คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #47 : สับสน
เร่งเต็มที่เลยค่ากลัวแฟนๆ จะรอนาน ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ
ยอดวิวและคอมเม้นท์ คือ กำลังใจที่สำคัญของไรท์เลยนะคะ ..........
เชิญทุกท่านอ่านอย่างมีความสุขค่ะ..
**************************************************************************************************
ภาคภูมิ
ชายวัยใกล้เกษียณแต่เขายังดูราวกับหนุ่มใหญ่อายุสี่สิบปลายเท่านั้นเอง
แม้ว่าสีผมจะแซมไปด้วยสีเทาเป็นส่วนใหญ่แต่ในสายตาของนางอรทัยแล้วเขาไม่ได้เปลี่ยนไปจากในวันวานมากมายนักหรืออาจเป็นเพราะเครื่องแต่งกายที่ดูภูมิฐานนั่นกระมัง
“เธอยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะอร
ทำไมถึงชอบทำร้ายจิตใจลูกนัก
อายุเราไม่ใช่น้อยกันแล้วอะไรปล่อยวางได้ก็ปล่อยเสียเถอะ”
คำพูดของคนที่ได้ชื่อว่าเคยเป็นคู่ชีวิตกันมาก่อนยิ่งทำให้นางอรทัยเดือดดาลมากขึ้น
“ความหวังดีของฉันนี่ช่างไร้ค่าเหลือเกินนะ
กลายเป็นว่าฉันบังคับทุกคนไปหมดอย่างนั้นสิ” นางอรทัยไม่ยอมแม้จะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนรุมอยู่ก็ตาม
“ตาวินมาพาย่าขึ้นบ้านที”
แม่อวนซึ่งยืนอยู่ข้างบุตรชายกวักมือเรียกผู้กองหนุ่มเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์น่าจะบานปลาย
ชายหนุ่มรีบเข้าไปประคองหญิงชราอย่างรู้งานก่อนจับจูงกันเดินเข้าทางหลังร้าน
นางอรทัยเห็นท่าไม่ดีจึงขยับตัวทำท่าจะจากไปบ้างหากแต่ภาคภูมิห้ามไว้เสียก่อน
“อยู่คุยกันก่อนได้ไหมอร
เรามีเรื่องต้องทำความเข้าใจกันสักหน่อย”
“แต่ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับเธอ
ที่จริงเราไม่มีเรื่องที่ต้องคุยกันแล้วต่างหาก”
นางอรทัยเชิดหน้าท้าทายอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ
“เรื่องของเราไม่มี
แต่เรื่องตาวินเห็นทีเราต้องคุยกันให้เข้าใจไม่อย่างนั้นลูกจะไม่มีวันมีความสุข”
“อ้อ..ตาวินบอกเธอเหรอว่าเขาไม่มีความสุข
ก็คงจะใช่ฉันมันจนนี่ไม่มีเงินทองซื้อหาความสบายให้ลูกได้เหมือนพวกคนรวยเขา”
นางอรทัยอดประชดประชันไม่ได้ด้วยฝังใจว่าที่ภาคภูมิทิ้งนางไปเพราะทนความลำบากไม่ได้
“มันไม่ใช่เรื่องความรวยหรือความจนหรอกอรเธอเองน่าจะรู้อยู่แก่ใจ
การปรับตัวและยอมรับสิ่งที่คนอื่นคิดหรือทำต่างหากที่จะทำให้อยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข
ในโลกนี้มันไม่มีอะไรได้ดั่งใจเราไปเสียหมดหรอกแต่ถ้าเรายอมรับในสิ่งที่มันเกิดขึ้นและเป็นไปได้เราก็จะไม่ทุกข์กับมัน”
ภาคภูมิอธิบายอย่างใจเย็น
ถึงวันนี้เขาเปลี่ยนไปจากอดีตมากตรงที่เป็นคนใจเย็นขึ้นและมองโลกในมุมที่ต่างจากเดิม
“เธอก็พูดได้สิเพราะเธอเป็นคนเลือกเดินไปหาสิ่งที่เธอชอบ
ส่วนฉันต้องจมปลักอยู่กับความทุกข์เพียงลำพังมีใครเข้าใจบ้างไหม”
“ฉันขอโทษที่ทำผิดกับเธอและลูก
เรื่องที่ผ่านมาถือว่าฉันขออโหสิกรรมเถอะนะอร
ฉันผิดเองที่ไม่หนักแน่นและไม่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเธอ
แต่มันผ่านมานานแล้วเราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้เพราะฉะนั้นปล่อยวางมันลงจะไม่ดีกว่าหรือ
มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันและอนาคต เราสองคนอายุมากแล้วไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่งแต่ลูกของเราเขายังต้องอยู่ต่อไป
สิ่งไหนที่มันเป็นความสุขของเขาเราก็ควรจะยอมรับมิใช่หรือ เธอว่าฉันพูดถูกไหม”
ภาคภูมิยังคงใช้น้ำเสียงหนักแน่นนุ่มนวลเช่นเดิมหาได้มีอารมณ์โกรธเคืองเคลือบแคลงอยู่
นางอรทัยได้แต่นิ่งและมีท่าทีสงบลงเมื่ออีกฝ่ายเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
หากเมื่อก่อนภาคภูมิใจเย็นอย่างนี้ครอบครัวของพวกเขาคงยังดำรงอยู่
นางอรทัยรู้สึกสะเทือนใจเพราะรู้อยู่เต็มอกถึงความจริงที่ภาคภูมิกล่าวมาแต่กำแพงที่นางก่อขึ้นนั้นแน่นหนาเหลือเกิน
ยากที่จะทำลายหรือปีนข้ามออกมาได้ และนางเลือกที่จะขังตัวเองไว้ในนั้นเพื่อป้องกันสิ่งที่จะมากระทบกระเทือนจิตใจของตนเอง
“ฉันจะกลับหละ
เชิญอยู่ดูแลลูกให้สบายเถอะเพราะเธอไม่ได้ทำมานานแล้วนี่” นางอรทัยตัดบทหนีไปดื้อๆ
แต่มีหรือที่ภาคภูมิจะยอมเขาทนเห็นอรทัยเย็นชากับบุตรชายเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว
ก็เพราะความจริงที่ว่าเขาไม่ได้มีโอกาสเลี้ยงดูภวินท์มานั่นเองเขาจึงอยากทำเพื่อบุตรชายคนนี้บ้าง
“อย่าเดินหนีความจริงอีกเลยนะอร
เราทุกคนต่างก็เจ็บปวดมามากเกินพอ หันมาพูดคุยกันดีๆ เถอะ”
ประโยคตรงมาตรงไปของภาคภูมิทำให้นางอรทัยถึงกับชะงักก้าวขาไม่ออก
ความอัดอั้นตันใจเอ่อล้นราวกับภูเขาไฟปะทุไหลมาจุกที่ลำคอ น้ำใสๆ ไหลกลิ้งลงบนแก้มที่กาลเวลาพรากความเปล่งปลั่งไปเสียสิ้น
“เราเลี้ยงลูกได้แต่ตัวนะอร
เขามีสิทธิ์เลือกทางเดินชีวิตของตัวเองคนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเรามีหน้าที่คอยสนับสนุนช่วยเหลือหรือตักเตือนเท่านั้น
สุดท้ายแล้วการตัดสินใจก็ต้องขึ้นอยู่กับเขาเอง ฉันอยากให้เธอปล่อยวางเปิดใจยอมรับในสิ่งที่ตาวินเป็นและพยายามทำเพื่อเธอมาตลอดแล้วเธอจะเห็นว่าความสุขมันอยู่ใกล้ตัวแค่เอื้อมมือคว้ามาเท่านั้นเอง”
ภาคภูมิแตะมือลงบนไหล่ที่กำลังสั่นไหวเพราะแรงสะอื้นที่เจ้าตัวพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อจะไม่แสดงออกมา
ทันทีที่นางอรทัยรับรู้ถึงสัมผัสอันอบอุ่นนั้นก็ถึงกับสะดุ้งรีบสะบัดตัวหนีพร้อมกับเดินจ้ำอ้าวออกไปโดยไม่หันหลังกลับมาอีกเลย
ภาคภูมิได้แต่ส่ายหน้ากับความดื้อรั้นของอดีตภรรยาในขณะที่อีกด้านหนึ่งบุตรชายของเขาเองก็กำลังมองมาด้วยแววตาหม่นหมองเช่นกัน
ขณะที่สายสมรและปราณปรียากำลังเอร็ดอร่อยกับไอศกรีมหลากรสภายในร้านที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันสดใสอยู่นั้น
ทั้งสองสาวก็เป็นอันต้องชะงักไปเมื่อไม่นึกว่าจะพบปลัดเอกภพควงสาวสวยนางหนึ่งเข้ามาในร้านเช่นกัน
ปลัดหนุ่มมีสีหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนส่งสาวสวยที่โต๊ะอีกด้านแล้วเดินมาทักทายพวกเธอ
“สวัสดีครับพี่หมอน
น้องกระต่าย” เขารีบทักขึ้นก่อน
ปราณปรียายกมือไหว้อย่างรู้กาลเทศะแม้จะต้องสบเข้ากับแววตาระยิบระยับของปลัดเอกภพก็ตาม
“เพิ่งรู้ว่าปลัดชอบทานไอศกรีมด้วยนะคะ”
สายสมรเอ่ยแซวขึ้นก่อนหลิ่วตามองไปที่สาวสวยมุมห้องด้วยความอยากรู้และดูเหมือนปลัดเอกภพจะอยากอธิบายเช่นกัน
“เปล่าหรอกครับ
พอดีน้องนุ่นเธออยากทานของหวานผมเลยนึกได้ว่ามีร้านนี้เท่านั้นเองครับ”
เขาตอบด้วยท่าทางสบายจนสายสมรนึกหมั่นไส้
“แฟนเหรอคะ
อุ้ย ขอโทษนะคะที่ละลาบละล้วง” สาวอวบแกล้งเอามือปิดปากตัวเอง
ปลัดเอกภพหน้าเจื่อนเมื่อเจอคำถามตรงไปตรงมา
“น้องเป็นธุรการมาใหม่ครับ
เป็นคนที่อื่นยังไม่ค่อยรู้จักสถานที่ในอำเภอดีนายอำเภอท่านเลยให้ผมเป็นธุระช่วยแนะนำน้องเขาในช่วงนี้ไปก่อนครับพี่หมอน
ผมเป็นคนหนักแน่นนะครับ ชอบใครแล้วไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ หรอก”
ประโยคหลังนี้เขาส่งสายตาหวานเยิ้มมาทางปราณปรียาจนหญิงสาวรู้สึกอิ่มไอศกรีมขึ้นมาทันที
สายสมรเบ้ปากให้กับความเจ้าชู้ไก่แจ้ของปลัดหนุ่มที่ไม่ลดดีกรีลงเลย
นี่ขนาดผู้กองภวินท์ประกาศตัวว่าเป็นเจ้าของหัวใจปราณปรียาชัดเจนขนาดนั้นแล้วปลัดเอกภพก็ยังไม่วายหว่านเสน่ห์อีก
แต่ก็นั่นละหนานิสัยของคนเจ้าชู้ก็มักเป็นเยี่ยงนี้
“อ้าว
น้องเขากวักมือเรียกแล้วค่ะปลัดรีบไปดูแลเถอะ
เดี๋ยวน้องเขาจะหลงทางกลับบ้านไม่ถูกนะคะ”
สาวอวบจีบปากจีบคอบอกเพราะเห็นท่าว่าปลัดหนุ่มจะร่ำไรอยู่นาน
“เอาไว้วันหลังผมขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงไอศกรีมบ้างนะครับ”
ปลัดเอกภพยังหันไปเชื่อมสัมพันธ์กับปราณปรียาต่อหาได้สนใจคำพูดกระแนะกระแหนของสาวอวบแต่อย่างใด
“เอ่อ...”
“ไม่จำเป็นหรอกมั้งครับ
แฟนผมผมเลี้ยงเอง” เสียงทุ้มกังวานแต่ดุดังขึ้นขัดจังหวะทำเอาปลัดหนุ่มถึงกับสะอึกเมื่อเจ้าของตัวจริงเสียงจริงปรากฏตัวขึ้น
“สะ
สวัสดีครับผู้กอง ผมกำลังจะขอตัวพอดีเลยครับ ตามสบายนะครับ”
ปลัดเอกภพรีบล่าถอยเมื่อเห็นสีหน้าเรียบตึงของผู้มาใหม่
สายสมรหัวเราะคิกคักด้วยความสะใจปนสมน้ำหน้าปลัดหนุ่ม
ส่วนปราณปรียาหันไปทำตาเขียวใส่ผู้กองภวินท์ที่เที่ยวป่าวประกาศว่าเธอเป็นแฟนกับเขา
แต่ชายหนุ่มกลับยักคิ้วไม่ยี่หระ
“สมน้ำหน้าเจอของจริงเข้าให้”
สายสมรว่าพร้อมกับมองตามปลัดหนุ่ม ขณะที่ผู้กองภวินท์นั่งลงข้างกันกับปราณปรียา
“รู้ได้ยังไงคะว่าต่ายอยู่ที่นี่”
หญิงสาวถามขึ้นเมื่อเขานั่งเรียบร้อยแล้ว
“ถ้าไปกับพี่หมอนก็มีไม่กี่ที่หรอก
เดาง่ายจะตาย” ชายหนุ่มตอบ แล้วแกล้งตักไอศกรีมในถ้วยของปราณปรียากินหน้าตาเฉย
“นี่
! ขอรึยังคะ” หญิงสาวออกอาการหวงของกิน
สายสมรที่นั่งอยู่อีกฝั่งได้แต่อมยิ้มมองสองหนุ่มสาวหยอกเย้ากันอย่างสนุกสนาน
“เดี๋ยวให้พ่อไปขอนะ”
เขาตอบพร้อมกับยิ้มกว้างลอยหน้าลอยตา
ส่วนปราณปรียาได้แต่ทำหน้างงก่อนจะทำสีหน้าเหมือนนึกได้ว่าโดนผู้กองหนุ่มอำจนได้
“โอ๊ย
ผู้กองขาถ้าจะจีบกันขนาดนี้พี่หมอนกลับก่อนแล้วกันนะคะเขินแทนน้องต่ายค่ะ”
สายสมรแกล้งเย้าผู้กองหนุ่มแต่กลับเป็นปราณปรียาเสียเองที่เขินจนหน้าแดง
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกระต่ายน้อยกลับด้วยเลยนะครับ”
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วค่ะ”
สาวอวบหัวเราะคิกเมื่อเห็นหน้างอง้ำของแม่กระต่ายน้อย
“อ้าว
ไหนพี่หมอนลอยแพกันอย่างนี้ละคะ”
มือเรียวยาวของนายแพทย์กันต์กำลังจับปากกาเขียนบางอย่างลงบนแฟ้มหนีบโดยมีพยาบาลสาวนางหนึ่งยืนรออยู่ข้างโต๊ะด้วยใบหน้าระเรื่อ
เพียงแค่ได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชายในฝันก็ทำเอาเจ้าหล่อนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะและไม่อาจละสายตาจากมือเรียวสวยนั่นได้กระทั่งหมอหนุ่มต้องเรียกเตือนเธอจึงได้สติ
“อะแฮ่ม
! เสร็จแล้วครับ” หมอกันต์บอกพร้อมกับยื่นแฟ้มรอ
นางพยาบาลสาวรีบยื่นมืออันสั่นเทาไปรับแฟ้มก่อนยิ้มเขินออกไป เขายิ้มมุมปากและเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หลับตาลงช้าๆ
ครุ่นคิดถึงคำขอร้องของมารดาที่บอกให้เขามีครอบครัวเสียที
คงเพราะว่าพี่สาวของเขาออกเรือนไปหมดแล้วกระมัง นานครั้งถึงจะมารวมตัวกันนั่นอาจทำให้บิดาและมารดาของเขารู้สึกเหงาและว้าเหว่ก็เป็นได้
แต่เรื่องการหาคู่ครองนั้นช่างยากเย็นสำหรับเขาเหลือเกิน แม้ว่าเขาจะเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงดีเพราะโตมาในครอบครัวที่มีแต่ผู้หญิงเขาจึงเรียนรู้พฤติกรรมต่างๆ
ของพี่สาวราวกับเขาเองเป็นน้องสาวคนสุดท้องก็ไม่ปาน
แต่เมื่อพี่สาวมีครอบครัวภาระการสืบทอดกิจการจึงตกมาที่เขาเพียงคนเดียวความกดดันมากมายไหลมารวมกันในขณะที่เขายังไม่ทันได้ตั้งตัวและสิ่งที่ทุกคนคาดหวังสวนทางกับความฝันของเขาทั้งสิ้นจนครั้งหนึ่งชายหนุ่มเกือบปลิดชีพของตัวเองลง
หากไม่มีพิมพ์ชนกผู้เปรียบเหมือนพี่สาวและเพื่อนบ้านในเวลานั้นคอยให้กำลังใจและเตือนสติ
อาจไม่มีนายแพทย์กันต์ในวันนี้ก็เป็นได้
นายแพทย์หนุ่มถูหลังมือกับกรามสากไปมาก่อนชำเลืองมองเวลาบนข้อมือ
หลังจากเหตุการณ์เมื่อวันก่อนเขาก็ไม่ได้โผล่ไปที่ห้องของคนป่วยอีกเลยโดยปล่อยให้พิมพ์ชนกเป็นเจ้าของไข้แทนเพื่อกลบกระแสข่าวลือระหว่างนายแพทย์กันต์กับนางพยาบาลสาวที่ชื่อยุพา
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่อันที่จริงเขาไม่ควรเอาเรื่องของเธอมาใส่ใจด้วยซ้ำแต่เมื่อเห็นแววตาอมทุกข์ของยุพาแล้วเหมือนความรู้สึกบางสิ่งในตัวเขาถูกปลุกให้ตื่น
ใช่ ! เขารู้สึกอยากจะปกป้องเธอจากเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้น
เขาไม่ได้เป็นเช่นนี้มานานแล้วนับแต่วันที่เขาได้แสดงความเข้มแข็งออกมาเพื่อปกป้องพิมพ์ชนกหญิงสาวที่เขารักและเคารพเหมือนญาติคนหนึ่ง
“ยังไม่กลับห้องเหรอ”
พิมพ์ชนกเอ่ยถามเมื่อเดินมาหยุดที่หน้าโต๊ะทำงานหมอหนุ่ม
เธอสังเกตเห็นว่าพักหลังมานี้เขาดูไม่ค่อยใส่ใจความเรียบร้อยของผมเผ้าสักเท่าไหร่
“อาการเธอเป็นยังไงบ้าง”
พิมพ์ชนกยักคิ้วด้วยความประหลาดใจก่อนปรับสีหน้าให้เป็นปรกติเมื่อนึกได้ว่ารุ่นน้องหมายความถึงใคร
“พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว
แต่สภาพจิตใจคงต้องฟื้นฟูต่อไป”
“ผมจะไปดูเธอหน่อย”
พูดจบหมอกันต์ก็ลุกพรวดทำท่าจะเดินออกไปทันที
“แกไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลยนะ
มีอะไรที่ยังไม่ได้บอกฉันหรือเปล่า”
“ผมก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงเหมือนกัน
ตอนแรกผมคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงบ้าคนหนึ่ง
จากนั้นผมก็เห็นเธอเป็นผู้หญิงโง่ที่คิดฆ่าตัวตาย...”
นายแพทย์หนุ่มก้มมองมือตัวเอง
“แล้วตอนนี้ล่ะ”
“ไม่รู้สิเจ๊
ผมรู้สึกสงสารเธอ
เวลาที่เห็นแววตาของเธอทำให้ผมอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เธอยิ้มได้
คงเป็นเพราะผมเคยสิ้นหวังแบบเธอมาก่อน”
“พอเห็นสภาพของคุณยุพาแล้วทำให้มองเห็นตัวเองในอดีตอย่างนั้นใช่ไหม...ฉันก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน”
พิมพ์ชนกยกมือขึ้นแตะบ่าชายหนุ่มด้วยรู้ซึ้งถึงหัวอกของคนที่เคยพบเจอเรื่องราวเลวร้ายมาคล้ายกัน
“แต่ชีวิตใครก็ชีวิตมัน
ทำไมแกต้องเอามาใส่ใจมากขนาดนี้ด้วยถ้าไม่ใช่เพราะว่าแกเกิดสนใจเธอเข้าแล้ว”
หมอสาวชี้ทางที่น่าจะเป็นให้รุ่นน้องได้กระจ่างแจ้งมากขึ้น
กันต์ทำหน้าตกใจกับข้อสันนิษฐานของพิมพ์ชนกซึ่งแม้แต่เขาเองยังไม่กล้าคิดเช่นนี้
ทันใดนั้นเขารวบตัวหญิงสาวเข้ามาไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับซบหน้ากับไหล่บอบบาง พิมพ์ชนกลูบหลังให้เป็นการปลอบใจเธอรู้ดีว่าน้องชายคนนี้กำลังมีปัญหาให้ขบคิด
“ขอบคุณนะเจ๊
ไว้ผมคิดได้ว่าตัวเองเป็นอะไรผมสัญญาว่าจะเล่าให้เจ๊ฟังเป็นคนแรก”
หมอกันต์ยิ้มตาตี่ก่อนผละจากไปปล่อยให้พิมพ์ชนกมองตามด้วยความงุนงง
หรือว่าข่าวลือระหว่างทั้งสองคนจะเป็นความจริงขึ้นมาถ้าเป็นเช่นนั้นเธอนึกไม่ออกว่าควรจะดีใจหรือเสียใจกับน้องชายคนนี้ดี
“ผมหึงนะ”
เสียงห้วนของหมวดศรุตทำให้พิมพ์ชนกสะดุ้งขณะที่เธอกำลังจะเดินพ้นประตูออกมาแล้ว
“อะไรของคุณ”
หมอสาวทำหน้าดุ ก่อนเดินนำหน้าเขาไปตามระเบียง
“อย่าให้หมอกันต์ทำแบบนี้กับคุณอีกไม่อย่างนั้นผมไม่ไว้หน้าแน่”
เขายังใช้น้ำเสียงจริงจังเช่นเดิม
“แบบนี้คือแบบไหนคะหมวดช่วยอธิบายด้วยค่ะ”
พิมพ์ชนกหันกลับมาเอียงคอถามคนที่จ้องจับผิดเธออยู่ก่อน
“แบบในห้องเมื่อกี้ไง
ผมไม่ชอบ” หมวดศรุตจ้องหญิงสาวอย่างคาดโทษ แต่พิมพ์ชนกยิ้มขำกับท่าทางดุของชายหนุ่มที่เธอไม่ใคร่จะได้เห็นบ่อยนักซึ่งแสดงว่าเขาคงไม่ได้พูดเล่นอย่างแน่นอน
“ยังจะมายิ้มอีก”
คราวนี้เขาชักจะไม่ชอบใจหนักกว่าเดิม
“โถ...หมอกันต์ก็เหมือนน้องคนหนึ่งค่ะเมื่อก่อนเราก็กอดกันแบบนี้ออกบ่อยไป”
“ถึงยังไงเขาก็เป็นผู้ชาย
และไม่ได้เป็นน้องแท้ๆ ของคุณด้วย เมื่อก่อนจะเคยกอดกันยังไงก็ช่างแต่ต่อไปนี้ผมกอดคุณได้คนเดียวเข้าใจไหม”
หมวดศรุตกอดอกพูดอย่างเอาจริงทำเอาพิมพ์ชนกเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ในความเอาแต่ใจของอีกฝ่ายพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ชายหนุ่ม
“ไม่เข้าใจ”
หญิงสาวบอกพร้อมกับเดินหนีเขาดื้อๆ โดยหารู้ไม่ว่าได้แหย่เสือหลับอย่างหมวดศรุตเข้าให้แล้วเพราะพอเธอเดินเลี้ยวตรงมุมตึกเขาก็ใช้ความเร็วอุ้มเธอขึ้นพาดบ่าแล้วเปิดประตูทางหนีไฟเข้าไปโดยที่พิมพ์ชนกไม่มีโอกาสได้โต้แย้งแต่อย่างใด
“ปล่อยฉันลงไปนะคนบ้า”
พิมพ์ชนกดิ้นพล่านขณะที่ใช้มือทุบหลังเขาเป็นการประท้วงแต่แรงของเธอแทบไม่ระคายเขาด้วยซ้ำ
“รับปากก่อนสิว่าจะไม่ให้ผู้ชายคนไหนกอดคุณอีก”
เขาคาดคั้นเอาคำตอบแต่คนมั่นใจในตัวเองอย่างพิมพ์ชนกมีหรือจะยอมง่ายๆ
“ม่าย...คนเผด็จการ”
พิมพ์ชนกตะโกนด้วยความโมโหจากนั้นก็ต้องรีบคว้าเสื้อเขาไว้แน่นเมื่อหมวดศรุตแกล้งหมุนตัวเธอไปรอบๆ
หญิงสาวเริ่มหน้าแดงและรู้สึกเหมือนจะอาเจียน
“ยะ
ยอม แล้ว” ในที่สุดเธอก็ไม่อาจทนบทลงโทษของหมวดศรุตไหว
เขาหยุดทันทีที่เธอรับปากและย่อตัวลงเพื่อให้หญิงสาวยืนได้สะดวก
พิมพ์ชนกหน้าแดงก่ำเพราะถูกจับห้อยหัวและเซถลาไปด้านหลังทันทีที่เท้าแตะพื้นดีที่หมวดศรุตคว้าเอวไว้ได้ทัน
ชายหนุ่มใจหายวาบเมื่อเห็นอาการของเธอและรู้สึกตัวว่าเขาทำเกินกว่าเหตุ
“ผมขอโทษนะ
คุณเป็นยังไงบ้าง”
“คุณมันบ้า
คุณจะฆ่าฉันหรือไง” พิมพ์ชนกเริ่มโกรธเขาจริงจังหลังจากเริ่มตั้งสติได้
หมวดศรุตทำหน้าเศร้าอย่างลุแก่โทษ
“ก็ผมทนไม่ได้ที่เห็นคุณกอดกับหมอกันต์นี่นา”
“ฉันบอกแล้วไงว่าหมอกันต์เป็นน้อง
อีกอย่างฉันก็ไม่ได้คิดว่าหมอกันต์เหมือนผู้ชายด้วยซ้ำ”
พิมพ์ชนกพูดตามความรู้สึกเพราะสำหรับเธอแล้วหมอกันต์เหมือนน้องสาวมากกว่าแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีท่าทางตุ้งติ้งก็ตาม
“เขาเป็นผู้ชายผมดูออก”
หมวดศรุตสีหน้าจริงจังเมื่อสบกับตาโตของพิมพ์ชนกที่มองมาอย่างไม่เชื่อในคำบอกเล่าของเขานักและทำท่าจะเถียงแต่หมวดศรุตยกมือขึ้นปิดปากเธอไว้เสียก่อน
“เป็นผู้ชายเหมือนผม
เป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง แต่อาจจะรักสะอาดกว่าผมนิดหน่อย” ประโยคหลังเขาพูดติดตลก
พิมพ์ชนกหมั่นไส้จึงทุบกำปั้นเข้าที่หน้าอกกว้างสองสามที
“อย่าโกรธเค้าน้า
เค้าขอโทษ เค้าแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มทำท่ากระเง้ากระงอดเมื่อพิมพ์ชนกยังหน้าบึ้งไม่ยอมตลกไปกับมุขของเขา
หมอสาวทำหน้าตาบึ้งตึงและใช้ความเงียบตอบโต้กลับไป
“เราเลิกกันเถอะค่ะ”
พิมพ์ชนกพูดเสียงเรียบพร้อมกับผลักหมวดศรุตออกห่าง
ชายหนุ่มอึ้งไปชั่วอึดใจก่อนลนลานตามหลังหมอสาวที่เดินลงบันไดอย่างรวดเร็ว
“โธ่
! พิมพ์ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ”
พิมพ์ชนกหันกลับมาจ้องหน้าชายหนุ่มเขม็ง
“ทำไมจะพูดไม่ได้...ก็เค้าแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง”
พูดจบเธอก็แลบลิ้นใส่เขาก่อนรีบแจ้นออกทางประตูหนีไฟทันที
หมวดศรุตได้แต่เข่นเขี้ยวที่โดนเอาคืนอย่างเจ็บแสบ
ความคิดเห็น