ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวใจรักภูธร

    ลำดับตอนที่ #44 : เรื่องของยุพา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 623
      3
      15 มี.ค. 60

                    ยุพานั่งมองของว่างที่วางบนโต๊ะด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ ก่อนไล่มองเก้าอี้ว่างทีละตัวซึ่งขณะนี้มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น หลังจากที่ส่งสายสมรขึ้นห้องเธอก็รีบยกถาดของว่างตรงมาที่ศาลาทันทีด้วยกลัวว่าผู้กองหนุ่มจะรอนานและดูเหมือนว่าจะเป็นดังเช่นที่เธอคิดเมื่อพบเพียงความว่างเปล่าไม่เหลือเงาของผู้กองหนุ่มและหญิงสาวนามว่าปราณปรียาอยู่อีกแล้ว ยุพารู้สึกปวดร้าวในอกขึ้นมาทันทีราวกับว่าน้ำตามากมายได้หลั่งรินอยู่ภายในแต่ไม่สามารถไหลออกมาข้างนอกได้ สิ่งที่ปรากฏแก่เธอเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากว่าเธอไม่ใช่คนที่มีความสำคัญกับผู้กองหนุ่มเลยสักนิด แล้วเธอควรจะต้องทำอย่างไรต่อไปดีจะตามตื๊อผู้กองภวินท์ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่มีใจให้อย่างนั้นหรือ แล้วถ้าเธอหยุดทุกอย่างและปล่อยเขาไปเธอจะทนกับความอ้างว้างและความปวดร้าวในวันข้างหน้าเพียงลำพังได้อย่างไร ในเวลานี้หญิงสาวไม่เหลือใครแล้วที่จะเป็นที่ยึดเหนี่ยวมีเพียงชายหนุ่มที่เป็นดังแสงสว่างส่องทางให้เธอ แต่ตอนนี้แสงนั้นช่างริบหรี่เหลือเกิน นางพยาบาลสาวนั่งจมอยู่กับความคิดหลากหลายของตน เรื่องราวมากมายในชีวิตของเธอหลั่งไหลเข้ามาในหัวสับสนตีกันไปหมดจนเธอต้องยกสองมือขึ้นทุบตีขมับทั้งสองข้างอย่างแรงเหมือนต้องการขับไล่สิ่งที่ก่อความวุ่นวายข้างในไปให้ไกลๆ

      

    ปราณปรียากำลังง่วนอยู่กับการตักดินใส่ในกระถางพลาสติกขนาดเล็กหลายใบที่เรียงรายอยู่ตรงหน้า หลังจากที่โดยผู้กองหนุ่มจอมเผด็จการสั่งลงโทษด้วยวิธีนี้ ส่วนคนสั่งนอนสบายใจเฉิบบนเปลไม้ไผ่แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่การลงโทษเอาเสียเลยเพราะหญิงสาวกลับรู้สึกสนุกสนานและเพลิดเพลินกับกิจกรรมนี้เป็นอย่างมาก

                    “เอ้า เร็วเข้าแม่คุณเหลืออีกตั้งหลายอันวันนี้จะได้ปลูกกันไหม” ภวินท์แกล้งพูดยั่วโมโหแม่กระต่ายน้อยเสียอย่างนั้นทั้งที่เขาเพิ่งจะแอบอมยิ้มอย่างพึงพอใจ

                    “เจ้าค่าคุณพี่” ปราณปรียาแกล้งลากเสียงยาวแกมประชดประชันพร้อมกับทำปากยื่นส่งให้ด้วยความหมั่นไส้ และต่อไปนี้เธอต้องมีสติในการเรียกขานเขาให้มากมิเช่นนั้นก็จะเป็นจุดอ่อนให้เขาหาเรื่องเอาเปรียบหรือกลั่นแกล้งเธออยู่ร่ำไป จะว่าไปแล้วการเรียกเขาว่า คุณพี่ยังให้ความรู้สึกดีกว่าเรียก พี่วินขาเป็นไหนๆ

                    “ไม่เอา เรียกพี่วินขาดีแล้วแบบนี้ดูโบราณไปหน่อย” เขาท้วงเข้าให้

                    “แหมอายุอานามคุณพี่ก็มิใช่น้อยแล้วนะคะ เรียกแบบนี้น่าจะเหมาะกว่า” แม่กระต่ายน้อยยังต่อปากต่อคำไม่ลดละทั้งที่ยังสาละวนกับงานตรงหน้า

                    “อย่างนี้ก็หาว่าพี่แก่หนะสิ ยายตัวแสบ” คราวนี้ชายหนุ่มกระโดดลงจากเปลมานั่งยองๆ ข้างกันกับปราณปรียาเสียเลย

                    “เมื่อกี๊ไม่มีคำว่าแก่สักคำเลยนะคะ” แม่กระต่ายน้อยพูดเสียงเบาลงเนื่องจากกลัวอาญาขึ้นมาทันทีทันใด ผู้กองภวินท์กระแซะเข้ามาใกล้อีกจนแทบจะสิงร่างแม่กระต่ายน้อยอยู่รอมร่อ

                    “ไม่เถียงอีกหละ..ฮึ” เขาแกล้งกระซิบอยู่ชิดใบหูของหญิงสาวจนเธอไม่เป็นอันทำงานตักดินหล่นเรี่ยราดไปทั่วบริเวณและนั่งตัวเกร็งไม่กล้าขยับใบหน้าของตัวเองเพราะอีกนิดเดียวจมูกคมของเขาก็จะชนกับแก้มสีแดงระเรื่อของเธออยู่แล้ว ผู้กองภวินท์ทั้งนึกเอ็นดูทั้งอยากแกล้งแม่คนปากดีเสียให้เข็ด

                    “ช่วยกันดีกว่าจะได้มีเวลาทำอย่างอื่น” เขาพูดสองแง่สองง่ามพร้อมกับขยับห่างออกไปจัดการกับกระถางที่เหลือด้วยท่าทางคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง ปราณปรียาทำตาโตพร้อมกับย่นจมูกก่อนชำเลืองมองผู้กองหนุ่มด้วยสายตาอ่อนโยนและหัวใจพองโต ความรู้สึกสุขใจอย่างเปี่ยมล้นไหลวนอยู่ภายใน หญิงสาวไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ได้รู้เพียงว่าผู้ชายคนนี้ช่างมีอิทธิพลกับเธอมากเหลือเกิน

                    เสร็จจากกิจกรรมลงดินในกระถางเรียบร้อยแล้วผู้กองภวินท์จึงได้โอกาสพาปราณปรียาชมที่พำนักพักพิงของเขาซึ่งทำให้ปราณปรียารู้สึกว่าตัวเองกำลังตกหลุมรักผู้กองหนุ่มจนหน้ามืดตามัวเสียแล้ว เพราะไม่ว่าอะไรที่เป็นตัวเขาเธอมองว่าน่าพิสมัยไปทุกอย่างโดยเฉพาะกระท่อมน้อยหลังนี้ที่ภายในตกแต่งด้วยลายไม้และเฟอร์นิเจอร์สไตล์โมเดิร์นทำให้ได้ความรู้สึกอบอุ่นแต่ทันสมัย และที่ปราณปรียาโปรดปรานเอามากๆ เห็นจะเป็นระเบียงโล่งไร้หลังคามองลงมาเห็นวิวด้านล่างของไร่ภูธรเกือบทั้งหมด เธอไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าได้มานอนนับดาวในคืนเดือนมืดจะเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำสักเพียงใด

                    ผู้กองภวินท์มองท่าทางตื่นเต้นเหมือนเด็กของปราณปรียาด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย แม่กระต่ายน้อยของเขาไม่เหมาะที่จะทำหน้าตาเศร้าสร้อยอย่างเมื่อตอนกลางวันเลยสักนิด ปราณปรียาที่เขารู้จักเป็นผู้หญิงร่าเริงสดใสคนนี้ต่างหาก ชีวิตของเขาพบเจอกับความผิดหวังเสียใจมามากพอแล้วเขาควรจะหลุดพ้นจากพันธนาการนั่นเสียที

                    “เราสามารถเห็นดาวจากตรงนี้ชัดไหมคะ” ปราณปรียาถามขึ้นขณะที่เธอแหงนหน้ามองบนท้องฟ้าที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับไปในไม่ช้านี้

                    “ชัดสิ โดยเฉพาะคืนที่เดือนมืดจะเห็นดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด” เขาอธิบายเสียงนุ่มไม่มีแววก่อกวนเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว

    “ตะวันจะตกดินแล้วเราน่าจะกลับลงไปข้างล่างนะคะ ป่านนี้คุณยายกับพี่หมอนคงตามหาเราไปทั่ว” ปราณปรียาทำหน้าเสียดายแต่ทุกอย่างต้องมีขอบเขตเสมอนั่นคือสิ่งที่เธอได้รับการปลูกฝังมาจากผู้เป็นบิดา สิ่งนี้ทำให้หญิงสาวใช้ชีวิตบนความไม่ประมาทและรู้จักกาลเทศะ

                    “ไม่มีใครตามหาเราหรอก เพราะว่าเย็นนี้เราจะจัดงานเลี้ยงเล็กๆ กันที่นี่” เขาโอบไหล่บอบบางเข้ามาในอ้อมแขนพร้อมกับส่งยิ้มให้เธอ ปราณปรียาทำหน้าแปลกใจที่ได้ยินเรื่องงานเลี้ยงในเย็นวันนี้ก่อนจะผละออกห่างจากชายหนุ่ม

                    “งานเลี้ยงเริ่มตอนไหนคะ”

                    “ก็น่าจะประมาณหนึ่งทุ่มนะ” ผู้กองหนุ่มตอบพร้อมกับมองหญิงสาวด้วยสีหน้างวยงง ปราณปรียายกแขนขึ้นดูนาฬิกาเรือนเล็กบนข้อมือสลับกับมองดูสภาพของตัวเองและเริ่มทำหน้าตายุ่งยาก

                    “มีอะไรหรือเปล่า”

                    “นี่หกโมงสิบห้าแล้วนะคะ ต่ายต้องกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนค่ะ”

                    “ก็อาบมันที่นี่ซะเลยสิ ไม่เห็นจะยาก” ชายหนุ่มออกความคิดเห็นพร้อมด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

                    “แล้วจะเอาเสื้อผ้าที่ไหนเปลี่ยนหละคะคุณชาย” ปราณปรียากลอกตาบนพร้อมกับพูดประชดไปในที

                    “ที่จริงชุดนี้ก็ดูดีแล้วนะ ตัวก็ยังไม่เหม็นเท่าไหร่หรอก” เขาทำท่าดมฟุดฟิดเข้ามาใกล้ก่อนรวบเอวแม่ กระต่ายน้อยมากอดไว้แน่น  ปราณปรียารีบยกสองมือยันหน้าอกของเขาไว้โดยอัตโนมัติ

                    “อย่ามัวเล่นอยู่สิคะ” ปราณปรียาทำหน้าตาจริงจังแม้ว่าผู้กองภวินท์จะนึกขำแต่จำต้องเก็บอาการไว้ก่อนมิเช่นนั้นอาจเป็นการแหย่เสือหลับให้ตื่น

                    “ก็ได้ เดี๋ยวไปส่ง” ชายหนุ่มยอมว่าง่ายก่อนจูงมือปราณปรียาเดินลงมาชั้นล่างของกระท่อมไม้ซึ่งออกแบบให้เป็นห้องเก็บของ เขามุดเข้าไปลากจักรยานเสือภูเขาคันเก่งออกมาก่อนวาดขาขึ้นนั่งบนอานรถและพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ปราณปรียามาขึ้นนั่งด้วย หญิงสาวเดินเกาหัวไปรอบจักรยานก็ไม่เห็นว่าจะมีที่ให้นั่งได้

                    “ให้นั่งตรงไหนคะ ไม่เห็นมีที่นั่งเลย”

                    “มานั่งตรงนี้มา” เขาชี้มือมาที่ท่อเฟรมตัวบนของรถ ปราณปรียาทำหน้าลำบากใจเธอนึกไม่ออกว่าจะนั่งเข้าไปได้ยังไง ผู้กองภวินท์เลยต้องคว้าแขนหญิงสาวและจัดท่านั่งให้เธอเหยียดขามาทางเดียวกันจากนั้นเขาก็จับแฮนด์ทั้งสองข้างค่อยๆ ปล่อยให้รถไหลลงเนินมาเรื่อยๆ ในขณะที่ปราณปรียานั่งตัวเกร็งไม่กล้ากระดุกกระดิกทั้งกลัวตกทั้งกลัวคนปั่นจักรยานที่จงใจวางคางไว้บนบ่าของเธออย่างสบายอารมณ์ หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจที่ต้องเสียเปรียบให้ผู้กองภวินท์อยู่ร่ำไป

     

                    “สารวัตรว่ายังไงคะ” พิมพ์ชนกถามขึ้นทันทีที่หมวดศรุตโผล่หน้าเข้ามาในห้องรับแขกหลังจากที่เขาขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์ได้สักพักใหญ่ หมวดศรุตหย่อนก้นลงนั่งบนโซฟาที่ทำด้วยหวายข้างกันกับหมอสาวก่อนสอดส่ายสายตาไปรอบบริเวณเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครนอกจากพวกเขา

                    “ผมไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยินมาเลยให้ตายสิ” เขาทำสีหน้าประหลาดใจแต่เสียงที่เปล่งออกมาเป็นเพียงเสียงกระซิบเท่านั้น พิมพ์ชนกขยับเข้าใกล้ด้วยความอยากรู้เต็มที่

                    “สารวัตรบังเอิญไปรู้มาว่าคุณยุพาเคยบำบัดกับจิตแพทย์มาก่อน” หมวดศรุตยังทำสีหน้าตกใจเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ได้ยินมา

                    “ไม่เห็นมีอะไรแปลกนี่คะสมัยนี้การไปพบจิตแพทย์เป็นเรื่องธรรมดาจะตายไป” พิมพ์ชนกเลิกตื่นเต้นตามชายหนุ่มเหมือนตอนแรก และวิเคราะห์ตามหลักทางการแพทย์ซึ่งเธอไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะน่าตกใจตรงไหน เพราะแม้กระทั่งเธอเองก็ยังเคยพบจิตแพทย์ในช่วงที่เครียดหนัก

                    “แต่มันน่าตกใจตรงที่เธออาการหนักถึงขนาดทำร้ายตัวเอง เพราะอย่างนั้นพี่ชายของเธอเลยไม่กล้าปล่อยให้อยู่ตามลำพัง”

                    “อืม..ถ้าถึงขนาดนั้นก็น่ากลัวอย่างที่คุณคิด อาการแบบนี้อาจจะกลับมาเป็นอีกถ้ามีอะไรไปกระทบกระเทือนจิตใจของเธอเข้า ส่วนใหญ่คนที่ป่วยแบบนี้มักจะมีอาการของโรคซึมเศร้านะคะ แต่ฉันว่าคุณยุพาเธอก็ไม่ได้แสดงอาการเหล่านั้นเลย”  หมอสาวยังวิเคราะห์ตามหลักเหตุผลเช่นเดิม

                    “ผมสงสัยว่าพี่วินจะรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”  หมวดศรุตทำสีหน้ายุ่งยากแทนผู้กองภวินท์ซึ่งไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้หรือไม่ว่าจะต้องรับมือกับอะไรบ้าง ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้ปรึกษาหารือกันต่อบุคคลที่พวกเขากำลังเป็นห่วงก็โผล่หน้าเข้ามาพร้อมกับแม่กระต่ายน้อยที่รีบสะบัดมือจากการเกาะกุมของผู้กองหนุ่มทันทีเมื่อเห็นว่ามีคนอยู่ในห้องรับแขก

                    “นี่แต่งตัวกันเรียบร้อยแล้วเหรอคะ รอต่ายแป๊บนึงนะคะขออาบน้ำก่อน”  ปราณปรียารีบผลุนผันวิ่งขึ้นไปบนห้องอย่างรวดเร็วส่วนผู้กองหนุ่มทำท่าจะเดินไปทางห้องนอนของผู้อาวุโสซึ่งอยู่อีกซีกหนึ่งของบ้าน

                    “พี่วินผมมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย”  หมวดศรุตรีบกระโจนไปดักหน้านายตำรวจรุ่นพี่ทำเอาผู้กองภวินท์ตกใจกับท่าทางลุกลี้ลุกลนของเขา

                    “อะไรของแก”  เขาทำเสียงเอ็ดกึ่งรำคาญ

                    “ผมอยากคุยกับพี่เรื่องคุณ..” ยังไม่ทันที่หมวดศรุตจะพูดจบบุคคลที่เขากำลังจะกล่าวถึงกำลังเดินตรงมาทางพวกเขาพอดี เพราะอาการค้างของหมวดศรุตผู้กองหนุ่มจึงต้องหันไปมองตาม

                    “พี่วินหายไปไหนมาคะ ยุพาเดินตามทั่วบ้านก็ไม่เจอ”

                    “พี่ก็เตร็ดเตร่อยู่แถวนี้แหละ เดี๋ยวเย็นนี้ยุพาไปทานข้าวด้วยกันนะ” ผู้กองภวินท์เอ่ยชวนทำให้สีหน้าเคร่งเครียดของนางพยาบาลสาวเปลี่ยนไป ยุพารู้สึกหัวใจพองโตเพียงแค่นึกถึงอาหารค่ำระหว่างเธอกับผู้กองหนุ่มที่แท้เขายังคงให้ความสำคัญกับเธอเช่นเดิม

                    “ถ้าอย่างนั้นยุพาขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ” หญิงสาวบอกอย่างตื่นเต้นก่อนผละออกไปยังห้องของเธอ ผู้กองภวินท์รู้สึกแปลกใจกับท่าทางที่เปลี่ยนกลับไปกลับมาของยุพาแต่ความสนใจของเขาถูกดึงไปที่หญิงชราซึ่งกำลังเดินตรงมาจากทางที่เขาตั้งใจจะไปในตอนแรก หมวดศรุตจำต้องพับความสงสัยกลับคืนที่เดิมไว้ก่อนเนื่องจากโอกาสอันไม่เอื้ออำนวย

                    “อ้าว ตาวินยังไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกเหรอลูก นี่มันกี่โมงกันแล้ว” แม่อวนส่งเสียงเอ็ดมาก่อนทั้งที่ตัวยังมาไม่ถึง หลานชายคนโปรดได้แต่อมยิ้มขณะที่เข้ามาประคองแขนข้างหนึ่งของคนเป็นย่า

                    “ผมกะว่ามารับคุณย่าขึ้นไปด้วยแล้วค่อยอาบน้ำทีเดียวเลยไงครับ”

                    “ย่าให้คนงานขึ้นไปส่งก็ได้ จะกลับไปกลับมาทำไมหลายรอบ”

                    “ผมเป็นห่วงคุณย่านี่ครับ เดี๋ยวเดินหกล้มเจ็บแข้งเจ็บขาขึ้นมาอีก ไปพร้อมผมนี่แหละจะได้มีคนคอยดูแล” เขาลูบหลังมือเหี่ยวของหญิงชราอย่างประจบ

                    “ออดอ้อนแบบนี้มีอะไรให้คนแก่ช่วยอีกหละสิท่า” แม่อวนเอ่ยขึ้นอย่างรู้ทันทำเอาผู้กองหนุ่มยิ้มเจื่อน ก่อนหันไปพูดกับหมวดศรุต

                    “ศรุตช่วยเป็นธุระพาสาวๆ ตามขึ้นไปข้างบนที ฉันจะล่วงหน้าไปดูความเรียบร้อยก่อน”

                    “ครับพี่” หมวดศรุตรับคำสั้นๆ แต่ผู้กองหนุ่มวางใจได้ว่าทุกอย่างต้องเรียบร้อย

                    ยุพารีบสาวเท้ามาที่ห้องรับแขกแต่เธอกลับพบเพียงพิมพ์ชนก หมวดศรุตและสายสมร หญิงสาวมีสีหน้าสลดลงไปอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่ได้ฟังคำบอกเล่าจากหมวดศรุตว่าผู้กองหนุ่มล่วงหน้าไปก่อน จึงได้แต่แยกตัวมานั่งที่เก้าอี้ริมผนังกระจกและเหม่อมองออกไปด้านนอกซึ่งในเวลานี้ความมืดเริ่มเข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณ

                    “พี่หมอนเพิ่งจะเคยเห็นน้องกระต่ายเลือกชุดก็คราวนี้แหละค่ะ ปกติเธอเป็นคนง่ายๆ ใส่อะไรก็ได้ขอให้ถูกกาลเทศะแต่วันนี้ไม่รู้เป็นยังไงจับชุดนั้นหยิบชุดนี้เลือกไม่ได้เสียที” สายสมรนินทาสาวรุ่นน้องเสียงเจื้อยแจ้วตามประสาคนช่างจ้อแต่น้ำเสียงมีความเอ็นดูเจือปนอยู่

                    “น้องกระต่ายเธอน่ารักอยู่แล้วจะใส่ชุดไหนก็ไม่ได้ทำให้ดูแย่หรอกค่ะ” พิมพ์ชนกเอ่ยตามที่เธอรู้สึกกับสาวรุ่นน้องอย่างปราณปรียา ยุพาซึ่งนั่งอยู่อีกมุมแต่ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้นอย่างชัดเจนพยาบาลสาวสีหน้าสลดหดหู่ลงในทันทีสองมือกำขยำกระโปรงสีหวานตัวสวยที่สวมอยู่โดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกอ้างว้างวูบโหวงเข้ากระหน่ำโจมตีหัวใจของเธอเป็นระลอกพร้อมกับเหตุการณ์ความสูญเสียคนในครอบครัวที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนสุดท้ายแล้วเหลือเพียงเธอคนเดียวบนโลกอันแสนโหดร้ายนี้

                    “น้องยุพาจะไปไหนคะ” สาวอวบเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่ายุพาทำท่าจะเดินออกไปจากห้องรับแขกพยาบาลสาวมีอาการสะดุ้งเล็กน้อยคล้ายคนเหม่อลอย

                    “ยุพารู้สึกปวดหัวค่ะคงจะไปด้วยไม่ได้แล้ว ขอตัวไปนอนพักที่ห้องนะคะ” หญิงสาวฝืนยิ้มกับทุกคน

                    “ให้พี่หมอนเดินไปส่งไหมคะดูสีหน้าน้องยุพาไม่ดีเลยค่ะ” สายสมรตรงเข้ามาประคองแขนพยาบาลสาวพร้อมกับอาสาด้วยความเต็มใจถือเป็นการไถ่โทษที่เธอแกล้งยุพาเมื่อตอนบ่าย

                    “ไม่เป็นไรค่ะพี่หมอน”

                    “ให้พี่เดินไปส่งเถอะค่ะเผื่อเป็นลมเป็นแล้งไปนะคะ”

                    “เอ๊ะ ! บอกว่าไม่ต้องไงคะ” ยุพาเสียงแข็งและสะบัดมือจนสายสมรต้องผงะออกห่างด้วยความตกใจ หมวดศรุตกับพิมพ์ชนกซึ่งเห็นเหตุการณ์หันมองหน้ากันอย่างสื่อความหมายที่เข้าใจกันสองคน สายสมรยืนงงหลับตาปริบๆ

    “ขอโทษค่ะ ยุพาขอตัวก่อนนะคะ” ยุพายกมือไหว้สาวใหญ่พร้อมกับขอโทษขอโพยก่อนรีบโกยอ้าวไปอย่างรวดเร็วจนเกือบชนเข้ากับปราณปรียาที่กำลังเดินเข้ามาในห้องนั้นพอดี

    “คุณยุพาเธอเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ปราณปรียาถามขึ้นด้วยความพิศวงไม่ต่างจากสามคนในห้องนัก

    “ไปกันเถอะครับ มีอะไรค่อยคุยกันระหว่างทางดีกว่า” หมวดศรุตเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าล่วงเลยเวลามามากแล้ว และเขาเองต้องบอกเล่าเรื่องราวที่ประสบให้ผู้กองภวินท์ได้รับรู้โดยเร็วที่สุด

    ทั้งสามสาวเห็นด้วยกับหมวดศรุตจึงไม่ได้โต้แย้งใดๆ และดูเหมือนว่าระหว่างทางที่พวกเขาเดินขึ้นเนินไปยังกระท่อมนั้นไม่มีใครปริปากพูดออกมาสักคำต่างคนต่างจมอยู่กับห้วงความคิดของตนเองกับท่าทางของพยาบาลสาวที่พวกเขาได้สัมผัสมา มีเพียงปราณปรียาเท่านั้นที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยหญิงสาวมีเพียงความรู้สึกตื่นเต้นกับงานเลี้ยงในคืนนี้มากกว่าทั้งยังกังวลเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ไม่ได้เตรียมพร้อมมา สติอีกด้านหนึ่งกลับคอยเฝ้าถามตัวเองว่าทำไมเธอถึงควบคุมความรู้สึกแปลกประหลาดนี้เอาไว้ไม่ได้

    *********************************************************************************


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×