ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวใจรักภูธร

    ลำดับตอนที่ #51 : นายแพทย์กันต์

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 694
      2
      15 ส.ค. 60

          ช่วงนี้มีเวลา เลยแวะมาบ่อย ไม่ได้สปอยรีดเดอร์นะจ๊ะ..............

    เค้าก็มีเร็วบ้าง ช้าบ้าง อย่าว่ากันเด้อ...          

    %%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%


                        ผู้กองภวินท์ยกแก้วน้ำสีอำพันขึ้นจิบขณะที่มือเท้าอยู่ไม่สุขแต่ก็น้อยกว่าความปั่นป่วนในหัวใจของเขาเวลานี้ นี่ขนาดเห็นหน้าเห็นตากันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเขายังรู้สึกหวงแหนปราณปรียาได้ถึงเพียงนี้ ถ้าถึงวันที่ต้องไกลกันเขาจะมิแทบบ้าเลยหรืออย่างไร

                    “เบาๆ หน่อยผู้กองประเดี๋ยวจะอยู่ไม่ทันจบงาน” สารวัตรอาเขตปรามอย่างรู้สถานการณ์ ผู้กองหนุ่มได้สติจึงเลื่อนแก้วใบนั้นไปทางอื่นพร้อมกับเสยผมลวกๆ อย่างไม่สบอารมณ์กับภาพบาดตา

                    ความรักนี้หนอช่างมีอิทธิพลสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างแม้กระทั่งภูเขาสูงใหญ่ หรือน้ำแข็งขั้วโลกก็ยังพังทลายได้ด้วยอานุภาพของคำว่ารัก ก็ดูเถิดผู้กองภวินท์ผู้เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว สงบนิ่งก็ยังมิอาจต้านทานไหว

                    การเต้นรำด้านหน้าเวทีดำเนินไปอย่างสนุกสนานโดยเฉพาะในช่วงของการเปลี่ยนคู่ซึ่งส่วนใหญ่ฝ่ายชายจะเป็นคนเดินเข้าหาฝ่ายหญิง อาการเก้อเขินและท่าทางเงอะงะของพวกเขาเป็นที่ถูกอกถูกใจของท่านผู้ชมทั้งหลายราวกับเชียร์กีฬาเมื่อตอนกลางวันอย่างไรอย่างนั้น เสียงนกหวีดที่ดังถี่ขึ้นราวกับคนเป่าชอบใจเหลือเกินทำให้มีการเวียนซ้ำกลับมาเจอกันอีกจนคนเต้นแทบจะไม่ได้จับจังหวะเลยด้วยซ้ำ

                    “เจอกันอีกแล้วนะครับ เพลงใกล้จะจบแล้วด้วย” ร้อยโทกิตติเกริ่นนำ เมื่อเขาคำนวณเวลาคร่าวๆ แล้วว่าเกมกำลังจะจบและตอนนี้หวังเพียงอย่างเดียวว่าจะไม่มีเสียงนกหวีดดังขึ้นมาอีก มิเช่นนั้นเขาอาจพลาดจากสาวน้อยตรงหน้าคนนี้ไป

                    ปราณปรียายิ้มตอบด้วยความเหนื่อยล้า เธอภาวนาขอให้เกมนี้จบลงเสียทีและเธอไม่สนด้วยว่าหลังจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้นเพราะเท้าของเธอเริ่มปะท้วงหนักเข้าทุกที คงเป็นเจ้าส้นสูงคู่ใหม่ที่ทรยศกัดเจ้าของเข้าให้

                    “เพลงใกล้จบแล้ว น้องกระต่ายคงไม่พ้นอีตาร้อยโทกิตติแน่เลยค่ะ” สายสมรวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้า ก่อนหันไปทางโต๊ะที่ผู้กองภวินท์นั่งอยู่

                    “ดูหน้าผู้กองสิคะน้องพิมพ์ จะปล่อยแสงใส่คู่เต้นรำน้องกระต่ายแล้วค่ะ”

                    “พี่หมอนก็ว่าไปนั่น ผู้กองเป็นคนมีเหตุผลพอค่ะคงไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก” พิมพ์ชนกยิ้มขำแม้จะเห็นจริงกับสายสมรเพราะถึงแม้ผู้กองภวินท์จะนั่งกอดอกอย่างสบายแต่แววตาของเขาดูน่ากลัวไม่น้อย

                    เสียงนกหวีดดังขึ้นจนได้ ผู้กองหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกอย่างน้อยคนที่จะได้ตั๋วหนังคู่กับปราณปรียาก็ไม่ใช่นายทหารหนุ่มมาดเท่ห์คนนี้ แต่แล้วเขาก็ต้องผิดหวังเมื่อสิ้นเสียงนกหวีดได้แค่อึดใจเพลงก็จบลงเช่นกัน ทุกคู่เต้นรำยังไม่ได้ขยับตัวด้วยซ้ำ ผู้กองหนุ่มแทบคลั่งเมื่อเห็นรอยยิ้มและสายตาของร้อยโทกิตติที่ใช้มองปราณปรียา และสิ่งที่เพิ่มอุณหภูมิขึ้นไปอีกคือปราณปรียายิ้มให้เจ้าหนุ่มนั่นเช่นกัน

                    “จะให้ผมไปรับกี่โมงดีครับ” ร้อยโทกิตติถามขึ้นหลังจากที่กิจกรรมด้านหน้าเวทีเสร็จสิ้นและเขาเดินตามปราณปรียากลับมาที่โต๊ะซึ่งคนอื่นๆ ลุกออกไปเต้นรำกันหมดแล้ว

                    “รับไปไหนหรือคะ” ปราณปรียาทำหน้างงกลับมาหลังจากก้นแตะเก้าอี้เรียบร้อน เพราะจิตใจมัวจดจ่ออยู่กับเท้าที่คาดว่าน่าจะพองได้การทีเดียว

                    ร้อยโทกิตติชูตั๋วหนังพร้อมกับทำหน้าเลียนแบบหญิงสาวเมื่อครู่ ปราณปรียาหัวเราะคิกให้กับความเพี้ยนของตัวเอง

                    “ตายจริงลืมไปเลยค่ะ ผู้หมวดตามสบายเลยนะคะต่ายคงไปไม่ได้หรอกค่ะมีงานที่ต้องเคลียร์อีกเยอะเลย”

                    “ได้ยังไงล่ะครับ ทำแบบนี้ก็ไม่สนองนโยบายนายสิครับ” ผู้หมวดหนุ่มทำหน้าผิดหวังที่โดนปฏิเสธอย่างนุ่มนวลกลับมา ปราณปรียาไม่ได้ยินประโยคดังกล่าวเนื่องจากเสียงบรรเลงเพลงลีลาศดังขึ้นอีกครา และบรรดาผู้มาร่วมงานต่างก็จับจูงกันออกไปวาดลวดลายอย่างเต็มที่

                    “ว่ายังไงนะคะ” ปราณปรียาเอียงหน้าเข้าไปใกล้ จังหวะเดียวกันร้อยโทกิตติก็ก้มลงมาเช่นกันภาพของทั้งสองจึงดูเหมือนคนที่สนิทสนมกันมาเนิ่นนาน

                    “ผมขอเบอร์โทรศัพท์คุณกระต่ายได้ไหมครับ เผื่อพรุ่งนี้คุณว่างเราจะได้นัดกันใหม่” เขาเปลี่ยนเรื่องเป็นขอเบอร์โทรเสียดื้อๆ ปราณปรียาได้แต่ทำท่าทางอึกอักด้วยไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลกลใดมาปฏิเสธโดยไม่ให้เสียน้ำใจกันทั้งสองฝ่าย สายสมรกับพิมพ์ชนกก็เกิดมาหายตัวไปทั้งคู่ในเวลาที่เธอต้องการความช่วยเหลือ

                    “เอ่อ..คือ”

                    “อะแฮ่ม ขอโทษนะครับที่ขัดจังหวะ” เสียงทุ้มของผู้กองภวินท์ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเบื้องหลังนายทหารหนุ่มที่กำลังตั้งใจรอจดเบอร์โทรศัพท์จนเขาต้องรีบหันกลับไปมอง สองหนุ่มที่มีรูปร่างและความสูงใกล้เคียงกันยืนประจันหน้าอย่างไม่มีใครคิดที่จะถอย ปราณปรียามือเย็นเฉียบเมื่อเห็นสายตาเอาเรื่องของผู้กองหนุ่มของเธอ

                    “ไม่ทราบว่าคุณ...”

                    “ผมร้อยตำรวจเอกภวินท์ครับ เป็นผู้ปกครองของปราณปรียา” ผู้กองหนุ่มแนะนำตัวอย่างเป็นทางการแต่ประโยคสุดท้ายร้อยโทกิตติไม่อยากจะเชื่อนักเพราะสายตาที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจนั้นออกจะเกินเลยคำว่าผู้ปกครองอยู่มากโข และถึงแม้ว่าปราณปรียาจะมีใบหน้าอ่อนวัยเขาก็แน่ใจว่าเธอน่าจะอายุเกินยี่สิบปีแล้ว สงสัยงานนี้เขาคงจะเจอคนมีเจ้าของเข้าให้แล้ว

                    “ผมร้อยโทกิตติครับ ยินดีที่ได้รู้จักผู้กองนะครับ” ชายหนุ่มแนะนำตัวกลับอย่างสุภาพไม่มีประโยชน์ที่เขาจะสร้างศัตรูตั้งแต่วันแรกที่มาทำงาน

                    “ธุระของคุณเสร็จหรือยังครับ ผมจะได้ขอตัวพาคนในปกครองกลับเสียที” ผู้กองภวินท์ตัดบทหน้าตาเฉยพร้อมกับชำเลืองมองหญิงสาวแวบหนึ่ง ก่อนหันมาสบตากับคู่สนทนา

                    “อะ เอ่อ ครับ” นายทหารหนุ่มจำต้องล่าถอย “ไว้คุยกันใหม่นะครับคุณกระต่าย” ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่อยากจะใช้คำตัดใจเสียทีเดียว แต่คราวนี้จำต้องถอยตั้งหลักเพื่อศึกษาคู่ต่อสู้เสียก่อนเห็นจะดีกว่า

                    “ขอโทษจริงๆ นะคะผู้หมวด” ปราณปรียายิ้มแบ่งรับแบ่งสู้พร้อมกับโบกมือส่งทางร้อยโทกิตติที่ทำหน้าปั้นยากจากไป

                    “วายร้าย !” ปราณปรียาเบ้ปากพร้อมกับหันหลังให้คนที่ยืนทำหน้าดุราวกับเธอเป็นเด็กในความปกครองของเขา

                    ผู้กองภวินท์ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ พร้อมกับกระซิบข้างใบหูเล็ก

                     “พี่ร้ายได้มากกว่านี้ถ้าไอ้หมอนั่นยังไม่เลิกตอแยเราเข้าใจไหม”

                    “พี่วินไม่มีเหตุผล รู้ตัวไหมคะ” ปราณปรียาหันมาทำตาเขียวใส่ด้วยความโกรธ จอมวายร้ายในตอนแรกจึงถอยห่างและมีท่าทีอ่อนลง ทั้งสองต่างนิ่งเงียบในขณะที่สรรพสิ่งรอบข้างเคลื่อนไหวและเสียงอันอึกทึกครึกโครม                       

                    ผู้กองภวินท์ไม่อยากจะโยนความผิดให้กับน้ำสีอำพันที่เขาดื่มเข้าไปไม่น้อยนั้นหรอก หากจะโทษก็คงเป็นตัวและหัวใจของเขาเองที่อยู่ในสภาวะไม่ปกติ เขารู้สึกสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นเมื่อเวลาแห่งการพลัดพรากใกล้เข้ามาทุกขณะ

                    “กลับกันเถอะค่ะ” ปราณปรียาโพล่งขึ้นมาหลังจากที่เงียบอยู่นาน

                    “อืม..” ชายหนุ่มแทบไม่มีเสียง เขาลุกขึ้นยืนรอให้ปราณปรียาเดินนำหน้าไปก่อนราวกับกลัวว่าหญิงสาวจะคลาดสายตา

     

                    เสียงล้อรถเข็นและอุปกรณ์ทางการแพทย์กระทบกันดังแกร็กๆ มาตามทางเดินบนตึกที่เป็นห้องพักคนไข้พิเศษ เป็นธรรมดาปกติทุกๆ ชั่วโมงที่พยาบาลเวรจะต้องเข้าตรวจเช็คอาการของคนไข้ทุกห้อง นายแพทย์กันต์สะดุ้งตื่นก่อนงัวเงียยกข้อมือขึ้นดูเวลา เขาเผลองีบหลับไปนานเกือบสามสิบนาทีนั่นแสดงว่าเหตุการณ์ปกติ ไม่มีกรณีฉุกเฉิน หมอหนุ่มลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายก่อนเดินไปเปิดตู้เย็นหลังเล็กเพื่อจะหานมหรืออะไรสักอย่างรองท้อง เนื่องจากเขาทานมื้อค่ำเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจึงรู้สึกหิวขึ้นมาอีก ยังไม่ทันที่จะคว้าอะไรได้โทรศัพท์ส่วนตัวของเขาก็ดังขึ้นเสียก่อน

                    “คนไข้อาการเป็นยังไงบ้าง” นายแพทย์หนุ่มถามขึ้นทันทีที่มาถึงห้องพักคนไข้พิเศษซึ่งมีนางพยาบาลสามคนกำลังกุลีกุจออยู่รอบๆ เตียงคนไข้ เมื่อเขามาถึงพวกเธอจึงหลีกทางให้อย่างรู้งาน

                    “คนไข้ชักค่ะ ตัวเกร็ง มีไข้สูง” ยุพารายงานอาการคนไข้ของเธอซึ่งเป็นเพียงเด็กชายตัวน้อยอายุประมาณสองขวบเท่านั้นเอง ขณะที่เธอลากเครื่องช่วยหายใจแบบครอบสำหรับเด็กมาที่ข้างเตียง

                    “ติดต่อคุณหมอเจ้าของไข้หรือยังครับ” นายแพทย์กันต์ถามอีกในขณะที่เขาช่วยยุพาจัดแจงอุปกรณ์ครอบเข้าที่จมูกของเด็กน้อย พลางมองดูมารดาของเด็กน้อยที่เอาแต่เดินร้องไห้กลับไปกลับมาภายในห้อง

                    “ติดต่อคุณหมอกรรชัยไม่ได้เลยค่ะ” นางพยาบาลอีกคนรายงานขึ้น

                    “เอาล่ะช่วยกันเช็ดตัวให้ไข้ลดก่อน” พอสิ้นคำสั่งพยาบาลอีกสองคนก็ตรงเข้ามาถอดเสื้อผ้าของเด็กชายตัวน้อยและช่วยกันเช็ดตัวไล่ตั้งแต่ปลายมือปลายเท้าขึ้นไปเพื่อเปิดรูขุมขน แต่เด็กชายตัวอ้วนกลมยังคงตาค้างตัวเกร็งและลำตัวมีรอยคล้ำเป็นจุดๆ อย่างน่าสงสาร ขณะที่มารดาของเด็กยืนกระสับกระส่ายน้ำตาไหลพรากอยู่ข้างๆ

                    “ใจเย็นๆ นะคะคุณแม่ คุณหมอมาแล้วน้องจะต้องปลอดภัยค่ะ” ยุพาพยายามให้กำลังใจ

                    “ลูกดิฉันจะเป็นอะไรไหมคะคุณหมอ แกจะเป็นอะไรไหมคะ คุณหมอช่วยลูกดิฉันด้วยนะคะ ฮือ ฮือ”

                    “ไม่ต้องห่วงนะครับเราจะช่วยอย่างสุดความสามารถ” นายแพทย์กันต์ให้คำมั่นแม้ว่าเขาจะไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางเด็กแต่การช่วยเหลือชีวิตของคนไข้นั้นเป็นพื้นฐานของแพทย์ทุกคนอยู่แล้ว ขณะที่พยาบาลช่วยกันรุมเช็ดตัวเจ้าเด็กน้อยพร้อมกับใช้เครื่องช่วยหายใจ หมอหนุ่มก็พยายามติดต่อแพทย์เจ้าของไข้จนสำเร็จและสอบถามการรักษาเบื้องต้นและการวินิจฉัยอาการจนแน่ชัดว่าเขาควรจะไปต่อทิศทางใด

                    “กะพริบตาแล้วค่ะ” ยุพาโพล่งขึ้นอย่างโล่งอกเมื่อเห็นการตอบสนอง คนเป็นแม่ถึงกับปล่อยโฮเสียงดังอย่างดีใจ ทั้งแพทย์และพยาบาลมองหน้ากันและยิ้มอย่างโล่งอก

                    “ไข้ลดลงมาแล้วค่ะ” นางพยาบาลอีกคนบอก ก่อนจะรีบสวมเสื้อผ้ากลับคืนให้เด็กน้อยที่กะพริบตามองคนนั้นทีมองคนนี้ทีก่อนจะแผดเสียงร้องไห้เมื่อไม่เห็นว่าใครจะมีหน้าตาเหมือนมารดาของแก

                    หลังจากที่เหล่าพยาบาลเคลื่อนย้ายสัมภาระออกจากห้องแล้วเหลือเพียงนายแพทย์กันต์และยุพาซึ่งยังอยู่ดูอาการของเจ้าหนูน้อยต่อ

                    “ผมจะสั่งยาฆ่าเชื้อตัวใหม่ให้นะครับคุณแม่ พยายามอย่าให้ไข้น้องขึ้นสูงนะครับ เช็ดตัวให้แกบ่อยๆ ถึงจะร้องไห้งอแงก็ต้องเช็ดไม่อย่างนั้นแกอาจจะชักได้อีก คุณแม่รู้ไหมครับว่าการที่เด็กชักแต่ละครั้งเซลล์สมองของเขาจะถูกทำลายไปด้วยเพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน ขอให้ช่วยกันนะครับเราเองก็จะคอยช่วยด้วย” หมอกันต์อธิบายตามสไตล์ของเขา มารดาของเด็กได้แต่พยักหน้าตามอย่างตั้งใจ

                    หลังจากวินาทีอันตื่นเต้นผ่านพ้นไปก็เป็นเวลาเกือบห้าทุ่ม เหล่าพยาบาลต่างเข้าประจำที่และทำงานของพวกเธอตามปกติราวกับไม่เคยมีเรื่องใดๆ เกิดขึ้นมาก่อน นั่นเพราะความเป็นความตายของผู้คนจำนวนมากเป็นสิ่งที่พบเห็นจนชินตา สิ่งเดียวที่พวกเขาและเธอต้องยึดมั่นคือจรรยาบรรณและวิชาชีพในการยื้อชีวิตมนุษย์ไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

                    ยุพาง่วนอยู่กับการเก็บและเช็คอุปกรณ์ในห้องเตรียมเครื่องมือซึ่งอยู่ติดกับเคาท์เตอร์ด้านหน้าทางเข้า หลังจากที่จัดการกับใบสั่งยาของนายแพทย์กันต์เรียบร้อยแล้วเธอจึงกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองต่อก่อนที่จะส่งมอบความรับผิดชอบให้เวรถัดไป

                    “คุณหมอ !” ยุพาอุทานด้วยความตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นร่างสูงยืนกอดอกพิงกรอบประตูอยู่อย่างเงียบเชียบ

                    “ตกใจขนาดนั้นเชียว ผมไม่ใช่ผีสักหน่อย” หมอหนุ่มพูดเสียงเรียบพอๆ กับสีหน้าที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดของเขา

                    “คุณหมอจะเอาอะไรหรือเปล่าคะ” ยุพาทำหน้าไม่ถูกและนึกไม่ออกว่านายแพทย์กันต์มีจุดประสงค์ใดกันแน่

                    “นางพยาบาลสาวไม่รู้ว่าเธอควรจะตอบโต้เขาด้วยวิธีใดได้ดีไปกว่าความเงียบเช่นกัน หญิงสาวหันไปจัดของที่เหลืออีกสองสามอย่างต่อ โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำของเธอได้กวนตะกอนในใจของชายหนุ่มขึ้นมาอีก

                    “หิวข้าว” เขาพูดเสียงห้วน ยุพาทำเพียงเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่งก่อนหันกลับไปทำงานของเธอต่อ

                    “ยังไม่ทานข้าวหรือคะ” หญิงสาวถามขึ้นหลังจากที่ต่างคนต่างเงียบ และงานของเธอเสร็จเรียบร้อย

                    “อือ...” เขาครางรับในลำคอ ถึงกระนั้นคนฟังก็รู้สึกถึงความไม่สบอารมณ์นัก นี่เธอกำลังเผชิญหน้ากับนายแพทย์กันต์คนไหนกันแน่ ระหว่างคุณหมอผู้มีอัธยาศัยดีหรือคุณหมอเจ้าอารมณ์เอาแต่ใจ

                    “ข้างนอกน่าจะมีบะหมี่ หรืออาหารกระป๋องบ้าง” ยุพาบอกพร้อมกับเดินผ่านหน้าหมอหนุ่มออกมาด้านนอกทางเดิน

                    “แต่ผมหิวข้าว” ชายหนุ่มยังคงยืนกอดอกอยู่ที่เดิมราวกับเด็กที่โดนผู้ใหญ่ขัดใจไม่ยอมซื้อของเล่นให้เสียอย่างนั้น หญิงสาวหันกลับมาพร้อมกับยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา

                    “ตอนนี้ห้องครัวคงปิดหมดแล้ว และการทานมื้อดึกก็ไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ คุณหมอทานนมอุ่นๆ สักแก้วพอให้นอนหลับน่าจะดีกว่า”

                    “ทำไมคุณถึงชอบขัดใจผมนักนะ” หมอกันต์เปลี่ยนเป็นสาวเท้าเข้าหาพยาบาลสาวที่ยืนทำหน้างงกับคำพูดของเขาเมื่อครู่ รู้ตัวอีกทีชายหนุ่มก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอเสียแล้ว

                    “คุณหมอว่าอะไรนะคะ”

                    “วันที่ออกจากโรงพยาบาลผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะช่วยเก็บของคุณก็กลับไปก่อน แล้วยังแบกสังขารมาทำงานอีกทั้งๆ ที่ผมบอกให้คุณพักผ่อน คำพูดของผมไม่มีความหมายกับคุณเลยใช่ไหม” นายแพทย์กันต์ทำสีหน้าราวกับเจ็บปวดจากการกระทำของเธอ ยุพารู้สึกมึนไปหมดตอนนี้เธอชักไม่แน่ใจว่าระหว่างเธอกับหมอกันต์ใครเพี้ยนกันแน่ หรือทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าเธอมันคือสิ่งที่สมองเธอสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงตัวเธอเอง

                    หญิงสาวควานมือหากล่องใส่ยาในกระเป๋าเสื้อและรีบล้วงขึ้นมาดู ปรากฏเพียงความว่างเปล่าซึ่งหมายความว่าเธอไม่ได้ขาดยา

                    “ฉันเปล่าไม่ฟังนะคะ แค่ไม่อยากจะรบกวนคุณหมอหรือใครอีกเพราะที่ผ่านมาฉันทำเรื่องไม่ดีกับทุกคนเอาไว้มาก” ยุพาอธิบายถึงการกระทำที่ผ่านมาของเธอ ซึ่งเธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดทำให้คุณหมอหนุ่มขวัญใจนางพยาบาลทั้งสาวเล็กสาวใหญ่เคืองขุ่นได้

                    “คิดเอง เออเองทั้งนั้น ผมไม่ใช่คนประเภทสักแต่พูดไปวันๆ นะ” ตาตี่ของชายหนุ่มอ่อนแสงลงจากคราวแรกเมื่อเห็นท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวของอีกคน 

                    “ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้คุณหมอรู้สึกไม่ดี อย่าถือสาคนบ้าอย่างฉันเลยนะคะ” ยุพายกมือไหว้ด้วยความรู้สึกสำนึกผิดจริงๆ เธอรู้ซึ้งถึงรสชาติของความโดดเดี่ยวดีแล้วจึงไม่อยากจะต้องผิดข้องหมองใจกับใครอีกโดยเฉพาะคนดีๆ อย่างนายแพทย์กันต์

                    หมอหนุ่มตกใจเมื่อเห็นยุพายกมือไหว้ตัวเอง เขารีบกุมมือของเธอไว้ก่อนที่ความรู้สึกผิดจะตกเป็นของเขาเสียเอง ในเวลานี้เขาชักไม่แน่ใจเช่นกันว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นี้เพื่ออะไร เพราะอะไร และทำไม

                    “คุณจะไหว้ผมทำไม” เขาดุไม่จริงจังนัก

                    “คุณหมออย่าใส่ใจฉันเลยนะคะ ถ้าเกิดว่าคุณหมอรู้สึกไม่ดีกับฉันขึ้นมาอีกคน ฉันคงจะแย่แน่เลยค่ะ” ยุพามือไม้สั่นพอๆ กับแววตาและเสียงที่เริ่มสั่นเครือของเธอ ชายหนุ่มนึกอยากเขกกะโหลกตัวเองแรงๆ สักทีเมื่อเขาเป็นต้นเหตุให้ยุพาเสียความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาอีก เขาไม่สามารถที่จะอธิบายสิ่งที่เขาทำในตอนนี้ได้ไม่ใช่เพราะไม่อยากพูด แต่เพราะเขาเองก็ยังไม่มั่นใจว่าเขาคิดถูกหรือไม่

                    “ไม่รู้สิ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะต้องใส่ใจเรื่องของคุณด้วย” หมอหนุ่มรำพึงแผ่วเบาเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า และหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ไม่อาจได้ยินเนื่องจากเธอกำลังอยู่ในอาการสับสนจนเขานึกอยากดึงร่างสั่นเทานั้นเข้ามาปลอบประโลม ความรู้สึกอยากปกป้องผู้หญิงคนนี้เกิดขึ้นอย่างที่เขาไม่สามารถจะตั้งรับได้ทันและไม่คาดคิดด้วยซ้ำ ใครจะรู้ว่านางพยาบาลสาวที่เห็นหน้าค่าตากันอยู่ทุกวันและแทบจะไม่มีเรื่องอื่นคุยกันนอกจากเรื่องงาน จนวันหนึ่งเมื่อได้สัมผัสกับตัวตนที่แท้จริงของเธอคนนี้เขากลับเกิดความรู้สึกประหลาดอย่างที่ไม่เคยมีกับใครมาก่อน ทั้งๆ ที่หญิงสาวเป็นตัวป่วนทำให้ใครต่อใครวุ่นวายกันไปหมดเพราะอดีตอันแสนปวดร้าวและภาวะอันแปรปรวนในจิตใจของเธอ

                    ยุพาก้มหน้าหลับตานิ่งเพื่อระงับอาการกระสับกระส่ายของตัวเอง แต่กระนั้นคำพูดของนายแพทย์กันต์ยังวนเวียนอยู่ภายในหัว เธอไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาที่ยังไม่ประสาเรื่องชายหญิง แต่ต้องยอมรับว่าชายหนุ่มผู้นี้ทำให้เธอเกิดอาการสับสนราวกับยาระงับประสาทที่เธอใช้นั้นไม่ได้ผลกับเธออีกต่อไป

                    เสียงฝีเท้าดังฝ่าความเงียบใกล้เข้ามา เรียกสติของยุพาให้นึกได้ว่าถึงเวลาที่เธอควรจะต้องพักร่างที่อ่อนล้าเสียที หญิงสาวชักมือกลับซึ่งได้รับความร่วมมือจากนายแพทย์กันต์เป็นอย่างดี

                    “ถึงเวลาเปลี่ยนเวรแล้วฉันขอตัวนะคะคุณหมอ” ยุพาเอ่ยลาพร้อมกับหันหลังเดินจากไปโดยไม่ได้รอฟังคำตอบจากหมอหนุ่มซึ่งเขาเองทำได้เพียงตอบรับเบาๆ ในลำคอเท่านั้น ก่อนหันหลังเดินไปอีกทางเพราะเขาเองก็ต้องการเวลาเพื่อทบทวนหัวใจของตัวเองเช่นกัน


    *****************************************************************


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×