คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #51 : นายแพทย์กันต์
ช่วงนี้มีเวลา เลยแวะมาบ่อย ไม่ได้สปอยรีดเดอร์นะจ๊ะ..............
เค้าก็มีเร็วบ้าง ช้าบ้าง อย่าว่ากันเด้อ...
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
ผู้กองภวินท์ยกแก้วน้ำสีอำพันขึ้นจิบขณะที่มือเท้าอยู่ไม่สุขแต่ก็น้อยกว่าความปั่นป่วนในหัวใจของเขาเวลานี้
นี่ขนาดเห็นหน้าเห็นตากันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเขายังรู้สึกหวงแหนปราณปรียาได้ถึงเพียงนี้
ถ้าถึงวันที่ต้องไกลกันเขาจะมิแทบบ้าเลยหรืออย่างไร
“เบาๆ
หน่อยผู้กองประเดี๋ยวจะอยู่ไม่ทันจบงาน” สารวัตรอาเขตปรามอย่างรู้สถานการณ์
ผู้กองหนุ่มได้สติจึงเลื่อนแก้วใบนั้นไปทางอื่นพร้อมกับเสยผมลวกๆ
อย่างไม่สบอารมณ์กับภาพบาดตา
ความรักนี้หนอช่างมีอิทธิพลสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างแม้กระทั่งภูเขาสูงใหญ่
หรือน้ำแข็งขั้วโลกก็ยังพังทลายได้ด้วยอานุภาพของคำว่ารัก
ก็ดูเถิดผู้กองภวินท์ผู้เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว สงบนิ่งก็ยังมิอาจต้านทานไหว
การเต้นรำด้านหน้าเวทีดำเนินไปอย่างสนุกสนานโดยเฉพาะในช่วงของการเปลี่ยนคู่ซึ่งส่วนใหญ่ฝ่ายชายจะเป็นคนเดินเข้าหาฝ่ายหญิง
อาการเก้อเขินและท่าทางเงอะงะของพวกเขาเป็นที่ถูกอกถูกใจของท่านผู้ชมทั้งหลายราวกับเชียร์กีฬาเมื่อตอนกลางวันอย่างไรอย่างนั้น
เสียงนกหวีดที่ดังถี่ขึ้นราวกับคนเป่าชอบใจเหลือเกินทำให้มีการเวียนซ้ำกลับมาเจอกันอีกจนคนเต้นแทบจะไม่ได้จับจังหวะเลยด้วยซ้ำ
“เจอกันอีกแล้วนะครับ
เพลงใกล้จะจบแล้วด้วย” ร้อยโทกิตติเกริ่นนำ เมื่อเขาคำนวณเวลาคร่าวๆ แล้วว่าเกมกำลังจะจบและตอนนี้หวังเพียงอย่างเดียวว่าจะไม่มีเสียงนกหวีดดังขึ้นมาอีก
มิเช่นนั้นเขาอาจพลาดจากสาวน้อยตรงหน้าคนนี้ไป
ปราณปรียายิ้มตอบด้วยความเหนื่อยล้า
เธอภาวนาขอให้เกมนี้จบลงเสียทีและเธอไม่สนด้วยว่าหลังจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้นเพราะเท้าของเธอเริ่มปะท้วงหนักเข้าทุกที
คงเป็นเจ้าส้นสูงคู่ใหม่ที่ทรยศกัดเจ้าของเข้าให้
“เพลงใกล้จบแล้ว
น้องกระต่ายคงไม่พ้นอีตาร้อยโทกิตติแน่เลยค่ะ” สายสมรวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้า
ก่อนหันไปทางโต๊ะที่ผู้กองภวินท์นั่งอยู่
“ดูหน้าผู้กองสิคะน้องพิมพ์
จะปล่อยแสงใส่คู่เต้นรำน้องกระต่ายแล้วค่ะ”
“พี่หมอนก็ว่าไปนั่น
ผู้กองเป็นคนมีเหตุผลพอค่ะคงไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก”
พิมพ์ชนกยิ้มขำแม้จะเห็นจริงกับสายสมรเพราะถึงแม้ผู้กองภวินท์จะนั่งกอดอกอย่างสบายแต่แววตาของเขาดูน่ากลัวไม่น้อย
เสียงนกหวีดดังขึ้นจนได้
ผู้กองหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกอย่างน้อยคนที่จะได้ตั๋วหนังคู่กับปราณปรียาก็ไม่ใช่นายทหารหนุ่มมาดเท่ห์คนนี้
แต่แล้วเขาก็ต้องผิดหวังเมื่อสิ้นเสียงนกหวีดได้แค่อึดใจเพลงก็จบลงเช่นกัน
ทุกคู่เต้นรำยังไม่ได้ขยับตัวด้วยซ้ำ ผู้กองหนุ่มแทบคลั่งเมื่อเห็นรอยยิ้มและสายตาของร้อยโทกิตติที่ใช้มองปราณปรียา
และสิ่งที่เพิ่มอุณหภูมิขึ้นไปอีกคือปราณปรียายิ้มให้เจ้าหนุ่มนั่นเช่นกัน
“จะให้ผมไปรับกี่โมงดีครับ”
ร้อยโทกิตติถามขึ้นหลังจากที่กิจกรรมด้านหน้าเวทีเสร็จสิ้นและเขาเดินตามปราณปรียากลับมาที่โต๊ะซึ่งคนอื่นๆ
ลุกออกไปเต้นรำกันหมดแล้ว
“รับไปไหนหรือคะ”
ปราณปรียาทำหน้างงกลับมาหลังจากก้นแตะเก้าอี้เรียบร้อน
เพราะจิตใจมัวจดจ่ออยู่กับเท้าที่คาดว่าน่าจะพองได้การทีเดียว
ร้อยโทกิตติชูตั๋วหนังพร้อมกับทำหน้าเลียนแบบหญิงสาวเมื่อครู่
ปราณปรียาหัวเราะคิกให้กับความเพี้ยนของตัวเอง
“ตายจริงลืมไปเลยค่ะ
ผู้หมวดตามสบายเลยนะคะต่ายคงไปไม่ได้หรอกค่ะมีงานที่ต้องเคลียร์อีกเยอะเลย”
“ได้ยังไงล่ะครับ
ทำแบบนี้ก็ไม่สนองนโยบายนายสิครับ”
ผู้หมวดหนุ่มทำหน้าผิดหวังที่โดนปฏิเสธอย่างนุ่มนวลกลับมา
ปราณปรียาไม่ได้ยินประโยคดังกล่าวเนื่องจากเสียงบรรเลงเพลงลีลาศดังขึ้นอีกครา
และบรรดาผู้มาร่วมงานต่างก็จับจูงกันออกไปวาดลวดลายอย่างเต็มที่
“ว่ายังไงนะคะ”
ปราณปรียาเอียงหน้าเข้าไปใกล้ จังหวะเดียวกันร้อยโทกิตติก็ก้มลงมาเช่นกันภาพของทั้งสองจึงดูเหมือนคนที่สนิทสนมกันมาเนิ่นนาน
“ผมขอเบอร์โทรศัพท์คุณกระต่ายได้ไหมครับ
เผื่อพรุ่งนี้คุณว่างเราจะได้นัดกันใหม่” เขาเปลี่ยนเรื่องเป็นขอเบอร์โทรเสียดื้อๆ
ปราณปรียาได้แต่ทำท่าทางอึกอักด้วยไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลกลใดมาปฏิเสธโดยไม่ให้เสียน้ำใจกันทั้งสองฝ่าย
สายสมรกับพิมพ์ชนกก็เกิดมาหายตัวไปทั้งคู่ในเวลาที่เธอต้องการความช่วยเหลือ
“เอ่อ..คือ”
“อะแฮ่ม
ขอโทษนะครับที่ขัดจังหวะ”
เสียงทุ้มของผู้กองภวินท์ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเบื้องหลังนายทหารหนุ่มที่กำลังตั้งใจรอจดเบอร์โทรศัพท์จนเขาต้องรีบหันกลับไปมอง
สองหนุ่มที่มีรูปร่างและความสูงใกล้เคียงกันยืนประจันหน้าอย่างไม่มีใครคิดที่จะถอย
ปราณปรียามือเย็นเฉียบเมื่อเห็นสายตาเอาเรื่องของผู้กองหนุ่มของเธอ
“ไม่ทราบว่าคุณ...”
“ผมร้อยตำรวจเอกภวินท์ครับ
เป็นผู้ปกครองของปราณปรียา”
ผู้กองหนุ่มแนะนำตัวอย่างเป็นทางการแต่ประโยคสุดท้ายร้อยโทกิตติไม่อยากจะเชื่อนักเพราะสายตาที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจนั้นออกจะเกินเลยคำว่าผู้ปกครองอยู่มากโข
และถึงแม้ว่าปราณปรียาจะมีใบหน้าอ่อนวัยเขาก็แน่ใจว่าเธอน่าจะอายุเกินยี่สิบปีแล้ว
สงสัยงานนี้เขาคงจะเจอคนมีเจ้าของเข้าให้แล้ว
“ผมร้อยโทกิตติครับ
ยินดีที่ได้รู้จักผู้กองนะครับ”
ชายหนุ่มแนะนำตัวกลับอย่างสุภาพไม่มีประโยชน์ที่เขาจะสร้างศัตรูตั้งแต่วันแรกที่มาทำงาน
“ธุระของคุณเสร็จหรือยังครับ
ผมจะได้ขอตัวพาคนในปกครองกลับเสียที”
ผู้กองภวินท์ตัดบทหน้าตาเฉยพร้อมกับชำเลืองมองหญิงสาวแวบหนึ่ง
ก่อนหันมาสบตากับคู่สนทนา
“อะ
เอ่อ ครับ” นายทหารหนุ่มจำต้องล่าถอย “ไว้คุยกันใหม่นะครับคุณกระต่าย” ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่อยากจะใช้คำตัดใจเสียทีเดียว
แต่คราวนี้จำต้องถอยตั้งหลักเพื่อศึกษาคู่ต่อสู้เสียก่อนเห็นจะดีกว่า
“ขอโทษจริงๆ
นะคะผู้หมวด”
ปราณปรียายิ้มแบ่งรับแบ่งสู้พร้อมกับโบกมือส่งทางร้อยโทกิตติที่ทำหน้าปั้นยากจากไป
“วายร้าย
!” ปราณปรียาเบ้ปากพร้อมกับหันหลังให้คนที่ยืนทำหน้าดุราวกับเธอเป็นเด็กในความปกครองของเขา
ผู้กองภวินท์ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ
พร้อมกับกระซิบข้างใบหูเล็ก
“พี่ร้ายได้มากกว่านี้ถ้าไอ้หมอนั่นยังไม่เลิกตอแยเราเข้าใจไหม”
“พี่วินไม่มีเหตุผล
รู้ตัวไหมคะ” ปราณปรียาหันมาทำตาเขียวใส่ด้วยความโกรธ จอมวายร้ายในตอนแรกจึงถอยห่างและมีท่าทีอ่อนลง
ทั้งสองต่างนิ่งเงียบในขณะที่สรรพสิ่งรอบข้างเคลื่อนไหวและเสียงอันอึกทึกครึกโครม
ผู้กองภวินท์ไม่อยากจะโยนความผิดให้กับน้ำสีอำพันที่เขาดื่มเข้าไปไม่น้อยนั้นหรอก
หากจะโทษก็คงเป็นตัวและหัวใจของเขาเองที่อยู่ในสภาวะไม่ปกติ
เขารู้สึกสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นเมื่อเวลาแห่งการพลัดพรากใกล้เข้ามาทุกขณะ
“กลับกันเถอะค่ะ”
ปราณปรียาโพล่งขึ้นมาหลังจากที่เงียบอยู่นาน
“อืม..”
ชายหนุ่มแทบไม่มีเสียง
เขาลุกขึ้นยืนรอให้ปราณปรียาเดินนำหน้าไปก่อนราวกับกลัวว่าหญิงสาวจะคลาดสายตา
เสียงล้อรถเข็นและอุปกรณ์ทางการแพทย์กระทบกันดังแกร็กๆ
มาตามทางเดินบนตึกที่เป็นห้องพักคนไข้พิเศษ เป็นธรรมดาปกติทุกๆ
ชั่วโมงที่พยาบาลเวรจะต้องเข้าตรวจเช็คอาการของคนไข้ทุกห้อง
นายแพทย์กันต์สะดุ้งตื่นก่อนงัวเงียยกข้อมือขึ้นดูเวลา เขาเผลองีบหลับไปนานเกือบสามสิบนาทีนั่นแสดงว่าเหตุการณ์ปกติ
ไม่มีกรณีฉุกเฉิน
หมอหนุ่มลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายก่อนเดินไปเปิดตู้เย็นหลังเล็กเพื่อจะหานมหรืออะไรสักอย่างรองท้อง
เนื่องจากเขาทานมื้อค่ำเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจึงรู้สึกหิวขึ้นมาอีก
ยังไม่ทันที่จะคว้าอะไรได้โทรศัพท์ส่วนตัวของเขาก็ดังขึ้นเสียก่อน
“คนไข้อาการเป็นยังไงบ้าง”
นายแพทย์หนุ่มถามขึ้นทันทีที่มาถึงห้องพักคนไข้พิเศษซึ่งมีนางพยาบาลสามคนกำลังกุลีกุจออยู่รอบๆ
เตียงคนไข้ เมื่อเขามาถึงพวกเธอจึงหลีกทางให้อย่างรู้งาน
“คนไข้ชักค่ะ
ตัวเกร็ง มีไข้สูง” ยุพารายงานอาการคนไข้ของเธอซึ่งเป็นเพียงเด็กชายตัวน้อยอายุประมาณสองขวบเท่านั้นเอง
ขณะที่เธอลากเครื่องช่วยหายใจแบบครอบสำหรับเด็กมาที่ข้างเตียง
“ติดต่อคุณหมอเจ้าของไข้หรือยังครับ”
นายแพทย์กันต์ถามอีกในขณะที่เขาช่วยยุพาจัดแจงอุปกรณ์ครอบเข้าที่จมูกของเด็กน้อย
พลางมองดูมารดาของเด็กน้อยที่เอาแต่เดินร้องไห้กลับไปกลับมาภายในห้อง
“ติดต่อคุณหมอกรรชัยไม่ได้เลยค่ะ”
นางพยาบาลอีกคนรายงานขึ้น
“เอาล่ะช่วยกันเช็ดตัวให้ไข้ลดก่อน”
พอสิ้นคำสั่งพยาบาลอีกสองคนก็ตรงเข้ามาถอดเสื้อผ้าของเด็กชายตัวน้อยและช่วยกันเช็ดตัวไล่ตั้งแต่ปลายมือปลายเท้าขึ้นไปเพื่อเปิดรูขุมขน
แต่เด็กชายตัวอ้วนกลมยังคงตาค้างตัวเกร็งและลำตัวมีรอยคล้ำเป็นจุดๆ อย่างน่าสงสาร
ขณะที่มารดาของเด็กยืนกระสับกระส่ายน้ำตาไหลพรากอยู่ข้างๆ
“ใจเย็นๆ
นะคะคุณแม่ คุณหมอมาแล้วน้องจะต้องปลอดภัยค่ะ” ยุพาพยายามให้กำลังใจ
“ลูกดิฉันจะเป็นอะไรไหมคะคุณหมอ
แกจะเป็นอะไรไหมคะ คุณหมอช่วยลูกดิฉันด้วยนะคะ ฮือ ฮือ”
“ไม่ต้องห่วงนะครับเราจะช่วยอย่างสุดความสามารถ”
นายแพทย์กันต์ให้คำมั่นแม้ว่าเขาจะไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางเด็กแต่การช่วยเหลือชีวิตของคนไข้นั้นเป็นพื้นฐานของแพทย์ทุกคนอยู่แล้ว
ขณะที่พยาบาลช่วยกันรุมเช็ดตัวเจ้าเด็กน้อยพร้อมกับใช้เครื่องช่วยหายใจ
หมอหนุ่มก็พยายามติดต่อแพทย์เจ้าของไข้จนสำเร็จและสอบถามการรักษาเบื้องต้นและการวินิจฉัยอาการจนแน่ชัดว่าเขาควรจะไปต่อทิศทางใด
“กะพริบตาแล้วค่ะ”
ยุพาโพล่งขึ้นอย่างโล่งอกเมื่อเห็นการตอบสนอง
คนเป็นแม่ถึงกับปล่อยโฮเสียงดังอย่างดีใจ ทั้งแพทย์และพยาบาลมองหน้ากันและยิ้มอย่างโล่งอก
“ไข้ลดลงมาแล้วค่ะ”
นางพยาบาลอีกคนบอก
ก่อนจะรีบสวมเสื้อผ้ากลับคืนให้เด็กน้อยที่กะพริบตามองคนนั้นทีมองคนนี้ทีก่อนจะแผดเสียงร้องไห้เมื่อไม่เห็นว่าใครจะมีหน้าตาเหมือนมารดาของแก
หลังจากที่เหล่าพยาบาลเคลื่อนย้ายสัมภาระออกจากห้องแล้วเหลือเพียงนายแพทย์กันต์และยุพาซึ่งยังอยู่ดูอาการของเจ้าหนูน้อยต่อ
“ผมจะสั่งยาฆ่าเชื้อตัวใหม่ให้นะครับคุณแม่
พยายามอย่าให้ไข้น้องขึ้นสูงนะครับ เช็ดตัวให้แกบ่อยๆ ถึงจะร้องไห้งอแงก็ต้องเช็ดไม่อย่างนั้นแกอาจจะชักได้อีก
คุณแม่รู้ไหมครับว่าการที่เด็กชักแต่ละครั้งเซลล์สมองของเขาจะถูกทำลายไปด้วยเพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
ขอให้ช่วยกันนะครับเราเองก็จะคอยช่วยด้วย” หมอกันต์อธิบายตามสไตล์ของเขา
มารดาของเด็กได้แต่พยักหน้าตามอย่างตั้งใจ
หลังจากวินาทีอันตื่นเต้นผ่านพ้นไปก็เป็นเวลาเกือบห้าทุ่ม
เหล่าพยาบาลต่างเข้าประจำที่และทำงานของพวกเธอตามปกติราวกับไม่เคยมีเรื่องใดๆ
เกิดขึ้นมาก่อน นั่นเพราะความเป็นความตายของผู้คนจำนวนมากเป็นสิ่งที่พบเห็นจนชินตา
สิ่งเดียวที่พวกเขาและเธอต้องยึดมั่นคือจรรยาบรรณและวิชาชีพในการยื้อชีวิตมนุษย์ไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
ยุพาง่วนอยู่กับการเก็บและเช็คอุปกรณ์ในห้องเตรียมเครื่องมือซึ่งอยู่ติดกับเคาท์เตอร์ด้านหน้าทางเข้า
หลังจากที่จัดการกับใบสั่งยาของนายแพทย์กันต์เรียบร้อยแล้วเธอจึงกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองต่อก่อนที่จะส่งมอบความรับผิดชอบให้เวรถัดไป
“คุณหมอ
!” ยุพาอุทานด้วยความตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นร่างสูงยืนกอดอกพิงกรอบประตูอยู่อย่างเงียบเชียบ
“ตกใจขนาดนั้นเชียว
ผมไม่ใช่ผีสักหน่อย” หมอหนุ่มพูดเสียงเรียบพอๆ กับสีหน้าที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดของเขา
“คุณหมอจะเอาอะไรหรือเปล่าคะ”
ยุพาทำหน้าไม่ถูกและนึกไม่ออกว่านายแพทย์กันต์มีจุดประสงค์ใดกันแน่
“นางพยาบาลสาวไม่รู้ว่าเธอควรจะตอบโต้เขาด้วยวิธีใดได้ดีไปกว่าความเงียบเช่นกัน
หญิงสาวหันไปจัดของที่เหลืออีกสองสามอย่างต่อ
โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำของเธอได้กวนตะกอนในใจของชายหนุ่มขึ้นมาอีก
“หิวข้าว”
เขาพูดเสียงห้วน ยุพาทำเพียงเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่งก่อนหันกลับไปทำงานของเธอต่อ
“ยังไม่ทานข้าวหรือคะ”
หญิงสาวถามขึ้นหลังจากที่ต่างคนต่างเงียบ และงานของเธอเสร็จเรียบร้อย
“อือ...”
เขาครางรับในลำคอ ถึงกระนั้นคนฟังก็รู้สึกถึงความไม่สบอารมณ์นัก
นี่เธอกำลังเผชิญหน้ากับนายแพทย์กันต์คนไหนกันแน่ ระหว่างคุณหมอผู้มีอัธยาศัยดีหรือคุณหมอเจ้าอารมณ์เอาแต่ใจ
“ข้างนอกน่าจะมีบะหมี่
หรืออาหารกระป๋องบ้าง” ยุพาบอกพร้อมกับเดินผ่านหน้าหมอหนุ่มออกมาด้านนอกทางเดิน
“แต่ผมหิวข้าว”
ชายหนุ่มยังคงยืนกอดอกอยู่ที่เดิมราวกับเด็กที่โดนผู้ใหญ่ขัดใจไม่ยอมซื้อของเล่นให้เสียอย่างนั้น
หญิงสาวหันกลับมาพร้อมกับยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา
“ตอนนี้ห้องครัวคงปิดหมดแล้ว
และการทานมื้อดึกก็ไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ คุณหมอทานนมอุ่นๆ
สักแก้วพอให้นอนหลับน่าจะดีกว่า”
“ทำไมคุณถึงชอบขัดใจผมนักนะ”
หมอกันต์เปลี่ยนเป็นสาวเท้าเข้าหาพยาบาลสาวที่ยืนทำหน้างงกับคำพูดของเขาเมื่อครู่
รู้ตัวอีกทีชายหนุ่มก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอเสียแล้ว
“คุณหมอว่าอะไรนะคะ”
“วันที่ออกจากโรงพยาบาลผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะช่วยเก็บของคุณก็กลับไปก่อน
แล้วยังแบกสังขารมาทำงานอีกทั้งๆ ที่ผมบอกให้คุณพักผ่อน
คำพูดของผมไม่มีความหมายกับคุณเลยใช่ไหม” นายแพทย์กันต์ทำสีหน้าราวกับเจ็บปวดจากการกระทำของเธอ
ยุพารู้สึกมึนไปหมดตอนนี้เธอชักไม่แน่ใจว่าระหว่างเธอกับหมอกันต์ใครเพี้ยนกันแน่
หรือทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าเธอมันคือสิ่งที่สมองเธอสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงตัวเธอเอง
หญิงสาวควานมือหากล่องใส่ยาในกระเป๋าเสื้อและรีบล้วงขึ้นมาดู
ปรากฏเพียงความว่างเปล่าซึ่งหมายความว่าเธอไม่ได้ขาดยา
“ฉันเปล่าไม่ฟังนะคะ
แค่ไม่อยากจะรบกวนคุณหมอหรือใครอีกเพราะที่ผ่านมาฉันทำเรื่องไม่ดีกับทุกคนเอาไว้มาก”
ยุพาอธิบายถึงการกระทำที่ผ่านมาของเธอ
ซึ่งเธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดทำให้คุณหมอหนุ่มขวัญใจนางพยาบาลทั้งสาวเล็กสาวใหญ่เคืองขุ่นได้
“คิดเอง
เออเองทั้งนั้น ผมไม่ใช่คนประเภทสักแต่พูดไปวันๆ นะ” ตาตี่ของชายหนุ่มอ่อนแสงลงจากคราวแรกเมื่อเห็นท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวของอีกคน
“ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้คุณหมอรู้สึกไม่ดี
อย่าถือสาคนบ้าอย่างฉันเลยนะคะ” ยุพายกมือไหว้ด้วยความรู้สึกสำนึกผิดจริงๆ
เธอรู้ซึ้งถึงรสชาติของความโดดเดี่ยวดีแล้วจึงไม่อยากจะต้องผิดข้องหมองใจกับใครอีกโดยเฉพาะคนดีๆ
อย่างนายแพทย์กันต์
หมอหนุ่มตกใจเมื่อเห็นยุพายกมือไหว้ตัวเอง
เขารีบกุมมือของเธอไว้ก่อนที่ความรู้สึกผิดจะตกเป็นของเขาเสียเอง
ในเวลานี้เขาชักไม่แน่ใจเช่นกันว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นี้เพื่ออะไร เพราะอะไร
และทำไม
“คุณจะไหว้ผมทำไม”
เขาดุไม่จริงจังนัก
“คุณหมออย่าใส่ใจฉันเลยนะคะ
ถ้าเกิดว่าคุณหมอรู้สึกไม่ดีกับฉันขึ้นมาอีกคน ฉันคงจะแย่แน่เลยค่ะ” ยุพามือไม้สั่นพอๆ
กับแววตาและเสียงที่เริ่มสั่นเครือของเธอ ชายหนุ่มนึกอยากเขกกะโหลกตัวเองแรงๆ
สักทีเมื่อเขาเป็นต้นเหตุให้ยุพาเสียความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาอีก
เขาไม่สามารถที่จะอธิบายสิ่งที่เขาทำในตอนนี้ได้ไม่ใช่เพราะไม่อยากพูด
แต่เพราะเขาเองก็ยังไม่มั่นใจว่าเขาคิดถูกหรือไม่
“ไม่รู้สิ
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะต้องใส่ใจเรื่องของคุณด้วย”
หมอหนุ่มรำพึงแผ่วเบาเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า
และหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ไม่อาจได้ยินเนื่องจากเธอกำลังอยู่ในอาการสับสนจนเขานึกอยากดึงร่างสั่นเทานั้นเข้ามาปลอบประโลม
ความรู้สึกอยากปกป้องผู้หญิงคนนี้เกิดขึ้นอย่างที่เขาไม่สามารถจะตั้งรับได้ทันและไม่คาดคิดด้วยซ้ำ
ใครจะรู้ว่านางพยาบาลสาวที่เห็นหน้าค่าตากันอยู่ทุกวันและแทบจะไม่มีเรื่องอื่นคุยกันนอกจากเรื่องงาน
จนวันหนึ่งเมื่อได้สัมผัสกับตัวตนที่แท้จริงของเธอคนนี้เขากลับเกิดความรู้สึกประหลาดอย่างที่ไม่เคยมีกับใครมาก่อน
ทั้งๆ
ที่หญิงสาวเป็นตัวป่วนทำให้ใครต่อใครวุ่นวายกันไปหมดเพราะอดีตอันแสนปวดร้าวและภาวะอันแปรปรวนในจิตใจของเธอ
ยุพาก้มหน้าหลับตานิ่งเพื่อระงับอาการกระสับกระส่ายของตัวเอง
แต่กระนั้นคำพูดของนายแพทย์กันต์ยังวนเวียนอยู่ภายในหัว
เธอไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาที่ยังไม่ประสาเรื่องชายหญิง
แต่ต้องยอมรับว่าชายหนุ่มผู้นี้ทำให้เธอเกิดอาการสับสนราวกับยาระงับประสาทที่เธอใช้นั้นไม่ได้ผลกับเธออีกต่อไป
เสียงฝีเท้าดังฝ่าความเงียบใกล้เข้ามา
เรียกสติของยุพาให้นึกได้ว่าถึงเวลาที่เธอควรจะต้องพักร่างที่อ่อนล้าเสียที
หญิงสาวชักมือกลับซึ่งได้รับความร่วมมือจากนายแพทย์กันต์เป็นอย่างดี
“ถึงเวลาเปลี่ยนเวรแล้วฉันขอตัวนะคะคุณหมอ”
ยุพาเอ่ยลาพร้อมกับหันหลังเดินจากไปโดยไม่ได้รอฟังคำตอบจากหมอหนุ่มซึ่งเขาเองทำได้เพียงตอบรับเบาๆ
ในลำคอเท่านั้น
ก่อนหันหลังเดินไปอีกทางเพราะเขาเองก็ต้องการเวลาเพื่อทบทวนหัวใจของตัวเองเช่นกัน
*****************************************************************
ความคิดเห็น