ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ขอเป็นคนที่รักเธอ ตอนที่ 2
ช่วงเวลาที่เกือบจะผ่านพ้นไปหนึ่งไปเต็มๆ นั้นทำให้หลายคนลืมเหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำไปได้ แต่ทว่าสำหรับบางคนที่มันกลายเป็นบาดแผลไปแล้วนั้นกลับยังคงระลึกถึงมันเสมอและพร้อมจะคุดคุ้ยมันขึ้นมาพูดได้เสมอ ร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่หลังกระจกใสของตึกซึ่งทำธุรกิจในเครืออสังหาริมทรัพย์นั้นเหม่อมองไปทั่วกรุงเทพมหานคร เมืองที่มีอุตสาหกรรมเกิดขึ้นมากมาย
เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนประตูจะเปิดออกทำให้ชายหนุ่มเดินกลับไปนั่งเก้าอี้ประจำที่เดิมรอรับงานที่กำลังรอเขาอยู่
“สวัสดีค่ะคุณดลเช้านี้เรามีประชุมตอนสิบโมง หลังจากนั้นตอนบ่ายคุณมีนัดกับคุณหว้าค่ะ ส่วนตอนทุ่มหนึ่งก็มีนัดทานอาหารกับคุณโซเฟีย” เลขานุการิณีที่ทำงานมานานเอ่ยด้วยเสียงเรียบพร้อมกับนำกาแฟมาวางที่ประจำของมัน
“ขอบคุณครับคุณน้อย” ชายหนุ่มเอ่ยเรียบก่อนจะพลิกเอกสารบนโต๊ะและเริ่มต้นทำงานของวันนี้เหมือนเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับเขา
คุณน้อยมองชายหนุ่มที่เข้ามาทำงานแทนบิดาด้วยสายตาบอกความเอื้อเอ็นดูกับความขยันขันแข็งแม้ว่าออกจะเหมือนคุณท่านไปเสียหน่อยเรื่องของความเจ้าชู้ที่เพิ่งจะเริ่มเป็นได้ไม่นาน
หลังลับร่างของสาวรุ่นใหญ่ที่ทำงานกับพ่อของเขามานานจึงเงยหน้าขึ้นเพื่อมองกรอบรูปตั้งโต๊ะที่ภายในบรรจุรูปของคนสองคนที่เป็นที่รักยิ่งของเขาหากแต่จากไปแล้วทั้งคู่ ดวงตาคู่สวยเพ่งมองสตรีนางเดียวที่อยู่ในใจเขามานานด้วยสายตาที่ปรากฏรอยบางอย่างที่อาจทำให้คนถูกมองต้องหวาดผวา
“พลอยผมคิดถึงคุณเหลือเกิน” ชายหนุ่มรำพึงด้วยสีหน้าของสัตว์บาดเจ็บที่แม้เวลาจะผ่านมานานพอสมควรแต่ความรักเมื่อหนหลังกลับไม่เคยลดลงเลย
ธราดลต้องกลับมาตั้งสติอีกครั้งหลังจากเอาแต่จ้องคนในรูปที่ตอนนี้ไร้ตัวตนไปเสียแล้ว หากยังไม่ทันที่เขาจะได้ลงมือทำงานอีกครั้ง เสียงเปิดประตูห้องโดยปราศจากการขออนุญาตก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงคุณน้อยที่ดังไล่หลังมาอย่างหมดทางอีกครั้ง
“ไม่อนุญาตให้เข้านะคะคุณนีน่า” พร้อมกันนั้นเสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก็ดังขึ้น ชายหนุ่มต้องส่งสายตาแสดงความเข้าใจไปให้คุณน้อยจึงกลับไปนั่งทำงานต่อ
ชายหนุ่มมองร่างอันได้ส่วนสัดของนางแบบสาวที่เป็นหนึ่งในคนที่กำลังควงอยู่ด้วยสายตาไม่พอใจ
“วันนี้ผมไม่ได้นัดคุณไม่ใช่หรือนีน่า” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเย็น ทว่าหญิงสาวหรือจะสนใจในเมื่อสำหรับคนนี้นั้นต้องใช้ยุทธวิธีด้านได้อายอดเท่านั้น
“ไม่ได้นัดก็นัดใหม่ได้นี่คะดล” เสียงหวานเอ่ยออกมาพร้อมกับก้าวเข้ามายืนข้างเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่
ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงสดปัดผ่านแก้มสากที่ผ่านการโกนหนวดมาเรียบร้อยด้วยท่าทางเย้ายวน
“แต่เช้านี้ผมไม่ว่าง ผมมีประชุมและคุณก็รู้ว่าผมไม่เอาเรื่องงานไปปนกับเรื่องส่วนตัวแน่นอน”
“แหม... นีน่าแค่มาหาครู่หนึ่งก็กลับแล้วล่ะค่ะ”
แววตาสงสัยหากไม่ถามทำให้หญิงสาวต้องเป็นฝ่ายเฉลยคำตอบเสียเอง
“ก็นีน่าจะบินไปเดินแบบที่ฝรั่งเศสน่ะค่ะก็เลยจะมาบอกก่อนกลัวว่าคุณจะตามเรียกนีน่าแล้วไม่เจอ” หญิงสาวว่าพร้อมรอยยิ้มหวานก่อนจะจูบริมฝีปากได้รูปสวยจนผู้หญิงยังต้องอิจฉาด้วยท่าทางช่ำชอง
ร่างสูงโปร่งและได้สัดส่วนยัดกายขึ้นพลางส่งสายตาหวานปานน้ำผึ้งไปให้หนุ่มเจ้าของบริษัทใหญ่แห่งนี้ก่อนเดินตัวพลิ้วออกไปจากห้อง มือที่กำลังจะจับลูกบิดประตูก็หันมาส่งจูบให้อีกครั้งถึงจะเดินออกไปได้ ธราดลส่ายหน้าด้วยท่าทางเหนื่อยใจ เขาก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำแบบนี้แล้วมันได้อะไรทั้งที่สิ่งเหล่านี้ใช่ว่าทำแล้วจะทำให้เขาลืมความทุกข์ไปได้
“แพรตอนนี้เธอจะเป็นยังไงบ้างนะ” ชายหนุ่มเปรยขึ้นมาเบาๆ กับตัวเองด้วยท่าทางเหม่อลอย
ความทรงจำเมื่อครั้งอดีตตอนที่พบกับหญิงสาวครั้งแรกผุดขึ้นมาอีกครั้ง เด็กสาววัยสิบเจ็ดปีพร้อมกับท่าทางร่าเริงสดใส แต่แล้วก็กลับซ้อนทับด้วยท่าทางของผู้หญิงเจนโลกที่คบผู้ชายมากมายจนความแค้นที่อยู่ภายในใจปรากฏขึ้นมาอีกครั้งและมันก็ทำเขาคลั่งแทบทุกครั้ง มือใหญ่ปัดข้าวของที่มีอยู่บนโต๊ะกระจายเต็มพื้นพลางสะบดอย่างหัวเสียที่บังอาจไปคิดถึงผู้หญิงไม่ดีคนนั้น
“ทำไมฉันต้องนึกถึงเธอด้วยนะ ทั้งที่เธอทำให้ผู้หญิงที่ฉันรักต้องตาย”
เสียงที่ดังลอดออกมาจากห้องทำให้คุณน้อยต้องเปิดประตูเข้ามาดูแล้วก็ต้องส่ายหน้าเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อยู่ดีๆ ชายหนุ่มก็มีอารมณ์อยากจะอาละวาดขึ้นมา เมื่อคนตรงหน้าดูท่าว่าจะสงบลงแล้วจึงต้องเอ่ยคำพูดที่พูดประจำกับเลขาฯ คนสนิท
“ผมขอโทษนะครับคุณน้อย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” คุณน้อยเอ่ยเบาๆ พลางจัดของให้เหมือนเดิม
“อีกประเดี๋ยวก็ต้องเข้าประชุมแล้วนะคะ ไม่ทราบว่าคุณดลอ่านเอกสารแล้วหรือยัง”
ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเปิดเอกสารออกอ่านอีกรอบเพื่อความมั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีสำหรับงานสิ้นปีนี้
กว่าการประชุมจะเสร็จสิ้นเวลาก็เข้าไปเกือบจะบ่ายแล้ว ชายหนุ่มรีบเดินออกมาจากห้องเพราะเขามีนัดทานอาหารกับลูกค้าคนสำคัญอีกซึ่งเธอก็คือหนึ่งในผู้หญิงที่เขาควงด้วย แต่แล้วร่างระหงที่ยืนพิงกำแพงอยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตูของห้องประชุมก็ทำให้เขาต้องยิ้มออกมา เขาน่าจะรู้จักนิสัยของพิมนาราดีว่าหล่อนไม่มีทางให้เขาผิดนัดแน่
“ว่าไงคะ ดล” รอยยิ้มนั้นเผยลักยิ้มที่สองข้างแก้ม
ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาและมอบจุมพิตราวกับทั้งคู่อยู่กันในที่รโหฐาน กรรมการบริหารและพนักงานที่ได้ร่วมเข้าประชุมด้วยออกจะตกใจเล็กน้อยด้วยมีหนังสดมาฉายให้พวกเขาได้ดูกันอีกแล้ว แต่ทุกคนก็ต้องทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะตราบใดที่ประธานบริหารยังทำงานได้ดีพวกเขาก็ไม่มีสิทธิมาว่าในเรื่องส่วนตัวและนั่นเป็นกติกาที่ทุกคนรู้ดี
มือบางผลักชายหนุ่มออกเล็กน้อยนั่นทำให้เขาเห็นท่าทางเขินอายของหล่อนได้ถนัดชัดตา แต่ก็นั่นละเขาไม่รู้ว่าหล่อนเสแสร้างหรือเป็นจริงกันแน่
“ดลนี่ชอบทำอะไรแบบไม่แคร์สายตาใครจริงนะคะ” หญิงสาวว่าและตีเข้าให้ที่กล้ามแขนเป็นมัดๆ เพราะออกกำลังกายสม่ำเสมอ
“ก็คุณทำให้ผมอดใจไม่อยู่นี่นา” ชายหนุ่มหยอดเสียงหวานก่อนฝากแฟ้มไว้ที่คุณน้อยซึ่งยืนรอรับอยู่ แล้วแขนยาวนั้นก็โอบรอบร่างบางพากันเดินออกไปจากบริเวณนั้นตรงไปยังลิฟต์ส่วนตัวที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่มีใครมายุ่งเกี่ยว
มือหนาบีบกระชับแน่นที่ไหล่กลมกลึงและพากันเดินเคียงคู่กันไปหาได้สนใจสายตาที่มองมาไม่กระทั่งเสียงแฟลชดังขึ้นนั่นทำให้ธราดลต้องหันไปมอง แล้วเขาก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งรัวกดชัตเตอร์ไม่หยุดมาทางเขาทำให้เขาต้องขมวดคิ้วและหันไปมองร่างระหงที่อยู่ในอ้อมกอดอย่างเข้าใจเหตุการณ์เป็นอย่างดี
“หว้านี่คงไม่ใช่ฝีมือคุณหรอกนะ” ชายหนุ่มถามเสียงเข้มและจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวย
“อะไรกันคะดล หว้าจะไปทราบได้ยังไงว่าคุณจะพาหว้ามาทานอาหารที่นี่แล้วอีกอย่างถ้าเราจะเป็นข่าวบ้างก็ไม่เป็นไรไม่ใช่หรือคะ” พิมนาราว่าด้วยท่าทางกระเง้ากระงอดอย่างที่คิดว่าน่ารักในสายตาของหล่อน
ธราดลมองหญิงสาวอย่างรู้ทันแต่ก็ยอมปล่อยไปเพราะยังไงตอนนี้เขาก็ไม่มีใครที่จะต้องมาเข้าใจผิดกับเรื่องแบบนี้จึงปล่อยให้ปาปารัชซี่ได้ถ่ายรูปจนพอใจ
ข่าวที่ลงบนหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งทำให้เขาถูกเรียกตัวมายืนหน้าบิดาที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดให้กับหัวข้อข่าวนั้นก่อนจะเลยมาเพ่งมองเขาด้วยความไม่พอใจ
“แกได้ลงข่าวอีกแล้วนะเจ้าดล” เสียงแหบนั้นเอ่ยประชด
“ก็ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นอะไรนี่ฮะพ่อ” ชายหนุ่มตอบกลับเสียงเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ ทว่าในใจกลับรู้สึกไม่พอใจนักที่นักข่าวไปนั่งเทียนเขียนข่าวกันเองแล้วก็คงจะมีคนที่ยืนคู่กับเขานั่นละให้ความร่วมมือในการเขียนข่าว
“ตกลงว่าคนนี้แกเอาแน่หรือเปล่า ถ้าแน่ฉันจะได้ไปขอเขาให้” คนเป็นพ่อประชดเข้าให้
คนที่ยังไม่อยากมีพันธะรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันทีอย่างหมดอาการเก๊ก
“แล้วไปทำท่าไหนเขาถึงลงข่าวแกซะหราขนาดนี้”
“ก็คงเป็นแผนของหว้านั่นละฮะพ่อ อย่าไปเอาอะไรกับข่าวนักเลย พ่อก็เห็นไม่ใช่หรือฮะว่าข่าวผมมันก็มีไม่พ้นแต่ละวันนั่นละ วันก่อนก็ไปกับนู่นวันนั้นก็ไปกับเขาคนนี้ แล้วเมื่อวานนี้ก็ไปกับอีกคนหนึ่ง” ชายหนุ่มเอ่ยสบายๆ ราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขาไปแล้ว
ธนชัยได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับพฤติกรรมของบุตรชายที่ไม่รู้ว่าจะหยุดกับผู้หญิงคนไหน แล้วสะใภ้ของเขาจะหน้าตาเป็นยังไงละนี่คิดแล้วคนเป็นพ่ออย่างเขาก็หนักใจเสียจริงจนอยากจะหาผู้หญิงสักคนมาถวายให้มันจริงๆ เลย แต่ก็กลัวจะเป็นการทำบาปด้วยผู้หญิงที่มาอยู่กับมันโดยปราศจากความรักคงได้ตรอมใจตายกับนิสัยเจ้าชู้ที่เพิ่งจะมาเป็นได้ไม่นานนี้
“เอ้า...แล้วเช้านี้ไม่ไปทำงานหึดล”
ชายหนุ่มยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเป็นการยิ้มที่ถ้าไม่มองให้ดีคงไม่เห็นเลยเป็นคำตอบ
“งั้นก็คงไปเที่ยวกับผู้หญิงอีกล่ะสิ”
ความเงียบเป็นคำตอบอย่างดีจนธนชัยต้องคิดว่ามันไปเอานิสัยเจ้าชู้มาจากใคร สุดท้ายก็ได้คำตอบว่าก็คงมาจากเขานั่นเอง เพราะเมื่อก่อนเขาก็ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้เช่นกันแต่เมื่อได้พบกับแม่ของมันถึงได้เลิกไปโดยปริยายเพราะความรักของเขาทั้งหมดนั้นมอบให้แก่ภรรยาไปหมดสิ้น เขาเองจึงเชื่อว่าเมื่อใดที่ลูกชายมีความรักคงจะสามารถหยุดความเจ้าชู้ไม่เลือกเวลาและสถานที่ของเจ้าตัวดีได้
...เฮ้อ...ถ้ากรกับหนูพลอยอยู่ก็คงจะมีคนคอยเตือนมันบ้าง... หนุ่มใหญ่คิดอย่างปลงๆ แล้วก็อดเศร้าไม่ได้เมื่อนึกถึงอุบัติเหตุรถชนของบุตรชายคนโต
เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าหม่นแบบเดิมๆ เหมือนกับในตู้ถูกดึงออกมาสวม มือใหญ่คว้าเนกไทเส้นโปรดมาผูกและจัดการยัดเสื้อเข้าไปในกางเกงสแล็คพลางหยิบเข็มขัดของผู้หญิงที่เขารักเลือกให้เป็นของขวัญวันเกิด
มาคาด
หนุ่มวัยสามสิบปีก้าวลงจากบันไดขั้นสุดท้ายไปหอมแก้มมารดาที่ยืนมองชายหนุ่มอยู่ด้วยสายตาไม่ต่างไปจากของบิดาเมื่อครู่นี้
“โธ่...แม่ฮะอย่ากังวลไปเลยผมไม่เลือกเธอมาเป็นสะใภ้ให้แม่ได้หัวใจวายหรอกครับ” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดีก่อนหอมแก้มมารดาอีกครั้งแล้วเดินออกไปโดยปฏิเสธอาหารเช้าที่สาวใช้ยกมาให้
ร่างสูงขับรถแลนด์โลเวอร์สีดำคันโปรดเข้ามาจอดเทียบในลานจอดรถของบริษัทโมเดลลิ่งชื่อดังที่หนึ่งในคู่ควงของเขาสังกัดอยู่ ทันทีที่ก้าวลงจากรถร่างโปร่งระหงของนางแบบสาวก็โผเข้ากอดเขาในทันที ดวงตาที่ราวกับแม่เสือสาวมองชายหนุ่มแทบจะกลืนกินเข้าไปทั้งตัว นั่นทำเอาเขาชักอยากจะมีอารมณ์ร่วม แต่ก็กลัวจะมีข่าวเหมือนเมื่อวานอีกและนี่ผู้คนก็มากเกินกว่าจะสามารถทำราวกับเป็นที่ส่วนตัวได้
“คิดถึงจังเลยค่ะที่รัก” โซเฟียเอ่ยเสียงกระเส่าและเบียดกายเข้าหาหนุ่มที่ได้ชื่อว่าคนที่สาวๆ ฝันใฝ่จะมีอะไรด้วยแม้สักคืนก็ยังดี
“ผมว่าที่นี่มันไม่เหมาะหรอก” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงพร่าและรู้ตัวดีว่าตอนนี้น้องชายของเขาคงอึดอัดเต็มทน
“โธ่...แพรไปทานข้าวกับผมสักครั้งเถอะนะฮะ” เสียงชายหนุ่มโอดครวญ แต่ร่างบางกลับไม่สนใจ
ทั้งที่นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ยอมออกจากบ้านแต่ไหงต้องมาเจอเขาด้วยเนี่ย อาริษาคิดพลางมุ่งตรงไปยังบานประตูโดยไม่แม้แต่จะหันมามองคนสองคนที่กำลังพลอดรักกันอยู่ ในใจนั้นหญิงสาวนึกเพียงอย่างเดียวว่าไม่ควรมาหาภวินตราเลยจริงๆ
“แพรคิดว่ามันไม่สมควรคุณก็เข้าใจบ้างสิคะ”
“แต่ผมอยากคุยกับคุณนี่นา ครั้งเดียวก็ได้นะ ขอโอกาสให้ผมบ้างสิ”
ทั้งคู่ยังคงคุยกันโดยไม่ได้รับรู้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่คอยมองตามการสนทนาตลอดเวลา จนกระทั่งหนุ่มหน้ามนนั้นแตะที่ข้อมือบางและดึงให้หันมาคุยกัน อารมณ์กำหนัดเมื่อครู่ของชายหนุ่มก็หมดลงแต่กลับเต็มไปด้วยความโกรธ ในใจนึกไปต่างๆ นานว่าร่างบางคงให้ท่าผู้ชายอีกแล้ว
“แต่แพรมีนัดแล้ว” หญิงสาวปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
แม้กระทั่งเดินเข้าไปในตึกแล้วชายหนุ่มก็ยังตามไม่เลิกแถมยังไม่ยอมปล่อยข้อมือบางอีกด้วย ความโกรธที่ไม่รู้มาจากไหนมากมายหรืออาจจะเพราะมันสุมอยู่ในใจมานาน เมื่อเห็นผู้ชายมาวอแวกับผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาอยากจะเปิดหน้ากากของหล่อนออกมาจึงสะบัดกายออกจากร่างเย้ายวนตรงหน้าและมุ่งไปหาคนทั้งคู่ที่กำลังยืนเถียงกันอยู่หลังประตูกระจกใส
มือหนาคว้าหมับเข้าที่มือบางที่กำลังจะยื่นมาปัดมืออีกข้างที่กำข้อมือหล่อนอยู่ ความร้อนที่ส่งมาถึงมือทำให้หญิงสาวถึงกับสะดุ้งและต้องหันไปมองด้วยความตกใจ หญิงสาวถึงกับหน้าถอดสีเมื่อเห็นเจ้าของมือใหญ่ชัดๆ ดวงตาสีนิลอมโศกแทบไม่อยากเชื่อว่าจะต้องมาเจอเขาอีก ทั้งที่นี่เป็นการออกจากบ้านของหล่อนตามลำพังครั้งแรกตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาแต่ล้วนต้องมาเจอคนที่หล่อนไม่อยากเจอทั้งสิ้น
“ไอ้นี่มันใครกันแพร” หนุ่มหน้ามนกระชากเสียงถามและพยายามจะดึงหล่อนมายืนหลังเขาด้วยท่าทางหวงแหนและเป็นเจ้าของ
อาริษาหน้าแดงเมื่อเจอสายตาที่ทำเหมือนรู้จริงไปเสียทุกอย่าง น้ำตาพานจะไหลออกมาหากต้องพยายามกลั้นไว้ไม่ให้เขาเห็นโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นคงถูกหาว่าสำออย
“แพรไม่รู้จักเขา พัฒน์ช่วยพาแพรไปจากที่นี่ที”
“กล้าปฏิเสธดีนี่แพร แต่เสียใจนะคุณคงโกหกเจ้าตัวผิดคนเพราะผมไม่มีทางยอมให้คุณหลอกคนอื่นเด็ดขาด” ชายหนุ่มบอกหญิงสาวพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้หญิงสาวหวาดกลัว ก่อนเขาจะหันไปมองหนุ่มรุ่นน้องที่มองเขาอยู่ด้วยความไม่พอใจ “นายคงถูกยัยแพรหลอกมาอีกแล้วสิ ผมจะบอกให้ว่าหล่อนไม่ได้ดีอย่างที่คุณเห็นหรอกเพราะฉะนั้นก็ปล่อยเธอได้แล้ว”
พิพัฒน์มองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจก่อนจะหันไปมองหญิงสาวคนกลางที่บัดนี้หน้าซีดเซียวจนน่าสงสารจนเขาอยากจะกางแขนปกป้อง
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณไปฟังใครมา แต่สำหรับผมแพรคือผู้หญิงที่ดีงามที่สุดในชีวิตของผม”
คำพูดที่เอ่ยออกมาทำให้อาริษาไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายคนนี้จะรักหล่อนจริง ที่คิดก็มีเพียงว่าเขาคงอยากเอาชนะเพราะเธอไม่ยอมคบกับเขาเหมือนใครคนอื่นที่ผ่านเข้ามามากมายในชีวิตของเขา
แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็ทำให้สองหนุ่มต้องตกตะลึงเมื่อร่างยั่วยวนซึ่งแต่งกายด้วยชุดสีแดงเพลิงชวนมองนั้นกลับเดินอาดๆ เข้ามาอย่างไม่ให้ใครได้ตั้งตัวและปะทะฝ่ามือเรียวเข้ากับใบหน้าหวานอย่างจังจนร่างบางนั้นถึงกับเซถอยหลังและหน้าใสนั้นก็ปรากฏเป็นรอยแดงของฝ่ามือ ธราดลรีบปล่อยมือเล็กก่อนจะเข้าไปจับตัวโซเฟียที่ตั้งท่าจะเข้าไปตบหญิงสาวอีกรอบ
ที่มุมปากของร่างบางซึ่งสีหน้าแสดงออกถึงความงงงวยอย่างยิ่งปรากฏรอยเลือดที่ทำให้ชายหนุ่มที่มองอยู่ถึงกับขมวดคิ้ว
“โซเฟียคุณทำแบบนี้ทำไม” ชายหนุ่มถามเสียงเข้มและดึงตัวโซเฟียมาปะทะอกเมื่อหญิงสาวไม่ยอมหยุด
“ก็คุณไปยุ่งกับมันทำไมล่ะ ทั้งที่เห็นอยู่ว่ามันก็มีผู้ชายอีกคน”
“แล้วแกก็ยังจะหน้าด้านให้เขาจับมือนังผู้หญิงแพศยา” นางแบบสาวชี้นิ้วไปทางอาริษา
ความที่ไม่เคยจะโดนใครว่ากราดใส่ต่อหน้าผู้คนมากมายที่มามุงดูฉากฉกฉิงผู้หญิงกับผู้ชายเช่นนี้ทำให้หญิงสาวถึงกับทำอะไรไม่ถูก ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างไม่เข้าใจต่อภาพตรงหน้าว่าหล่อนผิดอะไร
“ขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆ นะคะ” หญิงสาวว่าเสียงแผ่วพานน้ำตาจะไหล
“หลีกๆๆๆ มามุงดูอะไรกันแถวนี้ทำไมไม่ไปทำงานกัน” เสียงแจ๋วที่ลอยมากระทบหูของไทยมุงทำให้ต้องรีบแจ้นกลับไปทำงานก่อนจะโดนตัดเงินเดือน
ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นชายไม่พึงประสงค์สองคนกับนางแบบช่างยั่วยืนมุงรอบเพื่อนรักผู้แสนบอบบาง
ปัดโธ่...เธอรึอุตส่าห์ดูแลยังกับไข่ในหินแล้วนี่ออกจากบ้านคนเดียววันแรกก็ได้เรื่อง หมดกันชีวิต
ภวินตราสบถในใจก่อนจะเดินไปดึงเพื่อนให้มาอยู่ข้างตัว
“พัฒน์ฉันว่านายกลับไปก่อนดีกว่านะ ส่วนคุณดลคุณพาแฟนคุณไปเสียเถอะค่ะ เพื่อนฉันเหนื่อยมามากแล้ว” เจ้าของตึกแห่งนี้พูดด้วยเสียงที่แสดงออกถึงความฉุนจนสองหนุ่มต่างวัยถึงกับเลิกคิ้วว่ามันเรื่องอะไรถึงต้องมาโกรธพวกเขาด้วย แต่ก็ต้องยอมล่าถอยเมื่อเหลือบไปเห็นดวงหน้าหวานที่ซีดเผือดจนน่าสงสารนั้น
เมื่อลับร่างของตัวป่วนไปแล้ว หญิงสาวถึงได้หันมาสำรวจเพื่อนที่ตอนนี้หน้าซีดตัวสั่นจนน่าเตะผู้ชายสองคนที่ช่างหาฤกษ์มาพบเพื่อนเธอได้ดีเยี่ยม ร่างบางนั้นหันมาซบอกร่างโปร่งอย่างเห็นเป็นที่พึ่งพิงในทุกครา มือเรียวลูบหลังไหล่อย่างปลอบโยนก่อนจะพาเดินเข้าไปด้านในตรงไปยังห้องทำงาน แต่หลังจากเจ๊ใหญ่ของตึกนี้เดินเข้าห้องไปเรียบร้อยขาเมาท์ทั้งหลายก็รีบเรียกประชุมกันอย่างเร่งด่วนพลางคิดกันไปต่างๆ นานาว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นคนรักของเจ๊ใหญ่ก็เป็นได้แล้วข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วตึกอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันผู้ที่ยังไม่รู้ข่าวของตัวเองนั้นก็รีบเดินไปชงโอวันติลร้อนแล้วก็ได้แต่นึกโทษว่าตนน่าจะเดินออกมารับเพื่อนให้เร็วกว่านี้
“แพรเป็นไงบ้าง” มือเรียวยื่นถ้วยที่กรุ่นกลิ่นหอมของผงโอวัลติลให้ร่างบางไป ซึ่งริมฝีปากบางก็ค่อยละเลียดชิมรสชาติที่คนตรงหน้าผสมอย่างสุดฝีมือ ( ที่ไม่รู้ว่ามีอะไรให้ปรุงมากมาย )
อาริษามองหน้าเพื่อนอย่างปลอบใจเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าคงกำลังโทษตัวเองอยู่ ริมฝีปากบางจึงอดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ แล้วร่างโปร่งก็แทบจะจับร่างบางพลิกทั้งตัวเพื่อหาบาดแผลที่อาจตกหล่นเมื่อเห็นว่าข้างมุมปากนั้นยังปรากฏรอยเลือดเด่นชัด
“เพราะฉันแท้ๆ เชียว น่าจะไปรับแกเร็วกว่านี้”
“อย่าโทษตัวเองเลยลิล เอาเป็นว่าครั้งหน้าฉันจะพาลุงชมมาด้วยดีไหม” ร่างบางปลอบใจเพื่อนพลางหาหนทางใหม่
เจ้าของห้องรีบส่ายหน้าห้ามเมื่อฟังการแก้ปัญหาของเพื่อนจบ
“ไม่ได้นะ”
เสียงปรามนั้นทำให้ดวงตาสีนิลจ้องคนตรงหน้าด้วยความสงสัย
“ทำไมล่ะ...” แววตาคู่นั้นมีแต่ความไม่เข้าใจ
“เราต้องการให้แพรรู้จักไปไหนต่อไหนคนเดียวบ้าง เพราะเมื่อแพรอยู่คนเดียวแพรก็จะรู้จักรับกับสถานการณ์อีกอย่างเมื่อก่อนแพรยังไปไหนต่อไหนคนเดียวได้เลย แล้วทำไมตอนนี้จะไม่ได้ล่ะ”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีคำว่าแต่จ้ะ แพรต้องเข้มแข็งไม่มีใครมาดูแลแพรได้ตลอดชีวิต และก็ไม่สามารถจะย่ำอยู่กับที่ได้ตลอดเวลา แพรขังตัวเองอยู่กับอดีตมานานแล้วนะ ต้องออกมาเผชิญกับโลกภายนอกบ้าง อีกอย่างแพรก็ไม่ได้อยู่คนเดียวสักหน่อย ทุกคนคอยเป็นกำลังใจให้แพรเสมอ แล้วอีกอย่างแพรก็บอกเองว่าอยากเข้มแข็งเพราะฉะนั้นถ้าเรื่องแค่นี้ก็ท้อเสียแล้วแพรก็ไม่มีวันมีความสุขได้หรอก”
อาริษาฟังคำเทศนาอันยาวเหยียดนั้นพร้อมรอยยิ้มที่ฉายชัดบนใบหน้าอีกครั้ง...หล่อนจะต้องไม่กลับไปเป็นอย่างเก่าเพียงเพราะการพบกับคนที่ไม่มีความสำคัญกับชีวิตของตัวเอง ฉะนั้นที่ทำได้คือเดินหน้าเท่านั้น ดวงหน้าหวานพยักหน้าหงึกหงักอย่างยอมรับและพยายามย้ำกับตัวเองให้ขึ้นใจว่าเขาคนนั้นจะต้องไม่มามีอิทธิพลเหนือหล่อนอีก
“ว่าแต่ลิลให้เรามาพบที่นี่ทำไมหรือ”
ภวินตรายิ้มกว้าง ยิ้มที่ทำให้อาริษาไม่อยากได้รับเพราะทุกครั้งมันเป็นเรื่องไม่ดีต่อตัวเองเอาเสียเลย
“โธ่...เพื่อนจ๋าอย่าเพิ่งทำหน้าแบบนั้นซิ เนี่ยเพื่อนคนนี้กำลังเดือดร้อนน้า”
“ไม่...” ร่างบางส่ายหน้าปฏิเสธเมื่อรับรู้ถึงลางอันตรายที่กำลังรออยู่ตรงหน้า
“น้า...แพร เราขอร้องมีแต่แพรเท่านั้นที่ช่วยเราได้”
ร่างโปร่งจับแขนคนตรงหน้าเขย่าไปมาจนเริ่มเวียนหัว พลางออดอ้อนเสียงหวานและทุกคำก็มีแต่ชมจนคนถูกชมชักจะหวาดๆ จึงสั่งห้ามเป็นระวิง เมื่อมือนั้นเริ่มยุทธการบีบนวดที่จะทำเอาหล่อนชักตายเพราะมันยุบยับไปทั่ว
“โอ๊ย...พอแล้ว เราจะตายอยู่แล้ว” หญิงสาวโวย
“แล้วจะช่วยไหมละ” คนแกล้งถามหน้าตาย
คนถูกแกล้งจึงต้องรีบพยักหน้าก่อนที่หล่อนจะบ้าจี้ตายเพราะนิ้วมือที่เริ่มไต่ไปตามแขน
“ตกลงๆ แล้วจะให้ช่วยอะไรล่ะ”
ภวินตรารีบยิ้มกว้างแล้วอธิบายงานเสียงใส งานที่จะให้ทำนั้นคือคอยดูแลคนๆ หนึ่งที่หล่อนจะเป็นคนคัดเลือกมาให้ และอาริษานั้นก็ต้องคอยจัดการเวลางานให้เขา ส่วนที่ต้องให้มาช่วยนั้นมันก็มีสาเหตุเพราะคนที่เลือกมานี้เป็นคนใจร้อนเปลี่ยนคนดูแลมาแล้วหลายคน คนเหล่านั้นเป็นผู้หญิงเหตุที่ไล่ออกนั้นก็คือไปยุ่งกับเขามากจนเกินไปจนสุดท้ายเขาก็ทนความรำคาญไม่ไหวเลยไล่ออกเสียเลย ฉะนั้นคนที่จะทำงานนี้ได้จึงมีแต่เพื่อนหล่อนคนนี้เท่านั้น
“นี่แหละงานที่แพรต้องทำ”
หญิงสาวมองหน้าเพื่อนอย่างชักจะอยากกลับคำเพราะงานนั้นมันเท่ากับทับงานประจำของหล่อน
“เราทำไม่ได้นะ ถ้าเป็นงานชั่วคราวก็ว่าไปอย่างแต่นี่ยังกับงานถาวร ลิลก็รู้นี่ว่าเรามีงานที่ร้านอาหารอีกนะ”
“แต่มันก็เข้าที่เข้าทางแล้วนี่นา แล้วอีกอย่างแพรก็ไม่ต้องไปดูแลเขาตลอดหรอกเพราะที่ผ่านมาคนอื่นเขาก็แค่จดตารางเวลาให้แล้วก็รับคิวมาให้เท่านั้นไม่ต้องไปคอยตามติดแต่ที่ผู้หญิงพวกนั้นไปคอยอยู่ด้วยตลอดเวลาก็เพราะอยากจะไปเอง นะแพรช่วยเราเหอะแพรเป็นคนเดียวที่จะทำงานนี้ได้”
“ทำไม แล้วเราต้องทำไปนานแค่ไหนกัน”
“ก็แพรน่ะเป็นคนใจเย็นเหมาะที่จะดูแลเขาได้ แล้วอีกอย่างแพรก็ไม่มีทางไปยุ่งกับเขาเพราะคำว่ากุลสตรีไทยที่แม่ดาสอนมามันค้ำคอแพรอยู่ ส่วนระยะเวลาก็....” เพื่อนสาวยิ้มแหยๆ เป็นอันรู้ว่าไม่รู้แน่
“แล้วตกลงเราต้องไปทำอะไรกันแน่”
“เป็นผู้จัดการส่วนตัวของคุณภูวนาถ”
ดวงตาสีนิลฉายแววสงสัย ใคร? ภูวนาถ แล้วทำไมต้องไปดูแล หากก่อนที่หญิงสาวจะได้ปริปากถามออกไป เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นก่อนจะถูกเปิดออกและตามด้วยบุรุษหนุ่มสองคนที่ก้าวเข้ามา คนหนึ่งเดินเยื้องไปด้านหลังสวมแว่นตาสีชาที่ทำให้อาริษาสงสัยว่าอะไรซ่อนอยู่ภายใต้แว่นตานั้น ส่วนอีกคนนั้นเดินเข้ามาหาภวินตราด้วยมาดนิ่งที่ทำให้หญิงสาวเกรงมากกว่าอยากเข้าใกล้
เจ้าของดวงตาคมทรุดลงนั่งมุมหนึ่งของเก้าอี้ที่ร่างบางนั่งอยู่ก่อนโดยหาสนใจสายตาตื่นๆ ราวกับกระต่ายที่คอยมองอยู่ไม่
ความเงียบที่เข้าครอบคลุมบรรยากาศภายในห้องเพียงไม่นานหลังจากหนุ่มสองคนเข้ามาในห้อง แม้ว่าจะมีรอยยิ้มของภวินตราเข้าสู้แล้วก็ตาม หากก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
“ฉันหาผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ให้คุณได้แล้วนะ” คำพูดที่แสนสุภาพทำให้ร่างบางแปลกใจ
ชายหนุ่มฟังคำพูดนั้นโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาทำเอาคนพูดทำหน้าแหยก่อนแอบมองตาเพื่อนสาวอย่างขอทางช่วย อาริษามองเพื่อนด้วยความงุนงงแต่ก็พอจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้คงจะเป็นคนที่เธอต้องมาดูแลอย่างที่เพื่อนเพิ่งขอร้องมา ทว่าท่าทางเรียบเฉยราวกับไม่เห็นหัวใครเลยก็ทำเอาหญิงสาวอยากปฏิเสธงานนี้
“คุณคงเป็นคุณภูวนาถใช่ไหมคะ” อาริษาเริ่มถามเขาเมื่อเห็นเพื่อนสาวมองมาด้วยท่าทางขอความช่วยเหลือซึ่งก็ไม่รู้ว่าเธอจะช่วยอะไรได้
คนที่คงจะเป็นภูวนาถในความคิดของหญิงสาวหันมามองเล็กน้อยก่อนผงกศีรษะรับเป็นคำตอบแทนการพูด
“ดิฉันอาริษาค่ะจะมารับหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวตั้งแต่...” หญิงสาวหันไปมองเพื่อนสาวแล้วภวินตราก็รีบต่อทันที
“วันนี้จ้ะ...”
ดวงตาสีนิลหันไปมองหน้าเพื่อนอย่างตกใจ ขณะที่อีกคนทำสีหน้าเฉยทว่าภายในใจแอบลอบมองหญิงสาวรูปร่างบอบบางกับดวงหน้าเนียนละเอียดไร้สิวฝ้านั้นด้วยความสนใจว่าคราวนี้ผู้หญิงที่มาดูแลเขาจะเป็นคนประเภทไหนกัน
ชายหนุ่มพยักหน้าอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกับบุรุษที่เข้ามาพร้อมกันก็ขยับตัวแล้วเดินตามภูวนาถที่เปิดประตูก้าวออกจากห้องไป การมาราวกับพายุและไปได้รวดเร็วเฉกเดียวกับตอนมาทำให้อาริษายังคงตกอยู่ในความงุนงงและมองหน้าคนที่เหลืออยู่ในห้องอย่างคาดคั้นในที
“นี่มันอะไรกัน ทำไมต้องให้เรารีบทำงานด้วยมิทราบ” บุคลิกที่กลับมาใจเย็นและทำอะไรด้วยเหตุผลวกกลับมาสู่ร่างบอบบางอีกครั้ง ท่าทางที่ดูสงบและตั้งใจฟังคำตอบทำให้เจ้าของห้องต้องลอบกลืนน้ำลายอย่างหวาดๆ
“ก็แหม... ตำแหน่งนี้มันทิ้งร้างมาเป็นอาทิตย์แล้วนี่นาจะให้เราทำไงล่ะ นะเพื่อนนะแล้วเดี๋ยวเราจะรีบหาคนมาทำแทนให้เร็วที่สุด แล้วก็นี่เบอร์มือถือของนายภูส่วนนี่ที่อยู่ของเขาเผื่อต้องไปหา สุดท้ายใบตารางคิวจ้ะ” ภวินตราหยิบเอกสารส่วนตัวของนายแบบและนักแสดงหนุ่มที่กำลังฮอตฮิตออกมาจากแฟ้มพลางส่งให้เพื่อนสาวดู และมือบางนั้นก็รับไปอย่างงงๆ
เสียงกระดาษพลิกไปมาบ่งบอกให้รู้ว่าคนที่กำลังจะได้งานใหม่กำลังอ่านข้อมูลทั้งหมดด้วยความตั้งใจ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพบว่าคนตรงหน้ากำลังมองท่าทีของหล่อนอยู่ด้วยความอยากรู้
“ตกลงว่าเขาเป็นใครน่ะ”
คนที่ทำตัวราวกับย้ายไปอยู่หลังเขามาอ้าปากถามแบบที่มีข้อสงสัยอยู่มากมาย แต่ทำเอาคนฟังต้องส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับความใฝ่รู้ของเพื่อนในด้านบันเทิงที่ดูจะต่ำมากเหลือเกิน ท่าทางที่ดูราวกับขัดใจอะไรบางอย่างทำให้ร่างบางขมวดคิ้ว
“เขาเป็นนักแสดงแล้วก็นายแบบจ้ะดังมากด้วยนะ มีแต่คนอยากได้เขาไปเป็นพระเอกและนายแบบนิตยสารขึ้นปก แต่ว่าเขายึดงานนี้เป็นงานอดิเรกเฉยๆ เพราะฉากหลังของเขาเป็นผู้บริหารโรงแรมและรีสอร์ท หลายแห่งแล้วก็อีกหลายอย่างที่เขามีหุ้นส่วนอยู่เรียกได้ว่ารวยทีเดียวล่ะ” เพื่อนสาวเล่าไปยิ้มไปจนอาริษาอดคิดไม่ได้ว่าเพื่อนเธอบ้าไปแล้วหรือเปล่า
เมื่อภวินตราเห็นสายตาแปลกๆ นั้นมองมาก็หุบยิ้มและอดค้อนออกไปไม่ได้ ท่าทางที่ค่อนไปทางทอมบอยแต่กิริยาทุกอย่างที่แสดงออกให้คนใกล้ชิดได้เห็นล้วนเป็นไปทางกุลสตรีทั้งสิ้น สองอย่างที่สวนทางกันทำให้อาริษาได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับพฤติกรรมแปลกๆ ของเพื่อนทำให้ลืมเรื่องขุ่นใจต่อภูวนาถไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น