คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #44 : เรื่องของยุพา
ยุพานั่งมองของว่างที่วางบนโต๊ะด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ
ก่อนไล่มองเก้าอี้ว่างทีละตัวซึ่งขณะนี้มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น
หลังจากที่ส่งสายสมรขึ้นห้องเธอก็รีบยกถาดของว่างตรงมาที่ศาลาทันทีด้วยกลัวว่าผู้กองหนุ่มจะรอนานและดูเหมือนว่าจะเป็นดังเช่นที่เธอคิดเมื่อพบเพียงความว่างเปล่าไม่เหลือเงาของผู้กองหนุ่มและหญิงสาวนามว่าปราณปรียาอยู่อีกแล้ว
ยุพารู้สึกปวดร้าวในอกขึ้นมาทันทีราวกับว่าน้ำตามากมายได้หลั่งรินอยู่ภายในแต่ไม่สามารถไหลออกมาข้างนอกได้
สิ่งที่ปรากฏแก่เธอเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากว่าเธอไม่ใช่คนที่มีความสำคัญกับผู้กองหนุ่มเลยสักนิด
แล้วเธอควรจะต้องทำอย่างไรต่อไปดีจะตามตื๊อผู้กองภวินท์ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่มีใจให้อย่างนั้นหรือ
แล้วถ้าเธอหยุดทุกอย่างและปล่อยเขาไปเธอจะทนกับความอ้างว้างและความปวดร้าวในวันข้างหน้าเพียงลำพังได้อย่างไร
ในเวลานี้หญิงสาวไม่เหลือใครแล้วที่จะเป็นที่ยึดเหนี่ยวมีเพียงชายหนุ่มที่เป็นดังแสงสว่างส่องทางให้เธอ
แต่ตอนนี้แสงนั้นช่างริบหรี่เหลือเกิน นางพยาบาลสาวนั่งจมอยู่กับความคิดหลากหลายของตน
เรื่องราวมากมายในชีวิตของเธอหลั่งไหลเข้ามาในหัวสับสนตีกันไปหมดจนเธอต้องยกสองมือขึ้นทุบตีขมับทั้งสองข้างอย่างแรงเหมือนต้องการขับไล่สิ่งที่ก่อความวุ่นวายข้างในไปให้ไกลๆ
ปราณปรียากำลังง่วนอยู่กับการตักดินใส่ในกระถางพลาสติกขนาดเล็กหลายใบที่เรียงรายอยู่ตรงหน้า
หลังจากที่โดยผู้กองหนุ่มจอมเผด็จการสั่งลงโทษด้วยวิธีนี้ ส่วนคนสั่งนอนสบายใจเฉิบบนเปลไม้ไผ่แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่การลงโทษเอาเสียเลยเพราะหญิงสาวกลับรู้สึกสนุกสนานและเพลิดเพลินกับกิจกรรมนี้เป็นอย่างมาก
“เอ้า เร็วเข้าแม่คุณเหลืออีกตั้งหลายอันวันนี้จะได้ปลูกกันไหม”
ภวินท์แกล้งพูดยั่วโมโหแม่กระต่ายน้อยเสียอย่างนั้นทั้งที่เขาเพิ่งจะแอบอมยิ้มอย่างพึงพอใจ
“เจ้าค่าคุณพี่”
ปราณปรียาแกล้งลากเสียงยาวแกมประชดประชันพร้อมกับทำปากยื่นส่งให้ด้วยความหมั่นไส้
และต่อไปนี้เธอต้องมีสติในการเรียกขานเขาให้มากมิเช่นนั้นก็จะเป็นจุดอ่อนให้เขาหาเรื่องเอาเปรียบหรือกลั่นแกล้งเธออยู่ร่ำไป
จะว่าไปแล้วการเรียกเขาว่า ‘คุณพี่’ ยังให้ความรู้สึกดีกว่าเรียก
‘พี่วินขา’ เป็นไหนๆ
“ไม่เอา
เรียกพี่วินขาดีแล้วแบบนี้ดูโบราณไปหน่อย” เขาท้วงเข้าให้
“แหมอายุอานามคุณพี่ก็มิใช่น้อยแล้วนะคะ
เรียกแบบนี้น่าจะเหมาะกว่า” แม่กระต่ายน้อยยังต่อปากต่อคำไม่ลดละทั้งที่ยังสาละวนกับงานตรงหน้า
“อย่างนี้ก็หาว่าพี่แก่หนะสิ
ยายตัวแสบ” คราวนี้ชายหนุ่มกระโดดลงจากเปลมานั่งยองๆ ข้างกันกับปราณปรียาเสียเลย
“เมื่อกี๊ไม่มีคำว่าแก่สักคำเลยนะคะ”
แม่กระต่ายน้อยพูดเสียงเบาลงเนื่องจากกลัวอาญาขึ้นมาทันทีทันใด
ผู้กองภวินท์กระแซะเข้ามาใกล้อีกจนแทบจะสิงร่างแม่กระต่ายน้อยอยู่รอมร่อ
“ไม่เถียงอีกหละ..ฮึ”
เขาแกล้งกระซิบอยู่ชิดใบหูของหญิงสาวจนเธอไม่เป็นอันทำงานตักดินหล่นเรี่ยราดไปทั่วบริเวณและนั่งตัวเกร็งไม่กล้าขยับใบหน้าของตัวเองเพราะอีกนิดเดียวจมูกคมของเขาก็จะชนกับแก้มสีแดงระเรื่อของเธออยู่แล้ว
ผู้กองภวินท์ทั้งนึกเอ็นดูทั้งอยากแกล้งแม่คนปากดีเสียให้เข็ด
“ช่วยกันดีกว่าจะได้มีเวลาทำอย่างอื่น”
เขาพูดสองแง่สองง่ามพร้อมกับขยับห่างออกไปจัดการกับกระถางที่เหลือด้วยท่าทางคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง
ปราณปรียาทำตาโตพร้อมกับย่นจมูกก่อนชำเลืองมองผู้กองหนุ่มด้วยสายตาอ่อนโยนและหัวใจพองโต
ความรู้สึกสุขใจอย่างเปี่ยมล้นไหลวนอยู่ภายใน หญิงสาวไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ได้รู้เพียงว่าผู้ชายคนนี้ช่างมีอิทธิพลกับเธอมากเหลือเกิน
เสร็จจากกิจกรรมลงดินในกระถางเรียบร้อยแล้วผู้กองภวินท์จึงได้โอกาสพาปราณปรียาชมที่พำนักพักพิงของเขาซึ่งทำให้ปราณปรียารู้สึกว่าตัวเองกำลังตกหลุมรักผู้กองหนุ่มจนหน้ามืดตามัวเสียแล้ว
เพราะไม่ว่าอะไรที่เป็นตัวเขาเธอมองว่าน่าพิสมัยไปทุกอย่างโดยเฉพาะกระท่อมน้อยหลังนี้ที่ภายในตกแต่งด้วยลายไม้และเฟอร์นิเจอร์สไตล์โมเดิร์นทำให้ได้ความรู้สึกอบอุ่นแต่ทันสมัย
และที่ปราณปรียาโปรดปรานเอามากๆ
เห็นจะเป็นระเบียงโล่งไร้หลังคามองลงมาเห็นวิวด้านล่างของไร่ภูธรเกือบทั้งหมด
เธอไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าได้มานอนนับดาวในคืนเดือนมืดจะเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำสักเพียงใด
ผู้กองภวินท์มองท่าทางตื่นเต้นเหมือนเด็กของปราณปรียาด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย
แม่กระต่ายน้อยของเขาไม่เหมาะที่จะทำหน้าตาเศร้าสร้อยอย่างเมื่อตอนกลางวันเลยสักนิด
ปราณปรียาที่เขารู้จักเป็นผู้หญิงร่าเริงสดใสคนนี้ต่างหาก ชีวิตของเขาพบเจอกับความผิดหวังเสียใจมามากพอแล้วเขาควรจะหลุดพ้นจากพันธนาการนั่นเสียที
“เราสามารถเห็นดาวจากตรงนี้ชัดไหมคะ”
ปราณปรียาถามขึ้นขณะที่เธอแหงนหน้ามองบนท้องฟ้าที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับไปในไม่ช้านี้
“ชัดสิ
โดยเฉพาะคืนที่เดือนมืดจะเห็นดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด” เขาอธิบายเสียงนุ่มไม่มีแววก่อกวนเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว
“ตะวันจะตกดินแล้วเราน่าจะกลับลงไปข้างล่างนะคะ
ป่านนี้คุณยายกับพี่หมอนคงตามหาเราไปทั่ว”
ปราณปรียาทำหน้าเสียดายแต่ทุกอย่างต้องมีขอบเขตเสมอนั่นคือสิ่งที่เธอได้รับการปลูกฝังมาจากผู้เป็นบิดา
สิ่งนี้ทำให้หญิงสาวใช้ชีวิตบนความไม่ประมาทและรู้จักกาลเทศะ
“ไม่มีใครตามหาเราหรอก เพราะว่าเย็นนี้เราจะจัดงานเลี้ยงเล็กๆ
กันที่นี่” เขาโอบไหล่บอบบางเข้ามาในอ้อมแขนพร้อมกับส่งยิ้มให้เธอ ปราณปรียาทำหน้าแปลกใจที่ได้ยินเรื่องงานเลี้ยงในเย็นวันนี้ก่อนจะผละออกห่างจากชายหนุ่ม
“งานเลี้ยงเริ่มตอนไหนคะ”
“ก็น่าจะประมาณหนึ่งทุ่มนะ”
ผู้กองหนุ่มตอบพร้อมกับมองหญิงสาวด้วยสีหน้างวยงง
ปราณปรียายกแขนขึ้นดูนาฬิกาเรือนเล็กบนข้อมือสลับกับมองดูสภาพของตัวเองและเริ่มทำหน้าตายุ่งยาก
“มีอะไรหรือเปล่า”
“นี่หกโมงสิบห้าแล้วนะคะ
ต่ายต้องกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนค่ะ”
“ก็อาบมันที่นี่ซะเลยสิ
ไม่เห็นจะยาก” ชายหนุ่มออกความคิดเห็นพร้อมด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“แล้วจะเอาเสื้อผ้าที่ไหนเปลี่ยนหละคะคุณชาย”
ปราณปรียากลอกตาบนพร้อมกับพูดประชดไปในที
“ที่จริงชุดนี้ก็ดูดีแล้วนะ
ตัวก็ยังไม่เหม็นเท่าไหร่หรอก” เขาทำท่าดมฟุดฟิดเข้ามาใกล้ก่อนรวบเอวแม่ กระต่ายน้อยมากอดไว้แน่น
ปราณปรียารีบยกสองมือยันหน้าอกของเขาไว้โดยอัตโนมัติ
“อย่ามัวเล่นอยู่สิคะ”
ปราณปรียาทำหน้าตาจริงจังแม้ว่าผู้กองภวินท์จะนึกขำแต่จำต้องเก็บอาการไว้ก่อนมิเช่นนั้นอาจเป็นการแหย่เสือหลับให้ตื่น
“ก็ได้ เดี๋ยวไปส่ง” ชายหนุ่มยอมว่าง่ายก่อนจูงมือปราณปรียาเดินลงมาชั้นล่างของกระท่อมไม้ซึ่งออกแบบให้เป็นห้องเก็บของ
เขามุดเข้าไปลากจักรยานเสือภูเขาคันเก่งออกมาก่อนวาดขาขึ้นนั่งบนอานรถและพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ปราณปรียามาขึ้นนั่งด้วย
หญิงสาวเดินเกาหัวไปรอบจักรยานก็ไม่เห็นว่าจะมีที่ให้นั่งได้
“ให้นั่งตรงไหนคะ ไม่เห็นมีที่นั่งเลย”
“มานั่งตรงนี้มา”
เขาชี้มือมาที่ท่อเฟรมตัวบนของรถ
ปราณปรียาทำหน้าลำบากใจเธอนึกไม่ออกว่าจะนั่งเข้าไปได้ยังไง
ผู้กองภวินท์เลยต้องคว้าแขนหญิงสาวและจัดท่านั่งให้เธอเหยียดขามาทางเดียวกันจากนั้นเขาก็จับแฮนด์ทั้งสองข้างค่อยๆ
ปล่อยให้รถไหลลงเนินมาเรื่อยๆ
ในขณะที่ปราณปรียานั่งตัวเกร็งไม่กล้ากระดุกกระดิกทั้งกลัวตกทั้งกลัวคนปั่นจักรยานที่จงใจวางคางไว้บนบ่าของเธออย่างสบายอารมณ์
หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจที่ต้องเสียเปรียบให้ผู้กองภวินท์อยู่ร่ำไป
“สารวัตรว่ายังไงคะ” พิมพ์ชนกถามขึ้นทันทีที่หมวดศรุตโผล่หน้าเข้ามาในห้องรับแขกหลังจากที่เขาขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์ได้สักพักใหญ่
หมวดศรุตหย่อนก้นลงนั่งบนโซฟาที่ทำด้วยหวายข้างกันกับหมอสาวก่อนสอดส่ายสายตาไปรอบบริเวณเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครนอกจากพวกเขา
“ผมไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยินมาเลยให้ตายสิ”
เขาทำสีหน้าประหลาดใจแต่เสียงที่เปล่งออกมาเป็นเพียงเสียงกระซิบเท่านั้น พิมพ์ชนกขยับเข้าใกล้ด้วยความอยากรู้เต็มที่
“สารวัตรบังเอิญไปรู้มาว่าคุณยุพาเคยบำบัดกับจิตแพทย์มาก่อน”
หมวดศรุตยังทำสีหน้าตกใจเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ได้ยินมา
“ไม่เห็นมีอะไรแปลกนี่คะสมัยนี้การไปพบจิตแพทย์เป็นเรื่องธรรมดาจะตายไป”
พิมพ์ชนกเลิกตื่นเต้นตามชายหนุ่มเหมือนตอนแรก
และวิเคราะห์ตามหลักทางการแพทย์ซึ่งเธอไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะน่าตกใจตรงไหน
เพราะแม้กระทั่งเธอเองก็ยังเคยพบจิตแพทย์ในช่วงที่เครียดหนัก
“แต่มันน่าตกใจตรงที่เธออาการหนักถึงขนาดทำร้ายตัวเอง
เพราะอย่างนั้นพี่ชายของเธอเลยไม่กล้าปล่อยให้อยู่ตามลำพัง”
“อืม..ถ้าถึงขนาดนั้นก็น่ากลัวอย่างที่คุณคิด
อาการแบบนี้อาจจะกลับมาเป็นอีกถ้ามีอะไรไปกระทบกระเทือนจิตใจของเธอเข้า
ส่วนใหญ่คนที่ป่วยแบบนี้มักจะมีอาการของโรคซึมเศร้านะคะ
แต่ฉันว่าคุณยุพาเธอก็ไม่ได้แสดงอาการเหล่านั้นเลย” หมอสาวยังวิเคราะห์ตามหลักเหตุผลเช่นเดิม
“ผมสงสัยว่าพี่วินจะรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”
หมวดศรุตทำสีหน้ายุ่งยากแทนผู้กองภวินท์ซึ่งไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้หรือไม่ว่าจะต้องรับมือกับอะไรบ้าง
ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้ปรึกษาหารือกันต่อบุคคลที่พวกเขากำลังเป็นห่วงก็โผล่หน้าเข้ามาพร้อมกับแม่กระต่ายน้อยที่รีบสะบัดมือจากการเกาะกุมของผู้กองหนุ่มทันทีเมื่อเห็นว่ามีคนอยู่ในห้องรับแขก
“นี่แต่งตัวกันเรียบร้อยแล้วเหรอคะ
รอต่ายแป๊บนึงนะคะขออาบน้ำก่อน” ปราณปรียารีบผลุนผันวิ่งขึ้นไปบนห้องอย่างรวดเร็วส่วนผู้กองหนุ่มทำท่าจะเดินไปทางห้องนอนของผู้อาวุโสซึ่งอยู่อีกซีกหนึ่งของบ้าน
“พี่วินผมมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย” หมวดศรุตรีบกระโจนไปดักหน้านายตำรวจรุ่นพี่ทำเอาผู้กองภวินท์ตกใจกับท่าทางลุกลี้ลุกลนของเขา
“อะไรของแก” เขาทำเสียงเอ็ดกึ่งรำคาญ
“ผมอยากคุยกับพี่เรื่องคุณ..”
ยังไม่ทันที่หมวดศรุตจะพูดจบบุคคลที่เขากำลังจะกล่าวถึงกำลังเดินตรงมาทางพวกเขาพอดี
เพราะอาการค้างของหมวดศรุตผู้กองหนุ่มจึงต้องหันไปมองตาม
“พี่วินหายไปไหนมาคะ
ยุพาเดินตามทั่วบ้านก็ไม่เจอ”
“พี่ก็เตร็ดเตร่อยู่แถวนี้แหละ เดี๋ยวเย็นนี้ยุพาไปทานข้าวด้วยกันนะ”
ผู้กองภวินท์เอ่ยชวนทำให้สีหน้าเคร่งเครียดของนางพยาบาลสาวเปลี่ยนไป ยุพารู้สึกหัวใจพองโตเพียงแค่นึกถึงอาหารค่ำระหว่างเธอกับผู้กองหนุ่มที่แท้เขายังคงให้ความสำคัญกับเธอเช่นเดิม
“ถ้าอย่างนั้นยุพาขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ”
หญิงสาวบอกอย่างตื่นเต้นก่อนผละออกไปยังห้องของเธอ
ผู้กองภวินท์รู้สึกแปลกใจกับท่าทางที่เปลี่ยนกลับไปกลับมาของยุพาแต่ความสนใจของเขาถูกดึงไปที่หญิงชราซึ่งกำลังเดินตรงมาจากทางที่เขาตั้งใจจะไปในตอนแรก
หมวดศรุตจำต้องพับความสงสัยกลับคืนที่เดิมไว้ก่อนเนื่องจากโอกาสอันไม่เอื้ออำนวย
“อ้าว
ตาวินยังไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกเหรอลูก นี่มันกี่โมงกันแล้ว”
แม่อวนส่งเสียงเอ็ดมาก่อนทั้งที่ตัวยังมาไม่ถึง หลานชายคนโปรดได้แต่อมยิ้มขณะที่เข้ามาประคองแขนข้างหนึ่งของคนเป็นย่า
“ผมกะว่ามารับคุณย่าขึ้นไปด้วยแล้วค่อยอาบน้ำทีเดียวเลยไงครับ”
“ย่าให้คนงานขึ้นไปส่งก็ได้
จะกลับไปกลับมาทำไมหลายรอบ”
“ผมเป็นห่วงคุณย่านี่ครับ
เดี๋ยวเดินหกล้มเจ็บแข้งเจ็บขาขึ้นมาอีก ไปพร้อมผมนี่แหละจะได้มีคนคอยดูแล”
เขาลูบหลังมือเหี่ยวของหญิงชราอย่างประจบ
“ออดอ้อนแบบนี้มีอะไรให้คนแก่ช่วยอีกหละสิท่า”
แม่อวนเอ่ยขึ้นอย่างรู้ทันทำเอาผู้กองหนุ่มยิ้มเจื่อน ก่อนหันไปพูดกับหมวดศรุต
“ศรุตช่วยเป็นธุระพาสาวๆ
ตามขึ้นไปข้างบนที ฉันจะล่วงหน้าไปดูความเรียบร้อยก่อน”
“ครับพี่” หมวดศรุตรับคำสั้นๆ
แต่ผู้กองหนุ่มวางใจได้ว่าทุกอย่างต้องเรียบร้อย
ยุพารีบสาวเท้ามาที่ห้องรับแขกแต่เธอกลับพบเพียงพิมพ์ชนก
หมวดศรุตและสายสมร
หญิงสาวมีสีหน้าสลดลงไปอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่ได้ฟังคำบอกเล่าจากหมวดศรุตว่าผู้กองหนุ่มล่วงหน้าไปก่อน
จึงได้แต่แยกตัวมานั่งที่เก้าอี้ริมผนังกระจกและเหม่อมองออกไปด้านนอกซึ่งในเวลานี้ความมืดเริ่มเข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณ
“พี่หมอนเพิ่งจะเคยเห็นน้องกระต่ายเลือกชุดก็คราวนี้แหละค่ะ
ปกติเธอเป็นคนง่ายๆ ใส่อะไรก็ได้ขอให้ถูกกาลเทศะแต่วันนี้ไม่รู้เป็นยังไงจับชุดนั้นหยิบชุดนี้เลือกไม่ได้เสียที”
สายสมรนินทาสาวรุ่นน้องเสียงเจื้อยแจ้วตามประสาคนช่างจ้อแต่น้ำเสียงมีความเอ็นดูเจือปนอยู่
“น้องกระต่ายเธอน่ารักอยู่แล้วจะใส่ชุดไหนก็ไม่ได้ทำให้ดูแย่หรอกค่ะ”
พิมพ์ชนกเอ่ยตามที่เธอรู้สึกกับสาวรุ่นน้องอย่างปราณปรียา ยุพาซึ่งนั่งอยู่อีกมุมแต่ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้นอย่างชัดเจนพยาบาลสาวสีหน้าสลดหดหู่ลงในทันทีสองมือกำขยำกระโปรงสีหวานตัวสวยที่สวมอยู่โดยไม่รู้ตัว
ความรู้สึกอ้างว้างวูบโหวงเข้ากระหน่ำโจมตีหัวใจของเธอเป็นระลอกพร้อมกับเหตุการณ์ความสูญเสียคนในครอบครัวที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนสุดท้ายแล้วเหลือเพียงเธอคนเดียวบนโลกอันแสนโหดร้ายนี้
“น้องยุพาจะไปไหนคะ”
สาวอวบเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่ายุพาทำท่าจะเดินออกไปจากห้องรับแขกพยาบาลสาวมีอาการสะดุ้งเล็กน้อยคล้ายคนเหม่อลอย
“ยุพารู้สึกปวดหัวค่ะคงจะไปด้วยไม่ได้แล้ว
ขอตัวไปนอนพักที่ห้องนะคะ” หญิงสาวฝืนยิ้มกับทุกคน
“ให้พี่หมอนเดินไปส่งไหมคะดูสีหน้าน้องยุพาไม่ดีเลยค่ะ”
สายสมรตรงเข้ามาประคองแขนพยาบาลสาวพร้อมกับอาสาด้วยความเต็มใจถือเป็นการไถ่โทษที่เธอแกล้งยุพาเมื่อตอนบ่าย
“ไม่เป็นไรค่ะพี่หมอน”
“ให้พี่เดินไปส่งเถอะค่ะเผื่อเป็นลมเป็นแล้งไปนะคะ”
“เอ๊ะ ! บอกว่าไม่ต้องไงคะ”
ยุพาเสียงแข็งและสะบัดมือจนสายสมรต้องผงะออกห่างด้วยความตกใจ
หมวดศรุตกับพิมพ์ชนกซึ่งเห็นเหตุการณ์หันมองหน้ากันอย่างสื่อความหมายที่เข้าใจกันสองคน
สายสมรยืนงงหลับตาปริบๆ
“ขอโทษค่ะ ยุพาขอตัวก่อนนะคะ” ยุพายกมือไหว้สาวใหญ่พร้อมกับขอโทษขอโพยก่อนรีบโกยอ้าวไปอย่างรวดเร็วจนเกือบชนเข้ากับปราณปรียาที่กำลังเดินเข้ามาในห้องนั้นพอดี
“คุณยุพาเธอเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ปราณปรียาถามขึ้นด้วยความพิศวงไม่ต่างจากสามคนในห้องนัก
“ไปกันเถอะครับ มีอะไรค่อยคุยกันระหว่างทางดีกว่า”
หมวดศรุตเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าล่วงเลยเวลามามากแล้ว
และเขาเองต้องบอกเล่าเรื่องราวที่ประสบให้ผู้กองภวินท์ได้รับรู้โดยเร็วที่สุด
ทั้งสามสาวเห็นด้วยกับหมวดศรุตจึงไม่ได้โต้แย้งใดๆ
และดูเหมือนว่าระหว่างทางที่พวกเขาเดินขึ้นเนินไปยังกระท่อมนั้นไม่มีใครปริปากพูดออกมาสักคำต่างคนต่างจมอยู่กับห้วงความคิดของตนเองกับท่าทางของพยาบาลสาวที่พวกเขาได้สัมผัสมา
มีเพียงปราณปรียาเท่านั้นที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยหญิงสาวมีเพียงความรู้สึกตื่นเต้นกับงานเลี้ยงในคืนนี้มากกว่าทั้งยังกังวลเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ไม่ได้เตรียมพร้อมมา
สติอีกด้านหนึ่งกลับคอยเฝ้าถามตัวเองว่าทำไมเธอถึงควบคุมความรู้สึกแปลกประหลาดนี้เอาไว้ไม่ได้
*********************************************************************************
ความคิดเห็น