ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผู้กล้าปีศาจ

    ลำดับตอนที่ #14 : บทที่ 14

    • อัปเดตล่าสุด 15 ม.ค. 67


    ตอน ศาสนจักรเริ่มเคลื่อนไหว

    มนุษย์สัตว์ทั้งห้าต่อสู้อย่างเป็นแบบแผนและมีชั้นเชิง แม้ทุกคนจะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาแต่เมื่อสู้กันเป็นทีมก็ทำให้พวกเขาโค่นล้มมอนสเตอร์หมียักลงได้อย่างง่ายดาย

    คิลเลอร์แบร์ ถูกสังหารโดยทาส ได้รับพลังเวทย์+6

    เสียงแจ้งเตือนจากเอไอดังขึ้นในหัวของมิคาเอล ในครั้งนี้มันแจ้งเตือนข้อความที่ต่างจากเดิม ทาสเป็นคนฆ่ามอนสเตอร์คิลเลอร์แบร์ มิคาเอลยิ้มมุมปาก แผนการใช้ทาสในการเพิ่มพลังเวทย์ ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม

    หลังจากนี้มิคาเอลก็ไม่จำเป็นต้องล่ามอนสเตอร์ด้วยตัวเอง สิ่งเดียวที่เขาต้องทำคือส่งเหล่าทาสออกไปล่าแทนเขา แล้วเขาก็รอรับพลังเวทย์อย่างสะดวกสบาย เรียกได้ว่ามันเป็นวิธีที่ทั้งสะดวก ปลอดภัยและยังประหยัดเวลาอย่างมาก

    “นี่คือผลของเวทย์ เชื่อมโยงวิญญาณ ”

    คุณสมบัติของเวทย์ เชื่อมโยงวิญญาณคือ การสร้างความเชื่อมโยงทางวิญญาณจากอีกคนสู่อีกคน เวทมนตร์นี้มีต้นกำเนิดที่ไม่ธรรมดาเพราะคนที่สร้างสูตรเวทย์นี้ขึ้นมาก็คือศัตรูของมนุษย์ จอมมารลูบีกัล เวทย์เชื่อมโยงวิญญาณมีตั้งแต่ระดับ1 จนถึงระดับ9

    ในตอนที่เขาเป็นผู้กล้ามิคาเอลสนใจเวทมนตร์ชนิดนี้มาก เพราะมันสามารถนำมาประยุกต์เข้ากับเวทมนตร์ชนิดอื่นและสร้างผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์ได้ แต่เนื่องจากในเวลานั้นเขาเป็นผู้กล้า เขาไม่ได้รับอนุญาตให้เรียนรู้เวทมนตร์ที่ถูกสร้างโดยจอมมาร เขาจึงทำได้เพียงแอบวิจัยมันอย่างลับๆ และผลลัพธ์ของมันก็คือเขาได้รับ เวทย์เชื่อมโยงวิญญาณ ตั้งแต่ระดับ1ถึงระดับ6 แต่ถึงจะได้รับมันมาเขาก็ไม่มีโอกาสได้ใช้มัน จนถึงวันนี้

    “ผลจากเวทย์เชื่อมาโยงวิญญาณยังไม่จบหรอก”

    มิคาเอลสั่งให้มนุษย์สัตว์คนหนึ่งกินเนื้อของคิลเลอร์แบร์ มนุษย์สัตว์ที่ถูกสั่งหยิบเนื้อขึ้นมาและเริ่มกัดกินมันอย่างเอร็ดอร่อย

    “นายได้รับพลังเวทย์ไหม”

    มิคาเอลถาม

    “เหลือเชื่อ เจ้านาย พลังเวทย์ของมอนสเตอร์ตัวนี้ถูกท่านดูดซับไปทั้งหมดแล้ว แต่ทำไมเนื้อของมันยังมอบพลังเวทย์ให้ข้ากัน”

    มนุษย์สัตว์จ้องมองเนื้อในมือด้วยความประหลาดใจ

    “หึๆ งั้นพวกแกก็กินเนื้อมันให้หมดอย่าให้เหลือ”

    “รับทราบ”

    มนุษย์สัตว์ขานรับ

    โดยปกติมนุษย์จะฆ่ามอนสเตอร์เพื่อรับพลังเวทย์ ส่วนเนื้อของมันจะไร้ค่าเพราะพลังเวทย์ทั้งหมดถูกดูดไปแล้ว แม้จะนำเนื้อนี้ไปให้มนุษย์สัตว์กิน มันก็จะไม่เพิ่มพลังเวทย์ให้คนที่กิน นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ทุกคนเข้าใจดี แต่สิ่งที่มิคาเอลทำมันแหกหลักความเข้าใจของมนุษย์สัตว์ไปอย่างสิ้นเชิง เพราะมันคือสิ่งที่ผิดกฎธรรมชาติ

    ในอดีตมีหลายคนวิจัยเรื่องนี้อย่างจริงจัง การรับพลังเวทย์สองครั้งจากมอนสเตอร์ตัวเดียวเป็นสิ่งที่ทุกกองกำลังต้องการ แต่เมื่อเริ่มวิจัยพวกเขาก็พบว่ามันเป็นไปไม่ได้ พวกเขาได้ประกาศออกไปว่า เป็นเพราะกฏของธรรมชาติไม่อนุญาตให้ทำแบบนั้น หลังจากนั้นใครก็ตามที่ทำวิจัยเรื่องนี้ก็จะถูกมองว่าเป็นตัวตลก ทำให้เรื่องนี้ค่อยๆเลือนหายไป

    แต่ก็มีชายคนหนึ่งที่ยังมุ่งมั่นทำวิจัยเรื่องนี้จนในที่สุดเขาก็ทำมันสำเร็จ คนแรกที่ประสบความสำเร็จในการรับพลังเวทย์สองครั้งจากมอนสเตอร์ตัวเดียวไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก จอมมารลูบีกัล ความอัจฉริยะของเขาไม่มีใครเทียบเคียงได้ ผลลัพธ์ของงานวิจัยนี้แน่นอนว่าถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด

    เหตุผลที่มิคาเอลรู้เรื่องนี้ก็เพราะเขาแอบขโมยงานวิจัยส่วนหนึ่งตอนที่บุกปราสาทจอมมารครั้งสุดท้าย และเป็นตอนนั้นเองที่มิคาเอลได้รู้ว่ามันสมองของลูบีกัลนำหน้านักวิจัยทั้งโลกไปไกลมากแค่ไหน

    มิคาเอลรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ตอนนี้ระบบการล่าที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว

    ระบบการล่าของเขามีสองขั่นตอน หนึ่งให้มนุษย์สัตว์ฆ่ามอนสเตอร์ แล้วเขารอรับพลังเวทย์ สองให้มนุษย์สัตว์กินเนื้อที่ล่ามา เนื้อจะไม่สูญเปล่าและมนุษย์สัตว์จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ สรุปคือ มอนสเตอร์ตัวเดียวจะให้พลังเวทย์ถึงสองครั้ง ไม่มีส่วนไหนของมอนสเตอร์ที่สูญเปล่า

    มิคาเอลใช้ทาสไล่ฆ่ามอนสเตอร์ระดับF จนถึงช่วงเย็น พลังเวทย์ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อมันพุ่งเกิน100 เขาก็นำมันไปเพิ่มจำนวนทาสมนุษย์สัตว์ ความเชี่ยวชาญในการใช้เวทย์เปลี่ยนมนุษย์สัตว์เป็นทาสเพิ่มขึ้น ทำให้เวลาที่ใช้ลดลง เพียง 30 นาที มนุษย์สัตว์ 5 คนก็ถูกเปลี่ยนเป็นทาส

     มิคาเอลต้องการเพิ่มทาสให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ยิ่งเยอะยิ่งดี ถึงแม้มันจะมีดีแค่จำนวนและไม่ค่อยแข็งแกร่งมากนัก แต่สิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงแค่นี้ เขายังไม่พร้อมสำหรับการเปลี่ยนมนุษย์สัตว์ที่มีระดับสูงกว่าผู้ใช้เวทย์สามัญเป็นทาส

    ทาสชุดแรกแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก ทาสทั้ง 10 พุ่งเข้าใส่มอนสเตอน์อย่างไม่หยุดยั้ง หลังจากเที่ยงคืน มีทาสมนุษย์สัตว์เพิ่มขึ้นถึง 30 คน มีผู้ใช้เวทย์สามัญ 5 คนที่มาจากทาสชุดแรกซึ่งเป็นคนที่กินเนื้อจนระดับเพิ่มขึ้น

     เขาให้ทาสชุดแรกไปพัก เพราะยังไงพวกเขาก็ยังมีชีวิตและเหนื่อยเป็นส่วนคนที่เหลือมิคาเอลก็ให้พวกเขาออกล่าต่อ โดยพยายามเลี่ยงการปะทะกับมอนสเตอร์ที่สูงกว่าระดับF เพราะมันเสี่ยงเกินไป และยังมีการเลือกมอนสเตอร์ที่จะฆ่าโดยจะเลือกฆ่าเพียงมอนสเตอร์ตัวเล็กเพื่อให้ง่ายต่อการกิน หากเป็นมอนสเตอร์ตัวใหญ่เท่าหมีในตอนแรก มันจะใช้เวลานานเกินไปในการกิน และพวกเขาก็มีความรู้สึกอิ่มเหมือนกัน 

    เวลาผ่านไปอีก3ชั่วโมง มิคาเอลเดินเข้าไปในอุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายแบบพกพาเพื่อกลับไปนอนพักผ่อน ส่วนมนุษย์สัตว์ก็ยังคงล่ามอนสเตอร์ต่อทั้งคืน

    อาณาจักรเรเซล

    ปราสาทที่งดงามตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง ปราสาทแห่งนี้ประดับไปด้วยงานประติมากรรมอันประณีตสะท้อนถึงความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรแห่งนี้

    ที่ทางเดินใหญ่ในปราสาท พื้นหินอ่อนขัดเงาสะท้อนแสงจากโคมไฟระย้าที่หรูหรา ภาพวาดจิตรกรรมประดับอยู่บนผนัง ชายหนุ่มผมสีทองคนหนึ่งเดินไปตามเส้นทางด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน เขาแต่งกายด้วยชุดขุนนาง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน จิตใจของเขากำลังสับสนอย่างมาก

    “ตั้งแต่วันนั้นจิตใจของเราก็ไม่เคยสงบลงเลย นี่เราทำสิ่งที่ถูกต้องจริงๆใช่ไหม”

    ชายหนุ่มกัดฟัน ชายหนุ่มไม่ใช่ใครเขาก็คือหัวหน้าของ อัศวินหน่วยที่หนึ่ง และผู้กล้าคนใหม่ภายใต้ศาสนจักร ลูเซียส

    “ค่ะ ถูกต้องแน่นอนข้ารับประกัน”

    ทันใดนั้นเสียงของหญิงสาวก็ดังขึ้นข้างหูของลูเซียส การปรากฏตัวอย่างกระทันหันของหญิงสาวทำให้เขาสะดุ้งถอยหลัง

    “อะ องค์หญิงวิโอล่า”

    ลูเซียสชะงักไปชั่วขณะ หากสังเกตให้ดีจะพบว่าแก้มเขาแดงด้วยความเขินอาย

    “หึๆ ขออภัยที่เผลอทำให้ท่านผู้กล้าตกใจ”

    วิโอล่ายิ้มสดใสน้ำเสียงของนางช่างหวานหยาดเยิ้ม ลูเซียสหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม เพราะเขาไม่ชินที่ถูกเรียกว่าผู้กล้า

    “ไม่หรอก ต่อหน้าคนอื่นข้าอาจจะเป็นผู้กล้า แต่ต่อหน้าองค์หญิงข้าก็เป็นแค่เด็กเลี้ยงวัวคนเดิม”

    “พูดอะไรของเจ้า เรื่องมันตั้งแต่สมัยไหนแล้ว”

    วิโอล่าหยอกล้อ ลูเซียสปรับอารมณ์ของตัวเองก่อนจะถาม

    “แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ บอกลาแขกเสร็จแล้วงั้นหรือ ”

    ลูเซียสสงสัย

    “เปล่า ข้าแค่หนีออกมา เพราะว่าข้าอยากเจอเจ้าไง”

    วิโอล่าจับมือของลูเซียส ลูเซียสไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบแบบนั้นทำให้เขาแสดงอาการลนลานออกมาสุดท้ายก็ก้าวถอยหลังไป วิโอล่าที่เห็นดังนั้นก็หัวเราะด้วยความตลกกับท่าทางของลูเซียส ลูเซียสเอามือปิดหน้าของตัวเองพรางคิดว่า ไอ้ท่าทางน่าสมเพชแบบนี้มันอะไรกัน แถมยังต่อหน้าองค์หญิงอีก ทั้งสองคนเดินไปตามทางก่อนที่วิโอล่าจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “เกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้ที่เจ้าพูดคนเดียว ”

    อึ๊ก

    เมื่อได้ยินคำว่า ‘พูดคนเดียว’ ก็ทำให้ลูเซียสถึงกับสะดุ้ง

    “ฮ่าฮ่า ขอโทษที่ข้าติดตลกไปหน่อย เอาเป็นว่าข้าจะจริงจังแล้ว”

    นางหยุดพูดเพื่อปรับน้ำเสียงก่อนจะพูดต่อ

    “ดูเหมือนเจ้า มีเรื่องที่กำลังสับสน หากไม่ติดอะไรเจ้าสามารถเล่าให้ข้าฟังได้”

    สีหน้าของลูเซียสเปลี่ยนแปลงไปก่อนจะเริ่มเล่าถึงสิ่งที่ตนกำลังกังวล

    “ความจริงแล้ว ตั้งแต่ที่ข้าลงมือสะบั้นคอมิคาเอล ข้าก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง เอ่อ แต่ข้าเข้าใจดีว่าเขาเป็นคนร้าย”

    ลูเซียสหัวเราะแห้งๆก่อนจะพูดต่อ

    “แต่แทนที่ข้าจะรู้สึกโล่งใจที่สังหารคนร้ายได้ ข้ากลับรู้สึกผิด ความรู้สึกนี้เพิ่มมากขึ้นทุกวัน คำขอร้องสุดท้ายของเขาที่ข้าปฏิเสธไปยังคงดังก้องอยู่ในหัวของข้า ในทุกคืนข้าจะฝันเห็นภาพในวันนั้นถูกฉายซ้ำไปมา มันทำให้ข้าแทบจะเสียสติ แล้วก็ยังมีเหตุการณ์ในงานเลี้ยงวันแรก หากว่าสิ่งที่เด็กคนนั้นพูดเป็นความจริง งั้นสิ่งที่เราทำลงไปมันถูกต้องแล้วจริงๆงั้นหรือ”

    ลูเซียสได้หลั่งไหลสิ่งที่อยู่ในใจของเขาออกมา ยิ่งเล่าใบหน้าของเขาก็ยิ่งบิดเบี้ยว ดวงตาของเขาสะท้อนให้เห็นถึงความหวาดกลัว วิโอล่าที่ตั้งใจฟังมีสีหน้าที่เย็นชาซึ่งลูเซียสไม่ทันได้สังเกตเห็นเพราะมันเป็นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ก่อนที่นางจะแสดงท่าทางเห็นอกเห็นใจนางอ้าแขนกว้างเพื่อโอบกอดร่างที่สั่นเทิ้มของลูเซียส

    ขณะที่กำลังโอบกอดลูเซียสสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายและความหอมจากเส้นผมของวิโอล่า สีหน้าที่เคยหวาดกลัวของลูเซียสเริ่มบรรเทาลงมันถูกแทนที่ด้วยความลุ่มหลง

    “ข้าขอยืนยันคำเดิม เราทำสิ่งที่ถูกต้องแน่นอน สิ่งที่มิคาเอลทำไม่อาจให้อภัยได้ เขาสมควรจบลงเช่นนั้น”

    วิโอล่าให้กำลังใจ ลูเซียสเงียบเขากำลังคิดตาม

    “ลองนึกดูสิว่ามีประชาชนมากแค่ไหนที่ถูกชายคนนั้นสังหาร แล้วก็นึกดูว่ามีประชาชนมากแค่ไหนที่มีความสุขหลังจากชายคนนั้นถูกเจ้าสังหาร ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากปกป้องความสุขของประชาชนรึไง”

    “ถูกต้อง ข้าต้องปกป้องรอยยิ้มของประชาชน”

    ลูเซียสพยักหน้าเห็นด้วย

    “อืม ข้าเองก็ด้วย ถึงข้าจะเป็นจอมเวทย์สายรักษาที่ไม่ถนัดการต่อสู้ แต่ข้าจะสนับสนุนเจ้าอย่างเต็มที่เอง”

    วิโอล่าพูดอย่างมั่นใจ

    “ขอบคุณองค์หญิงมากจริงๆ”

    ลูเซียสมองวิโอล่าด้วยแววตาลึกซึ้ง

    “ข้าลืมไปเลย ท่านพ่อบอกว่าจะมีการมอบรางวัลให้หน่วยที่หนึ่งทุกคนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง เราเองก็ไปเข้าร่วมกันเถอะ”

    “จริงรึ ยอดเลย รางวัลคืออะไรงั้นหรือ”

    ลูเซียสถามด้วยความตื่นเต้น

    “ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ต้องไม่ใช่ของเล็กน้อยอย่างแน่นอน”

    ทั้งสองเดินไปพรางพูดคุยกันตลอดเส้นทาง

    เมืองเผ่ามนุษย์สัตว์ฮิลปราส

    ในอากาศที่ว่างเปล่าเหนือเมืองฮิลปราส ชายหกคน ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่าโดยที่ทุกคนแต่งตัวด้วยชุดแบบเดียวกันคือ ชุดคลุมสีขาว หนึ่งในนั้นพูดขึ้นด้วยเสียงของหญิงชรา

    “พังพินาศ”

    พวกเขากวาดตามองโดยรอบ เมืองทั้งเมืองถูกทำลายล้าง ใจกลางของเมืองที่เป็นที่อยู่ของจ่าฝูงถูกแทนที่ด้วยหลุมขนาดใหญ่ซึ่งเกิดจากการโจมตีในครั้งแรกของเซก้า

    “อืม มีร่องรอยการใช้แกนพลังกายและแกนพลังเวทย์ คงเป็นการต่อสู้ระหว่างขั้นราชันด้วยกัน ”

    “ที่เป็นไปได้ก็คงมีแต่เจ้าสุนัขกรานาสกับลูกชายของมัน”

    อีกคนคาดเดา

    “แปลกมีคราบเลือดแต่ไม่มีศพ”

    “อย่าว่าแต่ศพเลย แค่คนซักคนก็ไม่มี”

    เมื่อมองไปยังพื้นก็จะพบคราบเลือดที่แห้งแล้วและหากสังเกตให้ดีก็จะพบกับเศษชิ้นส่วนของอวัยวะ แต่ในเมืองนี้ไม่มีใครอยู่เลย มันราวกับเมืองร้าง

    “กลับไปแจ้งท่านคาน์ดินัลเฮนดริกซ์เถอะ”

    หนึ่งในนั้นเสนอ ทุกคนหายตัวไปจากจุดนั้น

    ในกระโจมหลังหนึ่ง

    เวทย์ปกปิดตัวตนถูกคลายออกเผยให้เห็นชายในชุดหนังสัตว์สีขาวที่มีใบหน้าดุร้ายราวกับคนเถื่อน

    “เกือบไป นึกว่าจะถูกจับได้แล้วว่าขโมยของ ว่าแต่พวกนักบวชจากศาสนจักรมาทำอะไรที่นี่ ช่างเถอะ เราเองก็ควรไปได้แล้ว”

    มาโคกำลังอยู่ระหว่างการปล้นสะดม เขาไม่คิดเลยว่าอยู่ๆ นักบวชจากศาสนจักรจะโผล่มาอย่างกระทันหัน ยังดีที่เขาไหวตัวทันจึงได้ใช้เวทย์ปกปิดตัวตน เขาไม่มีเวทย์เคลื่อนย้ายสิ่งเดียวที่เขาทำได้คือบินกลับ ในจังหวะนั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

    รีบไปไหนงั้นหรือท่านนักรบรับจ้างมาโค

    กลุ่มคนในชุดคลุมสีขาวปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก่อนหน้านี้พวกเขาทำเหมือนว่าหนีไปแต่จริงๆคือแอบปกปิดตัวตนเพื่อรอให้มาโคเผยตัว

    “เวรเอ๊ย โดนมันจนได้ไง พวกแกมีอะไรก็รีบๆพูดมา ถ้าไม่มีข้าจะกลับแล้ว”

    มาโคเกาศีรษะอย่างไม่สบอารมณ์ แม้ตัวตนจะถูกเปิดเผยแต่เขาก็ไม่ได้ตกใจอะไร

    “ใจเย็น ดูเหมือนท่านจะรู้คำตอบที่พวกเราต้องการ ช่วยตอบคำถามเราซักสองสามข้อได้หรือไม่”

    หญิงชราที่รูปร่างค่อนข้างอ้วนพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ

    “นักรบรับจ้างไม่ได้อยู่ภายใต้ศาสนจักรเหมือนพวกนักผจญภัย เรามีอิสระ และข้าไม่มีหน้าที่ต้องตอบพวกเจ้า ขอตัวก่อน”

    พูดจบมาโคก็หันกลับและบินไปทันที

    “หึๆ เกรงว่าจะปล่อยท่านไปเช่นนั้นไม่ได้ ”

    หญิงชราในชุดคลุมสีขาวทั้งหกคนบินมาล้อมกรอบมาโคเอาไว้

    “เราไม่ได้เป็นศัตรูกัน อย่าทำอะไรสิ้นคิดจะดีกว่า นี่ไม่ใช่คำขู่”

    แววตาของมาโคสาดประกายความดุร้ายป่าเถื่อนออกมา แน่นอนว่าเขาไม่ได้ขู่ ถึงแม้จะเป็นศาสนจักรแต่หากกล้าเป็นศัตรูกับเขา เขาก็ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น

    “ท่านมาโค เราต่างเป็น มนุษย์ที่มีอารยธรรม มาค่อยๆคุยกันดีกว่า”

    “ไร้สาระ”

    มาโคไม่สนใจจะพูดคุยต่อเขาผลักร่างของหนึ่งในนั้นที่ขวางทางเขาและบินจากไป

    คนที่ถูกผลักมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป

    “อวดดี”

    นางตะโกนและเปิดฉากโจมตีมาโค

    “หยุดเขาไว้ให้นานที่สุด ข้าส่งข่าวไปยังท่านคาร์ดินัลแล้ว”

    ทั้งหกคนประสานงานกันเพื่อโจมตีมาโค เวทมนตร์นับสิบถูกปลดปล่อยออกมาราวกับดอกไม้ไฟ

    “แล้วก็อย่ามาเสียใจ”

    มาโคคำราม และหลบไปด้านข้างทำให้การโจมตีพลาดเป้า หญิงชราในชุดคลุมสีขาวเผยรอยยิ้ม สิ่งที่ไม่คาดคิดคือการโจมตีนั้นกลับหักเลี้ยวและพุ่งเข้าใส่หลังของมาโคอย่างจัง

    “ยอมแพ้เถอะ แม้พวกเราจะเป็นเพียงจอมขมังเวทย์ แต่พอพวกเราประสานการโจมตีเมื่อไหร่ ราชันย์เวทย์ธรรมดาๆอย่างเจ้าก็ไม่ใช่คู่มือหรอก”

    หนึ่งในนั้นแสดงความดูถูก

    มาโคเผยรอยยิ้มที่น่าขนลุก เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบเอาก้อนหิน 6 ก้อนออกมา

    เวทมนตร์ เร่งความเร็ว ระดับ 5

    เขาใช้นิ้วโป้งดีดหินออกไปทางทั้งหกคน การดีดเบาๆของมาโคส่งหินทะลวงอากาศไปราวกับกระสุนสไนเปอร์ หญิงชราชุดขาวทั้งหกตั้งตัวไม่ทันทำให้ถูกหินทะลวงร่างและร่วงลงจากท้องฟ้า

    “เป็นไปไม่ได้ หินธรรมดาจะทะลุผ่านชุดนักบวชที่ศักดิ์สิทธิ์ของเราได้อย่างไร”

    พวกเขาแสดงสีหน้าตกตะลึงและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน

    “ พวกแกก็น่าจะรู้ว่าเวทมนตร์ประจำแกนพลังเวทย์ของฉันคืออะไร เวทย์บีบอัด เวทย์ที่บีบสิ่งของให้เล็กลงแต่น้ำหนักยังเท่าเดิม ที่พวกแกโดนไปน่ะมันคือภูเขาทั้งลูกเลยนะ คิดว่าผ้าบางๆนั่นจะรับภูเขาทั้งลูกได้งั้นหรือ”

    “บะ บ้าไปแล้ว”

    มาโคไม่สนใจคนพวกนี้อีก เขาไม่กล้ารั้งรออยู่ต่อเพราะเขาได้ยินว่าคาร์ดินัลกำลังมาที่นี่ เขาต้องไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่ดูเหมือนจะไม่ทันการ ตอนนี้ชายชราที่มีใบหน้ายิ้มแย้มกำลังยืนขวางเขาอยู่

    “ท่านมาโค”

    “คาร์ดินัลเฮนดริกซ์”

    แม้มาโคจะพยายามจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด แต่สุดท้ายคาร์ดินัลก็มาถึง


    จบ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×