเริ่มกว้างขึ้น ไม่นานบางสิ่งบางอย่างก็ปรากฏขึ้นในสายตาของมิคาเอล มันคือสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะคล้ายประตูหินที่ไม่มีบานประตูตั้งตระหง่านท่ามกลางความมืดมิด

    ประตูนี้มีรอยแตกและผุกกร่อนแสดงให้เห็นว่ามันตั้งอยู่ตรงนี้เป็นเวลานาน มิคาเอลเดินเข้าใกล้ประตูหินโบราณด้วยความระมัดระวังพรางกวาดตาสำรวจมันอย่างถี่ถ้วน

    “สัมผัสถึงพลังเวทย์ไม่ได้ การที่มันเป็นสิ่งของเพียงอย่างเดียวในที่แห่งนี้แสดงว่ามันต้องไม่ธรรมดา ”

    เขาไม่สนใจมันเพราะมันไม่ใช่เวลามาหาคำตอบ มิคาเอลไม่รู้ว่าเขาต้องเดินไปอีกไกลแค่ไหนเพราะเขามองไม่เห็นทางข้างหน้าแม้แต่น้อย ระยะสายตาที่เขาสามารถมองเห็นคือ 10 เมตรจากตัว ไกลจากนั้นมีเพียงความมืดมิด ในจังหวะที่มิคาเอลเดินผ่านประตูหินเสียงที่ราวกับปีศาจได้ดังขึ้นด้านหลังของเขา

    “ทุกชีวิตบนโลกล้วนต้องกลับสู่ธุลี… ”

    มิคาเอลหันหลังกลับด้วยความตกใจดวงตาของเขาเบิกกว้างกับภาพที่เห็น พบเพียงว่ามีร่างๆหนึ่งที่มีขนาดเท่ากับมนุษย์ยืนอยู่หน้าประตูหิน สิ่งมีชีวิตนั้นสวมชุดคลุมสีดำทมิฬส่วนที่ควรจะเป็นเนื้อหนังกลับถูกแทนที่ด้วยโครงกระดูก ปีกสีขาวบริสุทธิ์กลางหลังกางออก ดวงตากลวงโบ๋เจาะเข้าไปด้านในกระโหลกศีรษะ ใบหน้าโครงกระดูกจ้องมองมิคาเอลท่ามกลางแสงสลัวๆ ดาบในมือของมันส่องประกาย บรรยากาศที่เย็นยะเยือกกลืนกินทั้งถ้ำ

    “…แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรเหนือกว่าผู้อื่น”

    เสียงของมันให้ความรู้สึกถึงเจตนาที่จะฆ่าเขาอย่างชัดเจน

     ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตตัวนี้มิคาเอลทำได้เพียงก้าวถอยหลังอย่างช้าๆเพื่อเว้นระยะห่าง

    เราไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อเผชิญหน้ากับตัวตนระดับนี้ มอนสเตอร์ตัวนี้อาจอยู่ในระดับAหรืออาจจะถึงขั้นS หากต่อสู้กันเราไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อยว่าจะหนีไปได้

    ในเวลานี้มิคาเอลหยุดเดินถอยหลังแล้วเอามือทั้งสองข้างชูขึ้นเหนือหัวเป็นท่าทางที่บอกว่าเขายอมแพ้

    “ไม่คิดเลยว่ามังกรเรเกียร์จะส่งลูกน้องที่แข็งแกร่งขนาดนี้มาฆ่าฉัน สู้ไปก็มีแต่ตายกับตาย ยอมแพ้แล้ว”

    มิคาเอลถอนหายใจและยอมจำนนอย่างชาญฉลาด น้ำเสียงของเขาบ่งบอกว่าเขาไม่คิดจะต่อสู้

    ร่างโครงกระดูกมองมิคาเอลด้วยท่าทางที่เหนือกว่า

    “เสียใจงั้นรึ การที่เจ้าเหยียบเท้าลงมายังที่แห่งนี้มันก็หมายความว่าชีวิตของเจ้าได้จบลงแล้ว”

    มิคาเอลขมวดคิ้ว

    “ฉันรู้ดีว่าตัวเองอาจตายหากมาที่นี่ แต่ก่อนจะตายฉันก็อยากจะพบเพื่อนเก่าซักครั้ง ให้ฉันได้คุยกับเรเกียร์”

    มิคาเอลพูดอย่างหนักแน่นเขาเปิดเผยถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเรเกียร์อย่างไรก็ตามโครงกระดูกนั้นยังคงไม่เปลี่ยนท่าที

    “มนุษย์เจ้าประเมินข้าต่ำเกินไป คิดว่าข้าไม่รู้งั้นหรือว่าเจ้าทำอะไรไว้กับเจ้านายของข้า ดาบเล่มนั้นยังคงฝังอยู่ในเกร็ดของท่านเรเกียร์มาจนถึงปัจจุบัน ไม่เช่นนั้นท่านก็คงจะก้าวข้ามไปนานแล้ว”

    น้ำเสียงของมันแสดงให้เห็นถึงความโกรธ มิคาเอลนึกไปถึงเรื่องราวในอดีตอย่างช่วยไม่ได้ เขาพูด

    “ดาบเล่มนั้นเป็นสิ่งลึกลับ ไม่มีใครดึงมันออกได้นอกจากเจ้าของดาบ”

    “แล้วเจ้าก็เป็นเจ้าของดาบเล่มนั้น”

    โครงกระดูกชี้ดาบในมือมาทางเขา

    “ถูกต้อง และหากฉันตายดาบเล่มนั้นก็จะฝังอยู่ในร่างของเรเกียร์ตลอดกาล”

    หลังพูดจบมิคาเอลก็เริ่มระวังตัวเพราะตอนนี้เขาขู่อีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว โครงกระดูกเงียบราวกับกำลังใช้ความคิด มิคาเอลได้พูดทุกสิ่งที่ต้องพูดแล้วหลังจากนี้มันก็ขึ้นอยู่กับความภักดีของโครงกระดูกที่มีต่อเรเกียร์ มันจะทำตามคำสั่งของเรเกียร์โดยการฆ่าเขาแล้วปล่อยให้ดาบเล่มนั้นปักอยู่ในร่างของเรเกียร์ต่อไป หรือจะขัดคำสั่งเรเกียร์เพื่อให้เขาดึงดาบเล่มนั้นออก

    “คำสั่งของท่านเรเกียร์ถือเป็นที่สุดสำหรับข้า แต่การ ก้าวข้าม คือเป้าหมายสูงสุดของท่านเรเกียร์ ตามข้ามาเราจะไปพบท่านเรเกียร์”

    โครงกระดูกลังเลเล็กน้อยแต่สุดท้ายมันก็บอกถึงการตัดสินใจของตัวเอง ในระหว่างที่มิคาเอลกำลังจะเดินตามโครงกระดูกเสียงที่ทรงพลังและน่าเกรงขามก็ได้ดังขึ้นอย่างฉับพลัน

    “กำลังทำอะไร คิดจะขัดคำสั่งงั้นหรือกริมเฟเธอร์”

    ราวกับทั้งถ้ำกำลังจะพังทลาย เศษหินตกลงมาจากเพดาน โครงกระดูกตื่นตระหนกมันรีบคุกเข่าลงทำความเคารพให้เสียงนั้น

    “ข้าผิดไปแล้วนายท่าน ข้าจะรีบกำจัดตัวหมากของเทพเดี่ยวนี้”

    โครงกระดูกไม่กล้ารอช้ามันชี้ดาบมาทางมิคาเอล

    ตัวหมากของเทพ มันคืออะไร หรือจะหมายถึงคนที่ถูกเทพส่งมาเกิดใหม่งั้นหรือ

    มิคาเอลคาดเดาแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาคิดเพราะโครงกระดูกกำลังจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำราวกับต้องการดื่มเลือดเขา เรเกียร์ต้องการให้เขาตายไม่ว่าจะแลกด้วยสิ่งใดมันทำให้เขาหมดหนทางกับสติปัญญาที่น้อยนิดของมอนสเตอร์

    หากมันใช้ความคิดเล็กน้อยก็จะรู้แล้วว่าหากเขาตายฝ่ายที่ต้องเสียใจภายหลังก็คือมัน ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้โกหกในอดีตเขาเคยต่อสู้กับเรเกียร์และเคยฝังดาบไว้ในเกร็ดของมัน

    ดาบเล่มนั้นเป็นสิ่งลึกลับเพราะบนโลกนี้มีเพียงเขาคนเดียวที่ใช้งานมันได้ หากเขาตายดาบนั้นก็จะถูกปักไว้ในเกร็ดของมันตลอดกาลและมันยังเป็นสิ่งที่ยับยั้งไม่ให้มันก้าวข้ามไปถึงระดับนั้น แต่โชคร้ายที่มันคิดไม่ได้ หรือไม่ก็มีเหตุผลอื่นที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องฆ่าเขา คำแรกที่โผล่ขึ้นมาในหัวของมิคาเอลก็คือ ตัวหมากของเทพ

    โครงกระดูกเริ่มเคลื่อนไหวร่างของมันหายไปจากจุดที่มันอยู่อย่างกระทันหัน มิคาเอลเปิดประสาทการรับรู้ร่างกายเขาตื่นตัวถึงขีดสุด

    เพียงเสี้ยวพริบตาร่างโครงกระดูกที่ราวกับยมทูตก็มาปรากฏด้านหลังของเขาดาบในมือของมันวาดลงมาอย่างเงียบเชียบซึ่งเป็นหลักฐานว่ามันมีความเร็วมากกว่าเสียง

    คมดาบกรีดเข้าไปในเนื้อหนังทำลายกระโหลกและผ่าครึ่งร่างกายมิคาเอลจนเลือดสดๆสาดกระจายเต็มพื้น ร่างนั้นถูกฟันผ่าครึ่งมันหล่นลงกับพื้นพร้อมกับเครื่องในมนุษย์ที่ไหวทะลักออกมา

    ตายสนิท ในตอนที่โครงกระดูกคิดเช่นนั้นมันก็สับสนกับภาพที่เห็น เป็นเพราะศพนั้นไม่ใช่ของมิคาเอลแต่เป็นของชายในชุดเกราะเหล็ก

    “มนุษย์สัตว์งั้นหรือ”

    มันหันมองไปรอบๆก่อนจะพบกับร่างที่มีเลือดไหลจากศรีษะ มิคาเอลเอามือปิดแผลที่หัวดาบเมื่อครู่เกือบจะผ่าร่างเขาจนขาดครึ่ง แต่ยังดีที่เขาเรียกทหารมนุษย์สัตว์ระดับจอมขมังเวทย์ออกมารับแทนเขาทัน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ของเขา แม้ร่างกายเขาจะอ่อนแอแต่ปฏิกิริยาของเขายังรวดเร็ว

    กริมเฟเธอร์ มอนสเตอร์ที่หลงเหลือจากยุคมืดนึกออกแล้ว หนังสือในปราสาทจอมมารเขียนบันทึกถึงมอนสเตอร์ที่เคยปรากฏตัวขึ้นในยุคมืดเมื่อประมาณ10,000ปีก่อน คิดว่าสูญพันธุ์ไปหมดแล้วซะอีก

    มิคาเอลพึมพำในใจ

    เขาไม่รู้เรื่องยุคมืดมากนักแต่เขาเคยได้ยินมาว่ามันเป็นช่วงเวลาที่การดำรงอยู่ของมนุษย์เกือบจะสูญสิ้นไปจากโลกเรียกได้ว่ายืนอยู่บนขอบเหวแห่งการล่มสลาย มันเป็นยุคที่ปกคลุมไปด้วยความมืดมิดและกลิ่นคาวเลือดเพราะมอนสเตอร์ที่มีอยู่มากเกินไปมอนสเตอร์ระดับ S พบได้ตามท้องถนน ส่วนมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในขั้นจอมขมังเวทย์เท่านั้น แต่เรื่องเหล่านี้ก็ผ่านมาหมือนปีแล้ว

    มิคาเอลจ้องมองกริมเฟเธอร์ด้วยดวงตาที่คมกริบ

    “หลบดาบของกริมเฟเธอร์ได้ทั้งที่อยู่ในขั้นผู้ใช้เวทย์สามัญ สมกับอดีตผู้กล้า ช่างน่าประทับใจ”

    เสียงที่ชื่นชมแต่แฝงความเยาะเย้ยดังขึ้น มันเงียบชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง

    “ข้ามีข้อเสนอ สนใจหรือไม่”

    “ข้อเสนอ? ลองพูดมา”

    มิคาเอลแสร้งประหลาดใจและดีใจแต่ความจริงเขากำลังตั้งใจฟังและใช้ความคิด

    “นั่นคือ หากเจ้าสยบกริมเฟเธอร์ได้10ลมหายใจ เจ้าจะมีสิทธิ์เข้าพบข้า”

    มิคาเอลที่ได้ยินแทบจะล้มทั้งยืน ไอ้กิ้งก่ามีพิษนี่มันบ้าไปแล้วรึไงจะให้ผู้ใช้เวทย์สามัญล้มมอนสเตอร์ระดับ S งั้นหรือ มันเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด มอนสเตอร์ระดับ s มีพลังเทียบเท่า ปราชญ์เวทย์ของมนุษย์ ปราชญ์เวทย์คือตัวตนที่เป็นรองเพียงมหาปราชญ์ต้นกำเนิด แล้วจะให้เขาต่อสู้กับมันด้วยอะไร มังกรตัวนี้มีสมองบรรจุอยู่ในหัวหรือไม่

    “ท่านเรเกียร์ ท่านก็ประเมินฉันสูงเกินไป ที่ฉันหลบดาบของกริมเฟเธอร์ได้มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ การจะให้ฉันสยบกริมเฟเธอร์นั้นเป็นไปไม่ได้ ”

    มิคาเอลกล่าวอย่างสุภาพเพื่อเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายโกรธ

    “เจ้ากล้าปฏิเสธข้อเสนอของข้าผู้นี้งั้นหรือ”

    เรเกียร์ส่งเสียงคำรามด้วยความไม่พอใจ มิคาเอลที่ได้ยินดังนั้นก็หมดคำจะพูดไป เพราะนี่มันไร้เหตุผลอย่างมากข้อเสนอแต่ปฏิเสธไม่ได้มันมีที่ไหนกัน ในเรื่องนี้หากอยากจะโทษใครก็ต้องโทษที่สติปัญญาของมอนสเตอร์นั้นมีอย่างจำกัดการที่พวกมันพูดภาษามนุษย์ได้ก็นับว่าอัฉริยะมากแล้ว

    เป็นตอนนั้นเองที่ดาบของกริมเฟเธอร์ฟาดฟันเข้าใส่มิคาเอลด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าแต่ด้วยประสบการณ์ทำให้เขาเรียกมนุษย์สัตว์ออกมารับการโจมตีส่วนเขาได้หลบออกไปด้านข้าง

    ไม่คิดเลยว่าจะหลบการโจมตีของข้าได้ถึงสองครั้ง ข้าคงประเมินเจ้าต่ำเกินไป ตอนนี้ข้าขอยอมรับว่าเจ้าเป็นศัตรูที่คู่ควรให้ข้าสังหารด้วยพลังทั้งหมด

    ออร่าที่ป่าเถื่อนก่อตัวขึ้นรอบตัวกริมเฟเธอร์ส่งผลให้อากาศโดยรอบราวกับถูกแช่แข็ง ภาพของกริมเฟเธอร์กลายเป็นบิดเบี้ยวและเห็นเป็นภาพเบลอ เจตนาสังหารที่รุนแรงกดทับลงบนร่างกายของมิคาเอล

    ใช้จิตสังหารงั้นหรือ

    มิคาเอลหรี่ตาลงขอบอกเลยว่าจิตสังหารของกริมเฟเธอร์นั้นมีพลังที่รุนแรงยิ่งกว่าของมาโคอย่างเทียบไม่ติด นี่อาจเป็นผลมาจากการที่มันเคยสังหารผู้คนนับไม่ถ้วนในยุคมืดเมื่อหมื่นปีก่อนและด้วยอายุของมันก็ไม่รู้เลยว่าได้สังหารคนไปมากเท่าไหร่ถึงได้มีจิตสังหารที่รุนแรงระดับนี้

    “ใช่แล้วจิตสังหารไงล่ะ!”

    มิคาเอลจุดประกายความคิดบางอย่างเขาเริ่มทบทวนความคิดนี้ก่อนจะสรุปว่ามันมีความเป็นไปได้ หลังจากผ่านไปซักพักกริมเฟเธอร์กลับมีท่าทางที่เปลี่ยนไปมันประหลาดใจอย่างมากเป็นเพราะมิคาเอลที่ควรจะถูกจิตสังหารของมันกดลงไปนอนกับพื้นกลับยืนอยู่กับที่ราวกับไม่ได้รับผลใดๆ

    “นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง ทำไมเจ้าถึงไม่ถูกจิตสังหารกดทับ นี่จิตใจของเจ้ามันอยู่ในระดับใดกัน”


    จบ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×