คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #53 : จุดเปลี่ยน
ท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าที่ดวงอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าช่างเป็นสวรรค์สำหรับคนขี้เซาทั้งหลาย
แต่สำหรับคนที่แทบจะยังไม่ได้นอนอย่างนางพยาบาลสาวกลับเร่งให้เวลาเช้ามาถึงเร็วกว่าที่เคย
ยุพาใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกางเกงยีนส์พอดีตัวพร้อมด้วยกระเป๋าแบบมีล้อลากใบย่อมหนึ่งใบซึ่งบ่งบอกว่าเธอกำลังจะเดินทางไปค้างอ้างแรมที่ไหนสักแห่งอย่างน้อยก็สองสามคืน
หญิงสาวจัดการโยนสัมภาระลงในห้องเก็บของท้ายรถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่ซึ่งเป็นสมบัติจากพี่ชายคนเดียวของเธอ
หลังจากลงเวรแล้วเธอแทบจะไม่ได้นอนเลยก็ว่าได้ จึงมีเวลาคิดทบทวนหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต
ยุพาตัดสินใจเขียนใบลาพักผ่อนหนึ่งสัปดาห์เพื่อหาเวลาอยู่กับตัวเองสักพักและจัดการกับมรดกที่เธอไม่เคยคิดว่าจะต้องแย่งชิงกับใครแต่จำเป็นต้องรักษาไว้เมื่อมันคือสมบัติที่บิดามารดาของเธอหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของท่านหาใช่มรดกจากบรรพบุรุษแต่อย่างใด
และในตอนนี้มันกลายเป็นผืนดินที่มีมูลค่ามหาศาลสำหรับใครหลายคนเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าเธอจะได้มาครอบครองแล้วแต่ก็นำมาซึ่งความไม่พอใจของญาติพี่น้อง
เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ดังขลุกขลักแล้วเงียบไป
หญิงสาวพยายามบิดกุญแจอีกหลายครั้งก็ปรากฏว่ามีอาการเช่นเดิม เธอรู้สึกหัวเสียเล็กน้อยก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ไม่เคยใส่ใจเจ้าพาหนะคันนี้เลย
จึงไม่น่าแปลกหากมันอยากจะเกเรขึ้นมาบ้าง
“เอายังไงดีหละทีนี้”
ยุพารำพึงกับตัวเอง เธอนึกไม่ออกว่าเวลานี้จะสามารถพึ่งพาใครได้ด้วยความที่จากบ้านเกิดเมืองนอนไปเสียนานจึงไม่มีเพื่อนฝูงที่สนิทกันพอจะไหว้วานขอความช่วยเหลือ
หากเป็นเมื่อก่อนคนแรกที่เธอจะนึกถึงคงไม่ใช่ใครนอกจากผู้กองภวินท์เท่านั้น
ในที่สุดหญิงสาวจึงต้องเดินขึ้นไปบนตึกเพื่อขอความช่วยเหลือจากพนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาลให้ตามช่างมาจัดการกับเจ้ารถจอมเกเรและเธอต้องรอประมาณสองชั่วโมงเป็นอย่างน้อยเนื่องจากยังไม่ถึงเวลาที่อู่ซ่อมรถเปิด
อีกทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าช่างจะใช้เวลาซ่อมนานเพียงใด หญิงสาวไม่มีทางเลือกอื่นเพราะระบบขนส่งในต่างจังหวัดนั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้สู้เธอเสียเวลารอให้รถซ่อมเสร็จดีกว่าไปผจญภัยกับรถประจำทางเป็นไหนๆ
ดังนั้นเธอจึงต้องมาเดินแกร่วอยู่แถวโรงอาหารเพื่อหาอะไรรองทองก่อนออกเดินทาง
แสงแรกของวันใหม่ส่องลอดหน้าต่างเข้ามากระทบกับเปลือกตาของคนขี้เซาอย่างปราณปรียาจนเธอต้องดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงด้วยความเคยชิน
แต่วันนี้ออกจะแปลกไปสักหน่อยตรงที่หมอนข้างของเธออุ่นอย่างบอกไม่ถูกและยังน่ากอดเป็นที่สุด
ในบางครั้งเธอรู้สึกราวกับว่ามันขยับได้จนต้องใช้ขาเกี่ยวรั้งไว้ให้มั่นด้วยกลัวว่าจะเสียเวลานอนอันแสนมีค่านี้ไป
ส่วนหมอนข้างจำเป็นได้แต่อมยิ้มมองการกระทำอันอุกอาจของแม่กระต่ายน้อยอย่างพออกพอใจ
แม้ว่าเขาแทบจะกระดุกกระดิกตัวไม่ได้ด้วยเพราะถูกจองจำไว้ใต้วงแขนและวงขาเรียวเล็กของคนขี้เซาก็ตาม
ลมหายใจของชายหนุ่มเริ่มติดขัดเมื่อปราณปรียาซุกหน้าเข้ากับซอกคอของเขา
อาการน่าเอ็นดูเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นอารมณ์อย่างอื่นเข้ามาแทนที่
เขาต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเมื่อมือเล็กกำลังลูบคลำไปบนแผงอกกว้างแล้วลากไล้ขึ้นมาตามลาดไหล่จนกระทั่งถึงปลายคางสาก
หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบทะลุออกมานอกอกเมื่อหญิงสาวประคองใบหน้าคมเข้มให้หันมาทางเธอก่อนปรือตาขึ้นมามอง
ปราณปรียาตาเบิกโพลงซึ่งผิดวิสัยของคนเพิ่งตื่นนอน
หญิงสาวหลับตาลงพร้อมกับบิดแก้มสากของคนตรงหน้าอย่างแรง
“โอ๊ย
!” ผู้กองภวินท์อุทานด้วยความเจ็บและตกใจไปพร้อมกันเมื่อไม่คาดคิดว่าปราณปรียาจะทำร้ายร่างกายเขาส่งผลให้อารมณ์เพ้อฝันเมื่อครู่ถึงกับกระเจิดกระเจิงจนหมดสิ้น
“ไม่ได้ฝันหรอกเหรอนี่”
หญิงสาวทำตาโตอีกครั้งพร้อมกับผลักผู้กองหนุ่มออกห่างอย่างไม่ใยดี
ก่อนดีดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างว่องไว
“พี่วินขี้โกง
แอบข้ามฝั่งมานอนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ฮะ!”
ปราณปรียาโวยลั่นใส่คนหัวยุ่งที่ขยับตัวลุกนั่งบ้าง
ผู้กองหนุ่มเกาหัวแกรกพร้อมกับยิ้มขำ ใบหน้าของเขาดูอ่อนเยาว์ราวกับเด็กหนุ่ม
“ใครกันแน่ที่ข้ามฝั่ง
แถมยังนอนทับจนพี่ขยับตัวไม่ได้ตะคริวเกือบกินแล้วไหมล่ะ”
เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกล่าวหาเจ้าของห้องที่ได้แต่ทำปากขมุบขมิบเมื่อกวาดสายตาไปรอบห้องและพบว่าตัวเองนั่งอยู่ผิดที่ผิดทางอย่างที่เขาว่าจริง
“น้ำลายยืดหรือเปล่าก็ไม่รู้
เหมือนเสื้อจะเปียกด้วยเนี่ย” เขาแกล้งว่าเข้าไปอีกเมื่อเห็นปราณปรียาทำท่าจะเถียง
หญิงสาวรีบยกสองมือขึ้นลูบมุมปากตัวเองจึงเรียกเสียงหัวเราะอย่างพอใจจากชายหนุ่ม
ตุ้บ
! หมอนหนุนสีขาวกระทบเข้ากับใบหน้าคมอย่างจังโดยเขาไม่ทันได้ตั้งตัว
ผู้กองหนุ่มหุบยิ้มพร้อมกับทำหน้าดุ จนคนที่ตั้งท่าจะปาซ้ำอีกได้แต่นั่งกอดหมอนตัวสั่น
“ขะ
ขอ อุ๊บ ! อื้อ” ผู้กองภวินท์โฉบเข้ามาราวกับสิงโตตะครุบเหยื่อจนปราณปรียาหงายหลังตึงพร้อมกับหมอนใบใหญ่ที่เธอกอดอยู่และมีคนตัวโตทาบทับลงมาอีกที
ชายหนุ่มประกบริมฝีปากหนาเข้ากับปากบางอย่างพอเหมาะพอเจาะแล้วตั้งหน้าตั้งตาแย่งลมหายใจจากร่างเล็กที่อ่อนระทวยราวกับผักโดนแดดเผา
“สำหรับความผิดเมื่อกี้นี้”
เขาคืนอิสรภาพให้เธอเพียงครู่
ก่อนจองจำเธออีกครั้งด้วยจุมพิตที่ยาวนานและละมุนละไมกว่าครั้งแรก
“สำหรับหนี้เก่าที่ยังไม่ได้ชำระ”
ชายหนุ่มถอนริมฝีปากร้ายกาจก่อนอธิบายบทลงโทษด้วยเสียงอันแหบพร่าและดวงตาเป็นประกาย
จนหญิงสาวขนลุกขนพองแต่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เนื่องจากผู้กองหนุ่มกักขังเธอไว้ด้วยร่างกายอันแข็งแกร่งของเขา
แม้จะมีหมอนกั้นและเขาใช้ข้อศอกค้ำเอาไว้แต่ปราณปรียากลับรู้สึกถึงความอุ่นร้อนจนแทบไหม้
“อย่านะ..”
ปราณปรียาเม้มปากแน่นพร้อมกับส่งเสียงประท้วงในลำคอเมื่อผู้กองภวินท์โน้มใบหน้าลงมาใกล้เธออีก
“อะไร
ยังไม่ได้คิดดอกเบี้ยเลยนะ” เขาบอกพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ปราณปรียารีบเบือนหน้าหลบไปอีกทางชายหนุ่มจึงได้แต่ฝากจุมพิตไว้บนแก้มเนียนแทน
“ใจร้าย
ชอบรังแกคนไม่มีทางสู้” ปราณปรียาตัดพ้อเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคามอย่างหนัก
“ก็ไม่ได้บอกว่าไม่ให้สู้นี่”
ผู้กองภวินท์ยังไม่เลิกยียวนแม้จะทราบดีว่าเขากำลังพาตัวเองเข้าไปเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
“งั้นหรา..”
“โอ๊ย
! อ๊าก !” ผู้กองหนุ่มร้องเสียงหลงและรีบพลิกตัวหนีกรงเล็บนางพญาอย่างรวดเร็ว
ถึงอย่างนั้นสีข้างของเขาก็ปรากฏรอยจ้ำสีแดงและมีรอยเลือดออกซิบๆ
เมื่อเขาถลกเสื้อขึ้นดู
“ช่วยไม่ได้อยากหาเรื่องเอง”
ปราณปรียารีบลุกไปยืนหน้าประตูพร้อมกับโทษว่าเป็นความผิดของอีกฝ่าย
ผู้กองหนุ่มทำหน้าเหยเกขณะที่ลูบไปบนรอยเล็บจิกข้างลำตัว
“ฉีดยาหรือยังก็ไม่รู้”
เขาแกล้งว่า
“พี่วินบ้า
ต่ายไม่ใช่หมานะ” ปราณปรียาเลือดขึ้นหน้ากับคำกล่าวหาของเขาทันที
ผู้ชายอะไรกันปากคอเราะร้ายเป็นที่สุด
“อ้อ
ลืมไปว่าเราเป็นกระต่าย” เขาลอยหน้าลอยตายิ้มยั่วคนที่โกรธจนตัวสั่นและทำหน้าราวกับจะกระโดดงับผู้กองหนุ่มให้จมเขี้ยวถ้าหากทำได้
“จะกวนประสาทกันให้ได้เลยใช่ไหม
ฮึ่ม !” ปราณปรียาสุดจะทนกับความยียวนของผู้กองหนุ่ม
หญิงสาวคว้าหมอนข้างกระหน่ำตีใส่เขาอย่างลุแก่โทสะ
ส่วนอีกฝ่ายทำได้เพียงกระโดดหลบไปมาบนที่นอนก่อนจะได้จังหวะคว้าหมอนไว้เสียเองพร้อมกับส่งสายตาคาดโทษชนิดที่หญิงสาวเห็นแล้วต้องขนลุก
ปราณปรียารีบโกนแนบออกจากห้องทันทีก่อนที่จะโดนบทลงโทษอันแสนทรมานจากเขา
ผู้กองภวินท์ยังไม่วายตะโกนไล่หลังตามไปอีก
“อ้าว..นึกว่าจะแน่”
เขายิ้มกว้างอย่างมีความสุขก่อนที่ดวงตาคู่คมจะหม่นแสงลงด้วยตระหนักถึงภาระหน้าที่ที่รออยู่ภายหน้า
นางอรทัยเลื่อนมือไปบนสมาร์ทโฟนกลางเก่ากลางใหม่ซึ่งมีรูปภาพในหลากหลายอิริยาบถของหญิงสาวผิวขาว
ดวงตากลมโตซึ่งนางคุ้นหน้าเป็นอย่างดีจนมาหยุดที่ภาพของหญิงสูงวัยซึ่งยืนหันหลังในมือถือกรรไกรตัดกิ่งอันเล็กมองเห็นเพียงเสี้ยวหน้าที่มีรอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏอยู่
นอกจากนั้นยังมีอีกหลายภาพซึ่งล้วนเป็นการแอบถ่ายทั้งสิ้น มืออันผ่านประสบการณ์ชีวิตมายาวนานสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกสะเทือนใจจนไม่สามารถประคองโทรศัพท์ไว้ได้อีกต่อไป
(
ฉันยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่พ่อที่ดีนัก และก็ไม่ได้คิดจะมาหาเรื่องทะเลาะกับเธออีกแต่เพราะความสุขของคนเป็นพ่อเป็นแม่คือการได้เห็นลูกมีความสุขมิใช่หรือ...
) คำพูดของภาคภูมิในวันที่เขาแวะเวียนมาล่ำลาถึงไร่ภูธรดังก้องขึ้น
(
ปล่อยวางเรื่องในอดีตเสียเถิด อโหสิกรรมให้กับความเลวที่ฉันเคยทำไว้กับเธอได้ไหม
เราต่างก็เดินกันมาไกลจนเกือบสุดทางกันทุกคนแล้ว
แต่ตาวินยังต้องเดินต่อซึ่งวันข้างหน้าเราอาจจะไม่ได้อยู่กับเขา
สู้เราใช้เวลาที่เหลืออยู่คอยมองดูความสุขของคนที่เรารักไม่ดีกว่าหรือ )
นางอรทัยจำได้ดีว่าในวันนั้นได้แต่นั่งนิ่งฟังภาคภูมิโดยไม่ได้โต้แย้งใดๆ
แม้จะตระหนักดีถึงความจริงตามที่อดีตสามีได้กล่าวมาแต่ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับบุตรชายดูเหมือนจะเกินเยียวยา
ตลอดเวลาที่ผ่านมานางได้ทำร้ายจิตใจของภวินท์จนแทบไม่เหลือชิ้นดีด้วยมือของนางเอง
นายแม่แห่งไร่ภูธรปล่อยให้น้ำตาแห่งความพ่ายแพ้พรั่งพรูออกมาอย่างไม่สนใจใยดี
นางแพ้ให้กับความรัก..ความรักของบุตรชายเพียงคนเดียวที่เพียรมอบให้มาโดยตลอด
“แม่ขอโทษ...ตาวิน...แม่ขอโทษ”
นางอรทัยรำพึงพลางสะอื้นไห้จนตัวโยนความอัดอั้นตันใจถูกระบายออกมาทางน้ำตาราวกับเขื่อนพังและเป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกถึงความเป็นอิสระจากทิฐิทั้งปวงที่เคยแบกเอาไว้
“นายแม่คะ
เตรียมของใส่บาตรเรียบร้อยแล้วค่ะ” เสียงนางสมใจลอยผ่านประตูห้องเข้ามา นางอรทัยใช้กระดาษทิชชูซับน้ำตาพร้อมกับสำรวจตัวเองในกระจกก่อนขานรับแม่บ้านคนสนิท
“เดี๋ยวฉันตามลงไปจ้ะพี่สมใจ”
นางอรทัยบังคับเสียงให้เป็นปกติมากที่สุดเพราะไม่อยากให้นางสมใจต้องเป็นกังวล
ขณะที่เปิดลิ้นชักหน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อเก็บโทรศัพท์แรงสะเทือนทำให้ขวดน้ำมันมะพร้าวซึ่งนางอรทัยใช้เป็นประจำตกลงมาแตกกระจาย
“ค่อยกลับมาเก็บทีหลังแล้วกัน...ว้าย
!” นางอรทัยรีบร้อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจึงเผลอเหยียบน้ำมันที่หกเลอะอยู่บนพื้นห้องเป็นผลให้นางหงายหลังลงไปกองกับพื้น
ความรู้สึกเจ็บร้าวแผ่ไปทั่วร่างและนายแม่แห่งไร่ภูธรไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้อีก
“ตายจริง
! นายแม่เป็นยังไงบ้างคะ”
นางสมใจตีอกผางด้วยความตกใจทันทีที่ผลักบานประตูเข้ามาได้
“ระวังพี่สมใจ”
แม้จะขยับไม่ได้แต่นางอรทัยกลับนึกถึงความปลอดภัยของแม่บ้าน นางสมใจหลุบตามองตามผู้เป็นนายจึงได้เห็นว่ามีเศษแก้วและคราบน้ำมันเปื้อนเปรอะทั่วบริเวณ
“ตามอรุณ
หรือไม่ก็สมยศมาทีตอนนี้ฉันขยับตัวไม่ได้เลย”
นายแม่ออกคำสั่งราวกับอยู่ในภาวะปกติแต่กลับเป็นนางสมใจที่งกๆ เงินๆ
ทำตัวไม่ถูกกว่าจะตั้งสติได้และรีบไปตามคำสั่ง นางอรทัยได้แต่นอนแผ่หลาไปกับพื้นเพราะแม้กระทั่งแรงสะเทือนจากการหายใจก็ยังสร้างความเจ็บปวดได้อย่างมหันต์
ผู้กองภวินท์และปราณปรียาจำต้องยกเลิกการเดินทางไปยังไร่ภูธรโดยเปลี่ยนสถานที่เป็นโรงพยาบาลแทนหลังจากที่ได้รับข่าวจากอรุณสวัสดิ์
ทั้งดาวประกายและจ่าสมยศต่างก็ตามมาสมทบที่หน้าห้องอุบัติเหตุฉุกเฉินโดยมีอรุณสวัสดิ์ซึ่งมาพร้อมรถพยาบาลนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“คุณแม่เป็นยังไงบ้าง”
ผู้กองภวินท์รีบปรี่เข้าไปหาอรุณสวัสดิ์ด้วยความร้อนใจ ส่วนปราณปรียาเดินแยกไปทางจ่าสมยศและดาวประกายที่ต่างก็มีสีหน้าร้อนใจไม่แพ้กัน
“หมอยังไม่ออกมาเลย”
อรุณสวัสดิ์ตอบด้วยสีหน้าเป็นกังวลเช่นกัน
เพราะไม่เคยมีสักครั้งที่นายแม่ผู้แข็งแกร่งต้องพึ่งพาโรงพยาบาล
ผู้กองหนุ่มนั่งลงข้างกันกับญาติผู้พี่โดยไม่ได้พูดคุยกันอีก
ด้วยต่างก็จดจ่ออยู่ที่ประตูห้องฉุกเฉิน มีเพียงเสียงพูดคุยแบบกระซิบของสองสาวอย่างดาวประกายและปราณปรียาที่ต่างก็สอบถามสารทุกสุขดิบของแต่ละฝ่าย
เพราะตั้งแต่ดาวประกายย้ายไปอยู่ไร่ภูธรเธอก็แทบไม่มีเพื่อนคุยเมื่อกลับมาที่ห้องพัก
จ่าสมยศเองก็เทียวไปเทียวกลับระหว่างไร่กับโรงพักและแวะมาทำความสะอาดห้องพักบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ไม่นานผู้กำกับจักรวาลและหมวดศรุตก็ตามมาสมทบในชุดเครื่องแบบครึ่งท่อนทั้งคู่
บรรดาสุภาพบุรุษจึงมานั่งรวมตัวกันหน้าห้องฉุกเฉินส่วนปราณปรียากับดาวประกายรับหน้าที่หาอาหารรองท้องสำหรับทุกคน
และพวกเธอได้พบกับยุพาที่ห้องอาหารจากการพูดคุยสอบถามจนได้ความ
นางพยาบาลสาวจึงตัดสินใจยกเลิกวันลาของเธอทันทีด้วยความรู้สึกเป็นห่วงนายแม่แห่งไร่ภูธร
ทันทีที่นายแพทย์มานพเดินออกมาจากห้องตรวจทุกคนต่างลุกขึ้นยืนเกือบจะพร้อมกัน
จนหมอใหญ่ผู้มากประสบการณ์ถึงกับตกใจด้วยนึกว่าตนกำลังจะโดนชายฉกรรจ์รุมกระทำมิดีมิร้ายเสียแล้ว
“ยายอรเป็นอย่างไรบ้างหมอ”
ผู้กำกับจักรวาลเอ่ยถามก่อนใครในฐานะที่เป็นเพื่อนสนิทกับนายแพทย์ใหญ่
“คนไข้เพียงแค่กล้ามเนื้ออักเสบส่วนอื่นไม่มีอะไรเสียหาย
แต่ก็ยังต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะคนอายุมากเวลาหกล้มมาไม่เหมือนคนหนุ่มคนสาว”
นายแพทย์มานพอธิบายตามหลักการ
“สองสามวันนี้อาจจะยังเดินเองไม่ไหวก็ต้องพยายามให้ขยับร่างกายบ้าง
ไอ้โรคนี้ถ้ายิ่งปวดยิ่งนอนสุดท้ายอาจลุกลามเป็นอัมพฤกษ์อัมพาธได้ง่ายๆ”
ประโยคหลังนี้ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าสลดลงไปอีก
“ขอเข้าไปได้ไหมครับ”
ผู้กองภวินท์เอ่ยขอ ซึ่งนายแพทย์มานพอนุญาตให้เขาเข้าไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้นเพราะคนไข้อยู่ระหว่างรอดูอาการอย่างใกล้ชิดในห้องฉุกเฉิน
ผู้กองหนุ่มเดินผ่านเตียงคนไข้สองสามรายมาหยุดยืนข้างเตียงซึ่งไม่บ่อยนักที่เขาจะมีโอกาสได้เป็นคนเฝ้าไข้เพราะส่วนใหญ่แล้วเขามักเป็นคนที่นอนอยู่บนเตียงนั่นเสียเอง
ใบหน้าของนายแม่แห่งไร่ภูธรดูซีดเซียวผิดจากปกติซึ่งใครๆ
มักนึกว่าสตรีนางนี้คือหญิงแกร่งผู้ไม่เคยอ่อนข้อให้ใคร
แม้แต่โรคภัยไข้เจ็บยังไม่ใคร่จะเบียดเบียนได้สำเร็จ นางอรทัยพยายามเอียงหน้ามาทางบุตรชายแต่การกระทำนั้นกลับทำให้ความเจ็บปวดที่เหมือนจะทุเลาลงเพราะฤทธิ์ยากลับมาอีกครั้ง
“โอย...”
“อย่าเพิ่งขยับตัวเลยครับคุณแม่”
ชายหนุ่มรีบขยับเข้าไปชิดขอบเตียงด้วยความเป็นห่วง และประคองศีรษะมารดาให้ตั้งตรงอีกครั้ง
ความรู้สึกสับสนลังเลใจกำลังรบกวนเขาอย่างหนัก ด้วยภาระหน้าที่ที่รออยู่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
“ไม่ต้องห่วง
ฉันไม่เป็นภาระให้แกหรอก” นางอรทัยอดตัดพ้อตามประสาไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของบุตรชาย
“ผมไม่เคยคิดว่าแม่เป็นภาระเลยสักครั้ง
ผมต่างหากที่คอยแต่ขัดใจและไม่ได้ดังใจแม่สักอย่าง”
เขาโพล่งออกมาอย่างเหลืออดกับความเจ้าทิฐิของมารดา
กระทั่งนอนป่วยไม่สบายก็ยังไม่วายประชดประชันเขาจนได้
ดูท่าว่าความสัมพันธ์ของเขากับนางอรทัยคงจะลุ่มๆ ดอนๆ อย่างนี้เรื่อยไป
“ฉัน..เอ่อ..ไม่ได้ตั้งใจ”
นายแม่มีน้ำเสียงอ่อนลงเมื่อเริ่มตั้งสติและตระหนักถึงความจริงที่ผ่านมา
ภวินท์ขยับเข้ามากุมมือมารดาไว้ด้วยมือทั้งสองของเขาโดยไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใดอีก
แค่เพียงเท่านี้ก็ทำให้หัวใจของนางอรทัยชุ่มชื่นจนเอ่อล้นออกมาทางตา แม้ว่าไม่ได้มองการกระทำของบุตรชายแต่นางกลับสัมผัสได้ด้วยหัวใจ
“ผมเป็นห่วงและรักแม่เสมอนะครับ”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยินเมื่อเห็นว่าผู้เป็นมารดากำลังเข้าสู่ภวังค์ด้วยฤทธิ์ยา
โดยหารู้ไม่ว่านางอรทัยได้ยินถ้อยคำนั้นอย่างชัดเจนแม้จะอยู่ในอาการสะลึมสะลือเต็มทีแล้วก็ตาม
เออหนอ
มนุษย์เรานี่ก็แปลกมักทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก มักล้อเล่นกับความรู้สึกของตนเอง
บางเรื่องปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไปเสียเปล่าจนเกือบจะต้องสูญเสียหรือไม่มีเวลาได้แก้ตัว
หากปล่อยวางตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้แล้วมาควบคุมจิตใจของตนเองแทนมนุษย์ก็คงจะพบกับความสุขสงบได้หาใช่เรื่องยากเย็น
************************************************************************************************
สาธุ .............
ความคิดเห็น