ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวใจรักภูธร

    ลำดับตอนที่ #37 : พี่วิน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 887
      9
      7 พ.ย. 59

    ตอนที่แล้วแอบทิ้งให้ลุ้นกันไว้ แต่มาต่อช้าไปหน่อยอย่าว่ากันนะคะ

    ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่า..........................

    ************************************************************************************************


                        หลังจากที่ล่ำลากันอยู่นานกว่าจะส่งนางดวงฤทัยและปราณต์ขึ้นรถได้ก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ ปราณปรียารีบล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูแต่หาได้มีข่าวคราวจากคนที่เธอหวังไม่ จนหญิงสาวเริ่มรู้สึกใจเสียกับการที่ผู้กองภวินท์เงียบหายไปเช่นนี้ ขณะเดียวกันเธอได้ยินเสียงเครื่องรถมอเตอร์ไซด์ดังใกล้เข้ามาและเป็นจ่าสมยศนั่นเอง

                    ปราณปรียารอจนจ่าสมยศจอดรถสนิทจึงรีบเข้าไปทักทายและถามไถ่ทันที เธอจึงสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเขาดูอิดโรยและเคร่งเครียด

                    “ผมเพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลครับ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าหลังจากที่ทักทายกับปราณปรียาเรียบร้อยแล้ว

                    “ใครเป็นอะไรหรือคะ” ปราณปรียาสีหน้าตื่นตกใจ

                    “เอ่อ..ผู้กองครับ ผู้กองถูกยิง”

                    ปราณปรียาใจหายวาบเมื่อฟังคำบอกเล่าของจ่าสมยศและต้องสะดุ้งตกใจกับเสียงอันดังของจานกระเบื้องที่ร่วงจากมือดาวประกายกระแทกกับพื้นอย่างแรงจนแตกกระจาย

                    “ว่าไงนะพี่ !” ดาวประกายอุทานอย่างไม่เชื่อหูกับสิ่งที่ได้ยิน

                   

                    ปราณปรียาเร่งฝีเท้าไปยังห้องฉุกเฉินด้วยใบหน้าซีดเผือด เธอรีบตรงเข้าไปหาสารวัตรอาเขตและหมวดศรุตซึ่งทั้งสองกำลังยืนคุยกันอยู่หน้าห้องนั้นพอดี

                     “ผู้กองเป็นยังไงบ้างคะ”

                    ทั้งสองหนุ่มยืนเงียบชั่วขณะ สารวัตรอาเขตเจ็บแปลบที่หน้าอกขึ้นมาทันใดจนต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทางส่วนหมวดศรุตเองก็ยังไม่กล้าตอบคำถาม

                    “ทำไมเงียบกันไปหมดหละคะ” ปราณปรียาชักใจเสียเมื่อเห็นท่าทางอ้ำอึ้งของทั้งสองหนุ่ม เธอทำท่าขยับเข้าไปใกล้แต่ปรากฏว่าประตูห้องฉุกเฉินถูกเปิดออกมาเสียก่อนโดยหมอใหญ่ประจำโรงพยาบาล

                    “เป็นยังไงครับคุณหมอ” สารวัตรอาเขตรีบเอ่ยถามทันที

                    “เฮ้อ..คนเจ็บเสียเลือดมากทำให้ทนพิษบาดแผลไม่ไหว” หมอมานพส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยล้า

                    “หมายความว่า...” หมวดศรุตพูดค้างไว้

                    “ครับ ผมเสียใจจริงๆ” หมอมานพกล่าวทิ้งท้ายก่อนขอตัวไปพักหลังจากที่คร่ำเคร่งในห้องฉุกเฉินเป็นเวลานาน

                    “ผู้กอง !” ปราณปรียาอุทานเสียงหลงก่อนพรวดพราดเข้าไปภายในห้อง สารวัตรอาเขตกับหมวดศรุตรีบร้องห้ามเสียงหลงแต่ดูเหมือนจะไม่มีผลอันใดเลย

                    ปราณปรียาเข้ามาหยุดยืนข้างเตียงคนไข้ซึ่งตอนนี้ร่างของคนบนเตียงถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ารอเวลาที่จะเข็นออกไป เธอรู้สึกมึนงงกับเหตุการณ์ในตอนนี้เหลือเกินมันเร็วเกินไปและเธอยังไม่ได้เตรียมพร้อมตั้งรับกับทุกๆ สิ่ง หญิงสาววูบโหวงภายในอกร่างกายไร้ซึ่งเรี่ยวแรง น้ำใสๆ เปื้อนเปรอะทั้งใบหน้าอย่างไม่สามารถห้ามได้

                    “ทำไม ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมถึงเป็นคุณ” ปราณปรียาพึมพำคล้ายคนละเมอ ขณะที่ยื่นมืออันสั่นเทาเพื่อจะเปิดผ้าคลุมหน้าออกดู อย่างน้อยเธออยากจะเห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้ายแต่แล้วสารวัตรอาเขตก็คว้าแขนเธอไว้เสียก่อน

                    “น้องต่ายครับมัน..”

                    “ต่ายขอเถอะค่ะพี่เขต ต่ายอยากเห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย”

                    “แต่มัน..”

                    “ต่ายดูได้ค่ะอย่าห้ามเลยนะคะ” ปราณปรียาขอร้องด้วยแววตาปวดร้าวจนเขาเองยังสัมผัสรับรู้ได้ หมวดศรุตตามมาด้วยสีหน้าปั้นยากและรีบพูดแทรกขึ้น

                    “โธ่ น้องกระต่ายครับ ไอ้คนที่นอนอยู่นั่นไม่ใช่ผู้กองเสียหน่อย”

                    “ว่าอะไรนะคะ” ปราณปรียาตาโตมองหน้าหมวดศรุตก่อนหันมามองสารวัตรอาเขตที่ยังหน้าเศร้าแต่พยักหน้าหงึกหงัก ทำให้หญิงสาวรวบรวมสติสัมปชัญญะเข้าร่างและทำหน้าครุ่นคิด

                    “ผู้กองภวินท์ย้ายไปอยู่ห้องพิเศษเมื่อตอนสายนี่เอง ส่วนคนที่ตายและนอนอยู่นี่เป็นคนร้ายครับ” สารวัตรอาเขตบอก ปราณปรียาหน้าชาจนแทบอยากดึงผ้าสีขาวมาคลุมหัวตัวเองมันซะเลยโทษฐานที่ปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มอยู่ตั้งนานสองนาน

     

                    หลังจากที่เดินไปส่งปราณปรียาหน้าห้องพิเศษแล้วหมวดศรุตจึงขอตัวกลับไปพักผ่อนบ้าง โดยสารวัตรอาเขตนั้นแยกตัวไปตั้งแต่ออกจากห้องฉุกเฉินแล้วด้วยสภาพอิดโรยไม่ต่างจากเขานักและสภาพจิตใจก็คงคล้ายกับเขาในตอนนี้เช่นกัน ไอ้อาการของคนอกหักคงเป็นอย่างนี้นี่เองเขาเพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคนี้เมื่อตอนเช้านี่เอง หลังจากที่เห็นกับตาว่าพิมพ์ชนกเดินคล้องแขนผู้ชายออกมาจากบ้านพักด้วยกัน

                    “นี่คุณ คุณ หูหนวกหรือไงเรียกไม่ตอบ” พิมพ์ชนกตบเข้าที่หลังของชายหนุ่มอย่างแรงจึงทำให้คนใจลอยเรียกสติกลับมา

                    “จะกลับแล้วเหรอคะ”

                    หมวดศรุตมองตามริมฝีปากเจื้อยแจ้วของคนตรงหน้าด้วยแววตาเศร้าแต่ก็เพียงแวบหนึ่ง แม้ว่าภายในใจของเขามันจะรวดร้าวเหมือนกำลังโดนมือบีบขย้ำอยู่ก็ตามแต่จะมีประโยชน์อันใดเล่าเมื่อสิ่งที่เขาเป็นและรู้สึก มันไม่ได้มีความหมายกับใครสักนิด

                    “ครับ”

                    “ท่าทางคุณดูไม่ดีเลย”

                    “คงเป็นเพราะอดนอน ได้พักสักหน่อยก็คงจะดีขึ้น” เขาตอบพร้อมฝืนยิ้ม พิมพ์ชนกขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับยกหลังมือขึ้นอังที่หน้าผากโดยที่หมวดศรุตไม่ได้คาดคิดเขาจึงผงะเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ

                    “แหมแค่นี้ทำเป็นหวงตัว ฉันว่าคุณน่าจะมีไข้กินยากันไว้ก่อนก็ดีนะคะ” หญิงสาวแขวะเข้าให้แต่ก็ไม่วายสั่งเสีย หมวดศรุตเห็นด้วยอย่างที่พิมพ์ชนกบอกตอนนี้เขาไม่สบายจริงๆ และอาการเขาคงจะทรุดหนักกว่าเดิมถ้าขืนหญิงสาวยังทำท่าทางเป็นห่วงเป็นใยเขาอยู่เช่นนี้ เขายกมือขึ้นแตะหน้าผากตัวเองอย่างไม่จริงจังนัก

                    “คงจะจริงผมคงไม่สบาย” เขาพูดคล้ายคนละเมอ จังหวะนั้นเองที่พิมพ์ชนกสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างเธอรีบคว้าแขนเขาไว้ทันที

                    “แขนคุณไปโดนอะไรมา” หมอสาวเพ่งดูรอยแผลข่วนยาวใต้ท้องแขนของหมวดศรุตราวกับกำลังวิเคราะห์หาต้นตอของมันอยู่

                    “อ๋อ คงเป็นตอนที่ตกต้นมะขามนั่นแหละ ไม่เป็นไรหรอกคุณแผลถลอกแค่นี้ไกลหัวใจไม่กี่วันก็หาย”

                    “กลัวจะเป็นบาดทะยักมากกว่า เดี๋ยวฉันล้างแผลให้คุณก่อนแล้วกันนะคะกันไว้ดีกว่าแก้”

                    ในที่สุดหมวดศรุตก็ถูกลากตัวมาล้างแผลจนได้ โดยแพทย์หญิงพิมพ์ชนกลงมือทำด้วยตนเองเพราะเขาถูกพามาที่ห้องพักของแพทย์ซึ่งดูเป็นการส่วนตัวสักหน่อย การกระทำของพิมพ์ชนกทำให้เขาอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่ามันออกจะพิเศษเกินไปหรือไม่ แต่ก็นั่นแหละหากเป็นคนอื่นที่มีสถานะเป็นเพื่อนอย่างเขาในเวลานี้ก็คงได้รับการดูแลจากพิมพ์ชนกไม่ต่างกัน

                    “เสร็จแล้ว” พิมพ์ชนกบอกพร้อมกับลุกเอาอุปกรณ์ไปเก็บบนตู้ยาข้างผนังห้อง หมวดศรุตเองก็ลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมที่จะกลับเพราะเขาไม่อยากทำตัวเป็นภาระของหมอสาวอีก

                    “ขอบคุณครับที่ทำแผลให้” เขาเอ่ยขึ้นขณะที่พิมพ์ชนกยังหันหลังง่วนกับการเก็บของอยู่

                    “ยังไงคุณก็ต้องล้างแผลทุกวันนะคะ แล้วก็กินยาด้วยแผลจะได้หายไวๆ เดี๋ยวฉันจะจัดยาให้แต่ เอ๊ะ จำได้ว่าเก็บไว้ในตู้ไม่รู้ว่าใครหยิบไปหรือเปล่า อ้อ นี่ไงเจอแล้ว” พิมพ์ชนกหยิบขวดยาสีขาวออกมาจากตู้ก่อนหันมาทางหมวดหนุ่มซึ่งตอนนี้ไม่มีแม้เงาของเขาอยู่อีกแล้ว พิมพ์ชนกขมวดคิ้วมุ่น

                    “อ้าว คนบ้าปล่อยให้เราพูดอยู่คนเดียวตั้งนาน”

                   

                    ปราณปรียากลับมาดูอาการคนเจ็บอีกครั้งก็เป็นเวลาอาหารเย็นพอดีหลังจากที่เมื่อช่วงบ่ายเธอพบว่าเขาเพิ่งหลับไปจึงถือโอกาสกลับไปเตรียมข้าวของสำหรับเฝ้าไข้คืนนี้ หญิงสาวนำช่อมะลิซ้อนประมาณหนึ่งกำมือจัดใส่แก้วน้ำทรงสูงซึ่งนำมาใช้งานต่างแจกันไปพลางก่อน กลิ่นหอมของมะลิลอยไปกระทบประสาทสัมผัสของคนตัวโตที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงส่งผลให้จังหวะหัวใจของเขาเต้นแรงตามไปด้วย และปรากฎมโนภาพไปว่าเขายืนอยู่ข้างพุ่มมะลิซ้อนที่กำลังออกดอกสะพรั่ง

                    “ยังไม่ตื่นอีกเหรอนี่” ปราณปรียาพึมพำเมื่อมองมาที่คนป่วยซึ่งยังคงหลับสนิท สักพักมีพยาบาลสาวนางหนึ่งผลักประตูเข้ามาหลังจากที่เคาะให้สัญญาณ

    “ขออนุญาตวัดไข้นะคะ” เธอบอกพร้อมกับส่งยิ้มให้จากนั้นจึงเดินไปที่เตียงผู้ป่วยเสียบปรอทเข้าที่ใต้รักแร้อย่างเบามือและตรวจตราความเรียบร้อยของเครื่องมือซึ่งตอนนี้มีเพียงสายน้ำเกลือเท่านั้น ปราณปรียาขยับลุกมานั่งที่โซฟาไม่ห่างกันนัก เพราะห้องพิเศษของโรงพยาบาลประจำอำเภอนั้นไม่ได้มีพื้นที่มากมายอย่างโรงพยาบาลเอกชนในเมืองกรุง

                    ปราณปรียานึกชื่นชมท่วงท่าของพยาบาลสาวผู้นี้อย่างน่าประหลาด ยิ่งมองก็ยิ่งเพลินตาหากไม่ได้สวมเครื่องแบบวิชาชีพ ปราณปรียายังแอบคิดว่าพยาบาลสาวปฏิบัติกับคนป่วยราวกับเขาเป็นคนสำคัญของเธอก็ไม่ปาน

    “มีไข้อ่อนๆ นะคะ ถ้าหากคนไข้หิวน้ำให้ค่อยๆ จิบไปก่อน อีกครึ่งชั่วโมงพยาบาลจะเข้ามาฉีดยาแก้ปวดแก้อักเสบให้ค่ะ” เธอบอกก่อนออกจากห้องพร้อมด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ ปราณปรียาตระหนักได้เดี๋ยวนั้นเองว่าผู้คนแถบนี้มีความสวยงามในแบบที่ต่างไปจากคนเมืองกรุงไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ดูอย่างผู้กองภวินท์นี่ปะไรถึงจะชอบทำหน้าดุแต่เขาก็จัดว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีทีเดียว

    ปราณปรียาต้องหยุดความคิดฟุ้งซ่านเมื่อคนบนเตียงส่งเสียงกระแอมกระไอจนเธอรีบพาตัวเองไปหยุดข้างเขาแทบจะทันที

    “ตื่นแล้วหรือคะ” หญิงสาวถามคนที่ทำตาปรือเหมือนคนยังไม่ได้สติดี

    “หิวน้ำ” เขาพึมพำเสียงแหบโหย ปราณปรียารีบนำแก้วน้ำพร้อมหลอดดูดขนาดเล็กมาจ่อให้ที่ริมฝีปาก

    “ค่อยๆ จิบนะคะเดี๋ยวจะสำลักเอา” ไม่ทันขาดคำผู้กองหนุ่มก็สำลักน้ำคำโต หญิงสาวรีบกุลีกุจอเช็ดทำความสะอาดให้จนเรียบร้อย และอาการสำลักทำให้เขาตาสว่างทันทีเนื่องจากส่งผลต่อแผลที่ใต้ชายโครงเช่นกัน

    “โอ้ย !

    “เจ็บแผลเหรอคะ” ปราณปรียาถามพร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปใกล้บริเวณที่เขาใช้มือกุมไว้ คนเจ้าเล่ห์จึงถือโอกาสขโมยหอมแก้มเธอไปหนึ่งทีทำเอาหญิงสาวถึงกับกรอกตา

    “ขนาดเจ็บก็ไม่วายเจ้าเล่ห์นะคุณนี่”

    “คิดถึง” เขาตอบสั้นๆ แต่กลับทำให้คนที่ตาเขียวปั๊ดเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นหน้าแดงแทน

    “อย่าขยันทำให้ตัวเองเจ็บตัวนักสิคะ รู้ไหมว่าใครเขาเป็นห่วงคุณบ้าง” ปราณปรียาเอ็ดไม่จริงจังนักเพราะเธอเองพอจะได้ยินได้ฟังจากหมวดศรุตและจ่าสมยศมาบ้างแล้ว และเห็นจะจริงอย่างที่ดาวประกายเคยว่าผู้กองภวินท์มักจะนึกถึงความปลอดภัยของผู้อื่นก่อนเสมอครั้งนี้ก็คงเช่นกัน หากเขาไม่เอาตัวเองบังกระสุนแทนสารวัตรอาเขตก็คงไม่ต้องมานอนเจ็บอยู่แบบนี้

    “คุณด้วยหรือ” เขายิ้มให้เธอทั้งที่สีหน้ายังดูอิดโรยอยู่มากจนปราณปรียานึกสงสารจับใจหากจะไม่ได้เห็นความหมายในแววตาคู่นั้น

    “ก็ ทุกคนนั่นแหละค่ะ” ปราณปรียาหลบสายตาแพรวพราวของเขาที่ทำให้เธอไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นมาทันที

    “อือ...” ผู้กองภวินท์ครางรับอย่างพอใจที่ได้แกล้งให้ปราณปรียาเขินอาย เพราะมันคงกลายเป็นความสุขอย่างหนึ่งของเขาไปเสียแล้ว เขาทำจมูกฟุดฟิดพร้อมกับมองหาที่มาของกลิ่นหอมที่สัมผัสได้แม้ในความฝันเมื่อครู่ ปราณปรียาเอื้อมมือไปหยิบจากแจกันมาหนึ่งช่อส่งให้เขา

    “ดอกมะลิค่ะ ฉันเก็บมาจากหลังบ้านกำลังออกดอกเต็มเลย พรุ่งนี้เช้ากะว่าจะเก็บไปใส่บาตรด้วยแต่ไม่รู้จะตื่นทันพระหรือเปล่า”

    “ไว้รอใส่พร้อมกันดีกว่า...แล้วดอกรักของเราหละบานหรือยัง”

    ปราณปรียาหน้าซับสีอีกครั้งเมื่อเจอคำถามสองแง่สองง่ามเข้า

    “บานไปแล้วก็เยอะค่ะ ที่เหี่ยวแห้งไปก็ไม่น้อย ฉันไม่ได้เก็บมาด้วยเพราะเห็นว่ากลิ่นไม่หอมเหมือนดอกมะลิ”

    เวลานี้ดูเหมือนว่าคนไข้จะมีเรี่ยวแรงชวนคนเฝ้าไข้พูดคุยหลายเรื่องไม่หยุดไม่หย่อนจนล่วงเลยถึงเวลาที่พยาบาลสาวได้แจ้งไว้ เสียงเคาะประตูตามมารยาทดังขึ้นตามมาด้วยพยาบาลสาวคนเดิมที่มาพร้อมกับถาดอุปกรณ์

    “ได้เวลาฉีดยาแล้วนะคะ” เสียงหวานของพยาบาลสาวเป็นเหมือนสัญญาณบอกว่าได้เวลาที่ผู้กองหนุ่มจะต้องพักผ่อนแล้ว โชคดีที่พยาบาลฉีดยาเข้ากับเข็มเจาะไว้แล้วคนกลัวเข็มอย่างปราณปรียาจึงไม่ต้องไปแอบที่อื่น  พยาบาลสาวขอวัดไข้ด้วยวิธีเดิมอีกครั้งผู้กองหนุ่มให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและตอนนี้เองที่เขาได้มีโอกาสพิจารณาใบหน้าของพยาบาลสาวอย่างชัดเจน

    “ผมคุ้นหน้าคุณจังเลย” เขาเปรยขึ้นขณะที่พยาบาลสาวกำลังเก็บอุปกรณ์ของเธอ และเธอก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มหวานให้กับเขา ผู้กองภวินท์ยังคงนึกไม่ออกอยู่ดี

    “ยุพา ยังไงหละคะพี่วินจำได้ไหม” สรรพนามที่เธอใช้เรียกขานเขาทำให้ภวินท์ฉุกคิดขึ้นมาในทันที เพราะมีผู้หญิงไม่กี่คนนักที่เขาให้ความสนิทสนมด้วย หลังจากนั้นยุพาก็เป็นฝ่ายเปิดประเด็นชวนคนไข้พูดคุยถึงเรื่องราวเมื่อครั้งก่อนซึ่งเคยมีประสบการณ์ร่วมกัน บางครั้งผู้กองภวินท์ก็เผลอหัวเราะยิ้มขำไปด้วยทำให้ปราณปรียาต้องล่าถอยมาที่โซฟาตัวยาวซึ่งก็ยังไม่พ้นต้องได้ฟังเรื่องราวที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ดีจึงเสทำเป็นอ่านหนังสือมันเสียเลย ทั้งสองพูดคุยกันเกือบสิบห้านาทีนางพยาบาลสาวสวยจึงขอตัวไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ

    “ขอน้ำหน่อยครับ”

    ปราณปรียาเดินหน้าหงิกมาหยิบแก้วน้ำส่งให้อย่างขัดใจและล้มเลิกความคิดที่จะนอนเฝ้าผู้กองภวินท์ทันที ผู้กองหนุ่มจิบน้ำไปสลับกับชำเลืองมองอากัปกิริยาของหญิงสาวไปด้วยอย่างแปลกใจ

    “ฉันจะกลับแล้วนะคะ”

    “อ้าว ผมก็นึกว่าคุณจะอยู่เป็นเพื่อนซะอีก”

    “คงไม่จำเป็นแล้วหละคะ คุณเองก็อาการดีขึ้นมาก อีกอย่างพยาบาลที่นี่ก็ดูแลเป็นอย่างดีถึงฉันอยู่ก็คงช่วยอะไรไม่ได้”

    “ช่วยได้สิ” ชายหนุ่มขยับเอนตัวลงนอนโดยมีหญิงสาวคอยช่วย แม้จะเคืองใจแต่ปราณปรียายังคงพยายามรักษาท่าทีไว้อย่างดี

    “ถ้าคุณอยู่ผมก็จะได้หายเร็วๆ ยังไงหละ” เขาบอกเสียงเบาพร้อมกับกุมมือเธอวางไว้ที่หน้าอก ปราณปรียาพยายามดึงมือกลับแต่ยิ่งถูกล็อคอย่างเหนียวแน่น

    “ปราณปรียาหรือจะสู้น้องยุพาของพี่วินหละคะ” ในที่สุดก็อดที่จะแขวะอีกฝ่ายไม่ได้ ผู้กองหนุ่มถึงกับยิ้มกว้างด้วยความดีใจ แม้ว่าตอนนี้เขาจะรู้สึกง่วงเต็มทีแล้วก็ตาม

    “ใครบอก” เขาพูดเสียงยานตาปรือแทบลืมไม่ขึ้นเพราะฤทธิ์ยาและความอ่อนเพลีย ปราณปรียาเมินหน้ามองทางอื่นไม่อยากฟังคำแก้ตัวของอีกฝ่าย

    “พี่วินของน้องกระต่ายต่างหาก” พอจบประโยคปราณปรียาหันขวับมามองหน้าคนพูดทำตาโต เขายิ้มหวานให้เธอก่อนที่จะปิดเปลือกตาลงช้าๆ และเข้าสู่ห้วงนิทราทิ้งอีกคนให้นั่งหน้าแดงกับข้อความสุดท้ายของเขา

    “พี่วิน...” หญิงสาวครางในลำคอและรู้สึกจั๊กจี้กับสรรพนามใหม่ของผู้กองภวินท์เหลือเกินหวังว่าตื่นขึ้นมาเขาคงจำไม่ได้ว่าพูดอะไรเอาไว้บ้าง 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×