ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ขอเป็นคนที่รักเธอ ตอนที่ 1

    ลำดับตอนที่ #1 : ขอเป็นคนที่รักเธอ

    • อัปเดตล่าสุด 7 มี.ค. 50


     ร่างบอบบางที่อยู่ในชุดสีดำทั้งเสื้อผ้าและกางเกงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่วางอยู่ด้านหลังพลางมองหน้าบุพการีทั้งสองอย่างไม่มั่นใจกับคำที่เพิ่งผ่านออกมาจากปากของมารดา ดวงตากลมโตสั่นระริกและมีแววของหยาดน้ำตาคลอคลอง เรียวปากบางเอื้อนเอ่ยแผ่วเบาอย่างไม่มั่นใจ

     “คุณแม่พูดจริงหรือคะ”

     ดาริกามองหน้าบุตรสาวอย่างสงสารด้วยรู้จิตใจของลูกดีว่ารู้สึกและนึกคิดอย่างไร หากก็ไม่มีวิธีอื่น

     “เรื่องจริงจ้ะและแม่ก็ไม่รู้จะปฏิเสธคุณดลยังไง” นางเอ่ยอย่างลำบากใจและหันไปมองสามีก่อนจะตัดใจเดินออกจากห้องและปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของบุตรสาวตามลำพัง แต่หล่อนก็รู้ว่าลูกสาวคงไม่ปฏิเสธเพียงแต่กำลังพยายามทำใจมากกว่า

     “พ่อคะ...” อาริษามองบิดาด้วยแววตาอันปวดร้าว

     เกริกเกียรติต้องตัดใจหันหลังให้บุตรสาวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวและเดินตามภรรยาออกไปทั้งที่ในใจนั้นเจ็บปวดแทนลูกไม่ต่างกัน

     หญิงสาวมองบิดาที่เดินออกไปจากห้องด้วยจิตใจที่หดหู่และเศร้าหมอง

     การแต่งงานกับเขาคนนั้นไม่ใช่เรื่องดีเลย สัญชาตญาณบอกเธอแบบนั้นและรู้ว่าคงไม่สามารถปฏิเสธงานครั้งนี้ได้ ถ้าเพียงแต่เขาจะมีใจเดียวกับเธอก็คงไม่ต้องมารู้สึกเสียใจแบบนี้ ถ้าเพียงแต่คนที่เขารักจะไม่ใช่พี่พลอยที่เสียชีวิตลงพร้อมสามีซึ่งก็คือพี่ชายของเขา การแต่งงานกับเขาคงเป็นเรื่องที่ทำให้เธอมีความสุข หากเมื่อรู้ความจริง ทุกอย่างจึงกลายเป็นเรื่องที่ทำให้เจ็บปวด

     ภาพตรงหน้าดูพร่าเลือนในความรู้สึกของเธอและสิ่งสุดท้ายที่เห็นคือ ผู้ชายคนที่ปักใจรักมานานแสนนานหากเขาไม่เคยรู้ตัวเลยสักครั้ง

     
     ทุกอย่างดูวุ่นวายเมื่อคุณหนูเพียงคนเดียวของบ้านเป็นลมสลบอยู่บนเก้าอี้ยังดีที่ศีรษะไม่ตกกระทบกับพนักเก้าอี้เพราะชายหนุ่มที่เคยมาเยี่ยมเยียนเป็นประจำในบ้านก้าวเข้ามารับไว้ได้ทัน ชายหนุ่มที่เป็นที่หมายปองของสาวๆ ไม่ขาดทุกวัยไม่ว่าจะเป็นรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ หากใจของชายหนุ่มกลับมีเจ้าของที่เข้ามาครอบครองพื้นที่อยู่เต็มหัวใจ เขามองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงกว้างสีฟ้าด้วยสายตาที่ต่างไปจากอดีตในเมื่อตอนนี้ใจเขากลับเต็มไปด้วยไฟที่แผดเผาใจของเขาเองทุกครั้งที่เห็นผู้หญิงคนนี้ คนที่ทำให้อารียาตาย!

     เปลือกตาที่ขยับน้อยๆ บ่งบอกว่าร่างบางกำลังจะตื่นจากการหลับใหลทำให้ชายหนุ่มถอยฉากไปยืนด้านหลังเพื่อให้เจ้าของบ้านทั้งสองได้ดูอาการบุตรสาว เกริกเกียรติลูบศีรษะได้รูปนั้นด้วยความสงสาร มือใหญ่ที่ทะนุถนอมลูกมาอย่างดีอังที่หน้าผากด้วยความเป็นห่วงกับความเครียดที่ฉายอยู่บนใบหน้าของบุตรสาว

     “แพรเป็นไงบ้างลูก” เสียงอบอุ่นที่ถามทำให้เปลือกตาบางขยับเปิด

     ดวงตาโศกมองเพดานเพื่อปรับสายตาก่อนจะหันมามองบุพการีทั้งสองที่มองหล่อนอยู่ หากแล้วดวงตาคู่สวยก็ต้องเบิกกว้างเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นคนที่ไม่อยากเจอที่สุด เพราะเขาได้สร้างแผลใจไว้ให้มากมายเหลือเกิน

     เกริกมองตามสายตาของลูกไปจึงเข้าใจ เขาจึงหันไปดึงตัวภรรยาให้เดินออกไปจากห้องเพื่อให้สองหนุ่มสาวได้คุยกัน โดยเขาไม่รู้เลยว่ากำลังจะปล่อยให้เสือหนุ่มทำร้ายจิตใจลูกสาว

     “ว่าไงแพร สำออยได้ตลอดเวลาเลยนะครับ” ชายหนุ่มว่าก่อนจะก้าวเข้ามายืนข้างเตียงที่หญิงสาวนอนอยู่

     “พี่ดลมาที่นี่ทำไมหรือคะ” หญิงสาวถามเสียงสั่นไม่ปรารถนาที่จะสบตาที่เต็มไปด้วยรอยเคียดแค้น

     ธราดลมองดวงหน้าอ่อนใสที่ไม่มีการแต่งแต้มเครื่องสำอางด้วยสายตาเยียบเย็นทำให้คนถูกมองหวาดกลัว

     “ยังต้องถามอีกรึแพร พี่คิดว่าคุณน้าบอกเธอแล้วเสียอีก”

     เสียงเย็นที่เอ่ยออกมานั้นเขย่าจิตใจของคนฟังให้ผวา  ทว่าหญิงสาวไม่สามารถที่จะอ่อนแอต่อหน้าคนผู้นี้ได้ จึงเสมองไปนอกหน้าต่างก่อนจะเริ่มต้นพูดกับชายหนุ่ม

     “ถ้าเรื่องนั้นละก็ แพรคิดว่าพี่ดลควรจะล้มเลิกเสียดีกว่านะคะ”

     “ทำไม...” เสียงที่ไม่ต่างไปจากประโยคแรกที่เอ่ยออกมาก่อนมือใหญ่จะจับคางร่างบางให้หันมามองตอบ

     “ไม่มีคำตอบค่ะ แต่แพรไม่มีวันแต่งงานกับพี่ดลเด็ดขาด”

     “ทั้งที่พี่รู้ว่าเธอรักพี่น่ะหรือ”

     นัยน์ตาสีเข้มมองชายหนุ่มอย่างตกใจ เขารู้เรื่องนี้ด้วยหรือไม่มีทางเด็ดขาด เขาคงแกล้งหยอกเธอและหวังว่าเธอจะคายความลับเรื่องนี้ออกมาเสียมากกว่าจึงปัดมือชายหนุ่มออกแล้วมองด้วยสายตาแข็งกร้าวก่อนเอ่ยออกไปด้วยเสียงอันมั่นคง

     “ไม่หลงตัวเองไปหน่อยหรือคะ หรือคิดว่าผู้หญิงทุกคนจะต้องตกหลุมรักพี่ แต่แพรเห็นว่าผู้หญิงคนหนึ่งละที่ไม่รักพี่ก็คือพี่พลอยแถมยังทำให้อกหักอีกใช่มั้ยละ” หญิงสาวว่าพลางจ้องตอบสายตาดุดันที่มองมาด้วยความไม่พอใจ

     มือหนาที่วางนิ่งอยู่ข้างกายยกขึ้นบีบไหล่บอบบางอย่างแรงจนอาริษาต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ แต่นอกเหนือไปจากความเจ็บทางกายแล้วหญิงสาวยังรับรู้อีกว่าในใจนั้นเจ็บยิ่งกว่า ราวกับมีเข็มนับพันเล่มแทงอยู่ตรงหัวใจ มันถึงได้เจ็บปวดถึงขนาดนี้

     “เธอกล้ามากนะที่พูดเรื่องนี้ แต่เธอคงไม่รู้ว่าที่พี่ขอเธอแต่งงานก็ไม่ใช่เพราะพี่รักเธอแต่พี่ทำเพื่อแก้แค้นให้พลอยต่างหาก”

     “หึ... งั้นพี่คงต้องเสียใจเพราะเรื่องนี้แพรทราบอยู่แล้ว แต่พี่ลืมพี่กรไปหรือเปล่าคะ เขาเป็นพี่ชายของพี่แถมยังเป็นสามีของพี่พลอยด้วยนะ กรุณารำลึกไว้ด้วยว่าคนที่พี่รักเขามีเจ้าของอยู่แล้วค่ะ พี่ไม่จำเป็นต้องมาเดือดร้อนแทนคนที่เขาไม่รักพี่หรอกนะ” หญิงสาวว่าเข้าให้อย่างเจ็บแสบก่อนจะผายมือไปทางประตูเป็นการบ่งบอกว่าเขาควรจะออกไปจากห้องนี้ได้แล้ว

     ชายหนุ่มยิ้มเหยียดและบอกหญิงสาวเป็นนัยว่าเรื่องนี้ไม่มีทางจบลงง่ายๆ อย่างแน่นอน

     “อ้อ...พี่ลืมเตือนเธอไปอย่าง หวังว่าเธอคงไม่ลืมนะว่าใครเป็นคนที่ทำให้พลอยกับพี่กรต้องตาย”

     ชายหนุ่มหันมาทิ้งท้ายก่อนเดินออกไปจากห้องด้วยท่าทางของผู้ชนะ ส่วนผู้ที่ปราชัยนั้นหลังประตูบานใหญ่ปิดลงทำนบที่กั้นไว้นานก็เป็นอันพังทลาย หยาดน้ำตากลิ้งหล่นร่วงแตะผิวแก้มใสที่บัดนี้กลับซีดลงชัดตา หญิงสาวสะอื้นจนตัวโยนเมื่อหวนรำลึกถึงเหตุการณ์อดีตอีกครั้ง ความทรงจำไหลทะลักเข้ามาให้หญิงสาวต้องเจ็บปวดอีกครั้ง ความจริงที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้และหนึ่งในผู้ที่ไม่สมควรรู้ความลับนั้นก็คือธราดล...


     “ตาดลน้องเป็นยังไงบ้างลูก” ดาริการอฟังคำตอบด้วยจิตใจที่เป็นห่วงลูกสาวคนเล็ก

     “ก็คงสบายดีแล้วล่ะครับคุณน้าถึงขนาดเถียงผมได้ฉอดๆ”

     ดาริกาและเกริกเกียรติถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อทราบอาการของบุตรสาว ก่อนจะนึกได้ถึงเรื่องที่ค้างคาอยู่และชายหนุ่มนั้นก็ราวกับนกรู้จึงพูดขึ้นมาเสียก่อน

     “ส่วนเรื่องแต่งงานผมคิดว่าคงไม่ต้องแล้วล่ะครับ เพราะเมื่อครู่ผมพูดกับแพรแล้วเธอปฏิเสธผมเด็ดขาด” ธราดลว่าด้วยท่าทางสบายๆ พร้อมกับยิ้มน้อยๆ ให้ผู้เป็นน้าได้สบายใจ

     นางจึงได้ถอนหายใจอีกรอบด้วยภูเขาที่หนักอกอยู่หลายวันได้ถูกยกออกไปแล้ว

     “ดลคงไม่ถือสาน้องใช่มั้ยลูก”

     ชายหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ ก่อนขอตัวกลับก่อนโดยอ้างว่าติดธุระด่วน เมื่อร่างสูงเดินออกไปแล้วเกริกเกียรติก็รีบเข้าไปหาลูกสาวด้วยความเป็นห่วง หลังบานประตูใหญ่นั้น สิ่งที่ประมุขของบ้านเห็นคือร่างสั่นเทาของลูกน้อยที่โอบกอดตัวเองแน่นราวกับได้เพิ่มเกราะกำบังชิ้นใหญ่

     “แพรร้องไห้อีกแล้วหรือลูก”

     เสียงอ่อนโยนที่ดังนำมาก่อนทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง ดวงหน้าหวานที่เต็มไปด้วยน้ำตาทำให้ผู้ที่ผ่านชีวิตมามากรีบก้าวเข้าไปหาและโอบกอดลูกสาวเอาไว้ด้วยพอจะรู้จิตใจของหนุ่มที่เพิ่งจะขอตัวออกไปจากบ้านดี ว่าเจ็บปวดเพียงไหนกับการจากไปของอารียาลูกสาวคนโต ดวงตาที่เริ่มพร่ามัวเพราะอายุมากขึ้นมองโลกของคนหนุ่มสาวแล้วก็ได้แต่หนักใจ จิตใจของบุตรสาวคนเล็กนั้นตอนนี้คงยิ่งกว่าคำว่าชอกช้ำ

     “คราวนี้พี่เขาพูดอะไรกับลูกอีกล่ะ”

     เสียงที่เอ่ยถามนั้นอ่อนโยนและเข้าใจในตัวบุตรสาวดี นั่นทำให้อาริษายิ่งร้องไห้ออกมาไม่หยุดและกลับไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ อีกครั้งที่คนเป็นพ่ออย่างเขาต้องกางปีกออกปกป้อง

     “ช่างมันเถอะค่ะพ่อ... แพรจะพยายามลืมให้หมด...” หญิงสาวบอกกับอกอันอบอุ่นของบิดาก่อนจะสะอื้นไห้อย่างรุ่นแรงและนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะร้องไห้ให้กับความเสียใจเพราะผู้ชายคนนี้ คนที่ไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตาเลย

     มือใหญ่ลูบศีรษะลูกสาวอย่างเจ็บปวดยิ่งกว่ากับความดีของลูกสาวคนนี้ที่มีแต่ความเสียสละให้กับพี่สาวและไม่เคยคิดจะเปิดเผยความลับให้พี่ต้องมัวหมอง ถ้าเพียงแต่อารียาจะคิดถึงผลที่ตามมาสักนิดเรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นแต่เขาก็รู้ดีว่า แม้อารียาจะยังมีชีวิตอยู่แต่ธราดลก็คงไม่ยอมหันมาเหลือบแลลูกสาวคนเล็กของเขาอยู่ดี

     “เวลาจะทำให้แพรลืมนะลูก” เสียงพร่าที่เอ่ยออกมานั้นทำให้อาริษายังรู้ว่าอย่างน้อยบนโลกนี้ก็ไม่เลวร้ายนักเพราะยังมีคนถึงสองคนที่รักและเป็นห่วงเธอตลอดเวลารวมถึงร่วมเป็นทุกข์ไปกับเธอด้วย

     ดาริกาที่มองสองพ่อลูกกอดกันก็ถึงกับร่ำไห้ก่อนเดินเข้ามาร่วมกอดกันพ่อแม่ลูก สร้างความซาบซึ้งใจให้กับคนรับใช้ในบ้านที่รู้ความเป็นไปภายในบ้านตลอด


     สองอาทิตย์ผ่านไป...

     บ้านใหญ่ไร้วี่แววของผู้ที่เคยมาเยี่ยมเยียนเป็นประจำ หากก็ไม่มีใครคิดจะเอ่ยนามของชายหนุ่มผู้นี้เช่นกันด้วยรู้ดีว่าจะเป็นการเปิดปากแผลของคุณแพรผู้เป็นที่รักของคนในบ้านทุกคน ดวงตาสีนิลที่ตอนนี้ทิ้งไว้ก็แต่เพียงความโศกเศร้านั้นมองผ่านบานหน้าต่างสีขาวไปสู่บรรยากาศรอบบ้านที่ร่มรื่นเพราะต้นไม้ที่ปลูกไว้ทั่วสร้างความสดชื่นให้กับช่วงเวลาเช้าอย่างนี้ยิ่งนัก เสียงโวกเวกที่ดังมาจากด้านล่างทำให้หญิงสาวยิ้มออกมา ก่อนจะหมุนกายกลับเดินออกไปจากห้องนอนอันเป็นอาณาเขตส่วนตัว

     ร่างโปร่งที่ยืนอยู่กลางห้องรับแขกทำให้ใบหน้าหวานฉีกยิ้มกว้างทำให้ทั้งบ้านรับรู้ถึงความสดใสที่กลับมาอีกครั้ง

     “ลิลกลับมาเมื่อไรนี่ทำไมไม่เห็นโทรมาบอกกันบ้างเลย” ร่างบางวิ่งเข้าไปกอดร่างโปร่งที่อ้าแขนออกรับ

     “ก็เพิ่งกลับมานี่แหละ ว่าแต่แพรซูบไปหรือเปล่านี่” ภวินตราว่าพลางดึงตัวร่างบางออกและหมุนเพื่อนสาวจนคนถูกหมุนทำท่าจะเวียนหัวเอา

     หญิงสาวยิ้มกว้างเมื่อเพื่อนมองเธอด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ก่อนเอ่ยเสียงหวานอย่างออดอ้อนพลางทรงตัวให้อยู่

     “ก็ซูบลงน่ะสิเพราะเราน่ะคิดถึงลิลที่ไม่ยอมส่งข่าวกลับมาหาเราเลย ปล่อยให้เป็นห่วงตั้งนาน”

     “ปากหวานนะจ๊ะคนเนี้ย”

     เจ้าของทรงผมซอยสั้นตามสมัยนิยมเอ่ยกลั้วหัวเราะก่อนลูบหลังร่างบางอย่างพอจะรู้ตื้นลึกหนาบางดี มือเรียวดึงร่างบางออกน้อยๆ เมื่อเห็นผู้ที่มาปรากฏกายอยู่ในห้อง ก่อนยกมือพนมขึ้นไหว้อย่างกุลสตรีที่ทำเอาเพื่อนที่คอยมองอยู่ต้องอึ้งไปกับความมีมารยาทของสาวลูกครึ่งคนนี้

     “โอ้โห...เจอกันกี่ครั้งก็มารยาทงามเหมือนเดิมน้า...ลิล” ร่างบางเอ่ยล้อก่อนหลบฝ่ามือเพื่อนเป็นพัลวัน สุดท้ายก็รีบวิ่งไปหลบหลังบิดาที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องด้วยสงสัยกับเสียงหัวเราะอันสดใสของบุตรสาว

     ภวินตรามองเพื่อนอย่างหมั่นไส้ที่ช่างหาที่กำบังได้ยอดเยี่ยมจริงๆ เพราะทำเอาเธอต้องเบรกแล้วหัวเราะเสียงแห้งด้วยเกรงใจผู้ใหญ่ ซึ่งร่างบางที่เห็นว่าตัวเองปลอดภัยจึงยอมก้าวออกมายืนข้างคุณเกริกเกียรติหากก็ยังยึดพ่อไม่ห่างจนคนที่ถูกยึดต้องยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู

     ดาริกาที่มองอยู่นานก็ต้องพลอยยิ้มตามไปด้วย นัยน์ตาสีอ่อนมองลูกสาวที่ขาดรอยยิ้มมาหลายวันอย่างดีใจพลางนึกในใจอย่างมาดมั่นว่าคงต้องให้ภวินตรามาที่บ้านทุกวันเสียแล้วเพื่อเรียกความเข้มแข็งของอาริษากลับมา

     “ฉันยอมแพ้แล้วล่ะลิลอีกอย่าง...”

     ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้เอ่ยออกมาเสียงเล็กๆ ที่ร้องออกมาบ่งบอกว่าความหิวกำลังเข้าเล่นงานก็ทำให้ทุกคนต้องหัวเราะออกมาอย่างปิดอาการขันไม่อยู่ ขณะที่เจ้าของเสียงร้องก็ยิ้มขวยเขินและบิดกายไปมาสุดท้ายก็ต้องเข้าไปซุกหลังบิดาเหมือนเดิม จนคนที่มองอยู่ต้องยิ้มออกมาอีกครั้งกับความไร้เดียงสาของร่างบาง

     “หิวก็ไม่บอกแต่แรกนะลูกฉัน” ดาริกาเอ็ดลูกสาวก่อนจะพาเดินจูงมือออกไปจากห้องทั้งที่ยังหัวเราะอยู่จนลูกสาวถึงกับค้อนใส่

     “คุณแม่ก็พลอยหัวเราะแพรไปด้วยหรือคะ” หญิงสาวว่าและมองหน้ามารดาด้วยสายตาคาดคั้น

     “โธ่...แม่ไม่ได้หัวเราะแพรหรอกจ้ะ นู่น...แม่หัวเราะเจ้าลิลที่ช่างทำเรื่องขายหน้าไปได้” แม้จะปฏิเสธแต่ยังไม่วายพาดพิงถึงนั่นทำให้ใบหน้าหวานงอหงิก

     “อ่าๆๆๆ โตป่านนี้ยังขี้งอนไม่หายอีกนะแพร” เสียงที่ดังเข้ามาทำให้ร่างบางหันไปค้อนตามทิศเจ้าของเสียงก่อนทำหน้าง้ำมองอาหารบนโต๊ะอย่างหมดอารมณ์รับประทานไปเสียดื้อๆ ทั้งที่เมื่อครู่ท้องยังร้องประท้วงอยู่

     “อ้าวนั่นแล้วก็ไม่ทานมันซะอย่างนั้น ใช้ได้ที่ไหนกันเล่า ยิ่งผอมอยู่เพื่อนฉัน” ร่างโปร่งว่าอย่างล้อๆ และเอื้อมตัวจากฝั่งตรงข้ามมาหั่นไส้กรอกบนจานให้เป็นชิ้นก่อนจะใช้ส้อมจิ้มแล้วไปจ่อที่ริมฝีปากบางนั้นอย่างบังคับในที

     อาริษายอมเปิดปากแต่ขณะที่กำลังจะได้งับไส้กรอกชิ้นพอดีคำนั้น ภวินตราก็จัดการดึงออกมาและโยนเข้าปากตัวเองเป็นการแกล้งให้หัวเสียเล่น

     “ลิล...” เสียงที่เรียกนั้นกระเง้ากระงอดชวนให้ทุกคนต้องหัวเราะออกมาอีกครั้งและตลอดเวลาอาหารช่วงเช้า ทั้งโต๊ะก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มทุกครั้งที่อาริษาแสดงอารมณ์ต่างๆ ออกมา

     หลังอาหารเช้าที่พาให้ทั้งบ้านกลับมาสดใสอีกครั้งแล้วนั้น ทั้งครอบครัวรวมถึงแขกผู้มาเยือนก็ย้ายตัวเองเข้ามาในห้องนั่งเล่นอันเป็นอาณาเขตที่ทุกคนล้วนมีกิจกรรมส่วนตัวทั้งสิ้น

     สองประมุขของบ้านนั่งอยู่มุมหนึ่งเพื่อไม่เป็นการเข้าไปเป็นส่วนเกินของสองสาวที่ไม่ได้พบกันมาหลายวัน แต่ก็มีเรื่องราวมากมายมาเล่าสู่กันฟัง ขณะที่สองสาวก็นั่งแยกออกมาทางมุมหนึ่งเพื่อคุยกันได้สบายขึ้น ร่างโปร่งมองหน้าเพื่อนด้วยความอยากรู้อยากเห็นกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น หากคนตรงหน้ากลับเงียบและนั่งคุมเชิงราวกับรู้ตัวว่ากำลังจะเข้าสู่ลานพิพากษา

     “ไหนเล่ามาให้เราฟังหน่อยได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ผู้ทำการพิจารณาคดีว่าเสียงเครียดและจ้องตาเพื่อนนิ่งเพื่อหวังจะจับพิรุธ

     ดวงตาสีนิลก็มองจ้องตอบอย่างแน่วแน่ ครู่หนึ่งที่ภวินตราเห็นแววหวั่นในแววตา หากก็เพียงครู่เดียวจริงๆ เพราะหลังจากนั้นก็กลับมาเป็นปกติแถมยังเริ่มต้นหลอกล่อหล่อนให้ออกนอกเรื่องอีกด้วย

     “อะไรกันลิล แทนที่กลับมาจะเอาของมาฝากกลับมาถามเรื่องอะไรก็ไม่รู้” อาริษาว่าเข้าให้จนร่างโปร่งต้องควักของที่เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงรอคนขี้งกทวง

     กล่องสีน้ำเงินขนาดเล็กเหมาะมือถูกหยิบออกมาอย่างทะนุถนอมแล้วยื่นไปให้คนตรงหน้าอย่างประชดประชัน ดวงตาสีฟ้าราวน้ำทะเลนั้นจ้องเพื่อนนิ่งอย่างเอาเรื่อง

     “นี่ไง ฉันก็ว่าอยู่ว่าหล่อนน่ะต้องทวงฉันแน่แล้วมันผิดเสียที่ไหน”

     มือบางรับมาถือไว้ก่อนเปิดดูสิ่งที่อยู่ข้างไหน

     “อะไรเข็มกลัดอีกแล้วหรือ” หญิงสาวอุทานเกินจริงจนคนให้เกิดหมั่นไส้ต้องยึดกลับมา

     “ไม่อยากได้ก็ไม่ต้องเอามีคนอีกตั้งมากที่อยากได้อันนี้ ฉันรึอุตส่าห์แยกออกมาเพื่อแกคนเดียว” หญิงสาวว่าอย่างเง้างอด พยายามไม่หลุดหัวเราะออกมาเมื่อคนตรงหน้าหน้าเสีย

     “โธ่...ลิลเราแค่ล้อเล่นเองอย่าโกรธไปเลยนะ ไหนดูซิเข็มกลัดลายอะไรเมื่อกี้เรายังเห็นไม่ชัดน่ะ” ร่างบางเอ่ยก่อนจะดึงของที่อยู่ในมือเพื่อนมาพิจารณาอย่างตั้งใจอีกครั้ง

     ภวินตรามองท่าทางที่แสดงออกมานั้นอย่างหนักใจเพราะหลังจากเธอกลับไปแล้วเพื่อนเธอจะมีอาการอย่างไร หญิงสาวหันไปมองบุพการีของเพื่อนสาวที่คอยมองอยู่ตลอดอย่างหนักใจที่ต้องมารับภาระอันยิ่งใหญ่นั่นคือล้วงความลับออกมาจากปากคนปากแข็งคนนี้

     “จะบอกเราได้หรือยังแพรว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เสียงที่ถามขึ้นอย่างไม่ให้เพื่อนได้ตั้งตัวอีกครั้งทำให้อาริษาถึงกับสะดุ้ง ต้องเสกลบเกลื่อน

     “ลายน่ารักจังเลยนะลิลซื้อมาจากร้านไหนน่ะเผื่อวันหลังเราไปจะได้ไปซื้อมาฝากคนอื่นบ้าง” เอ่ยทั้งที่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองคนถาม

     “แพรจะหลอกคนอื่นก็หลอกได้นะแต่สำหรับฉันที่รู้ตื้นลึกหนาบางดี ถ้ามีอะไรก็เล่าให้เราฟังสิ ใช่ว่าเราจะไม่รู้เรื่องของพวกแกสองพี่น้องเสียเมื่อไรกัน” เสียงเข้มที่เอ่ยออกมาพุ่งเข้าสู่กลางใจที่บอบบางอยู่แล้วอย่างจัง

     เมื่อถูกดึงให้กลับไปนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้งก็ทำให้น้ำตาลพานจะไหลออกมาอีกครั้ง ทั้งที่ปฏิญาณกับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่เสียใจกับเรื่องนี้อีก ในที่สุดร่างบางก็ยอมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนทั้งที่ตาเริ่มจะกลายเป็นกระต่ายไปอีกครั้ง

     ภวินตราเอื้อมมือไปดึงร่างของเพื่อนสาวมากอดไว้แน่นเป็นการให้ขวัญและกำลังใจ

     “มันเจ็บนะลิล เจ็บมากและไม่อยากไปนึกถึงอีก”

     “ฉันรู้ แต่แพรก็ต้องเข้าใจนะว่าทุกคนเขาเป็นห่วง”

     ร่างบางสะอื้นออกมากับไหล่ของเพื่อน สุดท้ายทำนบที่กั้นมาหลายวันก็พังทลายออกมาอีกครั้ง... ครั้งแล้ว...ครั้งเล่า...

     เวลาผ่านไปนานจนคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่นั้นแทบจะขาดใจตามไปด้วย เมื่อเห็นลูกสาวร้องไห้ออกมาปิ่มว่าจะขาดใจตาย ร่างบางที่สั่นราวกับลูกนกแรกเกิดทำให้ทั้งสองอยากเข้าไปปลอบประโลมบุตรสาวแต่รู้ว่าเวลานี้ยังไม่ใช่ของพวกเขา หากเป็นหน้าที่ของเพื่อนที่สนิทที่สุดที่คงสื่อกันได้มากกว่าพวกเขา

     อาริษายอมผละออกมาจากร่างโปร่งหลังจากปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย

     “แพรรู้ว่าทุกคนเป็นห่วงแพร แล้วก็รู้ความจริงกันอยู่แล้ว แต่เขาไม่รู้นี่คะเพราะฉะนั้นก็ปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นไปดีแล้วล่ะค่ะ แพรไม่อยากให้เขามาเจ็บปวดเพราะคนที่เขารักที่สุด” หญิงสาวว่าทั้งจมูกแดงๆ และเดินไปซบลงกับไหล่บิดาที่เป็นที่พักพิงของหล่อนเสมอ

     ดาริกาและเกริกเกียรติได้แต่นึกเศร้าในใจว่าทำไมลูกสาวสองคนถึงแตกต่างกันได้ถึงเพียงนี้ ถ้าเพียงอารียาจะนึกถึงน้องสาวให้มากกว่านี้ไม่นึกถึงแต่ความทุกข์ของตัวเองและอีกสารพัดอย่างที่คนเป็นพี่เอาแต่สร้างความเดือดร้อนให้กับน้อง ถ้าเขาทั้งสองให้ความสนใจกับอารียาและสนใจความรู้สึกของลูกเขยให้มากกว่านี้ทุกอย่างมันอาจจะไม่จบลงแบบนี้ ความรักแบบวนเวียนนี้ก็จะจบลงอย่างมีความสุขกว่านี้

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×