ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวใจรักภูธร

    ลำดับตอนที่ #53 : จุดเปลี่ยน

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.07K
      4
      30 ต.ค. 60

    มาต่อแล้วหลังจากหายไปนาน อย่าว่าเค้านะยูว์
    งานยุ่งบ้าง ไรบ้างจ้า แต่รับรองว่ามาแน่จ้า เป็นกำลังใจแหน่เด้อคร่า
    *************************************************

                    ท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าที่ดวงอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าช่างเป็นสวรรค์สำหรับคนขี้เซาทั้งหลาย แต่สำหรับคนที่แทบจะยังไม่ได้นอนอย่างนางพยาบาลสาวกลับเร่งให้เวลาเช้ามาถึงเร็วกว่าที่เคย ยุพาใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกางเกงยีนส์พอดีตัวพร้อมด้วยกระเป๋าแบบมีล้อลากใบย่อมหนึ่งใบซึ่งบ่งบอกว่าเธอกำลังจะเดินทางไปค้างอ้างแรมที่ไหนสักแห่งอย่างน้อยก็สองสามคืน หญิงสาวจัดการโยนสัมภาระลงในห้องเก็บของท้ายรถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่ซึ่งเป็นสมบัติจากพี่ชายคนเดียวของเธอ หลังจากลงเวรแล้วเธอแทบจะไม่ได้นอนเลยก็ว่าได้ จึงมีเวลาคิดทบทวนหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต ยุพาตัดสินใจเขียนใบลาพักผ่อนหนึ่งสัปดาห์เพื่อหาเวลาอยู่กับตัวเองสักพักและจัดการกับมรดกที่เธอไม่เคยคิดว่าจะต้องแย่งชิงกับใครแต่จำเป็นต้องรักษาไว้เมื่อมันคือสมบัติที่บิดามารดาของเธอหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของท่านหาใช่มรดกจากบรรพบุรุษแต่อย่างใด และในตอนนี้มันกลายเป็นผืนดินที่มีมูลค่ามหาศาลสำหรับใครหลายคนเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าเธอจะได้มาครอบครองแล้วแต่ก็นำมาซึ่งความไม่พอใจของญาติพี่น้อง

                    เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ดังขลุกขลักแล้วเงียบไป หญิงสาวพยายามบิดกุญแจอีกหลายครั้งก็ปรากฏว่ามีอาการเช่นเดิม เธอรู้สึกหัวเสียเล็กน้อยก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ไม่เคยใส่ใจเจ้าพาหนะคันนี้เลย จึงไม่น่าแปลกหากมันอยากจะเกเรขึ้นมาบ้าง

                    “เอายังไงดีหละทีนี้” ยุพารำพึงกับตัวเอง เธอนึกไม่ออกว่าเวลานี้จะสามารถพึ่งพาใครได้ด้วยความที่จากบ้านเกิดเมืองนอนไปเสียนานจึงไม่มีเพื่อนฝูงที่สนิทกันพอจะไหว้วานขอความช่วยเหลือ หากเป็นเมื่อก่อนคนแรกที่เธอจะนึกถึงคงไม่ใช่ใครนอกจากผู้กองภวินท์เท่านั้น

                    ในที่สุดหญิงสาวจึงต้องเดินขึ้นไปบนตึกเพื่อขอความช่วยเหลือจากพนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาลให้ตามช่างมาจัดการกับเจ้ารถจอมเกเรและเธอต้องรอประมาณสองชั่วโมงเป็นอย่างน้อยเนื่องจากยังไม่ถึงเวลาที่อู่ซ่อมรถเปิด อีกทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าช่างจะใช้เวลาซ่อมนานเพียงใด หญิงสาวไม่มีทางเลือกอื่นเพราะระบบขนส่งในต่างจังหวัดนั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้สู้เธอเสียเวลารอให้รถซ่อมเสร็จดีกว่าไปผจญภัยกับรถประจำทางเป็นไหนๆ ดังนั้นเธอจึงต้องมาเดินแกร่วอยู่แถวโรงอาหารเพื่อหาอะไรรองทองก่อนออกเดินทาง

     

                    แสงแรกของวันใหม่ส่องลอดหน้าต่างเข้ามากระทบกับเปลือกตาของคนขี้เซาอย่างปราณปรียาจนเธอต้องดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงด้วยความเคยชิน แต่วันนี้ออกจะแปลกไปสักหน่อยตรงที่หมอนข้างของเธออุ่นอย่างบอกไม่ถูกและยังน่ากอดเป็นที่สุด ในบางครั้งเธอรู้สึกราวกับว่ามันขยับได้จนต้องใช้ขาเกี่ยวรั้งไว้ให้มั่นด้วยกลัวว่าจะเสียเวลานอนอันแสนมีค่านี้ไป ส่วนหมอนข้างจำเป็นได้แต่อมยิ้มมองการกระทำอันอุกอาจของแม่กระต่ายน้อยอย่างพออกพอใจ แม้ว่าเขาแทบจะกระดุกกระดิกตัวไม่ได้ด้วยเพราะถูกจองจำไว้ใต้วงแขนและวงขาเรียวเล็กของคนขี้เซาก็ตาม

                    ลมหายใจของชายหนุ่มเริ่มติดขัดเมื่อปราณปรียาซุกหน้าเข้ากับซอกคอของเขา อาการน่าเอ็นดูเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นอารมณ์อย่างอื่นเข้ามาแทนที่ เขาต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเมื่อมือเล็กกำลังลูบคลำไปบนแผงอกกว้างแล้วลากไล้ขึ้นมาตามลาดไหล่จนกระทั่งถึงปลายคางสาก หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบทะลุออกมานอกอกเมื่อหญิงสาวประคองใบหน้าคมเข้มให้หันมาทางเธอก่อนปรือตาขึ้นมามอง

                    ปราณปรียาตาเบิกโพลงซึ่งผิดวิสัยของคนเพิ่งตื่นนอน หญิงสาวหลับตาลงพร้อมกับบิดแก้มสากของคนตรงหน้าอย่างแรง

                    “โอ๊ย !” ผู้กองภวินท์อุทานด้วยความเจ็บและตกใจไปพร้อมกันเมื่อไม่คาดคิดว่าปราณปรียาจะทำร้ายร่างกายเขาส่งผลให้อารมณ์เพ้อฝันเมื่อครู่ถึงกับกระเจิดกระเจิงจนหมดสิ้น

                    “ไม่ได้ฝันหรอกเหรอนี่” หญิงสาวทำตาโตอีกครั้งพร้อมกับผลักผู้กองหนุ่มออกห่างอย่างไม่ใยดี ก่อนดีดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างว่องไว

                    “พี่วินขี้โกง แอบข้ามฝั่งมานอนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ฮะ!” ปราณปรียาโวยลั่นใส่คนหัวยุ่งที่ขยับตัวลุกนั่งบ้าง ผู้กองหนุ่มเกาหัวแกรกพร้อมกับยิ้มขำ ใบหน้าของเขาดูอ่อนเยาว์ราวกับเด็กหนุ่ม

                    “ใครกันแน่ที่ข้ามฝั่ง แถมยังนอนทับจนพี่ขยับตัวไม่ได้ตะคริวเกือบกินแล้วไหมล่ะ” เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกล่าวหาเจ้าของห้องที่ได้แต่ทำปากขมุบขมิบเมื่อกวาดสายตาไปรอบห้องและพบว่าตัวเองนั่งอยู่ผิดที่ผิดทางอย่างที่เขาว่าจริง

                    “น้ำลายยืดหรือเปล่าก็ไม่รู้ เหมือนเสื้อจะเปียกด้วยเนี่ย” เขาแกล้งว่าเข้าไปอีกเมื่อเห็นปราณปรียาทำท่าจะเถียง หญิงสาวรีบยกสองมือขึ้นลูบมุมปากตัวเองจึงเรียกเสียงหัวเราะอย่างพอใจจากชายหนุ่ม

                    ตุ้บ ! หมอนหนุนสีขาวกระทบเข้ากับใบหน้าคมอย่างจังโดยเขาไม่ทันได้ตั้งตัว ผู้กองหนุ่มหุบยิ้มพร้อมกับทำหน้าดุ จนคนที่ตั้งท่าจะปาซ้ำอีกได้แต่นั่งกอดหมอนตัวสั่น

                    “ขะ ขอ อุ๊บ ! อื้อ”  ผู้กองภวินท์โฉบเข้ามาราวกับสิงโตตะครุบเหยื่อจนปราณปรียาหงายหลังตึงพร้อมกับหมอนใบใหญ่ที่เธอกอดอยู่และมีคนตัวโตทาบทับลงมาอีกที  ชายหนุ่มประกบริมฝีปากหนาเข้ากับปากบางอย่างพอเหมาะพอเจาะแล้วตั้งหน้าตั้งตาแย่งลมหายใจจากร่างเล็กที่อ่อนระทวยราวกับผักโดนแดดเผา

                    “สำหรับความผิดเมื่อกี้นี้” เขาคืนอิสรภาพให้เธอเพียงครู่ ก่อนจองจำเธออีกครั้งด้วยจุมพิตที่ยาวนานและละมุนละไมกว่าครั้งแรก

                    “สำหรับหนี้เก่าที่ยังไม่ได้ชำระ” ชายหนุ่มถอนริมฝีปากร้ายกาจก่อนอธิบายบทลงโทษด้วยเสียงอันแหบพร่าและดวงตาเป็นประกาย จนหญิงสาวขนลุกขนพองแต่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เนื่องจากผู้กองหนุ่มกักขังเธอไว้ด้วยร่างกายอันแข็งแกร่งของเขา แม้จะมีหมอนกั้นและเขาใช้ข้อศอกค้ำเอาไว้แต่ปราณปรียากลับรู้สึกถึงความอุ่นร้อนจนแทบไหม้

                    “อย่านะ..” ปราณปรียาเม้มปากแน่นพร้อมกับส่งเสียงประท้วงในลำคอเมื่อผู้กองภวินท์โน้มใบหน้าลงมาใกล้เธออีก

                    “อะไร ยังไม่ได้คิดดอกเบี้ยเลยนะ” เขาบอกพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ปราณปรียารีบเบือนหน้าหลบไปอีกทางชายหนุ่มจึงได้แต่ฝากจุมพิตไว้บนแก้มเนียนแทน

                    “ใจร้าย ชอบรังแกคนไม่มีทางสู้”  ปราณปรียาตัดพ้อเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคามอย่างหนัก

                    “ก็ไม่ได้บอกว่าไม่ให้สู้นี่” ผู้กองภวินท์ยังไม่เลิกยียวนแม้จะทราบดีว่าเขากำลังพาตัวเองเข้าไปเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

                    “งั้นหรา..”

                    “โอ๊ย ! อ๊าก !” ผู้กองหนุ่มร้องเสียงหลงและรีบพลิกตัวหนีกรงเล็บนางพญาอย่างรวดเร็ว ถึงอย่างนั้นสีข้างของเขาก็ปรากฏรอยจ้ำสีแดงและมีรอยเลือดออกซิบๆ เมื่อเขาถลกเสื้อขึ้นดู

                    “ช่วยไม่ได้อยากหาเรื่องเอง” ปราณปรียารีบลุกไปยืนหน้าประตูพร้อมกับโทษว่าเป็นความผิดของอีกฝ่าย ผู้กองหนุ่มทำหน้าเหยเกขณะที่ลูบไปบนรอยเล็บจิกข้างลำตัว

                    “ฉีดยาหรือยังก็ไม่รู้” เขาแกล้งว่า

                    “พี่วินบ้า ต่ายไม่ใช่หมานะ” ปราณปรียาเลือดขึ้นหน้ากับคำกล่าวหาของเขาทันที ผู้ชายอะไรกันปากคอเราะร้ายเป็นที่สุด

                    “อ้อ ลืมไปว่าเราเป็นกระต่าย” เขาลอยหน้าลอยตายิ้มยั่วคนที่โกรธจนตัวสั่นและทำหน้าราวกับจะกระโดดงับผู้กองหนุ่มให้จมเขี้ยวถ้าหากทำได้

                    “จะกวนประสาทกันให้ได้เลยใช่ไหม ฮึ่ม !” ปราณปรียาสุดจะทนกับความยียวนของผู้กองหนุ่ม หญิงสาวคว้าหมอนข้างกระหน่ำตีใส่เขาอย่างลุแก่โทสะ ส่วนอีกฝ่ายทำได้เพียงกระโดดหลบไปมาบนที่นอนก่อนจะได้จังหวะคว้าหมอนไว้เสียเองพร้อมกับส่งสายตาคาดโทษชนิดที่หญิงสาวเห็นแล้วต้องขนลุก ปราณปรียารีบโกนแนบออกจากห้องทันทีก่อนที่จะโดนบทลงโทษอันแสนทรมานจากเขา ผู้กองภวินท์ยังไม่วายตะโกนไล่หลังตามไปอีก

                    “อ้าว..นึกว่าจะแน่” เขายิ้มกว้างอย่างมีความสุขก่อนที่ดวงตาคู่คมจะหม่นแสงลงด้วยตระหนักถึงภาระหน้าที่ที่รออยู่ภายหน้า

                   

                    นางอรทัยเลื่อนมือไปบนสมาร์ทโฟนกลางเก่ากลางใหม่ซึ่งมีรูปภาพในหลากหลายอิริยาบถของหญิงสาวผิวขาว ดวงตากลมโตซึ่งนางคุ้นหน้าเป็นอย่างดีจนมาหยุดที่ภาพของหญิงสูงวัยซึ่งยืนหันหลังในมือถือกรรไกรตัดกิ่งอันเล็กมองเห็นเพียงเสี้ยวหน้าที่มีรอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏอยู่ นอกจากนั้นยังมีอีกหลายภาพซึ่งล้วนเป็นการแอบถ่ายทั้งสิ้น มืออันผ่านประสบการณ์ชีวิตมายาวนานสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกสะเทือนใจจนไม่สามารถประคองโทรศัพท์ไว้ได้อีกต่อไป

                    ( ฉันยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่พ่อที่ดีนัก และก็ไม่ได้คิดจะมาหาเรื่องทะเลาะกับเธออีกแต่เพราะความสุขของคนเป็นพ่อเป็นแม่คือการได้เห็นลูกมีความสุขมิใช่หรือ... ) คำพูดของภาคภูมิในวันที่เขาแวะเวียนมาล่ำลาถึงไร่ภูธรดังก้องขึ้น

                    ( ปล่อยวางเรื่องในอดีตเสียเถิด อโหสิกรรมให้กับความเลวที่ฉันเคยทำไว้กับเธอได้ไหม เราต่างก็เดินกันมาไกลจนเกือบสุดทางกันทุกคนแล้ว แต่ตาวินยังต้องเดินต่อซึ่งวันข้างหน้าเราอาจจะไม่ได้อยู่กับเขา สู้เราใช้เวลาที่เหลืออยู่คอยมองดูความสุขของคนที่เรารักไม่ดีกว่าหรือ )

                    นางอรทัยจำได้ดีว่าในวันนั้นได้แต่นั่งนิ่งฟังภาคภูมิโดยไม่ได้โต้แย้งใดๆ แม้จะตระหนักดีถึงความจริงตามที่อดีตสามีได้กล่าวมาแต่ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับบุตรชายดูเหมือนจะเกินเยียวยา ตลอดเวลาที่ผ่านมานางได้ทำร้ายจิตใจของภวินท์จนแทบไม่เหลือชิ้นดีด้วยมือของนางเอง นายแม่แห่งไร่ภูธรปล่อยให้น้ำตาแห่งความพ่ายแพ้พรั่งพรูออกมาอย่างไม่สนใจใยดี นางแพ้ให้กับความรัก..ความรักของบุตรชายเพียงคนเดียวที่เพียรมอบให้มาโดยตลอด

                    “แม่ขอโทษ...ตาวิน...แม่ขอโทษ” นางอรทัยรำพึงพลางสะอื้นไห้จนตัวโยนความอัดอั้นตันใจถูกระบายออกมาทางน้ำตาราวกับเขื่อนพังและเป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกถึงความเป็นอิสระจากทิฐิทั้งปวงที่เคยแบกเอาไว้

                    “นายแม่คะ เตรียมของใส่บาตรเรียบร้อยแล้วค่ะ” เสียงนางสมใจลอยผ่านประตูห้องเข้ามา นางอรทัยใช้กระดาษทิชชูซับน้ำตาพร้อมกับสำรวจตัวเองในกระจกก่อนขานรับแม่บ้านคนสนิท

                    “เดี๋ยวฉันตามลงไปจ้ะพี่สมใจ” นางอรทัยบังคับเสียงให้เป็นปกติมากที่สุดเพราะไม่อยากให้นางสมใจต้องเป็นกังวล ขณะที่เปิดลิ้นชักหน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อเก็บโทรศัพท์แรงสะเทือนทำให้ขวดน้ำมันมะพร้าวซึ่งนางอรทัยใช้เป็นประจำตกลงมาแตกกระจาย

                    “ค่อยกลับมาเก็บทีหลังแล้วกัน...ว้าย !” นางอรทัยรีบร้อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจึงเผลอเหยียบน้ำมันที่หกเลอะอยู่บนพื้นห้องเป็นผลให้นางหงายหลังลงไปกองกับพื้น ความรู้สึกเจ็บร้าวแผ่ไปทั่วร่างและนายแม่แห่งไร่ภูธรไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้อีก

                    “ตายจริง ! นายแม่เป็นยังไงบ้างคะ” นางสมใจตีอกผางด้วยความตกใจทันทีที่ผลักบานประตูเข้ามาได้

                    “ระวังพี่สมใจ” แม้จะขยับไม่ได้แต่นางอรทัยกลับนึกถึงความปลอดภัยของแม่บ้าน นางสมใจหลุบตามองตามผู้เป็นนายจึงได้เห็นว่ามีเศษแก้วและคราบน้ำมันเปื้อนเปรอะทั่วบริเวณ

                    “ตามอรุณ หรือไม่ก็สมยศมาทีตอนนี้ฉันขยับตัวไม่ได้เลย” นายแม่ออกคำสั่งราวกับอยู่ในภาวะปกติแต่กลับเป็นนางสมใจที่งกๆ เงินๆ ทำตัวไม่ถูกกว่าจะตั้งสติได้และรีบไปตามคำสั่ง นางอรทัยได้แต่นอนแผ่หลาไปกับพื้นเพราะแม้กระทั่งแรงสะเทือนจากการหายใจก็ยังสร้างความเจ็บปวดได้อย่างมหันต์

                    ผู้กองภวินท์และปราณปรียาจำต้องยกเลิกการเดินทางไปยังไร่ภูธรโดยเปลี่ยนสถานที่เป็นโรงพยาบาลแทนหลังจากที่ได้รับข่าวจากอรุณสวัสดิ์ ทั้งดาวประกายและจ่าสมยศต่างก็ตามมาสมทบที่หน้าห้องอุบัติเหตุฉุกเฉินโดยมีอรุณสวัสดิ์ซึ่งมาพร้อมรถพยาบาลนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

                    “คุณแม่เป็นยังไงบ้าง” ผู้กองภวินท์รีบปรี่เข้าไปหาอรุณสวัสดิ์ด้วยความร้อนใจ ส่วนปราณปรียาเดินแยกไปทางจ่าสมยศและดาวประกายที่ต่างก็มีสีหน้าร้อนใจไม่แพ้กัน

                    “หมอยังไม่ออกมาเลย” อรุณสวัสดิ์ตอบด้วยสีหน้าเป็นกังวลเช่นกัน เพราะไม่เคยมีสักครั้งที่นายแม่ผู้แข็งแกร่งต้องพึ่งพาโรงพยาบาล

                    ผู้กองหนุ่มนั่งลงข้างกันกับญาติผู้พี่โดยไม่ได้พูดคุยกันอีก ด้วยต่างก็จดจ่ออยู่ที่ประตูห้องฉุกเฉิน มีเพียงเสียงพูดคุยแบบกระซิบของสองสาวอย่างดาวประกายและปราณปรียาที่ต่างก็สอบถามสารทุกสุขดิบของแต่ละฝ่าย เพราะตั้งแต่ดาวประกายย้ายไปอยู่ไร่ภูธรเธอก็แทบไม่มีเพื่อนคุยเมื่อกลับมาที่ห้องพัก จ่าสมยศเองก็เทียวไปเทียวกลับระหว่างไร่กับโรงพักและแวะมาทำความสะอาดห้องพักบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น

                    ไม่นานผู้กำกับจักรวาลและหมวดศรุตก็ตามมาสมทบในชุดเครื่องแบบครึ่งท่อนทั้งคู่ บรรดาสุภาพบุรุษจึงมานั่งรวมตัวกันหน้าห้องฉุกเฉินส่วนปราณปรียากับดาวประกายรับหน้าที่หาอาหารรองท้องสำหรับทุกคน และพวกเธอได้พบกับยุพาที่ห้องอาหารจากการพูดคุยสอบถามจนได้ความ นางพยาบาลสาวจึงตัดสินใจยกเลิกวันลาของเธอทันทีด้วยความรู้สึกเป็นห่วงนายแม่แห่งไร่ภูธร

                    ทันทีที่นายแพทย์มานพเดินออกมาจากห้องตรวจทุกคนต่างลุกขึ้นยืนเกือบจะพร้อมกัน จนหมอใหญ่ผู้มากประสบการณ์ถึงกับตกใจด้วยนึกว่าตนกำลังจะโดนชายฉกรรจ์รุมกระทำมิดีมิร้ายเสียแล้ว

                    “ยายอรเป็นอย่างไรบ้างหมอ” ผู้กำกับจักรวาลเอ่ยถามก่อนใครในฐานะที่เป็นเพื่อนสนิทกับนายแพทย์ใหญ่

                    “คนไข้เพียงแค่กล้ามเนื้ออักเสบส่วนอื่นไม่มีอะไรเสียหาย แต่ก็ยังต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะคนอายุมากเวลาหกล้มมาไม่เหมือนคนหนุ่มคนสาว” นายแพทย์มานพอธิบายตามหลักการ

                    “สองสามวันนี้อาจจะยังเดินเองไม่ไหวก็ต้องพยายามให้ขยับร่างกายบ้าง ไอ้โรคนี้ถ้ายิ่งปวดยิ่งนอนสุดท้ายอาจลุกลามเป็นอัมพฤกษ์อัมพาธได้ง่ายๆ” ประโยคหลังนี้ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าสลดลงไปอีก

                    “ขอเข้าไปได้ไหมครับ” ผู้กองภวินท์เอ่ยขอ ซึ่งนายแพทย์มานพอนุญาตให้เขาเข้าไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้นเพราะคนไข้อยู่ระหว่างรอดูอาการอย่างใกล้ชิดในห้องฉุกเฉิน

                    ผู้กองหนุ่มเดินผ่านเตียงคนไข้สองสามรายมาหยุดยืนข้างเตียงซึ่งไม่บ่อยนักที่เขาจะมีโอกาสได้เป็นคนเฝ้าไข้เพราะส่วนใหญ่แล้วเขามักเป็นคนที่นอนอยู่บนเตียงนั่นเสียเอง ใบหน้าของนายแม่แห่งไร่ภูธรดูซีดเซียวผิดจากปกติซึ่งใครๆ มักนึกว่าสตรีนางนี้คือหญิงแกร่งผู้ไม่เคยอ่อนข้อให้ใคร แม้แต่โรคภัยไข้เจ็บยังไม่ใคร่จะเบียดเบียนได้สำเร็จ นางอรทัยพยายามเอียงหน้ามาทางบุตรชายแต่การกระทำนั้นกลับทำให้ความเจ็บปวดที่เหมือนจะทุเลาลงเพราะฤทธิ์ยากลับมาอีกครั้ง

                    “โอย...”

                    “อย่าเพิ่งขยับตัวเลยครับคุณแม่”  ชายหนุ่มรีบขยับเข้าไปชิดขอบเตียงด้วยความเป็นห่วง และประคองศีรษะมารดาให้ตั้งตรงอีกครั้ง ความรู้สึกสับสนลังเลใจกำลังรบกวนเขาอย่างหนัก ด้วยภาระหน้าที่ที่รออยู่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

                    “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เป็นภาระให้แกหรอก” นางอรทัยอดตัดพ้อตามประสาไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของบุตรชาย

                    “ผมไม่เคยคิดว่าแม่เป็นภาระเลยสักครั้ง ผมต่างหากที่คอยแต่ขัดใจและไม่ได้ดังใจแม่สักอย่าง” เขาโพล่งออกมาอย่างเหลืออดกับความเจ้าทิฐิของมารดา กระทั่งนอนป่วยไม่สบายก็ยังไม่วายประชดประชันเขาจนได้ ดูท่าว่าความสัมพันธ์ของเขากับนางอรทัยคงจะลุ่มๆ ดอนๆ อย่างนี้เรื่อยไป

                    “ฉัน..เอ่อ..ไม่ได้ตั้งใจ” นายแม่มีน้ำเสียงอ่อนลงเมื่อเริ่มตั้งสติและตระหนักถึงความจริงที่ผ่านมา ภวินท์ขยับเข้ามากุมมือมารดาไว้ด้วยมือทั้งสองของเขาโดยไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใดอีก แค่เพียงเท่านี้ก็ทำให้หัวใจของนางอรทัยชุ่มชื่นจนเอ่อล้นออกมาทางตา แม้ว่าไม่ได้มองการกระทำของบุตรชายแต่นางกลับสัมผัสได้ด้วยหัวใจ

                    “ผมเป็นห่วงและรักแม่เสมอนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยินเมื่อเห็นว่าผู้เป็นมารดากำลังเข้าสู่ภวังค์ด้วยฤทธิ์ยา โดยหารู้ไม่ว่านางอรทัยได้ยินถ้อยคำนั้นอย่างชัดเจนแม้จะอยู่ในอาการสะลึมสะลือเต็มทีแล้วก็ตาม

                    เออหนอ มนุษย์เรานี่ก็แปลกมักทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก มักล้อเล่นกับความรู้สึกของตนเอง บางเรื่องปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไปเสียเปล่าจนเกือบจะต้องสูญเสียหรือไม่มีเวลาได้แก้ตัว หากปล่อยวางตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้แล้วมาควบคุมจิตใจของตนเองแทนมนุษย์ก็คงจะพบกับความสุขสงบได้หาใช่เรื่องยากเย็น

    ************************************************************************************************

    สาธุ .............


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×