หัวใจที่หายไป กับชีวิตที่เหลือแต่เงา - หัวใจที่หายไป กับชีวิตที่เหลือแต่เงา นิยาย หัวใจที่หายไป กับชีวิตที่เหลือแต่เงา : Dek-D.com - Writer

    หัวใจที่หายไป กับชีวิตที่เหลือแต่เงา

    คุณเคยมีแฟนครั้งแรกเมื่อไหร่ และความรักครั้งนั้นสิ้นสุดเพราะเหตุใด แล้วใครคือคนที่ทำให้มันจบ ถ้าคุณเป็นคนที่ทำให้ความรักนั้นมันจบลงด้วยตนเอง และความรักที่มีอยู่มันไม่จางหายไปไหน เเล้วคุณจะทำอย่างไร

    ผู้เข้าชมรวม

    195

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    195

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 ส.ค. 53 / 22:25 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ชีวิตจริง มันไม่เคยจบลงเหมือนในนิยาย

    หากความรักที่คุณมีอยู่ทุกวันนี้คือความรักครั้งแรกที่จบลงด้วยน้ำมือของคุณเองโดยที่ความรักที่มีอยู่นั้นไม่เคยจางหายไป แม้แต่วินาทีเดียว เป็นดั่งเงาตามตัวคุณเสมอมา

    คุณจะรู้สึกอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไข วันที่คุณทำให้เธอเสียใจ

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
       รู้หรือไม่ว่าผมรักคุณมากแค่ไหน
      แต่สิ่งที่ผมทำไป มันไม่ใช่ความหมายที่ผมอยากบอกคุณเลย

            ผมชื่อต้อง ผมเกิดมาน่าตาก็ดีพอไปวัดไปวาได้ ถ้าพูดถึงเรื่องการเรียนหรอ เข้าขั้นเก่งเลย แต่ในความเก่งนั้นไม่ได้มาจากพรสวรรค์หรือหัวดีอะไรเลย เพียงเเต่มาจากความขยันเรียนที่มีอยู่ในทุกตอน ทำไมถึงขยันนะหรือ เพราะผมไม่มีเพื่อนเลยนะสิ ผมเป็นคนพูดไม่เก่งเป็นอย่างมาก กีฬาทุกประเภทก็ไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง ทุกวันที่มาโรงเรียน ก็มานั่งเรียนหนังสือในห้องตรงข้างหลังสุดของแถว กลางวันก็ไปกินข้าวในโรงอาหารคนเดียว ตอนเย็นก็กลับบ้านโดยไม่มีใครกลับเป็นเพื่อนเลยสักคน ชีวิตที่เป็นอยู่นี้กฏถูกดำเนินไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด ผมก็เลยไม่รู้ว่า ความเหงานั้น มันคืออะไร และเพื่อนหละมีไปเพื่ออะไร จิดใจที่มีอยู่ก็เย็นชาจนกลายเป็นความชินชาที่คิดว่าคงไม่มีทางรักษาได้อีกเเล้ว 

           กาลเวลาผ่านไปจนผมได้เรียนถึงชั้นมัธยมปีที่ 2 ผมได้ถูกย้ายมาห้องคิงสายศิลป์ ด้วยเกรดที่สวยงาม ( นั้นคือ 4.00 )ด้วยเหตุผลที่ไม่ค่อยสวยงามสักเท่าไหร่ เมื่ออาจารย์เรียกให้คนที่ได้เกรด 4.00 ไปเล่าถึงวิธีการทำให้ได้เกรดเช่นนี้ได้ ผมพยายามลุกขึ้นจากที่นั่งของผมที่อยู่ท้ายสุดของห้องเหมือนทุกครั้ง แต่ผมก็ต้องรีบนั่งกลับที่เดิม เมื่อคนที่นั่งอยู่ข้างหน้ากำลังลุกขึ้นไปหน้าห้อง เป็นผู้หญิงที่หน้าตาน่ารักคนนึง เดินไปหน้าห้องและพูดขึ้นว่า "ก็ไม่ได้ทำอะไรมากหรอกค่ะ แค่ตั้งใจฟังครูสอน ทำการบ้านที่ครูให้ด้วยตนเอง และทำงานส่งทุกครั้งเท่านั้นค่ะ" ผมมองเธออย่างสงสัย เมื่อเธอคนที่ยืนอยู่หน้าห้องเป็นคนที่เรียนวิชาเกษตร ซึ่งเป็นวิชาเลือกที่ผมเลือกตอน ม.1 นี่นา แต่ผมก็ไม่เคยคุยกับเค้านะ แค่เคยเห็นหน้า 
       
          เมื่อเค้าพูดจบ เธอก็เดินกลับมาที่นั่ง พร้อมกับความภาคภูมิใจ ผมนะหรอ รู้สึกโล่ง นึกว่าจะโดนเรียกไปพูดหน้าห้องซะแล้ว แต่แล้วความโล่งนั้นก็หายไปทันทีเมื่อมีคนในห้องที่รู้จักผมบอกอาจารย์ว่าผมก็ได้ 4.00 เหมือนกัน ผมก็งงสิ อยู่ดีๆ มีคนจำเกรดผมได้ด้วย ผมก็ต้องจำยอมไปพูดหน้าห้อง ด้วยความตื่นเต้น เพราะเป็นคนพูดไม่เก่งเเละไม่ได้เตรียมบทอะไรไป ผมก็เลยพูดตรงหน้าห้องว่า "ผมก็ใช้วิธีเดียวกันกับคนเมื่อสักครู่ละครับ" พร้อมกับยิ้มๆ และรีบกลับเข้าที่นั่งทันทีเพราะไม่รู้จะพูดอะไร เเต่ตอนขากลับไปนั่งที่สิ คุณ 4.00 ฝ่ายหญิงก็จ้องผมสิ คงคิดมั้งว่า ได้เกรด 4.00 เทือบรัศมีเธอรึ แถมยังก้อปคำพูดแบบตรงๆ อีกอย่างไม่ขอลิขสิทธิ์ มีแต่เครดิตหรืออ้างอิงถึงเท่านั้น ผมก็รีบกลับที่นั่งสิครับ กลัวมีสงครามเกิดขึ้นก่อนได้เรียน

          ตอนพักกลางวันผมไปกินข้าวคนเดียวเหมือนเดิม ไม่ได้ชวนใครมากินข้าวเหมือนเดิม และนั่งกินข้าวที่โต๊ะเดิมในโรงอาหารที่เดิมเหมือนเดิมของทุกๆ วัน  แต่วันนี้เริ่มมีความแปลกใหม่เกิดขึ้นอย่างนึง สาวน้อย 4.00 ผู้แค้นอาฆาตผม (หรือเปล่า?) ยืนตรงหน้า และขอนั่งด้วย และเหตุผลที่ขอนั่งด้วยคือเพื่อนของเธออยู่ห้องอื่นและพวกเพื่อนๆตัวดี ไปนั่งกับเพื่อนของเค้าหมดแล้ว อ้าว ผมก็ทำอะไรไม่ถูกสิไม่เคยมีใครมานั่งด้วย ปฏิเสธไปก็น่าเกลียด ผมก็เลยให้เธอนั่งด้วย และถามชื่อเธอ เธอชื่อแบม แต่กินไปต่างก็เงียบใส่กัน ผมไม่รู้จะพูดอะไรกับเธอดี เพราะพูดไม่เก่งเป็นทุนเดิมอยู่เเล้ว แถมยังมีสาวบ้าคะแนนมานั่งอยู่ตรงข้ามอีก ผมกินเสร็จผมก็รอเธอกินจนหมดเเล้ว ผมก็พยักหน้าเป็นสัญญาณว่าให้ไปเก็บจานด้วยกัน จากนั้นก็กลับไปที่ห้องเรียนเลย ต่างคนจะได้ต่างไปทำภาระกิจของตัวเอง และไม่ได้คุยกันอีกจนหมดวัน 

          เมื่อถึงวันต่อมา ผมไม่อยากกินข้าวกับเธออีก เพราะมันไม่ชิน กินข้าวกัน 2 คนขึ้นไป มันเป็นเรื่องเเปลกสำหรับผมมาก ตอนพักกลางวันผมก็รีบออกจากห้องไปขลุกที่ห้องสมุดสักพัก แล้วค่อยออกมากินข้าวคนเดียวเหมือนเดิม ได้ผลเเหะ ได้นั่งกินข้าวคนเดียวเหมือนเดิมจนได้ ผมก็ขอใช้แผนนี้ต่อไปเรื่อยๆแล้วกัน อิอิ แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป วันรุ่นขึ้นเธอคงรู้แกวผม พอถึงตอนพักกลางวันเธอก็ไปกับผมเลย งงสิครับ ไม่ชินคูณ 2 เพราะไม่เคยเดินกับใครอีก ผมก็อยากหนีอยู่นะ แต่ไม่รู้ทำไมผมก็ต้องยอมเธอและไปกินข้าวด้วยกัน และหลังจากวันนั้น ผมก็ไปกินข้าวกับเธอสองคนทุกๆ วัน จนเทอมนึงผ่านไป กลุ่มที่นั่งกินข้าวด้วยกันก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็น 6 - 7 คนเลย ผมก็เริ่มชินเเล้วครับกับการกินข้าวอย่างนี้ 

         ไม่ใช่เเค่กินข้าวตอนกลางวันเท่านั้น เธอยังเป็นคู่ทำงานผมทุกงาน ทั้งงานคู่ งานกลุ่ม หรืองานห้อง ถ้ามีเธอ ผมก็ต้องไปช่วยด้วย แถมก็พึ่งรู้ว่าสตรีผู้นี้กลับบ้านทางเดียวกับผม เค้าก็ขอกลับด้วยทุกวัน ที่แปลกที่สุดคือการโทรศัพท์ของผมที่ไม่เคยคิดว่าจะได้คุยกับใครทางโทรศัพท์นอกจากพ่อแม่เลยนะ เธอทำให้ผมอยากยกหูโทรศัพท์ไปคุยกับเธอ ถึงแม้บางทีแค่โทรไปพูดแค่คำว่า ฮัลโหลและต่างฝ่ายต่างเงียบไม่มีอะไรพูดก็ตาม เธอก็ไม่เคยวางสายผมเลยนะ ก็ยังยกหูโทรศัพท์ต่อไปและพยายามบอกผมว่าคุยอะไรมาก็ได้อย่าเงียบสิ

        กาลเวลาผ่านไปจนถึง ม.3 อย่างรวดเร็ว ผมก็ยังได้เรียนกับเธอในห้องเดียวกัน ทุกอย่างต่างก็เหมือนเดิม ผมก็ยังคิดว่าเธอเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน จนเวลาผ่านไปใกล้จบ ม.3 ก็มีการเลือกสายวิชาขึ้น เธอก็บอกกับเพื่อนของเธอที่กำลังจะเลือกสายวิชาว่าจะเรียนสายวิชาไหนอยู่ว่า "นี่เธอ ถ้าอยากเรียนอะไรนะก็เลือกไปเลย อย่าตามเพื่อนคนอื่นนะ เพื่ออนาคตของตัวเอง แม้บางทีจะต้องย้ายไปเรียนคนละสาย ไปเรียนกันคนละห้อง ถึงแม้จะไม่ได้เจอ หรือว่าจะไม่ได้คุยเหมือนเเต่ก่อน แต่ว่า แต่ว่า ............"  เธอก็ปล่อยโฮออกมาและกอดคนที่เธอคุยด้วยและร้องต่อไป ผมนั่งอยู่อีกด้านนึงเขียนเฟรนชิฟอยู่ก็นั่งอึ้งๆ ไป ไม่เคยเห็นเธอเป็นอย่างนี้มาก่อน แต่ก็ไม่กล้าไปปลอบแหะ ได้เเต่นั่งดูจนเธอหยุดร้อง 

        เย็นวันนั้น ผมกลับบ้านกับเธอ เธอก็พูดขึ้นว่า "รู้รึเปล่าเมื่อเช้าเค้าร้องไห้ด้วยนะ" ผมก็พยักหน้าตอบ "รู้มั้ยฉันร้องเพราะใคร" ผมก็นิ่งๆ ผมไม่กล้าฟันธงว่าเธอหมายถึงผม ต่างคนต่างเงียบจนผมลงจากรถเเละเดินกลับบ้าน

        หลังจากนั้น ผมก็ต่อ ม.ปลาย ที่เดิม ผมก็ได้เลือกเรียนสายวิทย์-คณิต ซึ่งเป้นสายที่ผมคิดว่าคงไปได้ แต่สาวแบมทางบ้านอยากให้เรียนสายศิลป์ คำนวนต่อไป แม้จะมีการเปลี่ยนสายมาเป้นสายวิทย์-คณิตด้วยตนเองเพื่ออยากเรียนห้องเดียวกับผมก็ตาม แต่เธอก็ต้องย้ายกลับไปที่สายศิลป์ คำนวนเหมือนเดิม เพราะเธอถูกย้ายไปที่ห้องคิงของสายวิทย์ เเต่ผมถูกดีดมาห้องควีนซะงั้น เพราะคะเเนนเธอสูงกว่าผมตอนสอบเลือกห้องอะครับ ย้ายไม่ได้ด้วย ทำให้สุดท้ายเธอกับผมไม่ได้อยู่ด้วยกัน และต่างคนต่างแยกทางกันไป

        หลังจากที่ผมเรียนไปสักประมาณ อาทิตย์นึง ความเหงาเเปลกๆ ที่ไม่เคยเกิดมาเป็นเวลานานมากเเล้วก็กลับมาเยือนหัวใจผม ไม่มีเธอที่กินข้าวด้วยกันเหมือนสมัยก่อน ไมมีเธอกลับบ้านเหมือนเก่า ไม่มีเธอมาทำงานอยู่ในกลุ่มเเล้ว ผมก็รู้สึกโหว่งๆ อยากรู้จังว่าผมเป็นอะไรกันแน่ ยิ่งได้ยินว่ามีคนจีบเธอด้วย ผมก็แทบบ้า กินไม่ได้นอนไม่ค่อยจะหลับ (แต่ก็หลับนะตอนหัวถึงหมอนสักครึ่งชั่วโมงเเล้ว ) คิดเเต่เรื่องของเธออยู่เสมอ ผมทนไม่ได้กับความรู้สึกนี้ ผมก็เลยโทรไปหาเธอตอนเย็นของวันนั้นซึ่งเป็นที่มีการเรียนพอดี ถามว่าเธออยู่ไหน เธอก็ตอบว่ากลับบ้านเเล้ว ผมก็โกรธเธอมากทำให้ผมขึ้นเสียงกับเธอ "ทำไมอะ" เธอตอบมาด้วยน้ำเสียงโกรธๆ เหมือนกัน "แล้วทำไมไม่บอกละว่าอยากกลับด้วยกัน เราเรียนเสร็จเร็วกว่าเธอทุกวันนะอยากให้รอก็บอกสิ" ผมก็งงสิครับ ผมน่าจะเป็นคนรู้สึกโกรธนะที่เธอไม่รอผม แต่ทำไมเธอโกรธมากกว่าผมเยอะขนาดนี้นะ ผมก็ยิ้มๆนะ "งั้นพรุ่งนี้รอด้วยนะ" ผมพูดเชิงขอร้องไปพร้อมกับยืนยิ้มๆอยู่ที่ตู้โทรศัพท์ที่ผมโทรหาเธออยู่ "อืม...." เธอก็วางสายไป ผมก็ยิ้มออกครับ ดีใจจนอยากกระโดดไปกอดคนข้างๆ เลย วันต่อมาเธอก็กลับบ้านกับผมด้วยเหมือนเก่า แม้ตอนกลางวันเธอไปกินข้าวกับเพื่อนของเธอก็ตาม เเต่อย่างน้อยๆผมก็ได้บางสิ่งที่สำคัญคืนกลับมา คือการได้กลับบ้านกับเเบมนี่เเหละ ผมดีใจทีสุดเลย ทุกวันผมก็ต้องโทรไปหาเธอ คุณเรื่อยไร้สาระเหมือนกับวันที่เราเคยอยู่ในห้องเดียวกัน แต่คราวนี้เธอเสพติดการเดินห้างหลังเลิกเรียนกับผมเป็นอย่างมาก ไปก็ไม่ได้เข้าไปในร้านไหนเป็นพิเศษนะ เเค่เดินไปคุยไปกับผมเรื่อยๆ ไม่กิน ไม่เข้าร้านไหน และทุกวันก็ต้องเข้าตู้คาราโอเกะหยอดเหรียญตู้ที่อยู่ในสุดกับผม ไปนั่งฟังเพลงที่มันเล่นไปเพลงนะนิดเพลงละหน่อยเพื่อชวนผมให้หยอดเหรียญ แต่เราสองคนก็ไม่เคยหยอดเหรียญเลย ได้เเต่นั่งฟัง นั่งคุยเเละเดินออก ทุกวันเป็นไปอย่างนี้ ผมมีความสุขมากเพียงไหน แบมจะรู้มั้ย

             "คิดยังไงกับเค้าเนี้ย" แบมถามผมขึ้นวันหนึ่งในโทรศัพท์ ผมก็ไม่รู้จะตอบไง อายอะ ผมเลี่ยงทุกวิถีทางที่ไม่ตอบ แต่เธอก็เค้นผมพูดตั้ง 3 ชั่วโมง ไม่หยุด ผมก็พยายามพูดไป กลั่นจากหัวใจที่มีอย่างยากลำบากและตอบไป "ก็ชอบแบมอะ แล้วแบมละ" (ลองไปบอกชอบคนที่รักดูสิ ยากพอตัวนะสำหรับครั้งเเรกของทุกคนอะ)  กว่าจะพูดออกไปได้ก็ลำบากเเต่เธอตอบกลับว่า "ไม่...." ................................... เงียบไปเลยสองฝ่าย ผมก็อึ้งๆ และก็บอกว่า "อื้มๆ พูดเล่นนะอย่าคิดมาก" และผมก็วางไปพร้อมกับหน้าชาไปเลย ทำไมหละ เธอถามผมนะเเต่ทำไมเธอตอบงี้หละ  ผมก็ซึมๆ ไปนะ และกลับไปนอนต่อ 

         วันต่อมาเธอก็ไปห้างกับผมเหมือนเดิม ผมก็ทำตัวเหมือนเดิมนะ แม้เมื่อวานจะทำให้ผมมึนๆ ไปบ้าง ผมเดินไปตู้คาราโอเกะตัวเดิม นั่งอยู่ที่เดิม แต่คราวนี้เธอหยอดเหรียญใส่ตู้เพลงนั้น แผ่นดินถล่มพรุ่งนี้มั้ยหวาเธอมานั่งตู้นี้กับผมมาเกือบเทอมแต่ไม่เคยหยอดเหรียญเลือกเพลงเลย เธอก็เลือกเพลงนึงให้ผมร้อง อ้าว ผมไม่เคยฟังเพลงนี้... ไม่เคยฟังด้วย ก็เลยบอกว่า "ร้องไม่เป็นอะ ร้องให้ฟังหน่อยสิ" เธอก็เขิญๆ และร้องมันออกมา ไม่เคยฟังเสียงเธอเลย เพราะเหมือนกันน้าาา และเธอก็ก้มไปหยิบสมุดโน้ตของโรงเรียนจากกระเป๋าของเธอออกมา เเละวางไว้บนบ่าผม พร้อมกับเอนตัวมาหาผมพิงไหล่ผม โดยมีสมุดโน๊ตของเธอเป็นตัวกลางไม่ให้ตัวเธอกับตัวผมแตะกัน อะไรอะ คิดได้ไง ผมก็เลยจับหัวเธอขึ้น เอาสมุดโน๊ตเธอออกเเละจับหัวเธอเอนลงมาที่ไหล่ผมตรงๆ ไม่ต้องให้สมุดเป็นตัวกลางต่อไป เธอก็ยอมนะนั่งอยู่ในท่านั้นไปเรื่อยๆ ผมก็รู้สึกดีมาก มีคนที่ผมชอบอิงไหล่อยู่ และเราก็นั่งอยู่ที่นั่นนานมากจนกลับบ้านดึกดื่นกว่าปกติ

          "คิดยังไงกับเค้าเนี้ย" คำถามนี้อีกแหละเธอ จะเล่นอะไรเนี้ยคราวนี้ ผมก็เล่นตัวบ้างไม่พูดง่ายๆหรอก เค้นคำพูดกันอยู่ 2 ชั่วโมง ผมก็เลยตอบไป "ก็ชอบแบมอะ แล้วแบมอะ" เอะ บทพูดซ้ำกันเหมือนเมื่อวานเลยแหะ แต่คำตอบของเเบมต่างไป "ก็เหมือนกันเเหละ" ผมนี้ลอยเลยครับ จากที่นอนคุยอยู่บนเตียงนิ่งๆ ถึงขั้นเกือบลอยครับ ยิ้มไม่หุบ จากนั้นแบมถามผม "เราเป็นแฟนกันได้มั้ย" "ได้สิ" ผมตอบไปอย่างไม่คิดอะไร "แล้วถ้าเป็นแฟนจะมีอะไรเปลี่ยนเเปลงหรือเปล่า" เธอถามกลับมาด้วยคำถามแปลกๆ "ไม่รู้สิ ถ้าอยากรู้เป็นแฟนกับเราสิ" ผมตอบไปยิ้มไปกับคำถามไร้เดียงสาของเธอ "งั้นเราเป็นเเฟนกันเเล้วนะ ..............." เธอตอบมาเเละนิ่งใส่กันเเปปนึง "ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนเลยนิ" เออ นี่เธอคิดว่าถ้าผมเป็นเเฟนเธอจะเเปลงร่างได้รึไง ไม่เข้าใจเธอจริงๆ 

         เราก็เเทบไม่เปลี่ยนเเปลงไปจากที่เป็นอยู่ กลับบ้านด้วยกัน ไปเที่ยวห้างเหมือนเดิม เเต่มีสิ่งที่พิเศษกว่าปรกติคือ ไปเที่ยวด้วยกัน 2 คนเราจะเรียกว่าเดท เราก็เดทกันบ่อยขึ้น ไปดูหนังบ่อยขึ้น (จำได้เรื่องเเรกๆ ที่เป็นเเฟนกันที่ดูคือ เพื่อนสนิท กับ ผีเเปดหลุม คนละเเนวเลยเนอะ) ไปกินไอติมที่ร้าน Swensen ด้วยกันบ่อยขึ้น กินข้าวที่ร้านเชสเตอร์กริวบ่อยมากเพราะเธอชอบร้านนี้มาก ผมไปบ้านของเธอบ่อยขึ้น โทรหาเธอนานขึ้น และอาจจุ๊บๆ บางครั้งบางคราว (โค้ดลับคืออยาก Tutor) 

         แต่แล้ววันปิดเทอมฤดูร้อนก็มาถึง เธอก็ได้บอกว่าไม่อยากให้พี่รู้เรื่องเรา พี่เค้าห่วงน้อง และแบมก็สัญญาว่าจะโทรหาต้องเอง ต้องไม่ต้องโทรหา ผมก็สัญญาเธอ ไม่โทรหาเธอ และผมรักษาสัญญามาก เลยไม่โทรหาเลย เเละเธอก็ไม่เคยโทรมาหาผมเลยสักครั้งเช่นกัน (มีครั้งเดียวโทรมากลางเมษายน บอกว่านัดพี่มาที่เมเจอร์ปิ่นเกล้า พอดี อยากให้ผมรีบไปหาเเบมก่อนที่พี่เค้าจะมา ตอนนั้นผมไม่ว่างแม้อยากเจอมากก็ตามเลยปฏิเสธไป) ผมรอเธอโทรมา แต่เธอก็ไม่เคยโทรมาเลย ผมเลยโกรธเธอมาก ไหนว่าจะโทรมาหละ ผมเลยงอน ไม่ส่งข้อความหาเธอทุกวันเหมือนกับช่วงเเรกๆที่ปิดเทอม

         เปิดเทอมขึ้นมา ผมงอนเธอมากเลยไม่คุยกับเธอ ไม่โทรหาเธอด้วย อยากให้เธอรู้บ้างว่าคนเราก็เหงาเป็นนะถ้าคนที่รักบอกว่าจะโทรแต่ก็ไม่โทร และเวลาที่ผมไม่ติดต่อไปก็ผ่านไป 1 อาทิตย์ เธอเป็นคนโทรมาชวนผมกลับบ้านด้วยกัน แทนที่ผมต้องโทรไป ผมไปกับเธอที่ห้างเดิม เธอสังเกตผมว่าผมไม่คุยกับเธอเลย (ก็งอนอยู่นิ) เธอถามผมตรงๆ "ยังรักเค้าอยู่มั้ย" ผมอยากตอบกลับไปทันที รักอยู่เสมอและตลอดเวลา แต่ปากมันไม่เปิดออกมา เสียงก็ไม่ออก ผมนะ อยากให้เธอเเคร์ผมมากกว่านี้บ้างก็ยังดี แต่การกระทำต่างๆของผมกลับตรงข้ามไป ผมเดินไปกับเธอไม่พูดอะไรจนเราแยกย้ายกันไป

         หลังจากนั้นความสัมพันธ์ของเราก็ถอยหลังลงอย่างรวดเร็ว  ทั้งผมลืมไปว่าผมนัดเธอกลับบ้านด้วยกัน เเต่ผมดันปล่อยให้เธอรออยู่ที่โรงเรียนจนเย็น เดินผ่านก็ไม่ได้ทักทาย (เพราะไม่เห็นจริงๆ) หรือทั้งที่ผมมีคนบอกอื่นชอบ แต่แทนที่จะปฏิเสธเเต่ดันเงียบๆ ไม่พูดอะไร จนข่าวต่างๆ ไปเข้าหูแบมทำให้เเบมเริ่มเปลี่ยนไป

        "เลิกกันเถอะ" เสียงแบมพูดในโทรศัพท์ทำให้ผมใจสลายทันทีเมื่อได้ยินคำนี้ เเบมพูดเล่นใช่มั้ยไม่ตลกนะ ผมน่าจะเป็นฝ่ายถูกง้อสิ ผมโกรธนะที่แบมไม่คุยกับผม ไม่สนใจผม ผมโกรธมาก ทำให้ผมด่าเเบมไป และทุกวันผมโทรไปหาเเบม ด่าว่า พูดเเต่เรื่องเเย่ๆเดิมๆ ซ้ำกัน ให้เธอได้พูดคำว่า ขอโทษสักคำ อยากได้ยินเเค่นั้น เเต่เธอก็มีปากเสียงกับผมทุกทีที่ผมโทรไป และด่ากันเเรงกันทุกครั้งเเละเเรงขึ้นทุกวันจนวันนึงเธอทนไม่ไหว ไม่คุยกับผมบ้าง ไม่รับสายผม ไม่พูดกับผม ผมยิ่งโกรธมากขึ้น และอยู่ในช่วงที่ผมโกรธจนไม่รู้จะทำอะไรแล้ว

         ผมพยายามโทรไปคุยกับเธอเพราะผมคิดถึงเธอมาก และอย่างน้อยอยากให้เธอได้รู้ว่า ผมรอเธออยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนนะ แต่ก็กลายเป็นเสียงกรนด่าของทั้งสองฝ่ายทุกครั้งที่โทรไป ต่างฝ่ายต่างไม่คุยกันดีๆ ต่างใช้อารมณ์ใส่กัน จนสุดท้ายเธอก็ปิดการติดต่อของผมทั้งหมด

        ทุกสิ่่งก็จบลงเมื่อเธอไม่อยากคุยกับผม ผมก็ไม่พยายามไปคุยกับเธออีก ไม่ใช่เพราะเกลียดเธอนะ เเต่ยิ่งผมทำอะไรให้เธอ ผมจะควบคุมอารมณ์ให้โกรธเธอไม่ได้ และเธอคงไม่อยากคุยกับผมอีกต่อไปแล้ว

         และช่วงสุดท้ายของการเรียนมัธยม ผมติดสอบตรงกับมหาลัย เล็กๆที่หนึ่งในกรุงเทพ เเต่เธอก็ไปติดที่มหาลัยชื่อดังมากที่หนึ่งที่ทำให้ผมไม่สามารถเอื้อมถึงเธอได้อีก 

          เวลาที่ผ่านพ้นมาก็เกือบ 5 ปีได้เเล้วหลังจากที่เราได้เลิกคบกัน ผมก็เรียนที่มหาลัยนั้นไม่เก่งมากเหมือนเดิม กำลังใจมันหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ส่วนเรื่องความรักนะหรือด้วยหน้าตาที่พอดูได้ก็มีใครผ่านเช้ามามากมาย เค้าก็ทำให้ผมรู้สึกคลายความเหงาจากอาการร้างรักได้บ้าง แต่ทำไมนะ คนที่เข้ามาไม่เคยแทนที่แบมได้เลย ก็เพราะแบมอยู่ในหัวสมองผมตลอดเวลา เวลาเดินไปเที่ยวก็คิดถึงเวลาที่เราเดินด้วยกัน เวลาที่กินข้าวที่เชสเตอร์กริวก็พยายามมองหาว่าแบมอยู่ตรงนั้นอยู่หรือไม่ เวลาที่ไปดูหนังแม้ไปกับเพื่อนเยอะมากเเต่เหมือนได้ไปดูเเค่คนเดียวเพราะไม่มีเค้านั่งอยู่ข้างๆ เวลาเรียนก็ไม่อยากเรียนเพราะไม่มีเค้ามาติวด้วย เวลามีคนที่เข้ามาใหม่คบได้ไม่นานก็เลิกไปเพราะคนที่เข้ามานิสัยและหน้าตาไม่เหมือนเเบมที่เรารักและคิดถึง เวลาได้ฟังเพลงที่ซึ้งๆใหม่ๆทีไรคนที่คิดถึงคือแบมคนเดียวและผมก็ต้องเก็บไปดราม่าคนเดียวทุกครั้ง ทุกห้วงสำผัส ทุกห้วงความรู้สึก ยังนึกถึงแบมไม่เปลี่ยนแปลง แล้วชีวิตที่เหลืออยู่จะอยู่ไปเพื่ออะไร

      ผมคิดถึงเค้ามาก คนที่ผมรักที่สุด ถึงแม้ผมไม่ได้ยินข่าวคราวของเธอมานานแล้ว เเต่ทุกครั้งที่ผมหลับตาลงผมก็คิดถึงหน้าของเธอทุกครั้ง และไม่อยากให้หน้าของแบมที่อยู่ในความฝันของต้องหายไป อยากให้ผมได้อยู่ในความฝันนั้นตลอดไป ไม่อยากตื่นขึ้นมารับรู้ว่าเธอหายไปจากชีวิตผมมานานแล้ว

      ผมอยากฝากทุกคนที่ได้หลงเข้ามาอ่านนี้ อย่าใช้อารมณ์ในการเคลียร์เรื่องความรัก และหากรักเค้าให้บอกเค้าไป อย่าให้มันสายเกินไปเหมือนกับความรักที่ผมเคยมีเพราะคุณจะเสียใจเหมือนเงาตามตัวไปเรื่อยๆ ซึ่งเราจะต้องยอมรับเงานั้นเพราะเงานั้นมันจะอยู่ทุกที่ ที่เราไป

      และอยากฝากทุกคนที่อ่านนี้ไปบอกเค้าแทนผมที ว่าผมรักเค้ามากแค่ไหน รอเค้านานเเค่ไหน และผมอยากขอโทษเค้ามากเพียงใด

      และความหมายที่ผมอยากจะบอกคุณคือ ผมรักคุณที่สุด คุณจะรับรู้ได้มั้ยนะ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×