คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #37 : พี่วิน
ตอนที่แล้วแอบทิ้งให้ลุ้นกันไว้ แต่มาต่อช้าไปหน่อยอย่าว่ากันนะคะ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่า..........................
************************************************************************************************
หลังจากที่ล่ำลากันอยู่นานกว่าจะส่งนางดวงฤทัยและปราณต์ขึ้นรถได้ก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ
ปราณปรียารีบล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูแต่หาได้มีข่าวคราวจากคนที่เธอหวังไม่
จนหญิงสาวเริ่มรู้สึกใจเสียกับการที่ผู้กองภวินท์เงียบหายไปเช่นนี้
ขณะเดียวกันเธอได้ยินเสียงเครื่องรถมอเตอร์ไซด์ดังใกล้เข้ามาและเป็นจ่าสมยศนั่นเอง
ปราณปรียารอจนจ่าสมยศจอดรถสนิทจึงรีบเข้าไปทักทายและถามไถ่ทันที
เธอจึงสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเขาดูอิดโรยและเคร่งเครียด
“ผมเพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลครับ”
เขาบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าหลังจากที่ทักทายกับปราณปรียาเรียบร้อยแล้ว
“ใครเป็นอะไรหรือคะ”
ปราณปรียาสีหน้าตื่นตกใจ
“เอ่อ..ผู้กองครับ
ผู้กองถูกยิง”
ปราณปรียาใจหายวาบเมื่อฟังคำบอกเล่าของจ่าสมยศและต้องสะดุ้งตกใจกับเสียงอันดังของจานกระเบื้องที่ร่วงจากมือดาวประกายกระแทกกับพื้นอย่างแรงจนแตกกระจาย
“ว่าไงนะพี่
!”
ดาวประกายอุทานอย่างไม่เชื่อหูกับสิ่งที่ได้ยิน
ปราณปรียาเร่งฝีเท้าไปยังห้องฉุกเฉินด้วยใบหน้าซีดเผือด
เธอรีบตรงเข้าไปหาสารวัตรอาเขตและหมวดศรุตซึ่งทั้งสองกำลังยืนคุยกันอยู่หน้าห้องนั้นพอดี
“ผู้กองเป็นยังไงบ้างคะ”
ทั้งสองหนุ่มยืนเงียบชั่วขณะ
สารวัตรอาเขตเจ็บแปลบที่หน้าอกขึ้นมาทันใดจนต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทางส่วนหมวดศรุตเองก็ยังไม่กล้าตอบคำถาม
“ทำไมเงียบกันไปหมดหละคะ”
ปราณปรียาชักใจเสียเมื่อเห็นท่าทางอ้ำอึ้งของทั้งสองหนุ่ม
เธอทำท่าขยับเข้าไปใกล้แต่ปรากฏว่าประตูห้องฉุกเฉินถูกเปิดออกมาเสียก่อนโดยหมอใหญ่ประจำโรงพยาบาล
“เป็นยังไงครับคุณหมอ”
สารวัตรอาเขตรีบเอ่ยถามทันที
“เฮ้อ..คนเจ็บเสียเลือดมากทำให้ทนพิษบาดแผลไม่ไหว”
หมอมานพส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยล้า
“หมายความว่า...”
หมวดศรุตพูดค้างไว้
“ครับ
ผมเสียใจจริงๆ”
หมอมานพกล่าวทิ้งท้ายก่อนขอตัวไปพักหลังจากที่คร่ำเคร่งในห้องฉุกเฉินเป็นเวลานาน
“ผู้กอง
!”
ปราณปรียาอุทานเสียงหลงก่อนพรวดพราดเข้าไปภายในห้อง
สารวัตรอาเขตกับหมวดศรุตรีบร้องห้ามเสียงหลงแต่ดูเหมือนจะไม่มีผลอันใดเลย
ปราณปรียาเข้ามาหยุดยืนข้างเตียงคนไข้ซึ่งตอนนี้ร่างของคนบนเตียงถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ารอเวลาที่จะเข็นออกไป
เธอรู้สึกมึนงงกับเหตุการณ์ในตอนนี้เหลือเกินมันเร็วเกินไปและเธอยังไม่ได้เตรียมพร้อมตั้งรับกับทุกๆ
สิ่ง หญิงสาววูบโหวงภายในอกร่างกายไร้ซึ่งเรี่ยวแรง น้ำใสๆ
เปื้อนเปรอะทั้งใบหน้าอย่างไม่สามารถห้ามได้
“ทำไม
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมถึงเป็นคุณ” ปราณปรียาพึมพำคล้ายคนละเมอ
ขณะที่ยื่นมืออันสั่นเทาเพื่อจะเปิดผ้าคลุมหน้าออกดู
อย่างน้อยเธออยากจะเห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้ายแต่แล้วสารวัตรอาเขตก็คว้าแขนเธอไว้เสียก่อน
“น้องต่ายครับมัน..”
“ต่ายขอเถอะค่ะพี่เขต
ต่ายอยากเห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย”
“แต่มัน..”
“ต่ายดูได้ค่ะอย่าห้ามเลยนะคะ”
ปราณปรียาขอร้องด้วยแววตาปวดร้าวจนเขาเองยังสัมผัสรับรู้ได้
หมวดศรุตตามมาด้วยสีหน้าปั้นยากและรีบพูดแทรกขึ้น
“โธ่
น้องกระต่ายครับ ไอ้คนที่นอนอยู่นั่นไม่ใช่ผู้กองเสียหน่อย”
“ว่าอะไรนะคะ”
ปราณปรียาตาโตมองหน้าหมวดศรุตก่อนหันมามองสารวัตรอาเขตที่ยังหน้าเศร้าแต่พยักหน้าหงึกหงัก
ทำให้หญิงสาวรวบรวมสติสัมปชัญญะเข้าร่างและทำหน้าครุ่นคิด
“ผู้กองภวินท์ย้ายไปอยู่ห้องพิเศษเมื่อตอนสายนี่เอง
ส่วนคนที่ตายและนอนอยู่นี่เป็นคนร้ายครับ” สารวัตรอาเขตบอก ปราณปรียาหน้าชาจนแทบอยากดึงผ้าสีขาวมาคลุมหัวตัวเองมันซะเลยโทษฐานที่ปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มอยู่ตั้งนานสองนาน
หลังจากที่เดินไปส่งปราณปรียาหน้าห้องพิเศษแล้วหมวดศรุตจึงขอตัวกลับไปพักผ่อนบ้าง
โดยสารวัตรอาเขตนั้นแยกตัวไปตั้งแต่ออกจากห้องฉุกเฉินแล้วด้วยสภาพอิดโรยไม่ต่างจากเขานักและสภาพจิตใจก็คงคล้ายกับเขาในตอนนี้เช่นกัน
ไอ้อาการของคนอกหักคงเป็นอย่างนี้นี่เองเขาเพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคนี้เมื่อตอนเช้านี่เอง
หลังจากที่เห็นกับตาว่าพิมพ์ชนกเดินคล้องแขนผู้ชายออกมาจากบ้านพักด้วยกัน
“นี่คุณ
คุณ หูหนวกหรือไงเรียกไม่ตอบ”
พิมพ์ชนกตบเข้าที่หลังของชายหนุ่มอย่างแรงจึงทำให้คนใจลอยเรียกสติกลับมา
“จะกลับแล้วเหรอคะ”
หมวดศรุตมองตามริมฝีปากเจื้อยแจ้วของคนตรงหน้าด้วยแววตาเศร้าแต่ก็เพียงแวบหนึ่ง
แม้ว่าภายในใจของเขามันจะรวดร้าวเหมือนกำลังโดนมือบีบขย้ำอยู่ก็ตามแต่จะมีประโยชน์อันใดเล่าเมื่อสิ่งที่เขาเป็นและรู้สึก
มันไม่ได้มีความหมายกับใครสักนิด
“ครับ”
“ท่าทางคุณดูไม่ดีเลย”
“คงเป็นเพราะอดนอน
ได้พักสักหน่อยก็คงจะดีขึ้น” เขาตอบพร้อมฝืนยิ้ม
พิมพ์ชนกขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับยกหลังมือขึ้นอังที่หน้าผากโดยที่หมวดศรุตไม่ได้คาดคิดเขาจึงผงะเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ
“แหมแค่นี้ทำเป็นหวงตัว
ฉันว่าคุณน่าจะมีไข้กินยากันไว้ก่อนก็ดีนะคะ”
หญิงสาวแขวะเข้าให้แต่ก็ไม่วายสั่งเสีย
หมวดศรุตเห็นด้วยอย่างที่พิมพ์ชนกบอกตอนนี้เขาไม่สบายจริงๆ
และอาการเขาคงจะทรุดหนักกว่าเดิมถ้าขืนหญิงสาวยังทำท่าทางเป็นห่วงเป็นใยเขาอยู่เช่นนี้
เขายกมือขึ้นแตะหน้าผากตัวเองอย่างไม่จริงจังนัก
“คงจะจริงผมคงไม่สบาย”
เขาพูดคล้ายคนละเมอ จังหวะนั้นเองที่พิมพ์ชนกสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างเธอรีบคว้าแขนเขาไว้ทันที
“แขนคุณไปโดนอะไรมา”
หมอสาวเพ่งดูรอยแผลข่วนยาวใต้ท้องแขนของหมวดศรุตราวกับกำลังวิเคราะห์หาต้นตอของมันอยู่
“อ๋อ
คงเป็นตอนที่ตกต้นมะขามนั่นแหละ
ไม่เป็นไรหรอกคุณแผลถลอกแค่นี้ไกลหัวใจไม่กี่วันก็หาย”
“กลัวจะเป็นบาดทะยักมากกว่า
เดี๋ยวฉันล้างแผลให้คุณก่อนแล้วกันนะคะกันไว้ดีกว่าแก้”
ในที่สุดหมวดศรุตก็ถูกลากตัวมาล้างแผลจนได้
โดยแพทย์หญิงพิมพ์ชนกลงมือทำด้วยตนเองเพราะเขาถูกพามาที่ห้องพักของแพทย์ซึ่งดูเป็นการส่วนตัวสักหน่อย
การกระทำของพิมพ์ชนกทำให้เขาอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่ามันออกจะพิเศษเกินไปหรือไม่
แต่ก็นั่นแหละหากเป็นคนอื่นที่มีสถานะเป็นเพื่อนอย่างเขาในเวลานี้ก็คงได้รับการดูแลจากพิมพ์ชนกไม่ต่างกัน
“เสร็จแล้ว”
พิมพ์ชนกบอกพร้อมกับลุกเอาอุปกรณ์ไปเก็บบนตู้ยาข้างผนังห้อง
หมวดศรุตเองก็ลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมที่จะกลับเพราะเขาไม่อยากทำตัวเป็นภาระของหมอสาวอีก
“ขอบคุณครับที่ทำแผลให้”
เขาเอ่ยขึ้นขณะที่พิมพ์ชนกยังหันหลังง่วนกับการเก็บของอยู่
“ยังไงคุณก็ต้องล้างแผลทุกวันนะคะ
แล้วก็กินยาด้วยแผลจะได้หายไวๆ เดี๋ยวฉันจะจัดยาให้แต่ เอ๊ะ
จำได้ว่าเก็บไว้ในตู้ไม่รู้ว่าใครหยิบไปหรือเปล่า อ้อ นี่ไงเจอแล้ว”
พิมพ์ชนกหยิบขวดยาสีขาวออกมาจากตู้ก่อนหันมาทางหมวดหนุ่มซึ่งตอนนี้ไม่มีแม้เงาของเขาอยู่อีกแล้ว
พิมพ์ชนกขมวดคิ้วมุ่น
“อ้าว
คนบ้าปล่อยให้เราพูดอยู่คนเดียวตั้งนาน”
ปราณปรียากลับมาดูอาการคนเจ็บอีกครั้งก็เป็นเวลาอาหารเย็นพอดีหลังจากที่เมื่อช่วงบ่ายเธอพบว่าเขาเพิ่งหลับไปจึงถือโอกาสกลับไปเตรียมข้าวของสำหรับเฝ้าไข้คืนนี้
หญิงสาวนำช่อมะลิซ้อนประมาณหนึ่งกำมือจัดใส่แก้วน้ำทรงสูงซึ่งนำมาใช้งานต่างแจกันไปพลางก่อน
กลิ่นหอมของมะลิลอยไปกระทบประสาทสัมผัสของคนตัวโตที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงส่งผลให้จังหวะหัวใจของเขาเต้นแรงตามไปด้วย
และปรากฎมโนภาพไปว่าเขายืนอยู่ข้างพุ่มมะลิซ้อนที่กำลังออกดอกสะพรั่ง
“ยังไม่ตื่นอีกเหรอนี่”
ปราณปรียาพึมพำเมื่อมองมาที่คนป่วยซึ่งยังคงหลับสนิท สักพักมีพยาบาลสาวนางหนึ่งผลักประตูเข้ามาหลังจากที่เคาะให้สัญญาณ
“ขออนุญาตวัดไข้นะคะ”
เธอบอกพร้อมกับส่งยิ้มให้จากนั้นจึงเดินไปที่เตียงผู้ป่วยเสียบปรอทเข้าที่ใต้รักแร้อย่างเบามือและตรวจตราความเรียบร้อยของเครื่องมือซึ่งตอนนี้มีเพียงสายน้ำเกลือเท่านั้น
ปราณปรียาขยับลุกมานั่งที่โซฟาไม่ห่างกันนัก
เพราะห้องพิเศษของโรงพยาบาลประจำอำเภอนั้นไม่ได้มีพื้นที่มากมายอย่างโรงพยาบาลเอกชนในเมืองกรุง
ปราณปรียานึกชื่นชมท่วงท่าของพยาบาลสาวผู้นี้อย่างน่าประหลาด
ยิ่งมองก็ยิ่งเพลินตาหากไม่ได้สวมเครื่องแบบวิชาชีพ
ปราณปรียายังแอบคิดว่าพยาบาลสาวปฏิบัติกับคนป่วยราวกับเขาเป็นคนสำคัญของเธอก็ไม่ปาน
“มีไข้อ่อนๆ
นะคะ ถ้าหากคนไข้หิวน้ำให้ค่อยๆ จิบไปก่อน
อีกครึ่งชั่วโมงพยาบาลจะเข้ามาฉีดยาแก้ปวดแก้อักเสบให้ค่ะ” เธอบอกก่อนออกจากห้องพร้อมด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ
ปราณปรียาตระหนักได้เดี๋ยวนั้นเองว่าผู้คนแถบนี้มีความสวยงามในแบบที่ต่างไปจากคนเมืองกรุงไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย
ดูอย่างผู้กองภวินท์นี่ปะไรถึงจะชอบทำหน้าดุแต่เขาก็จัดว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีทีเดียว
ปราณปรียาต้องหยุดความคิดฟุ้งซ่านเมื่อคนบนเตียงส่งเสียงกระแอมกระไอจนเธอรีบพาตัวเองไปหยุดข้างเขาแทบจะทันที
“ตื่นแล้วหรือคะ”
หญิงสาวถามคนที่ทำตาปรือเหมือนคนยังไม่ได้สติดี
“หิวน้ำ”
เขาพึมพำเสียงแหบโหย
ปราณปรียารีบนำแก้วน้ำพร้อมหลอดดูดขนาดเล็กมาจ่อให้ที่ริมฝีปาก
“ค่อยๆ
จิบนะคะเดี๋ยวจะสำลักเอา” ไม่ทันขาดคำผู้กองหนุ่มก็สำลักน้ำคำโต
หญิงสาวรีบกุลีกุจอเช็ดทำความสะอาดให้จนเรียบร้อย
และอาการสำลักทำให้เขาตาสว่างทันทีเนื่องจากส่งผลต่อแผลที่ใต้ชายโครงเช่นกัน
“โอ้ย
!”
“เจ็บแผลเหรอคะ”
ปราณปรียาถามพร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปใกล้บริเวณที่เขาใช้มือกุมไว้
คนเจ้าเล่ห์จึงถือโอกาสขโมยหอมแก้มเธอไปหนึ่งทีทำเอาหญิงสาวถึงกับกรอกตา
“ขนาดเจ็บก็ไม่วายเจ้าเล่ห์นะคุณนี่”
“คิดถึง”
เขาตอบสั้นๆ แต่กลับทำให้คนที่ตาเขียวปั๊ดเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นหน้าแดงแทน
“อย่าขยันทำให้ตัวเองเจ็บตัวนักสิคะ
รู้ไหมว่าใครเขาเป็นห่วงคุณบ้าง”
ปราณปรียาเอ็ดไม่จริงจังนักเพราะเธอเองพอจะได้ยินได้ฟังจากหมวดศรุตและจ่าสมยศมาบ้างแล้ว
และเห็นจะจริงอย่างที่ดาวประกายเคยว่าผู้กองภวินท์มักจะนึกถึงความปลอดภัยของผู้อื่นก่อนเสมอครั้งนี้ก็คงเช่นกัน
หากเขาไม่เอาตัวเองบังกระสุนแทนสารวัตรอาเขตก็คงไม่ต้องมานอนเจ็บอยู่แบบนี้
“คุณด้วยหรือ”
เขายิ้มให้เธอทั้งที่สีหน้ายังดูอิดโรยอยู่มากจนปราณปรียานึกสงสารจับใจหากจะไม่ได้เห็นความหมายในแววตาคู่นั้น
“ก็
ทุกคนนั่นแหละค่ะ” ปราณปรียาหลบสายตาแพรวพราวของเขาที่ทำให้เธอไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นมาทันที
“อือ...”
ผู้กองภวินท์ครางรับอย่างพอใจที่ได้แกล้งให้ปราณปรียาเขินอาย
เพราะมันคงกลายเป็นความสุขอย่างหนึ่งของเขาไปเสียแล้ว เขาทำจมูกฟุดฟิดพร้อมกับมองหาที่มาของกลิ่นหอมที่สัมผัสได้แม้ในความฝันเมื่อครู่
ปราณปรียาเอื้อมมือไปหยิบจากแจกันมาหนึ่งช่อส่งให้เขา
“ดอกมะลิค่ะ
ฉันเก็บมาจากหลังบ้านกำลังออกดอกเต็มเลย
พรุ่งนี้เช้ากะว่าจะเก็บไปใส่บาตรด้วยแต่ไม่รู้จะตื่นทันพระหรือเปล่า”
“ไว้รอใส่พร้อมกันดีกว่า...แล้วดอกรักของเราหละบานหรือยัง”
ปราณปรียาหน้าซับสีอีกครั้งเมื่อเจอคำถามสองแง่สองง่ามเข้า
“บานไปแล้วก็เยอะค่ะ
ที่เหี่ยวแห้งไปก็ไม่น้อย ฉันไม่ได้เก็บมาด้วยเพราะเห็นว่ากลิ่นไม่หอมเหมือนดอกมะลิ”
เวลานี้ดูเหมือนว่าคนไข้จะมีเรี่ยวแรงชวนคนเฝ้าไข้พูดคุยหลายเรื่องไม่หยุดไม่หย่อนจนล่วงเลยถึงเวลาที่พยาบาลสาวได้แจ้งไว้
เสียงเคาะประตูตามมารยาทดังขึ้นตามมาด้วยพยาบาลสาวคนเดิมที่มาพร้อมกับถาดอุปกรณ์
“ได้เวลาฉีดยาแล้วนะคะ”
เสียงหวานของพยาบาลสาวเป็นเหมือนสัญญาณบอกว่าได้เวลาที่ผู้กองหนุ่มจะต้องพักผ่อนแล้ว
โชคดีที่พยาบาลฉีดยาเข้ากับเข็มเจาะไว้แล้วคนกลัวเข็มอย่างปราณปรียาจึงไม่ต้องไปแอบที่อื่น พยาบาลสาวขอวัดไข้ด้วยวิธีเดิมอีกครั้งผู้กองหนุ่มให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและตอนนี้เองที่เขาได้มีโอกาสพิจารณาใบหน้าของพยาบาลสาวอย่างชัดเจน
“ผมคุ้นหน้าคุณจังเลย”
เขาเปรยขึ้นขณะที่พยาบาลสาวกำลังเก็บอุปกรณ์ของเธอ
และเธอก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มหวานให้กับเขา ผู้กองภวินท์ยังคงนึกไม่ออกอยู่ดี
“ยุพา
ยังไงหละคะพี่วินจำได้ไหม”
สรรพนามที่เธอใช้เรียกขานเขาทำให้ภวินท์ฉุกคิดขึ้นมาในทันที
เพราะมีผู้หญิงไม่กี่คนนักที่เขาให้ความสนิทสนมด้วย หลังจากนั้นยุพาก็เป็นฝ่ายเปิดประเด็นชวนคนไข้พูดคุยถึงเรื่องราวเมื่อครั้งก่อนซึ่งเคยมีประสบการณ์ร่วมกัน
บางครั้งผู้กองภวินท์ก็เผลอหัวเราะยิ้มขำไปด้วยทำให้ปราณปรียาต้องล่าถอยมาที่โซฟาตัวยาวซึ่งก็ยังไม่พ้นต้องได้ฟังเรื่องราวที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ดีจึงเสทำเป็นอ่านหนังสือมันเสียเลย
ทั้งสองพูดคุยกันเกือบสิบห้านาทีนางพยาบาลสาวสวยจึงขอตัวไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ
“ขอน้ำหน่อยครับ”
ปราณปรียาเดินหน้าหงิกมาหยิบแก้วน้ำส่งให้อย่างขัดใจและล้มเลิกความคิดที่จะนอนเฝ้าผู้กองภวินท์ทันที
ผู้กองหนุ่มจิบน้ำไปสลับกับชำเลืองมองอากัปกิริยาของหญิงสาวไปด้วยอย่างแปลกใจ
“ฉันจะกลับแล้วนะคะ”
“อ้าว
ผมก็นึกว่าคุณจะอยู่เป็นเพื่อนซะอีก”
“คงไม่จำเป็นแล้วหละคะ
คุณเองก็อาการดีขึ้นมาก
อีกอย่างพยาบาลที่นี่ก็ดูแลเป็นอย่างดีถึงฉันอยู่ก็คงช่วยอะไรไม่ได้”
“ช่วยได้สิ”
ชายหนุ่มขยับเอนตัวลงนอนโดยมีหญิงสาวคอยช่วย
แม้จะเคืองใจแต่ปราณปรียายังคงพยายามรักษาท่าทีไว้อย่างดี
“ถ้าคุณอยู่ผมก็จะได้หายเร็วๆ
ยังไงหละ” เขาบอกเสียงเบาพร้อมกับกุมมือเธอวางไว้ที่หน้าอก ปราณปรียาพยายามดึงมือกลับแต่ยิ่งถูกล็อคอย่างเหนียวแน่น
“ปราณปรียาหรือจะสู้น้องยุพาของพี่วินหละคะ”
ในที่สุดก็อดที่จะแขวะอีกฝ่ายไม่ได้ ผู้กองหนุ่มถึงกับยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
แม้ว่าตอนนี้เขาจะรู้สึกง่วงเต็มทีแล้วก็ตาม
“ใครบอก”
เขาพูดเสียงยานตาปรือแทบลืมไม่ขึ้นเพราะฤทธิ์ยาและความอ่อนเพลีย
ปราณปรียาเมินหน้ามองทางอื่นไม่อยากฟังคำแก้ตัวของอีกฝ่าย
“พี่วินของน้องกระต่ายต่างหาก”
พอจบประโยคปราณปรียาหันขวับมามองหน้าคนพูดทำตาโต เขายิ้มหวานให้เธอก่อนที่จะปิดเปลือกตาลงช้าๆ
และเข้าสู่ห้วงนิทราทิ้งอีกคนให้นั่งหน้าแดงกับข้อความสุดท้ายของเขา
“พี่วิน...”
หญิงสาวครางในลำคอและรู้สึกจั๊กจี้กับสรรพนามใหม่ของผู้กองภวินท์เหลือเกินหวังว่าตื่นขึ้นมาเขาคงจำไม่ได้ว่าพูดอะไรเอาไว้บ้าง
ความคิดเห็น