Love ล่ารักข้ามภพ
การตามหารักที่เเทบไม่มีความหวัง...
ผู้เข้าชมรวม
131
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
“ข้าสัญญาค่ะว่าจะรักท่านตลอดชีวิต” เสียงหวานเอ่ยคำสัญญาด้วยถ้อยคำที่แผ่วจนแทบไม่ได้ยิน ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลมีน้ำตาโรยรินออกมา ลมหายใจก็แผ่วจนแทบจะหายไปในอากาศ เลือดสีแดงสดอาบผ้าขาวตัดกับผมยาวลอนสีน้ำตาลทองเงางาม
ชายหนุ่มผู้อยู่ข้างกายตลอดจ้องมองใบหน้าของหญิงรักแม้นตนเองก็บาดเจ็บสาหัสไม่ต่างกับหญิงสาวตรงหน้า
“แล้วเจ้าจะสัญญาไหวว่าจะออกตามหาซึ่งกันและกัน” ฝ่ายชายเป็นคนถามบ้างซึ่งคำตอบก็คือคำพูดสุดท้ายของทั้งเขาและเธอ
“สัญญา...ข้าจะตามหาท่านไม่ว่าภพใดก็ตาม” มือของทั้งคู่ประสานกันจนในที่สุดดวงตาของทั้งชายและหญิงก็หลุบลงและปิดสนิทลงในที่สุด
สัญญา...แม้นว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตก็จะตามหาจนสิ้นลม...
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
หญิง :
ฉันกำลังตามหาชายหนุ่มคนหนึ่ง...
เขาเป็นคนรักของฉันในชาติที่แล้วและเราทั้งคู่ตายพร้อมกันเพราะถูกศัตรูฆ่าตาย เมื่อก่อนฉันได้เกิดมาเป็นเจ้าหญิงองค์หนึ่งที่ได้ไปดูแลเมืองเมืองหนึ่ง และฉันก็ได้ภพกับกลุ่มผู้ก่อกบฏที่เป็นอริกับประเทศฉันมานานแล้วก็ได้ภพกับชายหนุ่มคนนั้นซึ่งตอนแรกผมไม่รู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในกบฏ เขาได้ช่วยฉันตอนที่ผมถูกลอบสังหารแล้วตอนนั้นเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าฉันเป็นเจ้าหญิงที่เป็นอริเขา
หลังจากนั้นไม่นานเราก็รักกันและฉันก็ได้รู้ความจริงว่าเขาเป็นหนึ่งในกบฏ เพราะรักนั้นไม่อาจห้ามฐานะได้เราทั้งคู่หนีไปด้วยกันแต่ไม่สำเร็จพวกเราโดนทั้งทหารในราชวังและกบฏฆ่าตาย ฉันสัญญากับเขาก่อนตายว่าจะตามหาแม้นจะสิ้นชีวิตกระทั่งวันเวลาที่ผ่านมาหลายร้อยปีก็ไม่อาจจะพรากเขาไปจากฉันได้
ฉันออกตามหาเขาในทุกๆทางที่สามารถไปได้เพื่อคิดว่าจะได้เจอเขาสักครั่งจนแทบจะเป็นบ้า แม้นที่ที่ฉันจะไปจะเป็นนรกก็ตาม ฉันไม่รู้ว่าเขาจะจำอดีตได้เหมือนฉันหรือกลับชาติมาแล้วหรือเกิดยังแต่ฉันก็ยังคงตามเขาตามที่ให้สัญญาแม้นจะหมดลมหายใจหรือแก่ชราแล้วก็ตาม
ตอนนี้ฉันอยู่ที่ภูเก็ต เสียงคลื่นทะเลไม่อาจจะชำระล้างความรู้สึกเศร้าหมองใจได้แม้แต่นิดเดียว ดวงตาของฉันทอดมองไปยังท้องทะเลที่มีคลื่นถาโถมมาตลอด ฉันเดินไปตามชายทะเลแต่เพราะความที่ฉันเหม่อลอยเลยทำให้เดินชนกับใครบางคนจนฉันซวนเซแต่เขาคนนั้นก็จับแขนฉันแล้วดึงเข้ามาหาตัวเพื่อไม่ให้ฉันล้มลงไป
“ไม่เป็นไรนะครับ” เสียงที่ฉันแน่ใจว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่กลับรู้สึกคุ้นเคยมันอย่างน่าแปลก ฉันเงยหน้าขึ้นมองคนที่ถามฉันแล้วก็ต้องตกตะลึง
เจอแล้ว...
ฉันเจอแล้ว...
ฉันกลืนน้ำลายลงไปเพื่อกลั้นเสียงที่จะพูดอะไรแปลกๆออกไป ฉันยังไม่แน่ใจว่าเขาจำฉันได้ไหมเพราะงั้นการที่ทำเป็นไม่รู้จักกันคือทางเลือกที่ดีกว่า
“ม...ไม่เป็นไรค่ะ ฉันขอโทษด้วยนะคะที่เดินไม่ระวัง” ฉันพยายามที่จะไม่ให้เสียงอย่างสุดความสามารถ เขาคนนั้นยิ้มละไมให้ฉันแล้วปล่อยแขนของฉันเป็นอิสระ
หัวใจเริ่มพองโต ความหวังที่เกือบจะลมเลือนหายไปในจิตใจกลับมาอีกครั่ง ฉันพยายามที่จะไม่ให้ตัวเองเดินเข้าไปกอดเขาแล้วบอกว่าคุณจำฉันได้ไหม ฉันพยายามห้ามใจตัวเองแทบตายที่จะกลั้นใบหน้ายินดีจนทำให้คนตรงหน้าสงสัย แล้วฉันก็พยายามแทบตายเพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองทำตัวเป็นคนบ้าในสายตาเขาจนเขาต้องเดินจากไปแล้วใจปวดกว่านี้
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้วครับ” เขายิ้มให้ฉันและฉันก็ยิ้มตามเขา ฉันดีใจมาก มากเสียจนแทบจะห้ามใจตัวเองไว้ไม่อยู่ อยากจะอยู่ใกล้ไม่อยากให้เขาไปไหนแต่ว่าฉันก็ถ่วงเวลาไว้ได้ไม่นาน
“ฮิวจ์คะ” เสียงใสๆดังมาจากด้านหลังของชายตรงหน้าฉันทำให้ทั้งเขาและฉันหันไปมอง ใบหน้าของคนที่ฉันกำลังตามหายิ้มออกมา มันไม่เหมือนกับรอยยิ้มที่เขาส่งมาให้ฉันตอนแรกแต่มันเป็นรอยยิ้มของคนที่รู้จักกันมานานและความรู้สึก...รักใคร่...
ดวงตาของฉันหม่นลงทันที คำถามที่อยู่ในใจของฉันว่าเขายังจำเรื่องราวของฉันได้ไหมคำตอบก็คือไม่...ไม่เคยแม้แต่เศษเสี้ยวของความรู้สึก...
“ฟ้าใสมีอะไรเหรอครับ” เสียงอันอ่อนโยนที่มันทำให้ใจของฉันเจ็บแปรบ ฮิวจ์...ชาตินี้เขาชื่อฮิวจ์สินะ เป็นชื่อที่ไพเราะจริงๆ...
“เอ่อ...ฉันขอตัวก่อนนะคะ เรื่องเมื่อกี้ฉันขอโทษนะคะ” ฉันโค้งหัวเป็นการขอโทษ ฮิวจ์หันมายิ้มให้ฉันเช่นเดินฉันจึงตั้งท่าจะกลับตัวไปแต่เขาก็รั้งฉันไว้ก่อน
“เอ่อ...เดี๋ยวก่อนครับ”
ฉันกลั้นลมหายใจเพื่อห้ามน้ำตาแล้วหันมายิ้มให้ “คะ?”
“คุณชื่ออะไร”
คำถามที่ทำให้ฉันทำใบหน้าสงสัยเขาจึงพูดอธิบายอย่างละล้ำละลักเหมือนกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง
“เอ่อ...แบบว่าแค่อยากรู้จักชื่อคุณเท่านั้น ผมชื่อฮิวจ์”
ฉันยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มที่ฉาบความเศร้าบางๆแล้วตอบว่า “น้ำชาค่ะ”
“ขอบคุณนะครับที่ตอบผม”
“ไม่เป็นไรค่ะ ถือว่าเป็นคำขอโทษที่ฉันเดินชนคุณด้วย” หลังจากพูดจบฉันก็หันหลังกลับแล้วน้ำตาที่กลั้นมานานก็ไหลลงอาบเพราะว่าสิ้นสุดความสามารถของฉันที่จะกลั้นมาต่อไปแล้ว
จบแล้วสินะ...
มันจบแล้วสินะกับการเดินทางตามหาอันแสนยาวนานของฉัน มันจบแล้วสินะชีวิตของฉัน...
ชาย :
ผมรู้สึกแปลกใจเมื่อได้เห็นหน้าผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนนั้นเราของคนเดินชนกันแล้วผมเห็นว่าเธอจะล้มก็เลยคว้าจับแขนเธอเอาไว้แล้วก็เหมือนมีความรู้สึกอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามากลางอกของผม ความรู้สึกโหยหา คิดถึง และรัก...เธอเองก็ดูตกตะลึงเมื่อเห็นใบหน้าของผม แววตาดีใจที่ติดตรึงเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนมันทำให้ผมแปลกใจว่าเธอแสดงสีหน้าแบบนั้นออกมาทำไม
แต่หลังจากที่ฟ้าใสซึ่งเป็นแฟนสาวของผมเดินเข้ามาทักแม้นไม่หันไปมองแต่ผมก็รู้สึกได้ว่าเธอทำหน้าเหมือนเจ็บปวดใจจนใจของผมมันหวิวแปลกๆ แล้วผมก็ต้องแปลกใจอีกครั่งเมื่อตัวเองเอ่ยปากถามชื่อของเธอคนนั้นไปซึ่งเธอก็ตอบผมกลับมาด้วยร้อยยิ้มเศร้าๆจนผมรู้สึกใจหายอย่างไรอย่างนั้น ทั้งที่ผมแน่ใจว่าไม่เคยรู้จักและสนิทชิดเชื้อมาก่อนอย่างแน่นอน
“ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใครเหรอคะ” ฟ้าใสถามผมที่นิ่งเงียบตั่งแต่ที่เธอคนนั้นเดินจากผมไป
“อ๋อ เขามาเดินชนผมน่ะ” ผมตอบฟ้าใสกลับไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนทำให้เธอยิ้มน่ารักๆออกมาและควงแขนออดอ้อนผมด้วยท่าทางน่ารัก
“งั้นเราไปหาอะไรทานดีไหมคะ” ฟ้าใสชักชวนผมซึ่งผมเองก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธเธออยู่แล้วเราทั้งคู่จึงเดินไปตามทางที่มีร้านขายของเรียงรายไปตลอดทาง
‘ข้าสัญญาค่ะว่าจะรักท่านตลอดชีวิต’ เหมือนกับมีเสียงอะไรบางอย่างดังเข้ามาในหัวทำให้ผมหันไปมองรอบๆแต่ก็เจอแต่เพียงผู้คนที่เดินไปมาเท่านั้น
“มีอะไรเหรอคะ” ฟ้าใสเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าท่าทีของผมแปลกไป แต่คำตอบของผมก็คือการยิ้มและส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไร
แล้วเมื่อกี้มันคือเสียงอะไร...
หญิง :
ฉันเดินกลับมาที่พักด้วยท่าทางโซเซเหมือนจะล้มลงอยู่ตรงนั้น หัวใจของฉันเจ็บขึ้นมาจนแทบหายในไม่ออก ฉันเป็นโรคหัวใจอ่อนแอมาแต่เด็กๆอาจจะเป็นเพราะเรื่องในชาติที่แล้วที่ฉันเดินแทงที่หัวใจด้วยก็ได้ ฉันหอบหายใจถี่รัวแต่ก็พยายามที่จะเดินกลับห้องอย่างสุดความสามารถจนในที่สุดก็ถึงประตูห้อง ฉันเปิดลิ้นชักออกแล้วหยิบซองยาออกด้วยมือไม้ที่สั่นระริก ฉันอยากจะต่อชีวิตตัวเองอีกสักนิดก็ยังดี อย่างน้อยๆก็ให้ได้เห็นใบหน้าของคนคนนั้นอีกแค่สักครั่งให้พอคลายความโหยหาได้บ้างไม่หวังให้หันมามองหรือจำฉันได้หรอก แน่นั้นก็ยังดี
ไม่กี่นาทีอาการของฉันก็คลายลง ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วล้มตัวนอนลงไปบนเตียงนุ่มสีขาวอย่างอ่อนแรง เรื่องวันนี้มันวนเวียนอยู่ในหัวของฉัน ใบหน้าของฮิวจ์เข้ามาในหัวของฉันแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างเกินหักห้าม
ตอนนี้เวลาชีวิตของฉันเหลือเพียงหยิบมือ หมอบอกกับฉันว่าฉันอยู่ได้เพียงสองปีแล้วตอนนี้ฉันก็ใช้เวลาตามหาเขามานานเกินไปจนเวลาของฉันเหลือเพียงไม่กี่วัน เผลอๆพรุ่งนี้ฉันอาจจะตายแล้วก็ได้เพราะฉะนั้นฉันจึงตัดสินใจว่าพรุ่งนี้ฉันจะไปหาเขาอีกครั่งและบอกเรื่องราวทั้งหมด
ตกดึกฉันออกมานั่งเล่นที่ริมทะเลเพราะต้องการที่จะเปลี่ยนบรรยากาศ อากาศของตอนกลางคืนมันทำมันให้ฉันรู้สึกดีมากๆพอที่จะผ่อนคลายเรื่องหนักหัวลงไปได้บ้าง
“ผมขอนั่งด้วยได้ไหม”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็ต้องตกใจเมื่อรู้ว่าคนที่เอ่ยถามเป็นใคร
“คุณฮิวจ์!”
“ครับ” เขายิ้มตอบฉัน “ผมนั่งได้ไหมครับ” เมื่อเห็นฉันไม่ตอบสักทีเขาก็เลยถามย้ำ
“ได้ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับแล้วเขาก็นั่งลงข้างฉัน
“ผมชอบทะเลตอนกลางคืนมาเลยครับแต่ฟ้าใสเขาไม่ชอบเท่าไหร่เราจึงไม่ค่อยได้ออกมาเดินเล่นกันแบบนี้” เพียงประโยคแรกเขาก็พูดถึงฟ้าใสทันที นั่นมันยิ่งทำให้ฉันเจ็บ สำหรับเขาเราทั้งคู่อาจจะเป็นเพียงคนที่เพิ่งรู้จักกันแต่สำหรับฉันคือเราทั้งคู่รักกัน...
“เหรอคะ แต่ว่ามันก็รู้สึกดีนี่คะกับการได้รักใครสักคน” ฉันพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติ
“ผมเองก็คิดว่าแบบนั้นเหมือนกัน” หลังจากจบประโยคนี้ทั้งเขาและฉันไปปล่อยให้เสียงคลื่นซัดเซาะต่อไป...
ชาย :
ผมกับน้ำชาเจอกันโดยบังเอิญที่ริมทะเลเพราะเราทั้งคู่อกมาเดินเล่นเหมือนกัน ผมขอเธอนั่งเล่นด้วยเราทั้งคู่จึงคุยกันเล่นแค่สามสี่ประโยคซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าผมพูดอะไรผิดรึเปล่าแล้วผมก็ไม่กล้าเป็นประเด็นก่อนด้วย
"เธอ ยังคิดถึงฉันไหม...” จู่ๆน้ำชาก็ร้องเพลงออกมา ผมจำได้ว่ามันเป็นเพลงเธอ ของ Cocktail แล้วน้ำชาก็สื่ออารมณ์ออกมาได้ดีมาจนผมถึงกับรู้สึกเศร้าไปกับเพลงทั้งที่ตอนแรกยังรู้สึกเฉยๆอยู่เลย
“...เมื่อสองเรานั้นยังต้องห่างไกล เมื่อเวลาพาเราให้ไกลกัน...
...รู้ บ้างไหมคนไกลยังคงหวั่นไหว เมื่อเขามองดูภาพเธอทีไรน้ำตามันยังไหลออกมา...” เสียงของน้ำชาหยุดลงไปพร้อมกับน้ำตาของผมไหลลงมาอาบใบหน้าโดยที่ผมไม่รู้ตัว
‘แล้วเจ้าจะสัญญาไหวว่าจะออกตามหาซึ่งกันและกัน’
เสียงแปลกๆดังเข้ามาในหัวของผมอีกครั่งแต่ผมก็ยังหาต้นเสียงไม่เจอสักที แต่ที่น่าแปลกก็คือเมื่ออยู่ใกล้กับน้ำชาแล้วเสียงมันเด่นชัดขึ้น
“คุณฮิวจ์ร้องไห้ทำไมครับ” ผมได้สติกลับมาเมื่อน้ำชาทัก ผมจึงยกมือขึ้นเตะใบหน้าของตัวเองที่มีน้ำตาไหลออกมาจริงๆ
“เอ่อ...คือผมอินกับเพลงของคุณน่ะครับ มันดูเศร้าและไพเราะมากๆเลยครับ”
“เหรอคะ ขอบคุณค่ะ” น้ำชายิ้มรับคำชมของผม มันเป็นรอยยิ้มที่เศร้าและเจ็บปวดมากๆจนผมรู้สึกว่าตั่งแต่ผมเจอเธอก็ไม่เคยเจอรอยยิ้มที่ดูมีความสุขสักที “เอ่อ...คือฉันมีเรื่องจะขอร้องคุณน่ะค่ะ”
ผมเลิกคิ้วเมื่อน้ำชาเอ่ยขอร้องผม “มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
“พรุ่งนี้ตอน 2 ทุ่มออกมาเจอฉันที่เดิมตรงนี้หน่อยได้ไหมคะ”
“เอ๋?”
“ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะคะ”
บางทีผมอาจจะแพ้น้ำเสียงผิดหวังของเธอล่ะมั้งถึงได้ยอมตอบตกลงไป เพราะปกติผมจะไม่ตอบรับคำขอจากคนที่รู้จักกันได้ไม่นาน
“ได้ครับ”
“ขอบคุณค่ะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ” เมื่อน้ำชากล่าวจบเธอก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป ผมมองเธอจนลับสายตา ความรู้สึกโหยหาทุกครั่งที่เจอน้ำชามันแรงขึ้นทุกทีจนผมเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไม ผมนั่งอยู่ที่เดิมสักพักแล้วจึงลุกขึ้นกลับที่พักไป
วันรุ่นขึ้น 2 ทุ่มตรง ตามเวลานัด
ผมมาถึงที่ที่นัดกันไว้ก็เจอน้ำชายืนรออยู่ เธอใส่ชุดกระโปรงสีขาวที่พัดพลิ้วไปกลับสายลม เรืองผมสีน้ำตาลทองปล่อยยาวกระทบแสงจันทรากลมโต
ผมเดินตรงเข้าไปหาเธอ เมื่อรับรู้ว่ามีใครเดินเข้ามาน้ำชาก็หันมาทางผม ใบหน้าของเธอดูซีดเซียวจนน่าใจหายทั้งที่เมื่อวานยังดูสดใสดีแท้ๆ
“หน้าของคุณดูเซียวมาเลยนะครับ เป็น...” ผมยังพูดไม่ทันจบเธอก็พุ่งเข้ามากอดผมแน่นทันที ด้วยความตกใจทำให้ผมเผลอผลักเธอออกไปจนร่างบางล้มลงไปกลับพื้น
“คุณทำอะไรของคุณ!” ผมตะหวาดเสียงดังลั่นด้วยความโกรธ เพราะผมไม่ชอบให้คนที่เพิ่งจะรู้จักมาทำแบบนี้ เธอทำให้ผมผิดหวัง แต่ร่างเล็กที่ล้มลงไปกลับไม่มีเสียงพูดใดๆทั้งสิ้น มีเพียงมือบางที่กำแน่นและหยดน้ำตาที่ร่วงรินจากใบหน้าสวยเท่านั้น
“คุณจำไม่ได้สินะ” คำพูดแปลกทำผมขมวดคิ้วด้วนความงวยงง
“จำอะไร?” ผมขมวดคิ้วถามกลับไป น้ำชาเงยหน้าขึ้นมองผมน้ำตาไหลอาบใบหน้าลงมาเต็มไปหมดเหมือนระบายออกมา
“จำเรื่องราวเมื่อชาติที่แล้วไม่ได้จริงๆสินะ” น้ำชาลุกขึ้นมาจับไหลของผม ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลมีฉายแววถามไถ่ออกมา “คุณจำไม่ได้เหรอ จำฉันไม่ได้เหรอ จำเรื่องของเราไม่ได้จริงๆเหรอ”
ผมผลักเธอจนล้มลงไปอีกครั่งแล้วตะโกนใส่หน้าของเธอว่า “คุณพูดบ้าอะไรของคุณ! ผมเพิ่งจะรู้จักคุณ! เพิ่งจะได้รู้ชื่อคุณ! เรื่องราวของเราบ้าบออะไรกันผมไม่รู้จัก!” แม้นผมจะรู้ว่าตังเองพูดแรงไปแต่ว่าผมทนไม่ไหวแล้ว คนตรงหน้าพูดอะไรของเขากันแน่
และดูเหมือนว่าคำพูดของผมมันตรงจุดพอดี ใบหน้าของน้ำชาแสดงความเจ็บปวดออกมา เรียวปากบางมีรอยยิ้มเศร้าสร้อย
“เหรอ งั้นฉันขอโทษนะคะแต่ว่า...” น้ำชาลุกขึ้นอีกครั่ง แล้วทันใดนั้นเธอก็กระอักเลือดสีแดงสดออกมา “...ฉันคงไม่มีเวลาเหลือให้ตามหาคนคนนั้นแล้วล่ะค่ะ ขอโทษ...” พูดเพียงเท่านั้นร่างบางก็ล้มลงไปทันที ผมได้แต่ยืนตะลังงันจนร่างของน้ำชาล้มลงไปกับพื้นแล้วอาการปวดหัวก็ถาโถมเข้ามา
ภาพแปลกๆไหลเข้ามาอย่างรวดเร็วและมากมาย จนสุดท้ายมันก็มาหยุดอยู่ที่ภาพของชายหญิงคู่หนึ่ง
“ข้าสัญญาค่ะว่าจะรักท่านตลอดชีวิต” เสียงหวานเอ่ยคำสัญญาด้วยถ้อยคำที่แผ่วจนแทบไม่ได้ยิน ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลมีน้ำตาโรยรินออกมา ลมหายใจก็แผ่วจนแทบจะหายไปในอากาศ เลือดสีแดงสดอาบผ้าขาวตัดกับผมยาวลอนสีน้ำตาลทองเงางาม
ชายหนุ่มผู้อยู่ข้างกายตลอดจ้องมองใบหน้าของหญิงรักแม้นตนเองก็บาดเจ็บสาหัสไม่ต่างกับหญิงสาวตรงหน้า
“แล้วเจ้าจะสัญญาไหวว่าจะออกตามหาซึ่งกันและกัน” ฝ่ายชายเป็นคนถามบ้างซึ่งคำตอบก็คือคำพูดสุดท้ายของทั้งเขาและเธอ
“สัญญา...ข้าจะตามหาท่านไม่ว่าภพใดก็ตาม” มือของทั้งคู่ประสานกันจนในที่สุดดวงตาของทั้งชายและหญิงก็หลุบลงและปิดสนิทลงในที่สุด
อาการปวดหัวหายไปทันทีเมื่อจบภาพนั้น พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบหน้า ผมมองภาพของของหญิงสาวที่ล้มลงไปด้วยหัวที่ปลอดโปล่ง นึกออกแล้ว...
ผม...นึกออกแล้ว...
“เดี๋ยวสิ เดี๋ยวก่อน...” ผมเดินโซเซไปหาร่างที่นอนแน่นิ่งกับพื้น มือของผมอังที่จมูกซึ่งมันก็ไม่มีลมหายใจซะแล้ว “อย่าเพิ่ง...อย่าเพิ่งจากฉันไปสิ! ฉันนึกออกแล้ว นึกออกหมดทุกอย่างแล้ว เพราะฉะนั้นลืมตาขึ้นมา ลืมตาขึ้นมาสิ ลืมตาขึ้นมา สิรินทรา!!!”
ผมกำลังตามหาหญิงสาวคนหนึ่ง...
ผมและเธอเคยรักกันเมื่อชาติปางก่อนและผมก็ไม่รู้ว่าเธอจะยังจำเรื่องของผมได้ไหมหรือเธอกลับมาเกิดหรือยัง แต่ผมก็ยังที่จะตามกาเธอตามที่ได้ให้สัญญาไว้ว่า
ผลงานอื่นๆ ของ Snow black ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Snow black
ความคิดเห็น