ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อูจุนพระเอกเรื่องปิ้งรักสลับขั้วใครเป็น fc คลิกเข้ามาด่วน

    ลำดับตอนที่ #15 : ช่วงนี้หาข่าวไม่ค่อยได้เลย

    • อัปเดตล่าสุด 25 เม.ย. 51



                    เพื่อเป็นการไม่ให้ fc ของอูจุนเสียใจ ข้าพเจ้าเลยเอา link ของ คอมเม้นเกี่ยวกับอูจุนฆ่าเวลาไปก่อนน่ะจ๊ะ อย่าพึ่งงอนกัน 

               http://frhthailand.proboards56.com/index.cgi?action=display&board=membertalk&thread=16&page=4



                                                                              คลิ๊กไปเล้ยน่ะจ๊ะที่นี้ 

            ชดเชยกันน่ะจ๊ะ พึ่งได้มา 


    ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา 4 หนุ่มหล่อ F4 ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มบอยแบนด์จากไต้หวันที่ออกมากระชากใจสาวๆ ทั่วเอเชีย จนเกิดกระแสฟีเวอร์ไปทั่วภาคพื้นเอเชีย ทำให้พวกเขากลายเป็นไอดอลให้รุ่นน้องได้เดินตาม เพราะล่าสุดได้ 4 หนุ่มหล่อนามว่า “Fahrenheit” หรือออกเสียงตามสำเนียงคนไต้หวันว่า “เฟยหลุนไห่” บอยแบนด์น้องใหม่ล่าสุด ที่ออกมาเขย่าใจแฟนๆ ไปอีกครั้งแล้ว ซึ่งตอนที่มีโอกาสได้เจอตัวเป็นๆ ในงานแจกลายเซ็น คอนเฟิร์มเลยว่า “เวิร์กมาก” น่ารักกันทุกหนุ่มเลย สาวๆ ไต้หวันงี๊กรี๊ดกันสนั่นหวั่นไหวไปหมด...งั้นวันนี้เราจะเปิดเนื้อที่ให้ 4 หนุ่มหน้าใสกลุ่มนี้ มาฝากเนื้อฝากตัวในอ้อมใจของแฟนๆ จะได้ไม่ตกยุคไงคะ

    หนุ่มคนแรก “Calvin ( เฉินอี้หรู )” หลังจากจบชั้นมัธยม “Calvin” ก็ไปเรียนต่อที่แคนาดา และอยู่ที่นั่นคนเดียวถึง 7 ปี แต่พอตัดสินใจจะเรียนต่อปริญญาโทก็มาคว้ารางวัล “Sunshine Boyz” ซะก่อน ทำให้เป็นจุดพลิกผันให้เขาอยากจะเข้าวงการบันเทิง “ความจริงผมเกือบจะได้เข้าวงการมาแล้วนะครับ จำได้ว่าตอนปี 2000 ผมอาศัยช่วงปิดเทอมหน้าร้อนกลับมาเทสต์หน้ากล้องงานแสดงที่ไต้หวัน แล้วก็ยังได้โชว์ความสามารถด้านการร้องเพลงด้วย และต่อมาทางผู้จัดฯ ก็จัดให้ผมได้ออกรายการ Guess Guess Guess! แต่ว่าเวลาอัดเทปดันไปตรงกับเวลาที่เครื่องบินไฟต์ที่ผมจะนั่งกลับแคนาดาพอดี ทำให้ผมพลาดโอกาสงามๆ ครั้งสำคัญไป”

    แต่ต่อมาเขาก็ไปคว้าตำแหน่ง “Sunshine Boyz” ที่แคนาดามาได้ “คุณพ่อของผมอยากให้ผมตั้งใจเรียนปริญญาโทให้จบ แล้วทำงานรับเงินเดือน แต่ใจผมมันไม่ยอมที่จะปล่อยโอกาสให้หลุดลอยครับ ดังนั้นผมจึงแอบเก็บเงินและเอารางวัลตั๋วเครื่องบินไปกลับแวนคูเวอร์-ฮ่องกง เปลี่ยนมาเป็นไต้หวันแทน แอบกลับไต้หวันมาอาศัยอยู่บ้านเพื่อนเดือนครึ่งแน่ะ ซึ่งทุกวันนี้คุณพ่อก็ยังไม่ทราบว่าช่วงนั้นผมอยู่ไต้หวัน เพียงแต่รู้สึกแปลกๆ ว่าทำไมโทร.ไปหาผมที่แวนคูเวอร์ทีไรถึงไม่เจอผมสักที” และแน่นอนว่าการโกหกบุพการีมักจะส่งผลไม่ดีตามมา เรื่องนี้ “Calvin” ซาบซึ้งดี นั่นเพราะช่วงนั้นเป็นช่วงปีใหม่แล้วเขาก็ไม่สามารถจะกลับไปร่วมฉลองกับที่บ้านได้ทั้งๆ ที่อยู่ไต้หวัน แต่ตอนนี้เขามีผลงานเพลงของตัวเองออกมา และแอบเห็นรอยยิ้มของคุณพ่อเวลาดูหนังสือพิมพ์ที่มีข่าวของเขา เขาจึงรู้ว่าคุณพ่อยอมรับในการตัดสินใจของเขาแล้ว และเขาจะพยายามไม่ทำให้คุณพ่อผิดหวังอีก

    หนุ่มคนที่ 2 “Jiro ( หวังตงเฉิง )” หนุ่มน้อย “Jiro” มีฉายาว่า “ต้าตง” เมื่อครั้งที่เขาอายุได้เพียง 19 ปี ได้ตั้งวงดนตรีกับเพื่อน และเข้าร่วมการประกวดจนได้เซ็นสัญญาเป็นนักร้องในค่าย BMG ไต้หวัน ตอนนั้นบริษัทจะปั้นเขาเป็นนักร้องเดี่ยวนามว่า “Jiro!!” ทำให้เขาได้เข้าไปฝึกที่บริษัท พร้อมกันนั้นก็ได้รับตำแหน่งผู้ช่วยโปรดิวเซอร์และอัดเสียงไปในตัว ถึงขนาดอัดเพลงเสร็จไปแล้ว 2 เพลง “ตอนนั้นผมคิดว่าทุกอย่างคงราบรื่น แต่ที่ไหนได้กลับเกิดเหตุ 9/11 ทำให้บริษัทแม่ตัดสินใจยกเลิกบริษัทที่ไต้หวัน รวมทั้งศิลปินใหม่ที่เซ็นสัญญา 5 ปีอย่างผมก็โดนเด้งไปด้วย ตอนที่อยู่บริษัทมาหนึ่งปีผมได้เงินเดือนเดือนละไม่ถึงหมื่นแปด ( เทียบกับค่าครองชีพก็เหมือนเงินเดือนแปดพันเก้าเมืองไทย ) นอกจากจะต้องส่งค่าบ้านแล้วก็ยังมีที่ต้องใช้ทุกวัน โชคดีที่ผมทานข้าวของบริษัททำให้พอประคองตัวมาได้”

    จากนั้น “ต้าตง” ก็ต้องไปเกณฑ์ทหารและหลังจากปลดประจำการ เขาก็ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงแห่งหนึ่งเป็นหนที่ 2 แต่รอแล้วรอเล่าเป็นปีบริษัทก็ยังไม่มีแผนจะออกงานเพลงให้สักที “ตอนนั้นผมคิดว่าท่าทางสวรรค์คงจะไม่สนับสนุนให้ผมเป็นนักร้องมั้ง เซ็นสัญญาตั้งสองครั้ง สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว ก็เลยผันตัวมาเป็นสไตลิสต์ครับ” และเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้เขาได้รู้จักกับผู้กำกับโฆษณาหลายคน มีงานโฆษณาและมิวสิกวิดีโอออกมาหลายชิ้น จนกระทั่งได้มาเจอค่ายเพลงที่เขาทำงานอยู่ด้วยตอนนี้ “ตอนนั้นก็สับสนเหมือนกันครับว่าจะเซ็นสัญญาเป็นครั้งที่ 3 ดีมั้ย จะแห้วอีกหรือเปล่า? แต่สุดท้ายก็คิดว่ายังไงผมก็ยังอายุไม่มากเป็นไงเป็นกัน ผมไม่อยากจะอยากมีเรื่องไปเล่าให้ลูกฟังตอนแก่ว่า สมัยพ่อเป็นหนุ่มมีเรื่องน่าเสียดายเรื่องหนึ่ง ผมเลยตัดสินใจเซ็นสัญญา และในที่สุดก็ได้มีงานเพลงจริงๆ ด้วย”

    หนุ่มคนที่ 3 “Jun ( อู๋จุน )” สุดหล่อนาย “อู๋จุน” จากประเทศบรูไน และคงเป็นเพราะดวงตากลมโต ใบหน้าหล่อลากดิน บวกความสูงระดับไม่ธรรมดา ทำให้เขามีโอกาสได้เป็นนายแบบที่สิงคโปร์ แล้วก็มีโมเดลลิ่งไต้หวันไปเจอตัวเขา และคว้าตัวมาอยู่ในสังกัดปัจจุบัน ได้เป็นพระเอกซีรี่ส์ไปแล้ว 2 เรื่องคือ “ตงฟางจูลี่เย้” และเรื่อง “ฮวาย่างส้าวเหนียนส้าวหนี่ว์” ความโชคดีระดับนี้ทำให้แม้แต่ตัวเขาเองยังแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง “ตอนนั้นผมคิดอยู่นานเลย เพราะเป็นคนหน้าบางเลยคิดไม่ออกว่าจะมาแสดงอยู่หน้ากล้องหรือไปร้องเพลงบนเวทีได้ยังไง” แต่พอได้เห็นหน้าแฟนๆ ส่งแรงสนับสนุนมากมายขนาดนี้ ก็มีความมั่นใจขึ้นเยอะ แต่ถึงดวงในวงการบันเทิงจะราบรื่น ชีวิตคนเราก็ใช่ว่าจะราบเรียบไปซะทุกอย่าง

    “ผมเปลี่ยนไปมากนะ คงจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่ผมเสียคุณแม่ไปเมื่อไม่กี่ปีก่อนครับ ตอนนั้นผมกำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ที่ออสเตรเลีย แต่พอพี่เขยโทรศัพท์มาบอกเรื่องแม่ ผมก็เลยเปลี่ยนความตั้งใจ” คุณแม่ของเขาป่วยเป็นมะเร็งมาตั้ง 8 ปีแล้ว แต่กลัวลูกจะไม่สบายใจก็เลยขอให้คุณพ่อปิดเงียบไว้ “ตอนที่ผมรู้เรื่องน่ะ อาการของคุณแม่ทรุดหนักแล้ว ช่วงนั้นผมหาข้อมูลและวิธีการรักษาคุณแม่แบบเอาเป็นเอาตาย และยังพาคุณแม่ไปหาที่รักษาทั่วอเมริกาและออสเตรเลีย แต่ก็ไม่ได้ผล” ตอนนั้นสภาพจิตใจของเขาแย่มากจนคิดอยากฆ่าตัวตาย หนำซ้ำวันต่อมาเพื่อนรักก็ยังมาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถคว่ำ “หลังจากผ่านเรื่องความเป็นความตายมาแล้ว ผมก็รู้สึกว่าไม่มีเรื่องอะไรจะต้องกลัวอีก ผมคิดว่าต่อให้เจอเรื่องพลิกผันแค่ไหนก็คงจะไม่เป็นปัญหาแล้วล่ะครับ”

    หนุ่มคนสุดท้าย “Acron ( เหยียนหย่ากวาน )” น้องเล็กสุดท้องของวง “ความจริงแล้วผมรู้สึกว่าผมโชคดีมาก ตั้งแต่เข้าวงการมาก็มีแต่คนคอยอุปถัมภ์ ถึงแม้ว่าตอนเด็กๆ ผมจะแอบฝันว่าตัวเองจะได้มายืนอยู่บนเวที แต่สำหรับผมแล้วเรื่องเข้าวงการบันเทิงเป็นความฝันอย่างหนึ่ง ซึ่งผมเองก็ไม่ได้วาดหวังไว้มากนัก หลังจากเข้าวงการบันเทิงแล้วผมได้แสดงละครเรื่อง “จงจี๋อี้ปาน” ซึ่งละครเรื่องนี้ทำให้ทุกคนได้รู้จักผม แถมตอนนี้ผมยังได้มาร้องเพลงอย่างที่ผมชอบ คงพูดได้แค่เพียงว่าผมโชคดีมากครับ” แต่เป็นเพราะโรคเก่ากำเริบ ส่งผมให้งานเพลงออกมาล่าช้ากว่ากำหนด เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกผิดต่อเพื่อนๆ ในวงเป็นอย่างมาก

    “ทีมงานดูแลผมดีมาก แฟนๆ ก็เอ็นดูผม ถึงแม้ว่าจะเป็นเพราะผมไม่ระวังตัวทำให้ได้รับบาดเจ็บที่ขา และไม่สามารถไปเต้นบนเวทีกับเพื่อนๆ ได้ แต่ทุกคนก็เข้าใจและดูแลผม บางทีผมยังคิดว่าคนอย่างผมสมควรได้รับสิ่งดีๆ จากทุกคนขนาดนี้เชียวเหรอ? ผมเคยนั่งเขียนบล็อกไปร้องไห้ไป เพราะผมเป็นคนที่ทุ่มเทกับสิ่งที่ผมรักโดยไม่คำนึงว่าจะเกิดอะไรขึ้น จนทำให้คนที่ห่วงใยผมเป็นกังวล” แต่แรงสนับสนุนของคนในครอบครัวก็ทำให้เขาบอกกับตัวเองว่าจะต้องพยายามให้มากขึ้น “ทีแรกผมคิดว่าคุณพ่อผมที่เป็นหมอไม่เห็นด้วยกับการที่ผมเข้าวงการ แต่พอผมบอกคุณพ่อท่านก็ตอบผมว่า “ขอเพียงเป็นเรื่องที่ลูกอยากทำ และได้ทำความฝันให้เป็นจริง ครอบครัวต้องสนับสนุนลูกอยู่แล้ว” ดังนั้นนี่จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ผมก้าวเข้ามาในวงการบันเทิง


    ขอบคุณข้อมูลจาก   http://music.sanook.com/profile/profile_12826.php    คลิ๊กไปอ่านคอมเม้นกันได้น่ะค่ะ

                               
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×