ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวใจรักภูธร

    ลำดับตอนที่ #49 : กีฬาสามัคคี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 810
      2
      29 มิ.ย. 60

                    “พี่กระต่ายก็อยู่เหรอคะ” กนกวลีทักขึ้นด้วยสีหน้าตกใจมากกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าผู้กองภวินท์ไม่ได้อยู่เพียงลำพังและเหตุการณ์เมื่อครู่อาจทำให้มีการเข้าใจผิดกันเกิดขึ้นก็เป็นได้

                    “จ้า” ปราณปรียายืนตัวลีบได้แต่ยิ้มแห้งกลับมาเมื่อโดนจับได้ว่ากำลังแอบฟังอยู่ ก็เธอดันลุ้นไปหน่อยจนเผลอไปเตะถังน้ำเข้าให้ ผู้กองภวินท์ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มขันให้กับความเฟอะฟะของแม่กระต่ายน้อย

                    “เมื่อกี้นกลื่นค่ะไม่ได้มีอะไรเลยนะคะ” กนกวลีรีบปฏิเสธเป็นพัลวันทั้งที่ปราณปรียายังไม่ได้เอ่ยปากถามด้วยซ้ำ และฝ่ายนั้นไม่มีวันที่จะถามอยู่แล้วด้วย จังหวะนั้นชายหนุ่มปลีกตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับมาใหม่ด้วยชุดที่มิดชิดกว่าเดิม

                    “พี่เห็นแล้วจ้ะ น้องนกไม่ต้องคิดมาก” ปราณปรียาบอกอย่างใจดี แม้จะไม่ติดใจสาวน้อยกนกวลีแต่ก็อดหมั่นไส้คนของตัวเองไม่ได้

                    กนกวลีมีสีหน้าสลดลงขณะที่มองสองหนุ่มสาวสลับไปมา

                    “นก เอ่อ นกขอโทษนะคะ ที่ผ่านมาที่นกเคยทำไม่ดีกับพี่กระต่ายแล้วก็ผู้กอง”

                    “ช่างเถอะจ้ะ อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ให้ผ่านไปเถอะทุกคนล้วนเคยผิดพลาดกันทั้งนั้นแหละจ้ะอย่ากังวลไปเลยนะ” ปราณปรียาขยับเข้ามาใกล้สาวน้อยที่เอาแต่ก้มหน้ามองมือตัวเองด้วยความประหม่า

                    “ไม่มีอะไรสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นหรอก อย่างน้อยคนที่รักเราเขาก็ดีใจที่ได้เห็นเราเดินตามทางที่ถูกที่ควรขอเพียงอย่าท้อแท้กับอุปสรรคที่จะผ่านเข้ามาก็พอ พวกเราเป็นกำลังให้น้องนกนะครับ” ผู้กองภวินท์เอ่ยขึ้นบ้าง ทำเอากนกวลีซาบซึ้งจนน้ำตาคลอ

                    “ขอบคุณนะคะผู้กอง พี่กระต่าย ถ้ามีอะไรให้นกช่วยบอกเลยนะคะให้นกมาทำความสะอาดห้องให้ก็ได้ค่ะ” สาวน้อยบอกอย่างกระตือรือร้น

                    “ไม่ต้องจ้ะ แค่น้องนกเป็นเด็กดีพี่ก็ดีใจแล้ว ที่สำคัญคนที่จะภูมิใจที่สุดก็คือพ่อกับแม่ของน้องนกนะ” ปราณปรียากุมมือสาวน้อยบีบเบาๆ กนกวลีจึงสวมกอดอีกฝ่ายด้วยความตื้นตันใจในความปราณีที่ได้รับจากสาวชาวกรุงผู้นี้

     

                    เสียงเพลงจังหวะเร้าใจดังกระหึ่มทั่วบริเวณสนามกีฬาหน้าที่ว่าการอำเภอ เป็นปกติของทุกปีเมื่อกิจกรรมกีฬาสัมพันธ์ของเหล่าข้าราชการถูกจัดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการเชื่อมความสามัคคีระหว่างหน่วยงาน หนุ่มสาวบางคนถึงกับรอคอยกันเลยทีเดียวราวกับว่าเป็นมหกรรมหาคู่ก็ไม่ปาน กีฬาที่นำมาเล่นกันส่วนใหญ่เป็นกีฬาพื้นบ้าน อาทิเช่น ชักคะเย่อ วิ่งเปี้ยว วิ่งสามขา และอื่นๆ อีกปลีกย่อยซึ่งเน้นกีฬาเป็นทีมมากกว่าเล่นคนเดียว ส่วนที่ขาดไม่ได้เห็นจะเป็นฟุตบอลกระชับมิตรซึ่งเป็นกีฬาของสุภาพบุรุษ แต่บางท่านสภาพก็ไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไหร่เพราะปล่อยสังขารร่วงโรยไปตามวัยพอได้ออกกำลังกายทีทำเอาหลายคนจุกไปตามๆ กัน

                    “พี่บอกน้องกระต่ายหรือยัง” หมวดศรุตเอ่ยถามรุ่นพี่ขณะที่เขากำลังวอร์มร่างกายรอลงสนาม ผู้กองหนุ่มส่ายหัวแทนคำตอบพร้อมกับเป่าปากและเปลี่ยนท่ายืดขาไปด้านหลัง

                    “อีกอาทิตย์เดียวเองนะ นี่พี่ยังไม่บอกเธออีกเหรอ” หมวดหนุ่มทำเสียงขัดใจ ราวกับเข้าใจหัวอกของปราณปรียาเสียอย่างนั้น

                    “ก็..ไม่รู้จะบอกยังไง” ภวินท์ตอบเสียงเรียบแต่มีความลำบากใจไม่น้อยปนมาด้วย

                    “แล้วพี่จะเอาไง รอให้ถึงวันแล้วพี่ก็หายไปเลยอย่างนั้นเหรอ” คนจุดประเด็นทำหน้าคิดไม่ตก ไม่ต่างจากรุ่นพี่ เสียงนกหวีดดังขึ้นขณะที่ผู้กำกับจักรวาลวิ่งหอบแฮ่กๆ ออกจากสนามตรงมาที่พวกเขา

                    “หมวดลงแทนผมที สงสัยเสร็จงานนี้ต้องไปเช็คสุขภาพเสียหน่อย เหนื่อยเป็นบ้าเลย” ผู้กำกับวัยดึกเสียงกระเส่าเหมือนจะขาดใจให้ได้

                    “ผมเองครับ ปล่อยไอ้ศรุตลงไปรับรองไม่ถึงห้านาทีแน่” ผู้กองหนุ่มแกล้งสบประมาทรุ่นน้องก่อนวิ่งตัวปลิวลงสนามไป

                    “โห อย่างนี้ฟ้องหมิ่นประมาทได้ไหมครับ” ชายหนุ่มแสร้งทำหน้างอน ก่อนยื่นขวดน้ำบริการผู้บังคับบัญชาที่นั่งพิงหลังบนเก้าอี้อย่างหมดสภาพ

                    “ขอบใจหมวด แต่นั่นหลานชายผมนะ” ท่านผู้กำกับทำเสียงเข้ม หมวดศรุตจึงได้แต่ยิ้มแหยงเมื่อนึกได้ถึงความจริงข้อนี้

                    ศึกท้าแข้งระหว่างฝ่ายปกครองไล่ตั้งแต่ปลัดอาวุโสลงมาถึงระดับปฏิบัติการกับทีมมีสีอย่างตำรวจภูธรงานนี้นำทีมโดยท่านผู้กำกับซึ่งขอเปลี่ยนตัวออกไปนั่งหอบข้างสนามตั้งแต่ยี่สิบนาทีแรก แม้แต่ละทีมจะพยายามสรรหาคนหนุ่มที่สุดมาลงแต่ด้วยอาชีพที่ไม่ใช่นักกีฬาและแดดที่ร้อนเปรี้ยงเล่นเอาหลายคนวิ่งไม่ออกเลยทีเดียว

                    “นั่นผู้กองนี่คะน้องกระต่าย เราไปเชียร์ใกล้ๆ กันเถอะค่ะ” สายสมรชักชวนสาวรุ่นน้องหลังจากที่พวกเธอช่วยกันขนเสบียงอาหารมารวบรวมไว้ที่กองอำนวยการเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะหลังจบฟุตบอลคู่นี้ก็จะเป็นเวลาพักรับประทานอาหารกลางวันส่วนช่วงบ่ายจะเป็นการแข่งขันกีฬาพื้นบ้านและปิดท้ายด้วยงานเลี้ยงสังสรรค์ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่หัวค่ำเป็นต้นไป

                    “ถ้าอย่างนั้นเรานับข้าวกล่องไปทีเดียวเลยแล้วกันนะคะจะได้ไม่ต้องกลับมาอีก” ปราณปรียาเห็นด้วยเมื่อมองไปที่สนามฟุตบอลก็ต้องหรี่ตาเพราะความจ้าของแสงแดดยามใกล้เที่ยง เห็นผู้กองภวินท์กำลังยืนส่งยิ้มมาที่เธอเช่นกันแต่แล้วเขาก็โดนคู่แข่งกระแทกหงายหลังอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ปราณปรียาเผลออุทานเสียงดังก่อนรีบปิดปากตัวเองเมื่อคนแถวนั้นหันมามองเธอเป็นตาเดียว พอหันกลับไปอีกทีผู้กองภวินท์กลับกำลังวิ่งหวดลูกฟุตบอลอยู่กลางสนาม

                    “นั่นแน่ ที่แท้ก็แอบเชียร์ผู้กองอยู่เหมือนกันใช่ไหมล่ะ” สายสมรเอ่ยแซวปราณปรียาทันทีที่เห็นท่าทางลุ้นตามของสาวรุ่นน้อง ปราณปรียาเสทำหน้าเหรอหราเมื่อโดนจับได้ก่อนหันไปนับข้าวกล่องตรงหน้าต่อ

                    หลังจากที่สาวๆ แจกข้าวกล่องเสร็จกลับถูกเรียกตัวไปช่วยที่กองอำนวยการอีกแผนการที่วางเอาไว้เลยเป็นอันพับไป เมื่อแนวหลังอย่างพวกเธอมีภารกิจต้องเตรียมงานสำหรับค่ำคืนที่กำลังจะมาถึง

     

                    ยุพาไล้มือเรียวไปมาบนแผลเป็นที่เธอตั้งใจซ่อนไว้ภายใต้เสื้อคลุมแขนยาว แม้จะได้รับความกรุณาจากท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลให้เธอลาพักต่อได้แต่นางพยาบาลสาวเลือกที่จะกลับมาทำงาน เพราะเธอไม่เห็นประโยชน์กับการที่จะต้องจับเจ่าอยู่ในห้องพักเพียงลำพังซึ่งนั่นจะทำให้เธอเครียดมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าเพื่อนร่วมงานจะมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ หรือบางคนจะซุบซิบนินทาเมื่อเธอหันหลังให้แต่ยุพากลับไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนที่ตายแล้วเกิดใหม่และไม่เคยสักครั้งที่จะรู้ซึ้งถึงรสชาติของคำว่าอิสรภาพเท่าครั้งนี้มาก่อน แม้กระทั่งอดีตที่เคยตามหลอกหลอนมาแสนนานก็ไม่สามารถบั่นทอนเธอได้อีกต่อไป แม้จะแปลกใจกับพฤติกรรมของตัวเองแต่ยุพาก็เลือกที่จะไม่หาสาเหตุในเมื่อทุกอย่างกำลังเข้าที่เข้าทาง ต่อไปนี้เธอจะต้องก้าวเดินด้วยตัวเองและมีชีวิตอยู่เพื่อวันข้างหน้าเท่านั้นก็พอ

                    “ขอแฟ้มคนไข้ด้วยครับ” เสียงทุ้มเรียกสติของคนที่เตลิดไปกับความคิดให้คืนกลับมา ยุพาส่งยิ้มให้กับเจ้าของเสียงที่ยืนตาตี่อยู่หน้าเคาน์เตอร์โดยอัตโนมัติ ก่อนคว้าเอาแฟ้มคนไข้แล้วเดินอ้อมมายืนเตรียมพร้อมข้างหมอกันต์ที่กำลังเขียนบางอย่างบนเคาน์เตอร์อย่างรวดเร็ว

                    “หายดีแล้วเหรอ ที่จริงคุณน่าจะพักผ่อนตามคำแนะนำของแพทย์นะ” หมอกันต์เอ่ยเสียงเรียบเขาออกจะเคืองนิดๆ ที่คนไข้ขัดคำสั่ง 

                    “ฉันหายดีแล้วค่ะคุณหมอ” ยุพาบอกพร้อมรอยยิ้ม แต่อีกฝ่ายหาได้ยิ้มตอบหมอหนุ่มดึงแฟ้มที่อยู่ในมือพยาบาลสาวไปดื้อๆ แล้วหันไปให้ความสนใจกับมันแทนเธอ ยุพาเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจในท่าทีที่เปลี่ยนไปของหมอกันต์ พลันคิดเอาเองว่าปกติแล้วเขาคงจะมีบุคลิกแบบนี้กระมัง การกระทำที่เขาแสดงออกกับเธอคงทำเพราะจรรยาบรรณของแพทย์ที่พยายามจะรักษาคนไข้ให้ดีที่สุด ยุพารู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาทันทีแต่พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อมิให้ตัวเองแย่ลงไปอีก

                    หมอกันต์ปิดแฟ้มก่อนยื่นมันกลับมาให้ยุพาที่ยืนคอยด้วยท่าทางเป็นกังวล และตลอดเช้าที่เธอคอยเดินตามเขาเข้าออกห้องคนไข้จนกระทั่งเสร็จ นายแพทย์กันต์พูดคุยซักถามอาการคนไข้อย่างเป็นกันเองแต่กับเธอแล้วเขาไม่ได้เอ่ยอะไรอีกเลย ยุพาเศร้าใจที่เธอแอบหวังว่าอย่างน้อยที่แห่งนี้ยังมีหมอกันต์ที่เข้าใจเธอมากกว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่น แต่เธอจะหวังอะไรในโลกแห่งความจริงใบนี้เล่าในเมื่อเธอเองก็เคยประสบพบเจอมาแล้วว่าไม่มีความแน่นอนในความแน่นอน เวลานี้เธอต้องเป็นที่พึ่งให้กับตนเองให้ได้ นางพยาบาลสาวยิ้มขื่นให้กับโชคชะตาของเธอ เสียงกริ่งฉุกเฉินดังขึ้นเรียกสติที่กำลังเตลิดของเธอได้เป็นอย่างดียุพารีบสาวเท้าไปยังที่มาของเสียงอย่างรีบเร่งและสลัดเรื่องที่ค้างคาใจทิ้งไว้ข้างหลังเพื่อปฏิบัติภารกิจอันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอยังเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่

                    “เป็นอะไรไปอีกล่ะ ใครบังคับอะไรแกอีก” พิมพ์ชนกเอ่ยขึ้นเมื่อก้าวเข้ามาภายในห้องพักแพทย์ซึ่งเป็นเวลาเกือบเที่ยงวัน หมอหนุ่มรุ่นน้องนั่งหน้ามุ่ยและถอนหายใจเสียงดัง

                    “เปล่า”

                    “ทำตัวพิลึกขึ้นทุกวันนะแก” พิมพ์ชนกกล่าวหาไม่จริงจังนักและเพราะเธอไม่มีเวลาที่จะซักไซ้ไล่เรียงอาการของรุ่นน้องด้วยมีนัดผ่าตัดคนไข้รออยู่จึงต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน

                    “เจ๊มีผ่าตัดไม่ใช่เหรอ รีบไปเถอะ” เขาตัดบทดื้อๆ ขณะที่ใช้นิ้วเขี่ยโทรศัพท์ไปมาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย

                    “คืนนี้อย่าลืมไปงานเลี้ยงด้วยล่ะ ฉันเข้าเวรคงไปไม่ได้” พิมพ์ชนกเอ่ยทิ้งท้ายก่อนสาวเท้าออกจากห้อง ทำให้หมอกันต์นึกขึ้นได้ว่าชาวบ้านชาวช่องเขามีกิจกรรมอะไรกันบ้างซึ่งปกติแล้วเขาไม่ค่อยจะใส่ใจงานรื่นเริงสักเท่าไหร่ เวลาว่างจากงานเขามักจะเข้าวัดเสียมากกว่าการเที่ยวเตร่ตามสถานบันเทิงหรืออาจเป็นเพราะเขาโตมากับพี่สาวที่ถูกสอนให้อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนเลยทำให้ไม่นิยมชมชอบการเป็นนักท่องราตรีอย่างคนกรุงทั่วไป เขาเหลือบตามองตารางเวรประจำวันก่อนครุ่นคิดอย่างเงียบๆ

     

                    บรรยากาศงานเลี้ยงเริ่มคึกคักและคลาคล่ำไปด้วยเหล่าข้าราชการ ตลอดจนคหบดีในตัวอำเภอที่ต่างก็พาบุตรและธิดามาปรากฏตัวกันในค่ำคืนนี้เพื่อต้องการกระชับความสัมพันธ์อันดีหรือบางคนอาจได้ลูกเขยลูกสะใภ้กันในวันนี้ก็เป็นได้ สาวๆ แต่งกายด้วยชุดราตรีส่วนสุภาพบุรุษแต่งกายด้วยชุดสูทสุภาพตามแบบสากลนิยม จะมีแตกต่างบ้างก็ตรงที่เหล่าผู้สนับสนุนรายการซึ่งส่วนใหญ่มีเชื้อสายญวนและจีนก็จะแต่งกายด้วยชุดประจำชาติ ปราณปรียาและสายสมรเองก็อยู่ในชุดเดรสสั้นสีทองอ่อนแขนตุ๊กตาเหมือนกันทั้งแบบและสีจะต่างก็ตรงขนาดของผู้ใส่เท่านั้น จนใครต่อใครต่างก็เข้าใจว่าทั้งสองเป็นพี่น้องกันเมื่อถูกจับให้มานั่งรับลงทะเบียนหน้างานแทนที่จะได้นั่งทานอาหารอร่อยๆ อย่างที่แอบหวัง

                    “อย่างนี้ทุกปีสิน่า กะว่าจะนั่งชิวๆ สบายๆ กับเขาบ้างก็ไม่ได้” สายสมรบ่นอุบพร้อมกับทำท่ากระฟัดกระเฟียดจนพุงกระเพื่อม ปราณปรียาได้แต่ยิ้มขำขณะที่จัดเรียงเอกสารบนโต๊ะให้เป็นระเบียบ ด้วยท่านนายอำเภอนึกสนุกอยากให้งานเลี้ยงมีสีสันมากขึ้นโดยไม่ได้บอกให้ใครทราบล่วงหน้าว่าท่านจะดำเนินการอย่างไรบ้างแม้กระทั่งพิธีกรเองก็ตาม ดังนั้นทุกคนจึงทำไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย

                    “เป็นยังไงกันบ้างครับ แขกมากันเยอะหรือยัง” ปลัดเอกภพในชุดสูททักซิโด้สีดำเอ่ยขึ้นเมื่อมาถึงหน้าหอประชุมอันเป็นสถานที่จัดงาน

                    “มีแต่คณะเรานี่แหละค่ะปลัด ยังหัวค่ำอยู่เลยนี่คะอีกสักพักนู่นแหละคนถึงจะเยอะ” สายสมรตอบคนที่เอาแต่จ้องหญิงสาวข้างๆ เธอตาเป็นมัน

                    “วันนี้น้องกระต่ายสวยจังเลยนะครับ” เขาเอ่ยชมด้วยแววตาหวานหยดจนปราณปรียาทำหน้าไม่ถูก

                    “แล้วพี่หมอนล่ะคะปลัด สวยไหม” สายสมรสอดขึ้นอย่างหมั่นไส้พร้อมกับแทรกร่างกลมๆ ของเธอเข้าบดบังวิสัยทัศของปลัดหนุ่มเสียมิดจนเขาต้องถอยหลังขยับพื้นที่ให้อย่างขัดเคือง และจังหวะนั้นมีกลุ่มสาวๆ เดินตรงมาทางโต๊ะลงทะเบียนหนึ่งในนั้นทำเอาปลัดเอกภพหน้าเจื่อนแล้วรีบขอตัวเข้าไปในงานอย่างลุกลี้ลุกลน

                    “แปลกคนจริง” สายสมรเขม้นมองตามอย่างจับสังเกต

                    “ช่างเขาเถอะค่ะพี่หมอน” ปราณปรียาตัดบทเพื่อให้สายสมรเลิกสนใจพฤติกรรมของปลัดเอกภพแล้วหันมาทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเมื่อสามสาวเดินมาหยุดหน้าโต๊ะของพวกเธอ ตอนนี้เองที่สายสมรเริ่มจะปะติดปะต่อเรื่องราวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเมื่อเธอเห็นหน้าหญิงสาวทั้งสามคนอย่างชัดเจน

                    “พี่รู้แล้วว่าทำไมปลัดเอกแกถึงรีบโกนอ้าวไปแบบนั้น” สาวอวบหันไปกระซิบข้างหูปราณปรียาทันทีที่อยู่กันตามลำพัง

                    “ทำไมเหรอคะ” ปราณปรียาแกล้งทำสีหน้าตื่นเต้นราวกับอยากรู้อยากเห็นเสียเต็มประดา

                    “ที่อำเภอเขาเม้ากัน ว่าพ่อแม่ของน้องนุช เอ๊ย น้องนุ่นมาขอเข้าพบท่านนายอำเภอเรื่องที่ปลัดเอกกำลังคบหากับลูกสาวแกอยู่ แล้วแกยังขู่ด้วยว่าถ้าปลัดเอกไม่ไปสู่ขอหรือหมั้นหมายไว้ก่อนแกจะฟ้องร้องให้ถึงที่สุด”

                    “ถึงขั้นจะฟ้องกันเลยหรือคะ” คราวนี้ปราณปรียาชักจะสนใจอย่างจริงจัง สายสมรจึงตั้งท่าเล่าอย่างออกรส พร้อมกับมองซ้ายทีขวาทีอย่างระแวดระวัง

                    “ข่าววงในว่าผู้หญิงกำลังท้องนี่สิเลยเป็นเรื่องใหญ่” สาวอวบเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นกระซิบด้วยกลัวว่าจะมีใครได้ยินเข้า ปราณปรียาทำหน้าเครียดเพราะรู้สึกคิดหนักแทนฝ่ายหญิงหากว่าข่าวที่สายสมรเล่าเป็นจริง

                    “ซุบซิบอะไรกันเหรอครับ”

                    “ว้าย ! ลูกแม่” สายสมรอุทานด้วยความตกใจกับเสียงทักที่ดังขึ้นข้างหูโดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว ปราณปรียาเองก็ผงะถอยห่างเช่นกัน

                    “ลูกใครครับพี่หมอน” หมวดศรุตถามขึ้นอีกเมื่อเห็นท่าทางน่าสงสัยของทั้งสองสาว

                    “เปล่าค่ะหมวด พี่หมอนแค่อุทานค่ะ แล้วนี่ทำไมมาไม่ให้ซุ่มให้เสียงกันบ้างล่ะคะพี่หมอนหัวใจจะวาย” สาวอวบว่าพร้อมกับเอามือทาบอก

                    เมื่อตั้งสติได้ปราณปรียาจึงเห็นว่าหมวดศรุตไม่ได้มาคนเดียว ยังมีพิมพ์ชนกและผู้กองภวินท์อีกคนยืนอยู่ด้วยซึ่งเขากำลังมองมาที่เธอด้วยแววตาเป็นประกาย

                    “ทำไมถึงได้มานั่งกันตรงนี้ล่ะคะ” พิมพ์ชนกเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังใช้ปากกาเขียนลงบนกระดาษสำหรับลงทะเบียนผู้ร่วมงาน

                    “หัวหน้าคงเห็นว่าพี่หมอนกับน้องกระต่ายสวยแล้วมั้งคะ ไม่ต้องเสริมเติมแต่งอะไรมากเลยให้มารอหน้างาน” สายสมรทำหน้าเซ็งแต่กลับเรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่น

                    “ก็จริงนะคะวันนี้พี่หมอนกับน้องกระต่ายดูสวยน่ารักทั้งคู่เลยค่ะ” พิมพ์ชนกเอ่ยชมจากใจจริงก่อนลุกจากเก้าอี้และเป็นผู้กองภวินท์ที่นั่งลงเป็นคนต่อมา เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยสูทสีดำเข้มคล้ายกันกับหมวดศรุตต่างกันตรงที่ฝ่ายหลังสวมสูทสีเทา ส่วนพิมพ์ชนกสวมชุดเดรสยาวเข้ารูปสีน้ำเงินเข้มมีผ้าคลุมไหล่สีเดียวกันเพราะตัวเสื้อเป็นเกาะอกซึ่งแลดูสง่างามตามแบบฉบับของเธอ

                    “น้องพิมพ์สวยสง่าเหมือนเจ้าหญิงเลยค่ะ” สายสมรชมกลับบ้างเมื่อพิมพ์ชนกเดินมารวมกลุ่มกับเธอและหมวดศรุต จากนั้นสายสมรก็เป็นคนเปิดประเด็นคุยเรื่องสับเพเหระอย่างเมามัน

                    ปราณปรียามองตามมือเรียวยาวที่กำลังจดปากกาลงบนกระดาษจนเขาวางมือแล้วเงยหน้าขึ้นมาหญิงสาวจึงเสมองไปทางอื่นชายหนุ่มจึงเห็นเพียงเสี้ยวหน้าขาวเนียนที่วันนี้มีสีชมพูระเรื่อแต่งแต้มบริเวณพวงแก้ม ผมที่ถูกเกล้าขึ้นสูงแต่ยังมีไรผมประปรายเคลียคลอบริเวณต้นคอขาวเนียนส่งให้ใบหน้าสวยหวานของปราณปรียาดูโดดเด่นขึ้นกว่าที่เคย เขายอมรับว่าหลงใหลหญิงสาวตรงหน้านี้จนยากจะถอนตัว

                    “ฮึม..กว้างไปหรือเปล่า” จู่ๆ ผู้กองหนุ่มก็ถามคำถามที่ทำเอาคนฟังถึงกับงง

                    “คะ ว่าไงนะคะ”

                    “คอเสื้อมันกว้างไปหรือเปล่า ไม่มีชุดที่มิดชิดกว่านี้แล้วเหรอ” เขาพูดหน้าตาเฉยขณะที่สายตาอยู่ระดับต่ำกว่าปลายคางของปราณปรียา หญิงสาวรีบเอามือปิดพื้นที่เหนือหน้าอกของตัวเองที่เปลือยเปล่าเพราะชุดที่เธอใส่เกือบจะเป็นเกาะอกเพียงแต่แต่งทรงให้มีแขนเสื้อเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น

                    “น่าเกลียดมากไหมคะ” ปราณปรียาเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาทันที ทั้งที่เธอเองก็คิดว่าชุดนี้เหมาะสมแล้วและไม่ได้โชว์เนื้อหนังจนน่าเกลียด ผู้กองหนุ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้ใบหูเล็กก่อนเอ่ยคำที่ทำเอาหญิงสาวหน้าแดงก่ำ

                    “น่าทำอย่างอื่นมากกว่านะสิ”  

                    “คนลามก” ปราณปรียาทำท่ากระซิบกลับไปอย่างเข่นเขี้ยวความรู้สึกของเธอทั้งโกรธและอับอาย อยากจะข่วนหน้าหล่อๆ นี่ให้เป็นรอยนัก

                    “ไปหาผ้ามาคลุมซะ พี่ไม่อยากให้เราเป็นอาหารตาของหนุ่มๆ ทั้งงาน” น้ำเสียงของเขาจริงจังแต่กลับยิ่งกระตุ้นต่อมโมโหของปราณปรียาเข้าไปอีก หญิงสาวมองหาตัวช่วยอย่างสายสมรปรากฏว่าที่โต๊ะลงทะเบียนตอนนี้เหลือเพียงแต่เธอกับผู้กองภวินท์เท่านั้น

                    “พี่หมอนก็ใส่ชุดเหมือนกันกับต่ายไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่คะ ทำไมต้องว่าขนาดนี้ด้วย” แม่กระต่ายน้อยชักมีอารมณ์  

                    “ไม่ได้ว่า แค่หวงไม่อยากให้ผู้ชายหน้าไหนมามองแฟนตัวเองแล้วเก็บไปฝันหวานต่อ ถ้าอยู่ด้วยกันสองคนต่อให้เราไม่ใส่เสื้อผ้าสักชิ้นพี่ก็จะไม่ว่าสักคำ” น้ำเสียงของเขาจริงจังไม่มีแววล้อเล่นเพราะเป็นห่วงและหวงคนของตัวเองเป็นนักหนา แต่ประโยคหลังทำเอาปราณปรียาถึงกับร้องยี้เมื่อนึกภาพตัวเองตามอย่างที่ชายหนุ่มว่ามา


    *********************************************************

    ว้าก..ข้าน้อยมาช้าสมควรตาย....แฮร่ๆ ๆ ๆ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×