คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #35 : ปฏิบัติการณ์
“สวัสดีค่ะหมวด
หายไปไหนมาหลายวันคะ” เสียงพยาบาลวัยกลางคนทักขึ้นอย่างคุ้นเคย
เมื่อเห็นหมวดศรุตเดินตรงมาทางพวกเธอซึ่งกำลังซักประวัติคนไข้อยู่ด้านหน้าห้องตรวจที่หน้าประตูติดป้ายชื่อ
แพทย์หญิงพิมพ์ชนก เขาไม่ได้แวะเวียนมาหาเธอหลายวันหลังจากที่ได้รับภารกิจใหม่เวลาที่เคยตรงกันจึงเปลี่ยนไป
อีกทั้งสถานที่ทำงานของเขาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
“รู้สึกไม่ค่อยสบายเลยจะมาให้หมอตรวจหน่อยครับ”
เขาแกล้งเย้าพยาบาลเล่นเหมือนเช่นเคยซึ่งก็เรียกรอยยิ้มจากทุกคนในที่นั้นทั้งจากพยาบาลและคนไข้
“แต่ว่าคุณหมอประจำตัวผู้หมวดไม่อยู่นะคะ
ให้พี่ตรวจแทนได้ไหม” พยาบาลคนเดิมว่าด้วยรอยยิ้ม
แต่หมวดศรุตไม่นึกขำด้วยตรงที่พิมพ์ชนกไม่อยู่นี่แหละ
แล้วนี่เธอจะไปไหนทำไมไม่บอกให้เขารู้บ้าง
“อ้าว
แล้วหมอพิมพ์เธอไปไหนหรือครับ” หมวดศรุตถามด้วยใบหน้าเหรอหรา และผิดหวัง
“คุณหมอลากลับบ้านค่ะ
เอ่อ มีผู้ชายคนหนึ่งมารับไปด้วยค่ะท่าทางรีบร้อนเชียว”
ท้ายประโยคพยาบาลสาวพูดเสียงแผ่วลงพร้อมกับสังเกตสีหน้าของคนฟังไปด้วย
เพราะเธอพอจะรู้เห็นอยู่ว่าหมวดศรุตเทียวไปเทียวมาประจำหากได้ยินเช่นนี้แล้วไม่รู้ว่าเขาจะคิดเช่นไร
“เหรอครับ”
หมวดศรุตรับคำเสียงเบา ก่อนหันหลังกลับโดยลืมแม้กระทั่งล่ำลาเหล่าพยาบาลสองนางที่ทำหน้าตาห่อเหี่ยวไปกับเขาด้วยพร้อมกับต่อว่ากันไปมาที่ปากไม่ดีพาเสียเรื่อง
พวกเธอเองก็แอบลุ้นความสัมพันธ์ของคู่นี้อยู่เช่นกันเพราะเขาและเธอดูเหมาะสมกันทั้งรูปร่างหน้าตา
ยิ่งเวลาที่หมวดศรุตมาหาคุณหมอคนสวยก็มักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ
หมวดศรุตนั่งทำหน้าหงอยพิงพนักเก้าอี้เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว
โดยที่ยังไม่ได้ปริปากพูดคุยกับใครภายในเซฟเฮ้าส์แห่งนี้เลย ตั้งแต่เขากลับจากโรงพยาบาลเมื่อวันก่อนหมวดศรุตจอมทะเล้นก็ปรับโหมดเป็นคนเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
ส่วนอีกด้านหนึ่งไม่ไกลกันนักผู้กองภวินท์นั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดในขณะที่มือเช็ดอาวุธคู่กายไปด้วยบนโซฟาตัวยาว
มีเพียงหมู่สุชาติที่รู้สึกสงสัยในท่าทางของทั้งสองหนุ่มแต่ก็ไม่กล้าปริปากถาม
หมู่สุชาติจึงซุ่มเงียบอยู่อีกมุมหนึ่งเช่นกันพร้อมกับรอข่าวจากสายที่ส่งไปซุ่มดูเป้าหมายอยู่ไม่ไกลจากเซฟเฮ้าส์แห่งนี้นัก
และแล้วก็ได้เรื่องหมู่สุชาติกระโดดขึ้นยืนเมื่อได้รับข่าวจากอุปกรณ์สื่อสารไฮเทคจากสายของเขาซึ่งคราวนี้เลือกใช้เด็กหนุ่มเป็นนักสอดแนมแทน
“ได้เรื่องแล้วครับ
หนูออกจากรังแล้ว” หมู่สุชาติยืนตรงรายงานเรียกสติของทั้งสองหนุ่มให้กลับคืนมาทันที
ผู้กองภวินท์เก็บปืนพกสั้นเข้าซองใต้ชายโครงข้างขวาเพราะเขาถนัดซ้าย
ก่อนคว้าเสื้อคลุมแขนยาวสีกรมท่าขึ้นสวมทับเสื้อกล้ามสีขาวอีกที
“เปลี่ยนแมวตัวใหม่ตามดูไปก่อน
หมู่สุชาติอยู่ที่นี่รอฟังคำสั่ง อ้อ แจ้งสารวัตรด้วย ”
ผู้กองภวินท์สั่งเสียงเรียบก่อนลุกจากที่นั่งเตรียมพร้อมออกปฏิบัติการ
“ผมไปด้วยครับ”
หมวดศรุตเช็คความเรียบร้อยของตัวเองก่อนสาวเท้าตามผู้กองหนุ่มออกไปอย่างรวดเร็วเพราะพวกเขาต่างก็รอเวลานี้มานานแล้ว
คราวนี้ทุกอย่างจะต้องไม่มีคำว่าพลาดเพราะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เห็นในภารกิจนี้
หลังจากเหตุการณ์เมื่อวันก่อนนางดวงฤทัยก็ไม่เห็นผู้กองภวินท์มาวนเวียนหาปราณปรียาอีกเลย
แม้ว่านางเองจะไม่ชอบใจนักที่ผู้กองหนุ่มทำให้นางเข้าใจผิดจนต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวแต่เมื่อสังเกตจากท่าทีของบุตรสาวแล้วดูไม่ร่าเริงอย่างที่เคยและท่าทางที่แสดงออกกับสารวัตรอาเขตก็ช่างห่างเหินเกินไป
“เห็นทีแม่คงต้องกลับแล้วหละยายหนู”
นางเปรยขึ้นขณะนั่งมองปราณปรียาถอนหญ้ารอบต้นไม้หลังบ้านพัก
ปราณปรียาชะงักมือที่กำลังทำงานทันทีก่อนลุกเดินไปล้างมือที่ก็อกน้ำและกลับมานั่งข้างกันกับมารดาบนม้าโยกสีขาวตัวยาว
“อ้าว
ทำไมรีบกลับคะ อย่างนี้ต่ายก็ไม่มีเพื่อนแล้วสิคะ”
ปราณปรียาทำหน้าหงอยพร้อมกับกุมมือมารดาไว้ทั้งสองข้าง
นางดวงฤทัยพลิกมือกลับเพื่อกุมมือลูกสาวแทนและมองหน้าลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
“ถ้าเหงาก็กลับไปอยู่บ้านเราสิ
หรือถ้ายังอยากรับราชการอยู่ก็ย้ายเข้ากรมเข้ากระทรวงไปก็ได้”
นางรีบชี้ช่องทางทันทีเมื่อมีโอกาส
“ไม่เอาไม่พูดเรื่องนี้อีกนะคะ”
หญิงสาวทำเสียงเหนื่อยใจ
“เฮ้อ
ก็เผื่อว่าเราจะเปลี่ยนใจ แต่ก็ช่างเถอะอย่างน้อยตาเขตก็อยู่ใกล้ๆ
แม่ก็อุ่นใจขึ้นมาหน่อย” นางดวงฤทัยทำหน้าตาโล่งอกเมื่อเอ่ยถึงสารวัตรหนุ่มที่ตั้งแต่มาเขาก็คอยมาดูแลอำนวยความสะดวกให้สองแม่ลูกทุกอย่าง
“อุ่นจนร้อนเลยหละ”
ปราณปรียาพึมพำคนเดียวเมื่อนึกถึงสารวัตรหนุ่มขึ้นมา
ถึงแม้ว่าช่วงหลังนี้เขาจะไม่ค่อยแสดงท่าทางบงการออกคำสั่งหรือเกรี้ยวกราด
แต่เธอก็รู้สึกว่าไม่สนิทใจกับพฤติกรรมอันเปลี่ยนไปของเขาเสียเลย
นี่ถ้าไม่สนิทกันทั้งครอบครัวมาแต่ไหนแต่ไรปราณปรียาเองก็นึกอยากจะบอกให้เขารู้ถึงความอึดอัดของเธอเหมือนกัน
หญิงสาวปรับสีหน้าจากอาการเซ็งมาสนใจมารดาของเธอต่อ
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เราไปทานอาหารร้านอร่อยก่อนกลับแล้วกันนะคะ
รอพี่โต้งไปพร้อมกันด้วย”
“ก็ดีเหมือนกัน
ตั้งแต่มาอยู่กับเราแม่ยังไม่ได้ออกไปไหนเลย”
นางดวงฤทัยมีสีหน้ายิ้มแย้มขึ้นมาหน่อย
โชคดีที่บุตรสาวของเธอมีเพื่อนบ้านที่น่ารักอย่างดาวประกายคอยดูแลแทบจะทุกเรื่อง
นอกจากนั้นยังมีสารวัตรอาเขตมาอยู่ใกล้อีกคนนางจึงเบาใจลงไปบ้าง
แต่ผู้กองภวินท์นี่สิจะทำอย่างไรให้ห่างจากปราณปรียาได้เพราะนางรู้สึกไม่ชอบความนิ่งเงียบของอีกฝ่ายเอาเสียเลย
“ต่ายโทรหาพี่โต้งเลยนะคะ
ต้องแจ้งคุณชายล่วงหน้าไม่อย่างนั้นเธอจะโวยเอาค่ะ”
ปราณปรียาแอบแขวะพี่ชายจอมเนี้ยบของตัวเอง
นางดวงฤทัยได้แต่ส่ายหน้ากับพี่น้องคู่นี้แต่เห็นทั้งสองรักใคร่กันดีนางก็มีความสุข
ดาบเรืองจอดรถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่ของเขาไว้ที่ร้านขายของชำแห่งหนึ่งในหมู่บ้านริมฝั่งโขง
ก่อนเดินลัดเลาะไปทางหลังร้านตามทางเล็กๆ ที่ไม่น่าจะเป็นหนทางสัญจรของคนทั่วไป
วันนี้ท่าทางของดาบเรืองดูรีบร้อนผิดปกติและเพราะความรีบร้อนนี่เองที่ทำให้เขาขาดความระแวดระวัง
ประตูรถด้านหลังถูกเปิดออกพร้อมกับกนกวลีที่เพิ่งมุดหัวออกมาจากที่ซ่อน
ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะรอดพ้นสายตาคมของผู้เป็นบิดาไปได้เพียงแค่เธอแอบอยู่ด้านหลังเสื้อคลุมตัวใหญ่หลังเบาะคนขับ
เรียกได้ว่าหายใจแทบรดต้นคอกันเลยทีเดียว
สาวน้อยรีบสาวเท้าตามบิดาไปอย่างว่องไวมิเช่นนั้นแล้วเธออาจจะคลาดกับเขาได้
วันนี้เธอหมายมาดไว้ในใจแล้วว่าจะต้องจับเมียน้อยของบิดาให้ได้คาหนังคาเขา
“เวรแล้ว”
จ่าสมยศสบถอย่างหัวเสียเมื่อหนูตัวที่เขาตามอยู่ดันมีลูกน้อยติดมาด้วย
ดีไม่ดีงานนี้อาจจะพังไม่เป็นท่าอีก เขารีบส่งข่าวความคืบหน้าอย่างไม่รอช้าเพื่อรอรับคำสั่งต่อไป
ดวงตะวันกำลังจะลาลับขอบฟ้าจมหายลงไปในแม่น้ำโขงที่ระดับน้ำเริ่มลดลงบ้างแล้ว
ดาบเรืองเดินมาโผล่ที่หน้ารั้วบ้านไม้ยกสูงหลังใหญ่ด้านล่างก่ออิฐขึ้นมาโดยรอบทำให้เป็นเหมือนบ้านสองชั้นสภาพดูกลางเก่ากลางใหม่ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางดงกล้วย
ห่างออกไปประมาณ 200 เมตร คือท่าน้ำขนาดใหญ่สามารถจอดเรือหรือแพขนาดใหญ่ได้เลยทีเดียว
เขาหันซ้ายแลขวาก่อนยกมือขึ้นเป่าสองครั้งติดๆ
กันไม่นานประตูรั้วเหล็กทึบสูงก็เปิดออกโดยหญิงสาวหน้าตาสะสวยแต่งกายเหมือนนักร้องห้องอาหารอายุน่าจะราวๆ
สามสิบต้น ก่อนที่จะถลาเข้ามาคล้องแขนดาบเรืองให้รีบก้าวเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว
ประตูเหล็กปิดตามหลังแต่ไม่สนิทดีนัก กนกวลีที่รอจังหวะอยู่รีบแทรกตัวตามเข้าไปทันทีที่คล้อยหลังคนทั้งสอง
“กรี๊ด
!”
เสียงกรีดร้องดังก้องขึ้นท่ามกลางความเงียบของดงกล้วยก่อนที่กนกวลีจะไม่รับรู้อะไรอีกเลยและล้มพับลงกับที่
ชายหนุ่มรูปร่างกำยำยกปืนมันปลาบขึ้นเล็งไปทางเหยื่อแต่ดาบเรืองเข้าห้ามไว้ได้ทัน
“เดี๋ยว
! นี่ลูกสาวฉันเอง”
“แล้วตามมาถึงนี่ได้ยังไงกันพี่”
หญิงสาวนางนั้นถามขึ้นอย่างฉงน
“ทำไมถึงพามาด้วย
ถ้าพ่อรู้ต้องไม่ปลื้มแน่” ชายหนุ่มเก็บปืนกลับเข้าที่ก่อนทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ที่มีคนแปลกหน้าโผล่เข้ามา
“อย่าให้เป็นเรื่องใหญ่เลยน่า
เดี๋ยวฉันจะจัดการเอง”
ถึงจะไม่พอใจท่าทางของไอ้หนุ่มรุ่นลูกแต่ก็ต้องยอมอ่อนข้อไปก่อนมิเช่นนั้นเขาเองก็ไม่อาจจะรับประกันความปลอดภัยของบุตรสาวได้
เมื่ออีกคนทำเป็นหันหน้าหนีอย่างเสียมิได้ก่อนเดินไปจากตรงนั้น
“ถ้าอย่างนั้นฉันไปรอข้างในนะพี่”
แม่นักร้องสาวจีบปากจีบคอพูดก่อนเดินกลับไปยังบ้านไม้หลังนั้นดาบเรืองอุ้มกนกวลีขึ้นพาดบ่าพาเดินลัดเลาะไปไม่ไกลจากตรงนั้นนัก
เขาผลักรั้วสังกะสีที่กั้นอยู่ทะลุเข้าไปอีกส่วนหนึ่งของดงกล้วยอย่างง่ายดายตรงไปยังกระท่อมน้อยที่ปลูกแทรกอยู่ระหว่างดงกล้วย
ซึ่งหากไม่สังเกตให้ดีก็ยากที่จะมองเห็นและยิ่งในเวลาโพล้เพล้เช่นนี้มันดูกลมกลืนกับสรรพสิ่งรอบข้างอย่างเข้ากันดี
คงอีกหลายชั่วโมงกว่าบุตรสาวของเขาจะฟื้นซึ่งถือว่าโชคยังดีที่เพียงสลบไป
“อย่าเพิ่งตื่นขึ้นมาตอนนี้ก็แล้วกัน”
เขาจัดการวางบุตรสาวลงบนสื่อในกระท่อมน้อยแล้วรีบปิดประตูก้าวยาวๆ
ตรงไปยังเรือนไม้สองชั้นอย่างรวดเร็ว
แม้จะเป็นห่วงความปลอดภัยของกนกวลีแต่เขาไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้อีกแล้วในยามนี้
ดาบเรืองนับว่าเดินมาไกลเกินกว่าที่จะหันหลังกลับทางเดิม
ผู้กองภวินท์และหมวดศรุตตามมาสมทบเมื่อความมืดได้เข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณแล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะรู้พิกัด
แต่ที่ยังไม่สามารถลงมือได้เพราะต้องรอให้มีความเคลื่อนไหวเสียก่อน
และหากไม่มีอะไรผิดพลาดวันนี้พวกเขาจะต้องล้มช้างให้ได้ ทั้งสามเดินลัดเลาะริมคลองอย่างระมัดระวังมิเช่นนั้นอาจจะลื่นไถลตกน้ำได้
นับว่าเจ้าของบ้านฉลาดพอดูที่ขุดคลองรอบรั้วของตัวเองเหมือนการขุดคลองรอบประตูเมืองในสมัยเก่า
และยังล้อมรั้วสังกะสีทึบสูงจนคนภายนอกไม่สามารถมองผ่านเข้าไปด้านในได้อีกด้วย
“น้องนกไม่รู้เป็นไงบ้าง
ผมไม่กล้าเข้าไปช่วยกลัวแผนแตกเสียก่อน” จ่าสมยศกระซิบกระซาบบอกเพราะสรรพเสียงรอบข้างเริ่มเงียบลงเมื่อความมืดของราตรีเข้าปกคลุม
“ดาบเรืองคงไม่ทำร้ายลูกตัวเองได้ลงคอหรอก”
หมวดศรุตสรุปอย่างสมเหตุสมผล และทุกคนหวังให้เป็นเช่นนั้น
พวกเขาเดินอย่างเงียบเชียบและเบาที่สุดโดยมีจ่าสมยศนำทางเนื่องจากเขาถูกส่งมาสำรวจสถานที่และหาช่องทางเข้าไปด้านใน
จนเมื่อจ่าสมยศหยุดยืนใต้ต้นมะขามซึ่งใหญ่โตแผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมรอบบริเวณนั้นและยังกินอาณาเขตพ้นรั้วสังกะสีเข้าไปพอสมควร
จ่าสมยศไม่รอช้ารีบปีนป่ายขึ้นไปบนต้นมะขามทันทีโดยมีสองหนุ่มมองตามหลัง
“ทางสะดวกครับ”
จ่าสมยศพูดเสียงเบาแต่เพราะความเงียบทั้งสองหนุ่มด้านล่างจึงได้ยินชัดเจน
“อย่าบอกนะว่าจะให้ปีนต้นมะขามข้ามไป”
หมวดศรุตทำหน้าเครียดพร้อมกับหันไปขอความเห็นจากผู้กองภวินท์ที่ยืนเงียบอยู่
ผู้กองหนุ่มยักไหล่ก่อนปีนตามจ่าสมยศขึ้นไป
หมวดหนุ่มได้แต่ทำหน้าเซ็งจัดเพราะเขาไม่สันทัดเรื่องปีนต้นไม้เอาเสียเลย
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ”
เขาสบถอย่างหัวเสียและรีบตามสองหนุ่มไปอย่างทุลักทุเลและจังหวะที่กำลังจะปล่อยตัวลงกิ่งมะขามที่เขาเกาะอยู่เกิดหักเสียก่อน
ทำให้หมวดศรุตต้องลงไปนอนจุกครางหงิงๆ ที่พื้นแทน
“เบาหน่อยเดี๋ยวพวกมันได้แห่กันมาหมด”
ผู้กองภวินท์เอ็ดเสียงเขียว หมวดศรุตจึงต้องรีบลุกขึ้นอย่างไวทั้งที่ยังจุกไม่หาย
จ่าสมยศอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ายิ้มล้อเลียนผู้หมวดหนุ่ม
“พวกมันนัดส่งของกันวันนี้แน่นะจ่า”
ผู้กองหนุ่มหันไปสอบถามความแน่ชัดจากจ่าสมยศอีกครั้ง
เพราะสังเกตจากบรรยากาศรอบด้านที่วังเวงเกินไปทำให้เขาชักไม่มั่นใจ
จ่าสมยศเองก็สงสัยเช่นกันแม้ว่าดงกล้วยจะขึ้นรกจนแน่นขนัดแต่อย่างน้อยก็ต้องมีแสงไฟจากท่าน้ำเล็ดลอดมาให้เห็นบ้าง
“สายรายงานมาว่าอย่างนั้นนะครับ
หรือพวกมันจะเปลี่ยนแผน”
“หรือเกลือจะเป็นหนอนอีก”
หมวดศรุตโพล่งขึ้นมาบ้าง ทันใดนั้นผู้กองภวินท์ก็ยกมือขึ้นให้ทุกคนเงียบ
เขาเงี่ยหูฟังเพื่อความแน่ใจก่อนทำสัญญาณมือให้ทุกคนหาที่กำบังและทั้งหมดแยกย้ายกันหลบตามกอกล้วยอย่างรวดเร็ว
เสียงฝีเท้าที่บ่งบอกถึงจำนวนคนไม่น้อยดังใกล้เข้ามาทุกทีพวกเขาน่าจะมีมากกว่าสองคนขึ้นไป
ไม่นานก็ปรากฏเงาตะคุ่มของชายฉกรรจ์คนเมื่อหัวค่ำกำลังเดินนำหน้าสตรีสูงวัยสามนางซึ่งจากการแต่งกายแล้วน่าจะเป็นคนมีอันจะกินทั้งหมด
ฝ่ายผู้บุกรุกกระชับอาวุธในมือแน่นเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่อาจคาดไม่ถึง
อีกเพียงนิดเดียวก่อนที่จะเกิดการปะทะอันดุเดือดพวกเขาก็เดินเลี้ยวหลบไปอีกทาง
จ่าสมยศถอนหายใจอย่างโล่งอกมิใช่เพราะกลัวอันตรายแต่เป็นเพราะเขากลัวว่าภารกิจจะล้มเหลวไปเสียก่อน
“เอาไงดีครับเจ้านาย”
“ลองตามไปก่อนเผื่อได้เบาะแสเพิ่มเติม”
ผู้กองภวินท์กระซิบสั่ง
ทั้งสี่คนเดินอย่างชำนาญลัดเลาะดงกล้วยตรงไปทางบ้านสองชั้นที่ในเวลานี้มีแสงสว่างจากไฟฟ้า
เล็ดลอดออกมา ส่วนด้านนอกยังคงมืดมิดมีเพียงแสงสลัวจากพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่คอยนำทางให้ก่อนที่พวกเขาจะหายเข้าไปในหลังบ้านหลังนั้น
ผู้กองภวินท์ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนหยุดรอดูท่าทีเสียก่อน และหาที่กำบังจากสายตาของฝ่ายตรงข้ามซึ่งไม่รู้แน่ชัดว่ามีจำนวนเท่าใด
แต่ที่แน่ๆ มีเวรยามคอยเดินเฝ้ารอบบริเวณบ้านหลังนั้นประมาณสามสี่คนได้
“ตามที่สายรายงานบอกว่าพวกมันใช้บ้านหลังนี้เป็นที่ซ่องสุมเล่นการพนันด้วยครับ
และวันนี้พวกมันก็นัดส่งของ น่าจะมาทางเรือ” จ่าสมยศรายงานเพิ่มเติม
“แล้วทำไมเราไม่ไปดักที่ท่าน้ำหละจ่า
จะปีนต้นมะขามเข้ามาให้วุ่นวายทำไมกัน” หมวดศรุตยังติดใจกับกิ่งมะขามไม่หาย
“โธ่หมวดก็
ถ้ามันไปได้ผมก็พาไปแล้วสิครับ
ก็พวกมันล้อมรั้วกั้นทางลงไว้หมดแล้วมีทางเดียวคือต้องลงจากตรงนี้เท่านั้นแหละครับ
อีกอย่างเวรยามแถวนั้นไม่ค่อยมีด้วย”
“อย่างนี้เราก็ปิดประตูตีแมวมันซะเลย
จริงไหมพี่”
“มันจะไม่ใช่อย่างนั้นนะสิ
นายคิดดูว่ามันจะโกลาหลแค่ไหนถ้านักพนันพวกนั้นวิ่งหนีตำรวจ เราคงทำงานลำบากขึ้นอีกเท่าตัว”
ผู้กองหนุ่มทำหน้าครุ่นคิด
“จ่า
ขอกำลังเสริมทางน้ำเฝ้าหัว เฝ้าท้ายใครเข้าออกบริเวณนี้คงต้องจับให้หมด”
ผู้กองภวินท์ออกคำสั่งอีกครั้ง
ปราณปรียานั่งมองมารดาที่กำลังคุยจ้ออยู่กับสารวัตรหนุ่มบนโต๊ะอาหารสลับกับมองอาหารในจานของตัวเองที่ถูกเจ้าตัวเขี่ยไปมาหลายรอบแต่ไม่ยักตักเข้าปากเสียที
ดูเถอะสารวัตรอาเขตช่างหาเรื่องมาชวนมารดาของเธอคุยได้ไม่ขาดปากเสียจริง
เธอแทบจะไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าทั้งสองคุยเรื่องอะไรกันบ้างเพราะมัวแต่นึกถึงชายหนุ่มอีกคน
ครั้นจะกดโทรศัพท์หาก็กลัวว่าเขากำลังทำงานอยู่สิ่งที่ทำได้คือรอและรอเท่านั้น
“น้องกระต่ายครับ
กับข้าวร้านนี้ไม่ถูกปากหรือครับ”
สารวัตรหนุ่มถามขึ้นมาทำให้เธอต้องชะงักพฤติกรรมที่ทำอยู่
“เปล่าค่ะ
พอดีต่ายไม่ค่อยหิวเลยทานเยอะไม่ได้”
“อ้าว
ก่อนมายังบอกว่าหิวข้าวจนไส้จะขาดอยู่เลย เรานี่ยังไงกันยายหนู”
นางดวงฤทัยท้วงขึ้นอย่างไม่ได้ไว้หน้าบุตรสาวเลย ปราณปรียาแอบคิดในใจ ‘ก็นั่นมันก่อนที่จะรู้ว่าสารวัตรอาเขตจะมาด้วยนี่นา’
แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจทำหน้ามุ่ย
โชคดีที่โทรศัพท์ของสารวัตรหนุ่มดังขึ้นก่อนที่เธอจะโดนซักไซ้ไปมากกว่านี้
เขาขอตัวเดินออกไปคุยก่อนกลับมาด้วยสีหน้าเครียดเล็กน้อย
“เอ่อ
ต้องขอโทษคุณอาด้วยนะครับพอดีมีงานด่วนเข้ามา ถ้าทานกันเสร็จแล้วผมขออนุญาตไปส่งที่บ้านเลยนะครับ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ
อากับน้องเรียบร้อยพอดี ที่จริงตาเขตไม่ต้องไปส่งก็ได้ รีบไปทำงานเถอะจ้ะ”
“ไม่ได้หรอกครับ
ผมไม่วางใจหากดูแลคุณอากับน้องกระต่ายไม่ดีพอ”
“โถ
พ่อคุณ” นางดวงฤทัยรู้สึกว่าดูคนไม่ผิดจริงๆ
คนอย่างนี้สิถึงจะดูแลบุตรสาวของนางได้
ไม่เข้าใจเลยว่าผู้กองหนุ่มมาดเซอร์คนนั้นมีอะไรดีกว่าสารวัตรอาเขตผู้แสนจะเป็นสุภาพบุรุษคนนี้ได้
ในที่สุดสารวัตรอาเขตก็ไปส่งสองแม่ลูกตามที่เขาได้ลั่นวาจาไว้ทั้งที่ใจจริงแล้วปราณปรียาอยากพามารดาเดินเล่นกินลมชมวิวริมโขงสักหน่อยก่อนกลับ
แต่ก็นั่นแหละเมื่อมารดาของเธอเห็นดีเห็นงามไปด้วยมีหรือที่เธอจะขัดได้
แม้ว่าเขาจะมีสีหน้าเป็นกังวลและดูรีบร้อนแต่ก็ยังดันทุรังที่จะดูแลทั้งสองจนถึงบ้านอย่างปลอดภัย
“มีอะไรหรือเปล่าคะ
ดูพี่เขตรีบร้อนจัง” ปราณปรียาเอ่ยถามขณะที่เดินมาส่งสารวัตรอาเขต เขายิ้มดีใจเมื่อนึกเข้าข้างตัวเองว่าหญิงสาวเป็นห่วงความรู้สึกของเขาด้วย
“เรื่องงานนิดหน่อยครับ
ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” เขาบอก หญิงสาวเลิกคิ้วอย่างงวยงง
“เอ่อ
ผู้กองภวินท์ไปด้วยไหมคะ”
สารวัตรอาเขตถึงกับหน้าชาเมื่อสิ่งที่เขาเข้าใจเอาเองแต่ต้นผิดถนัด
ที่แท้แล้วปราณปรียาไม่ได้ห่วงใยในตัวเขาสักนิด
คนที่เธอห่วงคือผู้กองภวินท์นั่นต่างหาก
เขาอือออรับในลำคออย่างเสียมิได้ก่อนรีบขอตัวจากไปอย่างรวดเร็วแม้ดูเหมือนว่าปราณปรียายังคงเหลือคำถามเกี่ยวกับผู้กองหนุ่มอยู่อีกมาก
*********************************************************************************************
มาแว้วคร้าบ อย่างช้า แฮ่ ๆ ๆ
อย่าว่ากันน้า
ความคิดเห็น