คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #49 : กีฬาสามัคคี
“พี่กระต่ายก็อยู่เหรอคะ”
กนกวลีทักขึ้นด้วยสีหน้าตกใจมากกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าผู้กองภวินท์ไม่ได้อยู่เพียงลำพังและเหตุการณ์เมื่อครู่อาจทำให้มีการเข้าใจผิดกันเกิดขึ้นก็เป็นได้
“จ้า”
ปราณปรียายืนตัวลีบได้แต่ยิ้มแห้งกลับมาเมื่อโดนจับได้ว่ากำลังแอบฟังอยู่
ก็เธอดันลุ้นไปหน่อยจนเผลอไปเตะถังน้ำเข้าให้ ผู้กองภวินท์ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มขันให้กับความเฟอะฟะของแม่กระต่ายน้อย
“เมื่อกี้นกลื่นค่ะไม่ได้มีอะไรเลยนะคะ”
กนกวลีรีบปฏิเสธเป็นพัลวันทั้งที่ปราณปรียายังไม่ได้เอ่ยปากถามด้วยซ้ำ
และฝ่ายนั้นไม่มีวันที่จะถามอยู่แล้วด้วย
จังหวะนั้นชายหนุ่มปลีกตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับมาใหม่ด้วยชุดที่มิดชิดกว่าเดิม
“พี่เห็นแล้วจ้ะ
น้องนกไม่ต้องคิดมาก” ปราณปรียาบอกอย่างใจดี
แม้จะไม่ติดใจสาวน้อยกนกวลีแต่ก็อดหมั่นไส้คนของตัวเองไม่ได้
กนกวลีมีสีหน้าสลดลงขณะที่มองสองหนุ่มสาวสลับไปมา
“นก
เอ่อ นกขอโทษนะคะ ที่ผ่านมาที่นกเคยทำไม่ดีกับพี่กระต่ายแล้วก็ผู้กอง”
“ช่างเถอะจ้ะ
อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ให้ผ่านไปเถอะทุกคนล้วนเคยผิดพลาดกันทั้งนั้นแหละจ้ะอย่ากังวลไปเลยนะ”
ปราณปรียาขยับเข้ามาใกล้สาวน้อยที่เอาแต่ก้มหน้ามองมือตัวเองด้วยความประหม่า
“ไม่มีอะไรสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นหรอก
อย่างน้อยคนที่รักเราเขาก็ดีใจที่ได้เห็นเราเดินตามทางที่ถูกที่ควรขอเพียงอย่าท้อแท้กับอุปสรรคที่จะผ่านเข้ามาก็พอ
พวกเราเป็นกำลังให้น้องนกนะครับ” ผู้กองภวินท์เอ่ยขึ้นบ้าง
ทำเอากนกวลีซาบซึ้งจนน้ำตาคลอ
“ขอบคุณนะคะผู้กอง
พี่กระต่าย ถ้ามีอะไรให้นกช่วยบอกเลยนะคะให้นกมาทำความสะอาดห้องให้ก็ได้ค่ะ” สาวน้อยบอกอย่างกระตือรือร้น
“ไม่ต้องจ้ะ
แค่น้องนกเป็นเด็กดีพี่ก็ดีใจแล้ว
ที่สำคัญคนที่จะภูมิใจที่สุดก็คือพ่อกับแม่ของน้องนกนะ”
ปราณปรียากุมมือสาวน้อยบีบเบาๆ
กนกวลีจึงสวมกอดอีกฝ่ายด้วยความตื้นตันใจในความปราณีที่ได้รับจากสาวชาวกรุงผู้นี้
เสียงเพลงจังหวะเร้าใจดังกระหึ่มทั่วบริเวณสนามกีฬาหน้าที่ว่าการอำเภอ
เป็นปกติของทุกปีเมื่อกิจกรรมกีฬาสัมพันธ์ของเหล่าข้าราชการถูกจัดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการเชื่อมความสามัคคีระหว่างหน่วยงาน
หนุ่มสาวบางคนถึงกับรอคอยกันเลยทีเดียวราวกับว่าเป็นมหกรรมหาคู่ก็ไม่ปาน
กีฬาที่นำมาเล่นกันส่วนใหญ่เป็นกีฬาพื้นบ้าน อาทิเช่น ชักคะเย่อ วิ่งเปี้ยว
วิ่งสามขา และอื่นๆ อีกปลีกย่อยซึ่งเน้นกีฬาเป็นทีมมากกว่าเล่นคนเดียว
ส่วนที่ขาดไม่ได้เห็นจะเป็นฟุตบอลกระชับมิตรซึ่งเป็นกีฬาของสุภาพบุรุษ
แต่บางท่านสภาพก็ไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไหร่เพราะปล่อยสังขารร่วงโรยไปตามวัยพอได้ออกกำลังกายทีทำเอาหลายคนจุกไปตามๆ
กัน
“พี่บอกน้องกระต่ายหรือยัง”
หมวดศรุตเอ่ยถามรุ่นพี่ขณะที่เขากำลังวอร์มร่างกายรอลงสนาม
ผู้กองหนุ่มส่ายหัวแทนคำตอบพร้อมกับเป่าปากและเปลี่ยนท่ายืดขาไปด้านหลัง
“อีกอาทิตย์เดียวเองนะ
นี่พี่ยังไม่บอกเธออีกเหรอ” หมวดหนุ่มทำเสียงขัดใจ
ราวกับเข้าใจหัวอกของปราณปรียาเสียอย่างนั้น
“ก็..ไม่รู้จะบอกยังไง”
ภวินท์ตอบเสียงเรียบแต่มีความลำบากใจไม่น้อยปนมาด้วย
“แล้วพี่จะเอาไง
รอให้ถึงวันแล้วพี่ก็หายไปเลยอย่างนั้นเหรอ” คนจุดประเด็นทำหน้าคิดไม่ตก
ไม่ต่างจากรุ่นพี่ เสียงนกหวีดดังขึ้นขณะที่ผู้กำกับจักรวาลวิ่งหอบแฮ่กๆ ออกจากสนามตรงมาที่พวกเขา
“หมวดลงแทนผมที
สงสัยเสร็จงานนี้ต้องไปเช็คสุขภาพเสียหน่อย เหนื่อยเป็นบ้าเลย” ผู้กำกับวัยดึกเสียงกระเส่าเหมือนจะขาดใจให้ได้
“ผมเองครับ
ปล่อยไอ้ศรุตลงไปรับรองไม่ถึงห้านาทีแน่” ผู้กองหนุ่มแกล้งสบประมาทรุ่นน้องก่อนวิ่งตัวปลิวลงสนามไป
“โห
อย่างนี้ฟ้องหมิ่นประมาทได้ไหมครับ” ชายหนุ่มแสร้งทำหน้างอน ก่อนยื่นขวดน้ำบริการผู้บังคับบัญชาที่นั่งพิงหลังบนเก้าอี้อย่างหมดสภาพ
“ขอบใจหมวด
แต่นั่นหลานชายผมนะ” ท่านผู้กำกับทำเสียงเข้ม หมวดศรุตจึงได้แต่ยิ้มแหยงเมื่อนึกได้ถึงความจริงข้อนี้
ศึกท้าแข้งระหว่างฝ่ายปกครองไล่ตั้งแต่ปลัดอาวุโสลงมาถึงระดับปฏิบัติการกับทีมมีสีอย่างตำรวจภูธรงานนี้นำทีมโดยท่านผู้กำกับซึ่งขอเปลี่ยนตัวออกไปนั่งหอบข้างสนามตั้งแต่ยี่สิบนาทีแรก
แม้แต่ละทีมจะพยายามสรรหาคนหนุ่มที่สุดมาลงแต่ด้วยอาชีพที่ไม่ใช่นักกีฬาและแดดที่ร้อนเปรี้ยงเล่นเอาหลายคนวิ่งไม่ออกเลยทีเดียว
“นั่นผู้กองนี่คะน้องกระต่าย
เราไปเชียร์ใกล้ๆ กันเถอะค่ะ” สายสมรชักชวนสาวรุ่นน้องหลังจากที่พวกเธอช่วยกันขนเสบียงอาหารมารวบรวมไว้ที่กองอำนวยการเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เพราะหลังจบฟุตบอลคู่นี้ก็จะเป็นเวลาพักรับประทานอาหารกลางวันส่วนช่วงบ่ายจะเป็นการแข่งขันกีฬาพื้นบ้านและปิดท้ายด้วยงานเลี้ยงสังสรรค์ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่หัวค่ำเป็นต้นไป
“ถ้าอย่างนั้นเรานับข้าวกล่องไปทีเดียวเลยแล้วกันนะคะจะได้ไม่ต้องกลับมาอีก”
ปราณปรียาเห็นด้วยเมื่อมองไปที่สนามฟุตบอลก็ต้องหรี่ตาเพราะความจ้าของแสงแดดยามใกล้เที่ยง
เห็นผู้กองภวินท์กำลังยืนส่งยิ้มมาที่เธอเช่นกันแต่แล้วเขาก็โดนคู่แข่งกระแทกหงายหลังอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
ปราณปรียาเผลออุทานเสียงดังก่อนรีบปิดปากตัวเองเมื่อคนแถวนั้นหันมามองเธอเป็นตาเดียว
พอหันกลับไปอีกทีผู้กองภวินท์กลับกำลังวิ่งหวดลูกฟุตบอลอยู่กลางสนาม
“นั่นแน่
ที่แท้ก็แอบเชียร์ผู้กองอยู่เหมือนกันใช่ไหมล่ะ”
สายสมรเอ่ยแซวปราณปรียาทันทีที่เห็นท่าทางลุ้นตามของสาวรุ่นน้อง
ปราณปรียาเสทำหน้าเหรอหราเมื่อโดนจับได้ก่อนหันไปนับข้าวกล่องตรงหน้าต่อ
หลังจากที่สาวๆ
แจกข้าวกล่องเสร็จกลับถูกเรียกตัวไปช่วยที่กองอำนวยการอีกแผนการที่วางเอาไว้เลยเป็นอันพับไป
เมื่อแนวหลังอย่างพวกเธอมีภารกิจต้องเตรียมงานสำหรับค่ำคืนที่กำลังจะมาถึง
ยุพาไล้มือเรียวไปมาบนแผลเป็นที่เธอตั้งใจซ่อนไว้ภายใต้เสื้อคลุมแขนยาว
แม้จะได้รับความกรุณาจากท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลให้เธอลาพักต่อได้แต่นางพยาบาลสาวเลือกที่จะกลับมาทำงาน
เพราะเธอไม่เห็นประโยชน์กับการที่จะต้องจับเจ่าอยู่ในห้องพักเพียงลำพังซึ่งนั่นจะทำให้เธอเครียดมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ถึงแม้ว่าเพื่อนร่วมงานจะมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ หรือบางคนจะซุบซิบนินทาเมื่อเธอหันหลังให้แต่ยุพากลับไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนที่ตายแล้วเกิดใหม่และไม่เคยสักครั้งที่จะรู้ซึ้งถึงรสชาติของคำว่าอิสรภาพเท่าครั้งนี้มาก่อน
แม้กระทั่งอดีตที่เคยตามหลอกหลอนมาแสนนานก็ไม่สามารถบั่นทอนเธอได้อีกต่อไป
แม้จะแปลกใจกับพฤติกรรมของตัวเองแต่ยุพาก็เลือกที่จะไม่หาสาเหตุในเมื่อทุกอย่างกำลังเข้าที่เข้าทาง
ต่อไปนี้เธอจะต้องก้าวเดินด้วยตัวเองและมีชีวิตอยู่เพื่อวันข้างหน้าเท่านั้นก็พอ
“ขอแฟ้มคนไข้ด้วยครับ”
เสียงทุ้มเรียกสติของคนที่เตลิดไปกับความคิดให้คืนกลับมา ยุพาส่งยิ้มให้กับเจ้าของเสียงที่ยืนตาตี่อยู่หน้าเคาน์เตอร์โดยอัตโนมัติ
ก่อนคว้าเอาแฟ้มคนไข้แล้วเดินอ้อมมายืนเตรียมพร้อมข้างหมอกันต์ที่กำลังเขียนบางอย่างบนเคาน์เตอร์อย่างรวดเร็ว
“หายดีแล้วเหรอ
ที่จริงคุณน่าจะพักผ่อนตามคำแนะนำของแพทย์นะ”
หมอกันต์เอ่ยเสียงเรียบเขาออกจะเคืองนิดๆ ที่คนไข้ขัดคำสั่ง
“ฉันหายดีแล้วค่ะคุณหมอ”
ยุพาบอกพร้อมรอยยิ้ม แต่อีกฝ่ายหาได้ยิ้มตอบหมอหนุ่มดึงแฟ้มที่อยู่ในมือพยาบาลสาวไปดื้อๆ
แล้วหันไปให้ความสนใจกับมันแทนเธอ
ยุพาเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจในท่าทีที่เปลี่ยนไปของหมอกันต์
พลันคิดเอาเองว่าปกติแล้วเขาคงจะมีบุคลิกแบบนี้กระมัง
การกระทำที่เขาแสดงออกกับเธอคงทำเพราะจรรยาบรรณของแพทย์ที่พยายามจะรักษาคนไข้ให้ดีที่สุด
ยุพารู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาทันทีแต่พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ
เพื่อมิให้ตัวเองแย่ลงไปอีก
หมอกันต์ปิดแฟ้มก่อนยื่นมันกลับมาให้ยุพาที่ยืนคอยด้วยท่าทางเป็นกังวล
และตลอดเช้าที่เธอคอยเดินตามเขาเข้าออกห้องคนไข้จนกระทั่งเสร็จ นายแพทย์กันต์พูดคุยซักถามอาการคนไข้อย่างเป็นกันเองแต่กับเธอแล้วเขาไม่ได้เอ่ยอะไรอีกเลย
ยุพาเศร้าใจที่เธอแอบหวังว่าอย่างน้อยที่แห่งนี้ยังมีหมอกันต์ที่เข้าใจเธอมากกว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่น
แต่เธอจะหวังอะไรในโลกแห่งความจริงใบนี้เล่าในเมื่อเธอเองก็เคยประสบพบเจอมาแล้วว่าไม่มีความแน่นอนในความแน่นอน
เวลานี้เธอต้องเป็นที่พึ่งให้กับตนเองให้ได้
นางพยาบาลสาวยิ้มขื่นให้กับโชคชะตาของเธอ เสียงกริ่งฉุกเฉินดังขึ้นเรียกสติที่กำลังเตลิดของเธอได้เป็นอย่างดียุพารีบสาวเท้าไปยังที่มาของเสียงอย่างรีบเร่งและสลัดเรื่องที่ค้างคาใจทิ้งไว้ข้างหลังเพื่อปฏิบัติภารกิจอันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอยังเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่
“เป็นอะไรไปอีกล่ะ
ใครบังคับอะไรแกอีก”
พิมพ์ชนกเอ่ยขึ้นเมื่อก้าวเข้ามาภายในห้องพักแพทย์ซึ่งเป็นเวลาเกือบเที่ยงวัน หมอหนุ่มรุ่นน้องนั่งหน้ามุ่ยและถอนหายใจเสียงดัง
“เปล่า”
“ทำตัวพิลึกขึ้นทุกวันนะแก”
พิมพ์ชนกกล่าวหาไม่จริงจังนักและเพราะเธอไม่มีเวลาที่จะซักไซ้ไล่เรียงอาการของรุ่นน้องด้วยมีนัดผ่าตัดคนไข้รออยู่จึงต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน
“เจ๊มีผ่าตัดไม่ใช่เหรอ
รีบไปเถอะ” เขาตัดบทดื้อๆ ขณะที่ใช้นิ้วเขี่ยโทรศัพท์ไปมาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
“คืนนี้อย่าลืมไปงานเลี้ยงด้วยล่ะ
ฉันเข้าเวรคงไปไม่ได้” พิมพ์ชนกเอ่ยทิ้งท้ายก่อนสาวเท้าออกจากห้อง
ทำให้หมอกันต์นึกขึ้นได้ว่าชาวบ้านชาวช่องเขามีกิจกรรมอะไรกันบ้างซึ่งปกติแล้วเขาไม่ค่อยจะใส่ใจงานรื่นเริงสักเท่าไหร่
เวลาว่างจากงานเขามักจะเข้าวัดเสียมากกว่าการเที่ยวเตร่ตามสถานบันเทิงหรืออาจเป็นเพราะเขาโตมากับพี่สาวที่ถูกสอนให้อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนเลยทำให้ไม่นิยมชมชอบการเป็นนักท่องราตรีอย่างคนกรุงทั่วไป
เขาเหลือบตามองตารางเวรประจำวันก่อนครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
บรรยากาศงานเลี้ยงเริ่มคึกคักและคลาคล่ำไปด้วยเหล่าข้าราชการ
ตลอดจนคหบดีในตัวอำเภอที่ต่างก็พาบุตรและธิดามาปรากฏตัวกันในค่ำคืนนี้เพื่อต้องการกระชับความสัมพันธ์อันดีหรือบางคนอาจได้ลูกเขยลูกสะใภ้กันในวันนี้ก็เป็นได้
สาวๆ แต่งกายด้วยชุดราตรีส่วนสุภาพบุรุษแต่งกายด้วยชุดสูทสุภาพตามแบบสากลนิยม
จะมีแตกต่างบ้างก็ตรงที่เหล่าผู้สนับสนุนรายการซึ่งส่วนใหญ่มีเชื้อสายญวนและจีนก็จะแต่งกายด้วยชุดประจำชาติ
ปราณปรียาและสายสมรเองก็อยู่ในชุดเดรสสั้นสีทองอ่อนแขนตุ๊กตาเหมือนกันทั้งแบบและสีจะต่างก็ตรงขนาดของผู้ใส่เท่านั้น
จนใครต่อใครต่างก็เข้าใจว่าทั้งสองเป็นพี่น้องกันเมื่อถูกจับให้มานั่งรับลงทะเบียนหน้างานแทนที่จะได้นั่งทานอาหารอร่อยๆ
อย่างที่แอบหวัง
“อย่างนี้ทุกปีสิน่า
กะว่าจะนั่งชิวๆ สบายๆ กับเขาบ้างก็ไม่ได้” สายสมรบ่นอุบพร้อมกับทำท่ากระฟัดกระเฟียดจนพุงกระเพื่อม
ปราณปรียาได้แต่ยิ้มขำขณะที่จัดเรียงเอกสารบนโต๊ะให้เป็นระเบียบ
ด้วยท่านนายอำเภอนึกสนุกอยากให้งานเลี้ยงมีสีสันมากขึ้นโดยไม่ได้บอกให้ใครทราบล่วงหน้าว่าท่านจะดำเนินการอย่างไรบ้างแม้กระทั่งพิธีกรเองก็ตาม
ดังนั้นทุกคนจึงทำไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
“เป็นยังไงกันบ้างครับ
แขกมากันเยอะหรือยัง”
ปลัดเอกภพในชุดสูททักซิโด้สีดำเอ่ยขึ้นเมื่อมาถึงหน้าหอประชุมอันเป็นสถานที่จัดงาน
“มีแต่คณะเรานี่แหละค่ะปลัด
ยังหัวค่ำอยู่เลยนี่คะอีกสักพักนู่นแหละคนถึงจะเยอะ”
สายสมรตอบคนที่เอาแต่จ้องหญิงสาวข้างๆ เธอตาเป็นมัน
“วันนี้น้องกระต่ายสวยจังเลยนะครับ”
เขาเอ่ยชมด้วยแววตาหวานหยดจนปราณปรียาทำหน้าไม่ถูก
“แล้วพี่หมอนล่ะคะปลัด
สวยไหม” สายสมรสอดขึ้นอย่างหมั่นไส้พร้อมกับแทรกร่างกลมๆ
ของเธอเข้าบดบังวิสัยทัศของปลัดหนุ่มเสียมิดจนเขาต้องถอยหลังขยับพื้นที่ให้อย่างขัดเคือง
และจังหวะนั้นมีกลุ่มสาวๆ
เดินตรงมาทางโต๊ะลงทะเบียนหนึ่งในนั้นทำเอาปลัดเอกภพหน้าเจื่อนแล้วรีบขอตัวเข้าไปในงานอย่างลุกลี้ลุกลน
“แปลกคนจริง”
สายสมรเขม้นมองตามอย่างจับสังเกต
“ช่างเขาเถอะค่ะพี่หมอน”
ปราณปรียาตัดบทเพื่อให้สายสมรเลิกสนใจพฤติกรรมของปลัดเอกภพแล้วหันมาทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเมื่อสามสาวเดินมาหยุดหน้าโต๊ะของพวกเธอ
ตอนนี้เองที่สายสมรเริ่มจะปะติดปะต่อเรื่องราวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเมื่อเธอเห็นหน้าหญิงสาวทั้งสามคนอย่างชัดเจน
“พี่รู้แล้วว่าทำไมปลัดเอกแกถึงรีบโกนอ้าวไปแบบนั้น”
สาวอวบหันไปกระซิบข้างหูปราณปรียาทันทีที่อยู่กันตามลำพัง
“ทำไมเหรอคะ”
ปราณปรียาแกล้งทำสีหน้าตื่นเต้นราวกับอยากรู้อยากเห็นเสียเต็มประดา
“ที่อำเภอเขาเม้ากัน
ว่าพ่อแม่ของน้องนุช เอ๊ย น้องนุ่นมาขอเข้าพบท่านนายอำเภอเรื่องที่ปลัดเอกกำลังคบหากับลูกสาวแกอยู่
แล้วแกยังขู่ด้วยว่าถ้าปลัดเอกไม่ไปสู่ขอหรือหมั้นหมายไว้ก่อนแกจะฟ้องร้องให้ถึงที่สุด”
“ถึงขั้นจะฟ้องกันเลยหรือคะ”
คราวนี้ปราณปรียาชักจะสนใจอย่างจริงจัง สายสมรจึงตั้งท่าเล่าอย่างออกรส
พร้อมกับมองซ้ายทีขวาทีอย่างระแวดระวัง
“ข่าววงในว่าผู้หญิงกำลังท้องนี่สิเลยเป็นเรื่องใหญ่”
สาวอวบเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นกระซิบด้วยกลัวว่าจะมีใครได้ยินเข้า
ปราณปรียาทำหน้าเครียดเพราะรู้สึกคิดหนักแทนฝ่ายหญิงหากว่าข่าวที่สายสมรเล่าเป็นจริง
“ซุบซิบอะไรกันเหรอครับ”
“ว้าย
! ลูกแม่”
สายสมรอุทานด้วยความตกใจกับเสียงทักที่ดังขึ้นข้างหูโดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว
ปราณปรียาเองก็ผงะถอยห่างเช่นกัน
“ลูกใครครับพี่หมอน”
หมวดศรุตถามขึ้นอีกเมื่อเห็นท่าทางน่าสงสัยของทั้งสองสาว
“เปล่าค่ะหมวด
พี่หมอนแค่อุทานค่ะ แล้วนี่ทำไมมาไม่ให้ซุ่มให้เสียงกันบ้างล่ะคะพี่หมอนหัวใจจะวาย”
สาวอวบว่าพร้อมกับเอามือทาบอก
เมื่อตั้งสติได้ปราณปรียาจึงเห็นว่าหมวดศรุตไม่ได้มาคนเดียว
ยังมีพิมพ์ชนกและผู้กองภวินท์อีกคนยืนอยู่ด้วยซึ่งเขากำลังมองมาที่เธอด้วยแววตาเป็นประกาย
“ทำไมถึงได้มานั่งกันตรงนี้ล่ะคะ”
พิมพ์ชนกเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังใช้ปากกาเขียนลงบนกระดาษสำหรับลงทะเบียนผู้ร่วมงาน
“หัวหน้าคงเห็นว่าพี่หมอนกับน้องกระต่ายสวยแล้วมั้งคะ
ไม่ต้องเสริมเติมแต่งอะไรมากเลยให้มารอหน้างาน”
สายสมรทำหน้าเซ็งแต่กลับเรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่น
“ก็จริงนะคะวันนี้พี่หมอนกับน้องกระต่ายดูสวยน่ารักทั้งคู่เลยค่ะ”
พิมพ์ชนกเอ่ยชมจากใจจริงก่อนลุกจากเก้าอี้และเป็นผู้กองภวินท์ที่นั่งลงเป็นคนต่อมา
เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยสูทสีดำเข้มคล้ายกันกับหมวดศรุตต่างกันตรงที่ฝ่ายหลังสวมสูทสีเทา
ส่วนพิมพ์ชนกสวมชุดเดรสยาวเข้ารูปสีน้ำเงินเข้มมีผ้าคลุมไหล่สีเดียวกันเพราะตัวเสื้อเป็นเกาะอกซึ่งแลดูสง่างามตามแบบฉบับของเธอ
“น้องพิมพ์สวยสง่าเหมือนเจ้าหญิงเลยค่ะ”
สายสมรชมกลับบ้างเมื่อพิมพ์ชนกเดินมารวมกลุ่มกับเธอและหมวดศรุต
จากนั้นสายสมรก็เป็นคนเปิดประเด็นคุยเรื่องสับเพเหระอย่างเมามัน
ปราณปรียามองตามมือเรียวยาวที่กำลังจดปากกาลงบนกระดาษจนเขาวางมือแล้วเงยหน้าขึ้นมาหญิงสาวจึงเสมองไปทางอื่นชายหนุ่มจึงเห็นเพียงเสี้ยวหน้าขาวเนียนที่วันนี้มีสีชมพูระเรื่อแต่งแต้มบริเวณพวงแก้ม
ผมที่ถูกเกล้าขึ้นสูงแต่ยังมีไรผมประปรายเคลียคลอบริเวณต้นคอขาวเนียนส่งให้ใบหน้าสวยหวานของปราณปรียาดูโดดเด่นขึ้นกว่าที่เคย
เขายอมรับว่าหลงใหลหญิงสาวตรงหน้านี้จนยากจะถอนตัว
“ฮึม..กว้างไปหรือเปล่า”
จู่ๆ ผู้กองหนุ่มก็ถามคำถามที่ทำเอาคนฟังถึงกับงง
“คะ
ว่าไงนะคะ”
“คอเสื้อมันกว้างไปหรือเปล่า
ไม่มีชุดที่มิดชิดกว่านี้แล้วเหรอ”
เขาพูดหน้าตาเฉยขณะที่สายตาอยู่ระดับต่ำกว่าปลายคางของปราณปรียา
หญิงสาวรีบเอามือปิดพื้นที่เหนือหน้าอกของตัวเองที่เปลือยเปล่าเพราะชุดที่เธอใส่เกือบจะเป็นเกาะอกเพียงแต่แต่งทรงให้มีแขนเสื้อเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น
“น่าเกลียดมากไหมคะ”
ปราณปรียาเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาทันที ทั้งที่เธอเองก็คิดว่าชุดนี้เหมาะสมแล้วและไม่ได้โชว์เนื้อหนังจนน่าเกลียด
ผู้กองหนุ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้ใบหูเล็กก่อนเอ่ยคำที่ทำเอาหญิงสาวหน้าแดงก่ำ
“น่าทำอย่างอื่นมากกว่านะสิ”
“คนลามก”
ปราณปรียาทำท่ากระซิบกลับไปอย่างเข่นเขี้ยวความรู้สึกของเธอทั้งโกรธและอับอาย
อยากจะข่วนหน้าหล่อๆ นี่ให้เป็นรอยนัก
“ไปหาผ้ามาคลุมซะ
พี่ไม่อยากให้เราเป็นอาหารตาของหนุ่มๆ ทั้งงาน”
น้ำเสียงของเขาจริงจังแต่กลับยิ่งกระตุ้นต่อมโมโหของปราณปรียาเข้าไปอีก หญิงสาวมองหาตัวช่วยอย่างสายสมรปรากฏว่าที่โต๊ะลงทะเบียนตอนนี้เหลือเพียงแต่เธอกับผู้กองภวินท์เท่านั้น
“พี่หมอนก็ใส่ชุดเหมือนกันกับต่ายไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่คะ
ทำไมต้องว่าขนาดนี้ด้วย” แม่กระต่ายน้อยชักมีอารมณ์
“ไม่ได้ว่า
แค่หวงไม่อยากให้ผู้ชายหน้าไหนมามองแฟนตัวเองแล้วเก็บไปฝันหวานต่อ ถ้าอยู่ด้วยกันสองคนต่อให้เราไม่ใส่เสื้อผ้าสักชิ้นพี่ก็จะไม่ว่าสักคำ”
น้ำเสียงของเขาจริงจังไม่มีแววล้อเล่นเพราะเป็นห่วงและหวงคนของตัวเองเป็นนักหนา
แต่ประโยคหลังทำเอาปราณปรียาถึงกับร้องยี้เมื่อนึกภาพตัวเองตามอย่างที่ชายหนุ่มว่ามา
*********************************************************
ว้าก..ข้าน้อยมาช้าสมควรตาย....แฮร่ๆ ๆ ๆ
ความคิดเห็น