คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : บทที่ 14
ตอน ศาสนจักรเริ่มเคลื่อนไหว
มนุษย์สัตว์ทั้งห้าต่อสู้อย่างเป็นแบบแผนและมีชั้นเชิง แม้ทุกคนจะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาแต่เมื่อสู้กันเป็นทีมก็ทำให้พวกเขาโค่นล้มมอนสเตอร์หมียักลงได้อย่างง่ายดาย
คิลเลอร์แบร์ ถูกสังหารโดยทาส ได้รับพลังเวทย์+6
เสียงแจ้งเตือนจากเอไอดังขึ้นในหัวของมิคาเอล ในครั้งนี้มันแจ้งเตือนข้อความที่ต่างจากเดิม ทาสเป็นคนฆ่ามอนสเตอร์คิลเลอร์แบร์ มิคาเอลยิ้มมุมปาก แผนการใช้ทาสในการเพิ่มพลังเวทย์ ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม
หลังจากนี้มิคาเอลก็ไม่จำเป็นต้องล่ามอนสเตอร์ด้วยตัวเอง สิ่งเดียวที่เขาต้องทำคือส่งเหล่าทาสออกไปล่าแทนเขา แล้วเขาก็รอรับพลังเวทย์อย่างสะดวกสบาย เรียกได้ว่ามันเป็นวิธีที่ทั้งสะดวก ปลอดภัยและยังประหยัดเวลาอย่างมาก
“นี่คือผลของเวทย์ เชื่อมโยงวิญญาณ ”
คุณสมบัติของเวทย์ เชื่อมโยงวิญญาณคือ การสร้างความเชื่อมโยงทางวิญญาณจากอีกคนสู่อีกคน เวทมนตร์นี้มีต้นกำเนิดที่ไม่ธรรมดาเพราะคนที่สร้างสูตรเวทย์นี้ขึ้นมาก็คือศัตรูของมนุษย์ จอมมารลูบีกัล เวทย์เชื่อมโยงวิญญาณมีตั้งแต่ระดับ1 จนถึงระดับ9
ในตอนที่เขาเป็นผู้กล้ามิคาเอลสนใจเวทมนตร์ชนิดนี้มาก เพราะมันสามารถนำมาประยุกต์เข้ากับเวทมนตร์ชนิดอื่นและสร้างผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์ได้ แต่เนื่องจากในเวลานั้นเขาเป็นผู้กล้า เขาไม่ได้รับอนุญาตให้เรียนรู้เวทมนตร์ที่ถูกสร้างโดยจอมมาร เขาจึงทำได้เพียงแอบวิจัยมันอย่างลับๆ และผลลัพธ์ของมันก็คือเขาได้รับ เวทย์เชื่อมโยงวิญญาณ ตั้งแต่ระดับ1ถึงระดับ6 แต่ถึงจะได้รับมันมาเขาก็ไม่มีโอกาสได้ใช้มัน จนถึงวันนี้
“ผลจากเวทย์เชื่อมาโยงวิญญาณยังไม่จบหรอก”
มิคาเอลสั่งให้มนุษย์สัตว์คนหนึ่งกินเนื้อของคิลเลอร์แบร์ มนุษย์สัตว์ที่ถูกสั่งหยิบเนื้อขึ้นมาและเริ่มกัดกินมันอย่างเอร็ดอร่อย
“นายได้รับพลังเวทย์ไหม”
มิคาเอลถาม
“เหลือเชื่อ เจ้านาย พลังเวทย์ของมอนสเตอร์ตัวนี้ถูกท่านดูดซับไปทั้งหมดแล้ว แต่ทำไมเนื้อของมันยังมอบพลังเวทย์ให้ข้ากัน”
มนุษย์สัตว์จ้องมองเนื้อในมือด้วยความประหลาดใจ
“หึๆ งั้นพวกแกก็กินเนื้อมันให้หมดอย่าให้เหลือ”
“รับทราบ”
มนุษย์สัตว์ขานรับ
โดยปกติมนุษย์จะฆ่ามอนสเตอร์เพื่อรับพลังเวทย์ ส่วนเนื้อของมันจะไร้ค่าเพราะพลังเวทย์ทั้งหมดถูกดูดไปแล้ว แม้จะนำเนื้อนี้ไปให้มนุษย์สัตว์กิน มันก็จะไม่เพิ่มพลังเวทย์ให้คนที่กิน นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ทุกคนเข้าใจดี แต่สิ่งที่มิคาเอลทำมันแหกหลักความเข้าใจของมนุษย์สัตว์ไปอย่างสิ้นเชิง เพราะมันคือสิ่งที่ผิดกฎธรรมชาติ
ในอดีตมีหลายคนวิจัยเรื่องนี้อย่างจริงจัง การรับพลังเวทย์สองครั้งจากมอนสเตอร์ตัวเดียวเป็นสิ่งที่ทุกกองกำลังต้องการ แต่เมื่อเริ่มวิจัยพวกเขาก็พบว่ามันเป็นไปไม่ได้ พวกเขาได้ประกาศออกไปว่า เป็นเพราะกฏของธรรมชาติไม่อนุญาตให้ทำแบบนั้น หลังจากนั้นใครก็ตามที่ทำวิจัยเรื่องนี้ก็จะถูกมองว่าเป็นตัวตลก ทำให้เรื่องนี้ค่อยๆเลือนหายไป
แต่ก็มีชายคนหนึ่งที่ยังมุ่งมั่นทำวิจัยเรื่องนี้จนในที่สุดเขาก็ทำมันสำเร็จ คนแรกที่ประสบความสำเร็จในการรับพลังเวทย์สองครั้งจากมอนสเตอร์ตัวเดียวไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก จอมมารลูบีกัล ความอัจฉริยะของเขาไม่มีใครเทียบเคียงได้ ผลลัพธ์ของงานวิจัยนี้แน่นอนว่าถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด
เหตุผลที่มิคาเอลรู้เรื่องนี้ก็เพราะเขาแอบขโมยงานวิจัยส่วนหนึ่งตอนที่บุกปราสาทจอมมารครั้งสุดท้าย และเป็นตอนนั้นเองที่มิคาเอลได้รู้ว่ามันสมองของลูบีกัลนำหน้านักวิจัยทั้งโลกไปไกลมากแค่ไหน
มิคาเอลรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ตอนนี้ระบบการล่าที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว
ระบบการล่าของเขามีสองขั่นตอน หนึ่งให้มนุษย์สัตว์ฆ่ามอนสเตอร์ แล้วเขารอรับพลังเวทย์ สองให้มนุษย์สัตว์กินเนื้อที่ล่ามา เนื้อจะไม่สูญเปล่าและมนุษย์สัตว์จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ สรุปคือ มอนสเตอร์ตัวเดียวจะให้พลังเวทย์ถึงสองครั้ง ไม่มีส่วนไหนของมอนสเตอร์ที่สูญเปล่า
มิคาเอลใช้ทาสไล่ฆ่ามอนสเตอร์ระดับF จนถึงช่วงเย็น พลังเวทย์ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อมันพุ่งเกิน100 เขาก็นำมันไปเพิ่มจำนวนทาสมนุษย์สัตว์ ความเชี่ยวชาญในการใช้เวทย์เปลี่ยนมนุษย์สัตว์เป็นทาสเพิ่มขึ้น ทำให้เวลาที่ใช้ลดลง เพียง 30 นาที มนุษย์สัตว์ 5 คนก็ถูกเปลี่ยนเป็นทาส
มิคาเอลต้องการเพิ่มทาสให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ยิ่งเยอะยิ่งดี ถึงแม้มันจะมีดีแค่จำนวนและไม่ค่อยแข็งแกร่งมากนัก แต่สิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงแค่นี้ เขายังไม่พร้อมสำหรับการเปลี่ยนมนุษย์สัตว์ที่มีระดับสูงกว่าผู้ใช้เวทย์สามัญเป็นทาส
ทาสชุดแรกแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก ทาสทั้ง 10 พุ่งเข้าใส่มอนสเตอน์อย่างไม่หยุดยั้ง หลังจากเที่ยงคืน มีทาสมนุษย์สัตว์เพิ่มขึ้นถึง 30 คน มีผู้ใช้เวทย์สามัญ 5 คนที่มาจากทาสชุดแรกซึ่งเป็นคนที่กินเนื้อจนระดับเพิ่มขึ้น
เขาให้ทาสชุดแรกไปพัก เพราะยังไงพวกเขาก็ยังมีชีวิตและเหนื่อยเป็นส่วนคนที่เหลือมิคาเอลก็ให้พวกเขาออกล่าต่อ โดยพยายามเลี่ยงการปะทะกับมอนสเตอร์ที่สูงกว่าระดับF เพราะมันเสี่ยงเกินไป และยังมีการเลือกมอนสเตอร์ที่จะฆ่าโดยจะเลือกฆ่าเพียงมอนสเตอร์ตัวเล็กเพื่อให้ง่ายต่อการกิน หากเป็นมอนสเตอร์ตัวใหญ่เท่าหมีในตอนแรก มันจะใช้เวลานานเกินไปในการกิน และพวกเขาก็มีความรู้สึกอิ่มเหมือนกัน
เวลาผ่านไปอีก3ชั่วโมง มิคาเอลเดินเข้าไปในอุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายแบบพกพาเพื่อกลับไปนอนพักผ่อน ส่วนมนุษย์สัตว์ก็ยังคงล่ามอนสเตอร์ต่อทั้งคืน
อาณาจักรเรเซล
ปราสาทที่งดงามตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง ปราสาทแห่งนี้ประดับไปด้วยงานประติมากรรมอันประณีตสะท้อนถึงความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรแห่งนี้
ที่ทางเดินใหญ่ในปราสาท พื้นหินอ่อนขัดเงาสะท้อนแสงจากโคมไฟระย้าที่หรูหรา ภาพวาดจิตรกรรมประดับอยู่บนผนัง ชายหนุ่มผมสีทองคนหนึ่งเดินไปตามเส้นทางด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน เขาแต่งกายด้วยชุดขุนนาง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน จิตใจของเขากำลังสับสนอย่างมาก
“ตั้งแต่วันนั้นจิตใจของเราก็ไม่เคยสงบลงเลย นี่เราทำสิ่งที่ถูกต้องจริงๆใช่ไหม”
ชายหนุ่มกัดฟัน ชายหนุ่มไม่ใช่ใครเขาก็คือหัวหน้าของ อัศวินหน่วยที่หนึ่ง และผู้กล้าคนใหม่ภายใต้ศาสนจักร ลูเซียส
“ค่ะ ถูกต้องแน่นอนข้ารับประกัน”
ทันใดนั้นเสียงของหญิงสาวก็ดังขึ้นข้างหูของลูเซียส การปรากฏตัวอย่างกระทันหันของหญิงสาวทำให้เขาสะดุ้งถอยหลัง
“อะ องค์หญิงวิโอล่า”
ลูเซียสชะงักไปชั่วขณะ หากสังเกตให้ดีจะพบว่าแก้มเขาแดงด้วยความเขินอาย
“หึๆ ขออภัยที่เผลอทำให้ท่านผู้กล้าตกใจ”
วิโอล่ายิ้มสดใสน้ำเสียงของนางช่างหวานหยาดเยิ้ม ลูเซียสหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม เพราะเขาไม่ชินที่ถูกเรียกว่าผู้กล้า
“ไม่หรอก ต่อหน้าคนอื่นข้าอาจจะเป็นผู้กล้า แต่ต่อหน้าองค์หญิงข้าก็เป็นแค่เด็กเลี้ยงวัวคนเดิม”
“พูดอะไรของเจ้า เรื่องมันตั้งแต่สมัยไหนแล้ว”
วิโอล่าหยอกล้อ ลูเซียสปรับอารมณ์ของตัวเองก่อนจะถาม
“แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ บอกลาแขกเสร็จแล้วงั้นหรือ ”
ลูเซียสสงสัย
“เปล่า ข้าแค่หนีออกมา เพราะว่าข้าอยากเจอเจ้าไง”
วิโอล่าจับมือของลูเซียส ลูเซียสไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบแบบนั้นทำให้เขาแสดงอาการลนลานออกมาสุดท้ายก็ก้าวถอยหลังไป วิโอล่าที่เห็นดังนั้นก็หัวเราะด้วยความตลกกับท่าทางของลูเซียส ลูเซียสเอามือปิดหน้าของตัวเองพรางคิดว่า ไอ้ท่าทางน่าสมเพชแบบนี้มันอะไรกัน แถมยังต่อหน้าองค์หญิงอีก ทั้งสองคนเดินไปตามทางก่อนที่วิโอล่าจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้ที่เจ้าพูดคนเดียว ”
อึ๊ก
เมื่อได้ยินคำว่า ‘พูดคนเดียว’ ก็ทำให้ลูเซียสถึงกับสะดุ้ง
“ฮ่าฮ่า ขอโทษที่ข้าติดตลกไปหน่อย เอาเป็นว่าข้าจะจริงจังแล้ว”
นางหยุดพูดเพื่อปรับน้ำเสียงก่อนจะพูดต่อ
“ดูเหมือนเจ้า มีเรื่องที่กำลังสับสน หากไม่ติดอะไรเจ้าสามารถเล่าให้ข้าฟังได้”
สีหน้าของลูเซียสเปลี่ยนแปลงไปก่อนจะเริ่มเล่าถึงสิ่งที่ตนกำลังกังวล
“ความจริงแล้ว ตั้งแต่ที่ข้าลงมือสะบั้นคอมิคาเอล ข้าก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง เอ่อ แต่ข้าเข้าใจดีว่าเขาเป็นคนร้าย”
ลูเซียสหัวเราะแห้งๆก่อนจะพูดต่อ
“แต่แทนที่ข้าจะรู้สึกโล่งใจที่สังหารคนร้ายได้ ข้ากลับรู้สึกผิด ความรู้สึกนี้เพิ่มมากขึ้นทุกวัน คำขอร้องสุดท้ายของเขาที่ข้าปฏิเสธไปยังคงดังก้องอยู่ในหัวของข้า ในทุกคืนข้าจะฝันเห็นภาพในวันนั้นถูกฉายซ้ำไปมา มันทำให้ข้าแทบจะเสียสติ แล้วก็ยังมีเหตุการณ์ในงานเลี้ยงวันแรก หากว่าสิ่งที่เด็กคนนั้นพูดเป็นความจริง งั้นสิ่งที่เราทำลงไปมันถูกต้องแล้วจริงๆงั้นหรือ”
ลูเซียสได้หลั่งไหลสิ่งที่อยู่ในใจของเขาออกมา ยิ่งเล่าใบหน้าของเขาก็ยิ่งบิดเบี้ยว ดวงตาของเขาสะท้อนให้เห็นถึงความหวาดกลัว วิโอล่าที่ตั้งใจฟังมีสีหน้าที่เย็นชาซึ่งลูเซียสไม่ทันได้สังเกตเห็นเพราะมันเป็นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ก่อนที่นางจะแสดงท่าทางเห็นอกเห็นใจนางอ้าแขนกว้างเพื่อโอบกอดร่างที่สั่นเทิ้มของลูเซียส
ขณะที่กำลังโอบกอดลูเซียสสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายและความหอมจากเส้นผมของวิโอล่า สีหน้าที่เคยหวาดกลัวของลูเซียสเริ่มบรรเทาลงมันถูกแทนที่ด้วยความลุ่มหลง
“ข้าขอยืนยันคำเดิม เราทำสิ่งที่ถูกต้องแน่นอน สิ่งที่มิคาเอลทำไม่อาจให้อภัยได้ เขาสมควรจบลงเช่นนั้น”
วิโอล่าให้กำลังใจ ลูเซียสเงียบเขากำลังคิดตาม
“ลองนึกดูสิว่ามีประชาชนมากแค่ไหนที่ถูกชายคนนั้นสังหาร แล้วก็นึกดูว่ามีประชาชนมากแค่ไหนที่มีความสุขหลังจากชายคนนั้นถูกเจ้าสังหาร ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากปกป้องความสุขของประชาชนรึไง”
“ถูกต้อง ข้าต้องปกป้องรอยยิ้มของประชาชน”
ลูเซียสพยักหน้าเห็นด้วย
“อืม ข้าเองก็ด้วย ถึงข้าจะเป็นจอมเวทย์สายรักษาที่ไม่ถนัดการต่อสู้ แต่ข้าจะสนับสนุนเจ้าอย่างเต็มที่เอง”
วิโอล่าพูดอย่างมั่นใจ
“ขอบคุณองค์หญิงมากจริงๆ”
ลูเซียสมองวิโอล่าด้วยแววตาลึกซึ้ง
“ข้าลืมไปเลย ท่านพ่อบอกว่าจะมีการมอบรางวัลให้หน่วยที่หนึ่งทุกคนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง เราเองก็ไปเข้าร่วมกันเถอะ”
“จริงรึ ยอดเลย รางวัลคืออะไรงั้นหรือ”
ลูเซียสถามด้วยความตื่นเต้น
“ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ต้องไม่ใช่ของเล็กน้อยอย่างแน่นอน”
ทั้งสองเดินไปพรางพูดคุยกันตลอดเส้นทาง
เมืองเผ่ามนุษย์สัตว์ฮิลปราส
ในอากาศที่ว่างเปล่าเหนือเมืองฮิลปราส ชายหกคน ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่าโดยที่ทุกคนแต่งตัวด้วยชุดแบบเดียวกันคือ ชุดคลุมสีขาว หนึ่งในนั้นพูดขึ้นด้วยเสียงของหญิงชรา
“พังพินาศ”
พวกเขากวาดตามองโดยรอบ เมืองทั้งเมืองถูกทำลายล้าง ใจกลางของเมืองที่เป็นที่อยู่ของจ่าฝูงถูกแทนที่ด้วยหลุมขนาดใหญ่ซึ่งเกิดจากการโจมตีในครั้งแรกของเซก้า
“อืม มีร่องรอยการใช้แกนพลังกายและแกนพลังเวทย์ คงเป็นการต่อสู้ระหว่างขั้นราชันด้วยกัน ”
“ที่เป็นไปได้ก็คงมีแต่เจ้าสุนัขกรานาสกับลูกชายของมัน”
อีกคนคาดเดา
“แปลกมีคราบเลือดแต่ไม่มีศพ”
“อย่าว่าแต่ศพเลย แค่คนซักคนก็ไม่มี”
เมื่อมองไปยังพื้นก็จะพบคราบเลือดที่แห้งแล้วและหากสังเกตให้ดีก็จะพบกับเศษชิ้นส่วนของอวัยวะ แต่ในเมืองนี้ไม่มีใครอยู่เลย มันราวกับเมืองร้าง
“กลับไปแจ้งท่านคาน์ดินัลเฮนดริกซ์เถอะ”
หนึ่งในนั้นเสนอ ทุกคนหายตัวไปจากจุดนั้น
ในกระโจมหลังหนึ่ง
เวทย์ปกปิดตัวตนถูกคลายออกเผยให้เห็นชายในชุดหนังสัตว์สีขาวที่มีใบหน้าดุร้ายราวกับคนเถื่อน
“เกือบไป นึกว่าจะถูกจับได้แล้วว่าขโมยของ ว่าแต่พวกนักบวชจากศาสนจักรมาทำอะไรที่นี่ ช่างเถอะ เราเองก็ควรไปได้แล้ว”
มาโคกำลังอยู่ระหว่างการปล้นสะดม เขาไม่คิดเลยว่าอยู่ๆ นักบวชจากศาสนจักรจะโผล่มาอย่างกระทันหัน ยังดีที่เขาไหวตัวทันจึงได้ใช้เวทย์ปกปิดตัวตน เขาไม่มีเวทย์เคลื่อนย้ายสิ่งเดียวที่เขาทำได้คือบินกลับ ในจังหวะนั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
รีบไปไหนงั้นหรือท่านนักรบรับจ้างมาโค
กลุ่มคนในชุดคลุมสีขาวปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก่อนหน้านี้พวกเขาทำเหมือนว่าหนีไปแต่จริงๆคือแอบปกปิดตัวตนเพื่อรอให้มาโคเผยตัว
“เวรเอ๊ย โดนมันจนได้ไง พวกแกมีอะไรก็รีบๆพูดมา ถ้าไม่มีข้าจะกลับแล้ว”
มาโคเกาศีรษะอย่างไม่สบอารมณ์ แม้ตัวตนจะถูกเปิดเผยแต่เขาก็ไม่ได้ตกใจอะไร
“ใจเย็น ดูเหมือนท่านจะรู้คำตอบที่พวกเราต้องการ ช่วยตอบคำถามเราซักสองสามข้อได้หรือไม่”
หญิงชราที่รูปร่างค่อนข้างอ้วนพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ
“นักรบรับจ้างไม่ได้อยู่ภายใต้ศาสนจักรเหมือนพวกนักผจญภัย เรามีอิสระ และข้าไม่มีหน้าที่ต้องตอบพวกเจ้า ขอตัวก่อน”
พูดจบมาโคก็หันกลับและบินไปทันที
“หึๆ เกรงว่าจะปล่อยท่านไปเช่นนั้นไม่ได้ ”
หญิงชราในชุดคลุมสีขาวทั้งหกคนบินมาล้อมกรอบมาโคเอาไว้
“เราไม่ได้เป็นศัตรูกัน อย่าทำอะไรสิ้นคิดจะดีกว่า นี่ไม่ใช่คำขู่”
แววตาของมาโคสาดประกายความดุร้ายป่าเถื่อนออกมา แน่นอนว่าเขาไม่ได้ขู่ ถึงแม้จะเป็นศาสนจักรแต่หากกล้าเป็นศัตรูกับเขา เขาก็ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น
“ท่านมาโค เราต่างเป็น มนุษย์ที่มีอารยธรรม มาค่อยๆคุยกันดีกว่า”
“ไร้สาระ”
มาโคไม่สนใจจะพูดคุยต่อเขาผลักร่างของหนึ่งในนั้นที่ขวางทางเขาและบินจากไป
คนที่ถูกผลักมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“อวดดี”
นางตะโกนและเปิดฉากโจมตีมาโค
“หยุดเขาไว้ให้นานที่สุด ข้าส่งข่าวไปยังท่านคาร์ดินัลแล้ว”
ทั้งหกคนประสานงานกันเพื่อโจมตีมาโค เวทมนตร์นับสิบถูกปลดปล่อยออกมาราวกับดอกไม้ไฟ
“แล้วก็อย่ามาเสียใจ”
มาโคคำราม และหลบไปด้านข้างทำให้การโจมตีพลาดเป้า หญิงชราในชุดคลุมสีขาวเผยรอยยิ้ม สิ่งที่ไม่คาดคิดคือการโจมตีนั้นกลับหักเลี้ยวและพุ่งเข้าใส่หลังของมาโคอย่างจัง
“ยอมแพ้เถอะ แม้พวกเราจะเป็นเพียงจอมขมังเวทย์ แต่พอพวกเราประสานการโจมตีเมื่อไหร่ ราชันย์เวทย์ธรรมดาๆอย่างเจ้าก็ไม่ใช่คู่มือหรอก”
หนึ่งในนั้นแสดงความดูถูก
มาโคเผยรอยยิ้มที่น่าขนลุก เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบเอาก้อนหิน 6 ก้อนออกมา
เวทมนตร์ เร่งความเร็ว ระดับ 5
เขาใช้นิ้วโป้งดีดหินออกไปทางทั้งหกคน การดีดเบาๆของมาโคส่งหินทะลวงอากาศไปราวกับกระสุนสไนเปอร์ หญิงชราชุดขาวทั้งหกตั้งตัวไม่ทันทำให้ถูกหินทะลวงร่างและร่วงลงจากท้องฟ้า
“เป็นไปไม่ได้ หินธรรมดาจะทะลุผ่านชุดนักบวชที่ศักดิ์สิทธิ์ของเราได้อย่างไร”
พวกเขาแสดงสีหน้าตกตะลึงและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน
“ พวกแกก็น่าจะรู้ว่าเวทมนตร์ประจำแกนพลังเวทย์ของฉันคืออะไร เวทย์บีบอัด เวทย์ที่บีบสิ่งของให้เล็กลงแต่น้ำหนักยังเท่าเดิม ที่พวกแกโดนไปน่ะมันคือภูเขาทั้งลูกเลยนะ คิดว่าผ้าบางๆนั่นจะรับภูเขาทั้งลูกได้งั้นหรือ”
“บะ บ้าไปแล้ว”
มาโคไม่สนใจคนพวกนี้อีก เขาไม่กล้ารั้งรออยู่ต่อเพราะเขาได้ยินว่าคาร์ดินัลกำลังมาที่นี่ เขาต้องไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่ดูเหมือนจะไม่ทันการ ตอนนี้ชายชราที่มีใบหน้ายิ้มแย้มกำลังยืนขวางเขาอยู่
“ท่านมาโค”
“คาร์ดินัลเฮนดริกซ์”
แม้มาโคจะพยายามจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด แต่สุดท้ายคาร์ดินัลก็มาถึง
จบ
ความคิดเห็น