คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #27 : หวง
แสงแดดสาดเข้ามาทางหน้าต่างกระทบเข้ากับเปลือกตาของคนขี้เซาที่นอนหลับใหลจนไม่รู้ว่าเวลาได้ล่วงเลยไปนานเท่าใดแล้ว
ปราณปรียากะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมาได้ พอมองดูรอบๆ
ห้องก็ต้องทำหน้าตกใจเมื่อตระหนักว่านี่ไม่ใช่ที่ของเธอ
เมื่อนึกได้อย่างนั้นหญิงสาวก็รีบลนลานลุกจากเตียงนอนแล้วเปิดประตูลงไปยังชั้นล่างทันที
“อ้าว
พี่ดาวมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ” ปราณปรียาทำหน้างงตามด้วยอาการเก้อเขิน
เมื่อลงมาเจอกับดาวประกายที่นั่งเล่นกับเจ้าลูกหนูอยู่บนโซฟาตัวเล็กในห้อง
โดยที่ปราศจากเงาของเจ้าของห้องตัวจริง
“พี่มาอยู่เป็นเพื่อนน้องกระต่ายค่ะ
แล้วก็นี่กุญแจสำรองค่ะ” ดาวประกายอมยิ้มขณะที่ยื่นกุญแจห้องส่งให้
ทำให้อีกคนหลบสายตาเพราะไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรที่ดาวประกายมาเจอเธอในสภาพนี้และในห้องนี้
“กุญแจอะไรคะ”
หญิงสาวยังคงไม่เข้าใจเรื่องราวอยู่ดี
“กุญแจห้องน้องกระต่ายไงคะ
พอดีพี่วินไปขอมาจากเสมียนเลยฝากพี่เอามาให้ค่ะ กลัวน้องกระต่ายไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน
แล้วก็พี่ทำกับข้าวมาเผื่อแล้วนะคะ” ดาวประกายแจกแจงให้ฟัง
“แล้วผู้กองไปไหนแล้วคะ”
“อ๋อ..พี่วินไปจัดการธุระที่โรงพยาบาลค่ะเดี๋ยวก็คงกลับมา
น้องต่ายไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะค่ะจะได้สบายตัว”
ปราณปรียากลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของเธอตามที่สาวรุ่นพี่บอก
พอกลับมาอีกครั้งก็ไม่เจอดาวประกายแล้วแต่เป็นเจ้าของห้องตัวจริงนั่งรออยู่ที่โซฟาแทน
เมื่อเห็นหน้าเธอเขาก็ยิ้มกว้างส่งมาให้ทันทีทำเอาปราณปรียาเดินไม่เป็นและไม่รู้จะวางไม้วางมือไว้ที่ไหนดี
ส่วนผู้กองหนุ่มได้แต่อมยิ้มอย่างเอ็นดูกับท่าทางของแม่กระต่ายน้อย
“ผมให้จ่าสมยศขับรถไปส่งเด็กๆ
ที่ค่ายแล้วนะ เดี๋ยวเราทานข้าวเสร็จค่อยตามไป”
เขาบอกเล่าถึงธุระที่จัดการให้เธอเสร็จเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ช่วงเช้า แต่ไม่ได้เล่ารายละเอียดทั้งหมดซึ่งเขาคาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นปัญหาใหญ่หลวงให้กับเขาในภายหน้า
ปราณปรียาพยักหน้าขอบคุณและนึกอะไรขึ้นมาได้
“คุณแจ้งให้คนที่ค่ายรู้หรือยังคะ
ฉันเพิ่งนึกออกแต่ลืมติดโทรศัพท์มาด้วยป่านนี้ทุกคนคงเป็นห่วงแย่”
“เรียบร้อยแล้วครับ
ไม่มีอะไรต้องห่วงแต่ตอนนี้ผมเริ่มหิวข้าวแล้วหละ"
เขาทำหน้ามุ่ยพร้อมกับลูบท้องประกอบ จึงเรียกรอยยิ้มขำจากอีกฝ่าย
พอดีกับที่ดาวประกายเคาะประตูเรียกให้ทั้งสองคนออกไปรับประทานอาหารที่โต๊ะหินอ่อนหน้าห้องพักของเธอ
ปราณปรียาเพิ่งจะได้พิจารณาผู้กองหนุ่มให้ชัดเจนก็ตอนนี้เอง
เมื่อขึ้นนั่งบนหลังเจ้าเข้มเรียบร้อยแล้ว แม้จะเป็นมุมมองข้างหลังก็ตาม
ไหล่ของเขากว้างมากเมื่อเทียบกับไหล่ของเธอและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแบบผู้ชายที่สุขภาพดี
มองแล้วให้ความรู้สึกมั่นคงและอบอุ่น แน่นอนว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่เห็นคนหล่อแล้วใจสั่น
แต่เหตุใดกันเธอถึงต้องรู้สึกใจเต้นโครมครามทุกครั้งเมื่อเขาเข้าใกล้ด้วย นอกจากนั้นเธอเองก็รู้สึกอบอุ่นเวลาที่เขาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ
แม้แต่ในความคิดก็ตาม
ปราณปรียาจมอยู่กับความคิดของตัวเองเรื่อยเปื่อยมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อเจ้าเข้มวิ่งผ่านแปลงนาสาธิตและมาหยุดที่หน้าหอประชุมซึ่งในขณะนี้มีทีมวิทยากรอยู่กันครบยกเว้นอรุณสวัสดิ์ที่พาเด็กๆ
ไปเรียนรู้ในโรงเรือนที่อยู่ถัดไป ส่วนที่นั่งอยู่ตรงกลางนั้นคือเด็กสาวสองคนที่สร้างวีรกรรมเอาไว้
ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด
“เราสองคนรู้ใช่ไหมว่าทำผิด
รู้ใช่ไหมว่าทำให้คนอื่นเขาวุ่นวายไปหมด” หมวดศรุตสวมบทครูฝ่ายปกครองยืนกอดอกพูดเสียงดังอยู่ต่อหน้าเด็กสาวทั้งสองคน
ทำเอาสองสาวตัวสั่นงันงกด้วยกลัวความผิดที่ตัวเองก่อไว้ได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตา
ปราณปรียาที่เพิ่งมาถึงอ้าปากจะขออุทธรณ์ลดโทษแทนแต่ถูกผู้กองหนุ่มสะกิดแขนห้ามเอาไว้ก่อน
“การที่เรามาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นคณะ
ต้องเคารพกฎกติการ่วมกันซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากมิเช่นนั้นแล้วก็จะเกิดความวุ่นวายขึ้นได้
ครูอยากให้พวกเธอได้ตรึกตรองถึงสิ่งที่ทำลงไปว่าถูกต้องหรือไม่ สมควรหรือไม่
ดังนั้นพวกเธอต้องรับผิดชอบทำความสะอาดโรงนอนหญิงจนกว่าจะสิ้นสุดการเข้าค่ายครั้งนี้
พวกเธอจะยอมรับไหม” หมวดศรุตร่ายยาวด้วยใบหน้าตึงเครียดเพื่อให้คำพูดของเขาศักดิ์สิทธิ์และน่าเกรงขาม
เด็กสาวทั้งสองพยักหน้ารับอย่างจำนนและกลัวเกรง ซึ่งทุกคนที่อยู่ในที่นั้นก็พลอยรู้สึกตามไปด้วย
โดยเฉพาะพิมพ์ชนกยิ่งคาดไม่ถึงว่าจะเห็นเขาในบุคลิกเช่นนี้
แต่อะไรก็เป็นไปได้สำหรับผู้ชายคนนี้มิใช่หรือดูอย่างเหตุการณ์เมื่อคืนวานนั่นปะไร
“ดีแล้ว
คนเราทำผิดก็ต้องรู้จักยอมรับผิด และเมื่อรู้ว่าผิดก็อย่าได้ทำผิดซ้ำอีก
เอาหละกลับไปจัดการธุระของตัวเองให้เรียบร้อยแล้วค่อยลงไปเรียนกับเพื่อนๆ”
เขาออกคำสั่งเสียงเข้มอีกครั้ง คราวนี้ทั้งสองสาวรีบลุกพร้อมกับยกมือไหว้ปรกๆ
ก่อนจะรีบโกยอ้าวออกไป
“หมวดศรุตใจร้ายจัง”
ปราณปรียาตัดพ้อทันทีเมื่อเด็กสาวไปพ้นจากบริเวณนั้นแล้ว
ส่วนสายสมรรีบวิ่งมากอดแขนสาวรุ่นน้องทันทีที่สถานการณ์ตึงเครียดผ่านไป
“โธ่
น้องกระต่ายครับมันเป็นแค่การแสดงครับ ส่วนตัวจริงของผมหนะ หล่อ มาดแมน และแสนดี”
หมวดศรุตว่ายิ้มๆ เมื่อกลับเข้าสู่โหมดทะเล้นดังที่คนอื่นๆ คุ้นชิน
“แหม
ขนาดพี่หมอนนี่ยังกลัวแทนน้องๆ เขาเลยค่ะ
หมวดเล่นบทโหดซะขนาดนั้นเด็กสองคนคงขวัญหนีดีฝ่อกันหมดแล้วค่ะ”
สายสมรสนับสนุนความคิดเห็นของปราณปรียาอีกคน
ปลัดเอกภพซึ่งยืนเงียบอยู่นานเพราะเขาไม่ถนัดเรื่องการจัดการกับเด็กเกเรเท่าไหร่จึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมวดศรุต
หันไปเอ่ยกับปราณปรียาด้วยความห่วงใย
“น้องกระต่ายลำบากแย่เลยนะครับ
ที่จริงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจก็ได้” คำพูดของเขากลับทำให้ปราณปรียารู้สึกว่าเขาช่างไร้น้ำใจเสียจริง
เด็กหายไปตั้งสองคนใครกันจะอยู่นิ่งดูดายได้
“ไม่ลำบากหรอกค่ะปลัด
ต่ายถือว่าเป็นหน้าที่ในการดูแลความปลอดภัยของเด็กทุกคนที่มาเข้าค่ายของเรา
ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับเด็กพวกนั้นคงหนีไม่พ้นความรับผิดชอบของเราอยู่ดี
และพวกเขามีพ่อแม่ที่เป็นห่วงรออยู่ที่บ้าน
ต่ายนึกไม่ออกว่าถ้าพวกเขาได้รับอันตรายขึ้นมา เราจะตอบคำถามนี้อย่างไร”
ปราณปรียาตอบกลับด้วยอาการไม่พอใจและจ้องหน้าปลัดเอกภพเขม็ง
ไม่คิดจะเก็บความรู้สึกแม้แต่นิดเดียวจนปลัดเอกภพต้องยิ้มแหยๆ กลับมา
สายสมรเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
“แล้วนี่น้องต่ายทำไมไม่เรียกพี่หมอนบ้างคะ
ปล่อยให้พี่รู้เรื่องทีหลังคนอื่นเสียชื่อหมดเลย” สาวอวบทำหน้าเง้างอน
“ต่ายไม่นึกว่าเรื่องราวจะบานปลายอย่างนี้นี่คะ
แล้วอีกอย่างพี่หมอนก็นอนแล้วด้วย”
และเธอรู้ดีว่าลองสายสมรนอนหลับแล้วยากที่จะปลุกให้ตื่นได้
“แล้วไปเอาเสื้อใครมาใส่คะตัวใหญ่ขนาดนี้”
สาวรุ่นพี่ถามต่อเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติของหญิงสาวข้างกาย
เล่นเอาปราณปรียาทำหน้าไม่ถูกส่วนผู้กองหนุ่มได้แต่อมยิ้ม
“อะแฮ่ม
จะเสื้อใครได้หละถ้าไม่ใช่ของคนแถวนี้” หมวดศรุตชำเลืองตาไปทางผู้กองหนุ่มที่ยืนเงียบตั้งแต่มาถึง
จึงได้รับสายตาเอาเรื่องที่ไม่จริงจังเท่าไหร่กลับมา
มีหรือที่คนอย่างหมวดศรุตจะกลัว
พิมพ์ชนกเองก็รู้สึกถึงกระแสบางอย่างเวลาที่ทั้งสองจ้องมองกัน
แต่แปลกที่เธอรู้สึกเพียงคันๆ ที่แผลใจเท่านั้น
“ต่ายขอตัวไปดูเด็กๆ
ดีกว่าค่ะ” ปราณปรียารีบหาช่องทางหนีเพราะไม่อยากตกเป็นหัวข้อสนทนาของทุกคน
ว่าแล้วก็รีบเดินตัวปลิวตรงไปทางโรงเรือนโดยที่ยังสวมเสื้อคลุมเจ้าปัญหาไปด้วย
ส่วนผู้กองหนุ่มก็แยกตัวไปอีกทางด้วยความรวดเร็วด้วยไม่อยากอยู่คอยตอบคำถามเช่นกัน
“น้องต่ายรอพี่หมอนด้วยค่า”
สาวอวบรีบตามไปติดๆ เพราะมีเรื่องคาใจต้องเคลียร์ไม่อย่างนั้นสายสมรคงนอนไม่หลับเป็นแน่
ปลัดเอกภพมองตามหลังปราณปรียาด้วยสีหน้าบ่งบอกว่าเขาคงหมดหวังในตัวเธออย่างแน่นอนแล้ว
เขาถอนหายใจอย่างคนหมดอาลัยตายอยากก่อนจะเดินคอตกออกไปอีกคน
พิมพ์ชนกเองก็เตรียมตัวจะเดินหนีเหมือนกันเพราะยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับคนผีเข้าผีออกอย่างหมวดศรุต
“คุณ..”
หมวดศรุตเรียกเมื่อเห็นหมอสาวกำลังจะเดินไปอีกคน
ส่งผลให้พิมพ์ชนกถึงกับสะดุ้งโหยงและหยุดเดินโดยทันที
“อะ..อะไร”
พิมพ์ชนกผู้ไม่เคยสะทกท้านกลับรู้สึกประหม่าจนไม่สามารถควบคุมน้ำเสียงของตัวเองได้
“เรื่องเมื่อคืน
ผมขอโทษนะที่ทำแบบนั้น” เขาบอกพร้อมกับทำสีหน้ารู้สึกผิดกับการกระทำของตน
“ช่างเถอะ
ก็คุณเมานี่คะ” พิมพ์ชนกตอบโดยไม่ได้มองหน้าเขาแม้ว่าจะสามารถควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติได้แล้วก็ตาม
“ขอบคุณที่เข้าใจ
แต่เมื่อคืนผมมีสติทุกอย่างถึงได้ขอโทษคุณไง” เขาพูดยิ้มๆ
ก่อนเดินจากไปปล่อยให้พิมพ์ชนกยืนงงกับคำพูดของเขา
และพยายามหาความหมายในนั้นว่าชายหนุ่มต้องการสื่ออะไรกันแน่
พลันหัวใจของหมอสาวก็เต้นโครมครามเมื่อสมองอันชาญฉลาดของเธอประมวลผลสำเร็จ
ผู้กองภวินท์กำลังนั่งเลือกไม้ดอกที่เพาะอยู่ในกระถางพลาสติกใบเล็ก
เขาตั้งใจจะนำกลับไปปลูกที่หลังห้องพักของปราณปรียาเพราะพื้นที่หลังบ้านยังไม่ได้ใช้ประโยชน์
มีเพียงต้นหญ้าขึ้นยึดครองเกือบเต็มพื้นที่
หากเปลี่ยนเป็นไม้ดอกหรือผักสวนครัวคงจะดีไม่น้อย
“คุณวินครับ
นายแม่ฝากให้ผมมาตามไปที่บ้านใหญ่ครับ”
คนงานชายซึ่งรับผิดชอบในการดูแลสวนไม้ผลภายในไร่ภูธรเอ่ยบอกเจ้านายอีกคนของเขา
ซึ่งคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
“ขอบคุณครับพี่ส่ง”
ภวินท์เงยหน้าขึ้นมารับคำ
ก่อนจะได้รับการโค้งศีรษะจากบุญส่งพร้อมกับล่าถอยออกไปทำหน้าที่ของตนต่อ ผู้กองหนุ่มทำหน้าครุ่นคิดนิดหนึ่งก่อนลุกขึ้นล้างมือและมุ่งตรงไปยังบ้านเรือนไทยหลังใหญ่
ซึ่งหากไม่มีเรื่องสำคัญจริงๆ นายแม่ของบ้านคงไม่ให้คนมาตามเขากระมัง
ผู้กองหนุ่มเดินตรงไปยังสวนหลังบ้านที่มีศาลาไม้หลังเล็กยกสูงจากพื้นดินเล็กน้อย
และผู้เป็นนายแม่ของไร่ภูธรนั่งอ่านหนังสือรอท่าอยู่ก่อน
กระทั่งเขานั่งลงตรงข้ามกันนางอรทัยก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือที่ไม่ได้ตั้งใจอ่านอะไรมากมายเหมือนท่าทางที่แสดงออก
“มีอะไรกับผมหรือครับ”
เขาตัดสินใจถามขึ้นก่อน
เมื่ออีกฝ่ายยังนั่งนิ่งอยู่ทั้งที่เป็นฝ่ายเรียกให้เขามาพบแท้ๆ
นั่นแหละนางอรทัยจึงปิดหนังสือและเงยหน้าขึ้นมาสบตากับบุตรชายเพียงแวบหนึ่งด้วยใบหน้านิ่งเฉยซึ่งเขาเริ่มชินมาหลายปีแล้ว
“เรื่องที่ค่ายเป็นอย่างไรบ้าง”
ทั้งที่ได้รับรายงานจากอรุณสวัสดิ์แล้วแต่ก็แกล้งถามออกไป ขณะที่ลอบสังเกตสีหน้าของผู้กองหนุ่มทำให้เห็นว่ารอบดวงตาของเขามีรอยคล้ำเหมือนคนอดนอน
ก่อนจะเบนสายตาไปให้ความสนใจกับพุ่มดอกมะลิซ้อนข้างศาลาเมื่อผู้กองหนุ่มหันหน้ามา
“เรียบร้อยดีแล้วครับ”
เขาตอบเพียงสั้นๆ และขณะเดียวกันก็พิจารณาซีกหน้าด้านหนึ่งของมารดาด้วยเช่นกัน
แม้ว่าอรทัยจะวัยล่วงเลยเข้าเลขห้าแล้วแต่ก็ยังเหลือเค้าความงดงามเอาไว้
ผิดแต่ชอบทำใบหน้านิ่งเฉยและดูดุในบางคราว
อย่างน้อยเขาก็เบาใจที่มารดายังสุขภาพร่างกายแข็งแรงและมีป้าสมใจคอยดูแลแทนเขา
“แล้วเรื่องของเราหละเป็นอย่างไร”
นางอรทัยหันมาสบตากับบุตรชายที่มองอยู่ก่อนแล้ว
“ตอนนี้ผมลาพักผ่อนอยู่ครับ
คงจะอยู่ที่นี่รอจนกว่าจะมีคำสั่งหรือมีภารกิจใหม่เข้ามา” เขาตอบคำถามเรื่อยๆ
แม้จะรู้สึกดีใจที่คนเป็นแม่เอ่ยปากถามสารทุกข์สุขดิบขึ้นมา
“แล้วเรื่องส่วนตัวเป็นอย่างไรบ้าง”
นางอรทัยเปิดประเด็นที่อยากรู้ทันที หลังจากที่เก็บความสงสัยมาข้ามคืน
อย่างไรเสียนางก็อดเป็นห่วงบุตรชายไม่ได้โดยเฉพาะเรื่องคู่ครองเพราะตัวนางเองเคยทำพลาดมาก่อน
“ถ้าหมายถึงเรื่องสุขภาพ
ผมสบายดีครับไม่เจ็บไม่ไข้อะไร”
ภวินท์ออกจะแปลกใจในคำถามของผู้เป็นมารดาที่ฟังดูกำกวมอยู่จึงตอบไปอีกทาง
“ฉันหมายถึงเรื่องผู้หญิงต่างหาก
เห็นตาอรุณพูดเปรยๆ จริงหรือเปล่าที่ว่าเรามีแฟนแล้ว”
นางอรทัยตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด เมื่อบุตรชายยังไม่ยอมปริปากแม้จะรู้สึกกระดากอายอยู่บ้างเพราะที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างสองแม่ลูกมีแต่จะห่างเหินกันออกไป
แต่นั่นก็เป็นเพราะนางเองที่ผลักไสลูกชายคนเดียวให้ออกห่าง เพียงเพราะเรื่องราวขัดเคืองใจในอดีต
ผู้กองภวินท์ทำหน้าไม่ถูกเมื่อนึกไม่ถึงว่ามารดาจะถามเรื่องที่เป็นความลับในหัวใจอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้
จึงได้แต่เงียบอยู่อย่างนั้น
“ไม่ได้จะยุ่งอะไรหรอกนะ
ก็แค่อยากให้ดูดีๆ บางทีความรักอย่างเดียวก็ไม่ได้ยืนยันว่าคนสองคนจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้”
ดูอย่างนางกับบิดาของภวินท์นั่นปะไร
อรทัยคิดต่อในใจด้วยความรู้สึกหนักอึ้งทุกครั้งแม้จะผ่านมานานหลายปี
พอมาได้ยินที่ไปที่มาของปราณปรียาจากนางสมใจก็เกิดความกังวลถึงความแตกต่างระหว่างบุตรชายของนางกับสาวน้อยชาวกรุงคนนั้น
และถึงแม้ว่าจะเป็นห่วงผู้กองหนุ่มแต่นางก็ยังคงรักษาท่าทีเฉยชาเช่นเคย
“ครับ”
ภวินท์ยังคงพูดน้อยเหมือนเดิม จนผู้เป็นมารดาไม่รู้จะซักไซ้ไล่เรียงอย่างไรดี
ได้แต่ทำหน้าขัดใจทั้งที่นางยอมเสียหน้าเรียกเขามาพบก่อนแต่กลับได้รับเพียงความเฉยชาตอบกลับมานึกแล้วน่าน้อยใจยิ่งนัก
ภวินท์เองก็เห็นท่าทางนั้นเช่นกันเขาอมยิ้มก่อนพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ผมกำลังดูๆ
อยู่ ตอนนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนเท่าไหร่คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก”
เขาอธิบายเรียบเรื่อยเช่นเดิม
ทั้งที่ในใจปลื้มปริ่มกับความห่วงใยที่สัมผัสได้จากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นมารดาแท้ๆ
“ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้ก็ลองชวนมากินข้าวที่บ้านเราสิ
อ้อ ชวนทีมงานทุกคนด้วยถือว่าเป็นการเลี้ยงขอบคุณที่เขาเลือกไร่ของเราเป็นสถานที่ฝึกอบรม
เห็นพี่สมใจชมนักชมหนาว่าน่ารักอย่างนั้นอย่างนี้อยากจะเจอตัวเป็นๆ สักครั้ง”
นางอรทัยเสนอแนะด้วยหน้าตาเรียบเฉยและโบ้ยไปให้แม่บ้านคนสนิทแทน
“ครับ
ผมจะลองชวนดู” ภวินท์เองแทบจะกลั้นยิ้มไม่อยู่
นานเท่าไหร่กันแล้วที่เขาไม่เคยได้รับการเอาใจใส่จากนางอรทัยแบบนี้
วันนี้ช่างเป็นวันดีของเขาเสียจริง
“แล้วแม่อวนเป็นอย่างไรบ้าง
สบายดีหรือเปล่า” อรทัยเอ่ยปากถามถึงสตรีสูงอายุผู้เป็นเหมือนมารดาคนที่สองของนาง แต่เพราะเรื่องราวในอดีตจึงทำให้ทั้งสองห่างเหินกันแม้จะอย่างนั้นนางก็อดเป็นห่วงสุขภาพของแม่อวนไม่ได้
ยิ่งอายุมากแต่ต้องอยู่คนเดียวไร้ลูกหลานคอยดูแลถึงจะมีบริวารมากมายแต่ใครกันจะมาดูแลทุกข์สุขได้เท่าคนในครอบครัว
นางอรทัยเองก็เพิ่งตระหนักได้เวลานี้นี่เอง
“คุณย่าสบายดีครับ
เสียแต่ดื้อชอบทำเหมือนตัวเองยังเป็นสาวๆ” ภวินท์อมยิ้มและมีท่าทางผ่อนคลายขึ้นเมื่อนึกถึงแม่อวนผู้ที่เขาทั้งรักและบูชา
เพราะแม่อวนคือคนที่เข้าใจเขาที่สุดและคอยให้กำลังใจเขาเสมอมา
นางอรทัยเองสังเกตเห็นแววตาแห่งความรักและท่าทางที่ดูนุ่มนวลขึ้นของบุตรชายก็ให้สะท้อนในอกเมื่อนางเองไม่ได้สัมผัสกับบรรยากาศเช่นนี้มานานเหลือเกิน
เพียงเพราะทิฐิมานะของนางเองแท้ๆ หากไม่ได้ฟังคำบอกเล่าจากนางสมใจ ว่าภวินท์คอยติดตามสารทุกข์สุกดิบของนางอยู่เสมอ
อรทัยก็คงยังคิดอยู่เพียงฝ่ายเดียวว่าบุตรชายไม่เหลือความรักไว้ให้นางอีกแล้ว
ผู้กองภวินท์นอนใช้ความคิดบนเปลไม้ไผ่หลังกระท่อมของเขา
ซึ่งตอนบ่ายพอได้อาศัยร่มเงาจากต้นประดู่กิ่งอ่อนหลบร้อนได้บ้าง
วันนี้มีเรื่องน่าประหลาดใจเกิดขึ้นกับเขาแต่เป็นไปในทางที่ดีเพราะเขาเองไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่านายแม่ผู้เคร่งขรึมมึนตึงมาตลอดจะให้ความสนใจกับเรื่องส่วนตัวของลูกชายที่ครั้งหนึ่งเคยตัดหางปล่อยวัดมาแล้ว
เหตุการณ์บาดหมางในอดีตไหลเอ่อเข้ามาในห้วงความคิดของผู้กองหนุ่มอีกครั้ง
เขาคิดย้อนกลับไปถึงวันที่เป็นจุดเริ่มต้นของรอยร้าวระหว่างเขาและนางอรทัย
เมื่ออรทัยจับได้ว่าเขาแอบติดต่อกับบิดาซึ่งเขาไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาตั้งแต่เกิดซึ่งนั่นทำให้ผู้เป็นมารดาโกรธมากและยื่นคำขาดไม่ให้เขาไปเรียนต่อโรงเรียนเตรียมทหารทั้งที่เขาสอบได้คะแนนดีมาก
ทำให้เขาในวัยเพียงสิบห้าปีตัดสินใจทำตามความต้องการของตนเอง
เพราะมันคือความใฝ่ฝันของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง แต่นางอรทัยในตอนนั้นกลับเข้าใจว่าภวินท์ต้องการที่จะไปอยู่กับภาคภูมิผู้เป็นบิดาจึงทั้งโกรธและน้อยใจถึงขนาดตัดแม่ตัดลูกกับเขาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เขาเองเคยมีความคิดที่อยากจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกเหมือนเด็กคนอื่นๆ
แต่เมื่อเอาเข้าจริงแล้วก็รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นผิดถนัดเพราะเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตของใครได้
เมื่อฝ่ายภาคภูมิเองหลังจากที่เลิกรากับอรทัยแล้วก็ได้มีครอบครัวเป็นของตัวเองซึ่งแม้แต่ภวินท์ก็ยังรู้สึกว่าเขาเป็นส่วนเกินทุกครั้งเวลาที่ผู้เป็นบิดามารับกลับบ้านในช่วงปิดเทอม
เมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นจึงเริ่มที่จะถอยห่างออกมาเรื่อยๆ
แต่ครั้นจะกลับมาที่บ้านก็ได้รับเพียงท่าทีเฉยชาจากผู้เป็นมารดา
มีเพียงญาติผู้ใหญ่อย่างแม่อวนและครอบครัวของผู้กำกับจักรวาลที่คอยปลอบประโลมให้จิตใจของเขายังดำรงอยู่ได้มาจวบจนทุกวันนี้
นับเป็นนิมิตรหมายอันดียิ่งนักในการเริ่มประสานรอยร้าวระหว่างเขากับมารดา
หวังว่าเขาจะได้รับความรักความเมตตาจากผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ภวินท์เป็นต้องยิ้มที่มุมปากพร้อมกับเผลอลูบไล้ปลายนิ้วเรียวยาวกับริมฝีปากของตัวเอง
รสชาติความหอมหวานของแม่กระต่ายน้อยยังคงติดตรึงอยู่ภายในใจของเขาเหมือนเพิ่งผ่านเหตุการณ์นั้นมาหมาดๆ
ว่าแล้วผู้กองภวินท์ก็รีบลุกจากเปลเพื่อไปประจำยังจุดที่เขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งภายในบริเวณไร่ภูธรแห่งนี้ทันที
และเขาเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้นัดหมายปราณปรียาสำหรับมื้อค่ำนี้เลย
ขณะที่ปราณปรียากำลังช่วยเด็กๆ
ทำความสะอาดอุปกรณ์หลังจากที่ช่วยกันทำปุ๋ยหมักเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้นเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น
ฟังจากเสียงเพลงเธอก็รู้แล้วว่าเป็นใครแทบไม่ต้องดูหน้าจอด้วยซ้ำ
(
เจ้าค่ะคุณชาย )
(
ยายต่ายเราอยู่ไหน พี่เคาะประตูจนมือจะหงิกอยู่แล้ว )
เสียงคุณชายจอมเนี้ยบตะโกนผ่านโทรศัพท์ออกมา บ่งบอกถึงอารมณ์คนพูดได้เป็นอย่างดี
(
เคาะจนมือหักก็ไม่มีใครเปิดหรอกค่ะ ต่ายไม่ได้อยู่ที่ห้องค่ะ )
ปราณปรียากรอกเสียงกลับไป
(
แล้วไปไหนไม่ทำงานทำการหรือไง วันนี้มันวันพุธไม่ใช่หรือ )
ปราณต์ทำน้ำเสียงหงุดหงิดที่น้องสาวชักจะเหลวไหลใหญ่แล้ว
(
ก็มาทำงานนะสิคะ พาเด็กๆ มาเข้าค่ายแถวนี้แหละค่ะ )
คำว่าแถวนี้ของปราณปรียาดูช่างห่างไกลความจริงเหลือเกิน
(
อ้าวแล้วขนมที่คุณแม่ฝากพี่มาจะทำอย่างไรหละ )
ปราณต์รู้สึกกังวลหากทำตามความปรารถนาของมารดาไม่สัมฤทธิ์ผล
(
ถ้าอย่างนั้นฝากไว้กับพี่สาวที่อยู่ห้องติดกันก็ได้ค่ะอีกสองวันต่ายก็กลับละ )
ปราณปรียานึกถึงดาวประกายขึ้นมาทันที
ในที่สุดปราณต์จึงต้องทำตามข้อเสนอของน้องสาวทั้งที่นึกเป็นห่วงว่าปราณปรียาจะอยู่อย่างไร
ขนาดห้องพักในแฟลตตำรวจก็เรียกได้ว่าอัตคัดเต็มทน
กว่าจะวางสายได้ก็ต้องฟังพี่ชายบ่นจนหูชา
พอหันกลับมาทุกคนก็ทยอยกลับกันไปแล้วส่วนสายสมรหิวจัดเพราะออกแรงเยอะบอกว่าจะไปแอบหาอะไรกินในครัวรองท้องก่อนจะถึงมื้อค่ำ
หญิงสาวจึงเดินทอดน่องมาเรื่อยเปื่อยไม่ได้รีบเร่งเพราะยังเหลือเวลาอีกมากก่อนจะเริ่มกิจกรรมในช่วงหนึ่งทุ่มตรง
กริ๊ง
กริ๊ง ปราณปรียาที่เดินใจลอยอยู่รีบหันไปตามเสียงกริ่งจักรยานทันที
แล้วก็ต้องรีบเดินจ้ำอ้าวเมื่อเห็นว่าเป็นฝีมือของใคร
“คนอุตส่าห์มาหาจะรีบเดินหนีไปไหนกัน”
ผู้กองภวินท์ปั่นจักรยานมาดักหน้าปราณปรียาไว้ก่อนที่เธอจะเดินหนีไปอีกทาง
ปราณปรียาทำหน้าไม่ถูกยิ่งเห็นหน้าเขาก็พาลคิดไปถึงสิ่งที่เขาทำไว้กับเธอ
ทำให้ใบหน้าขึ้นสีระเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่
“ไปทำอะไรมา
หน้าแดงเชียว” เขายังล้อเลียนไม่หยุด
“นี่คุณ
ถ้าจะกวนละก็หลีกไปเลยนะ” เมื่อไม่อาจเก็บอาการได้จึงแกล้งโวยวายไปซะเลย
“กวนที่ไหนกัน
ผมมีธุระกับคุณต่างหาก ขึ้นรถเร็ว”
เขาว่าแต่แววตาระยิบระยับนั่นสิที่ปราณปรียาไม่ค่อยจะแน่ใจความปลอดภัยของตัวเองสักเท่าไหร่
“ไม่เอา
บอกมาก่อนว่าจะไปไหน”
“มาเหอะน่าผมไม่พาคุณไปเสียคนก็แล้วกัน”
หน้าตาของเขากับคำพูดไม่ได้ชวนให้คนฟังเชื่อถือเลยสักนิด
“เชอะ
น้อยไปสิไม่ว่า” ปราณปรียาย่นจมูกใส่เขาด้วยความหมั่นไส้เต็มที
แต่เธอคิดผิดที่ทำอย่างนั้นเพราะอยู่ๆ
ภวินท์ก็บีบจมูกจนเธอต้องสำลักลมหายใจออกมาทางปากแทน
พร้อมกับปัดมือที่เหนียวเหมือนกาวของเขาออกไป
“อย่างนี้เรียกว่าดื้อใช่ไหม
สงสัยอยากโดนลงโทษ” เขาก้มหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับทำหน้าตาข่มขู่
ปราณปรียารู้ว่าเธอต้องโดนบทหนักแน่จึงรีบกุลีกุจอขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายจักรยานของเขาอย่างไว
“ยอมแล้วค่ะ
ไปไหนก็ไป” พูดเสร็จก็รีบเอามือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดปาก เพราะเธอไม่อาจวางใจได้ว่าผู้กองภวินท์จะอาจหาญทำการใดกับเธออีก
และผลของมันคงไม่คุ้มค่าสำหรับเธออย่างแน่นอน
ปราณปรียารู้สึกหมั่นไส้คนเผด็จการนักทำได้เพียงแยกเขี้ยวยิงฟันยกไม้ยกมือขึ้นมาทำท่าต่อยตีกับแผ่นหลังของเขาแทน
ไม่อย่างนั้นเธอต้องอกแตกตายเป็นแน่ แต่หารู้ไม่ว่าภวินท์มองเห็นการกระทำของเธอจากเงาที่สะท้อนอยู่บนพื้นถนน
“อะแฮ่ม
แอบทำร้ายลับหลังระวังเถอะจะจับตีก้นซะให้เข็ด” เขาแกล้งขู่ปราณปรียาเข้าไปอีก
ทีนี้ผู้กองหนุ่มถึงกับจุกเมื่อโดนฝ่ามือฟาดเข้าที่แผ่นหลังเต็มรัก
“โอ๊ย
เจ็บนะคุณ แบบนี้อยากโดนตีก้นจริงๆ ใช่ไหม” เขาแกล้งร้องโอดครวญเหมือนเจ็บมากมายเพื่อให้สมเหตุสมผลในการเอาคืน
พอขาดคำปราณปรียาก็กระหน่ำกำปั้นรัวลงมาราวกับห่าฝนจนรถจักรยานส่ายไปส่ายมาเพราะผู้กองหนุ่มคอยเอียงตัวหลบการจู่โจมของเธอ
“ยังไงคุณก็จะหาเรื่องแกล้งฉันอยู่แล้วนี่
เพราะฉะนั้นขอให้ได้เอาคืนหน่อยแล้วกัน นี่แน่ๆ”
คราวนี้ปราณปรียาเปลี่ยนจากทุบหลังมาเป็นจี้ที่เอวแทนและปรากฏว่าได้ผลดีเกินคาด
ไม่นึกเลยว่าหนุ่มมาดแมนอย่างผู้กองภวินท์จะบ้าจี้กับเขาด้วย
“โอ๊ย
คุณ พอเถอะ เดี๋ยวรถก็ล้มหรอก ฮะ ฮะ พะ พอแล้ว” ทุบหลังยังพอทนแต่จี้เอวนี่ไม่ไหวจริงๆ
ผู้กองภวินท์ถึงกับเหงื่อตก เขาเพิ่งเข้าใจคำว่าหัวเราะทั้งน้ำตาก็ตอนนี้เอง
แม้เขาจะขอร้องแต่ปราณปรียาก็หาได้ปราณียังตั้งหน้าตั้งตาจี้เอวเขาต่อไปด้วยความสนุกปนสะใจที่ได้เอาคืนบ้าง
ภวินท์ทนจักกะจี้ไม่ไหวและไม่สามารถบังคับรถที่กำลังไหลลงเนินด้วยความเร็วได้อีก
จึงต้องใช้บริการกอตะไคร้หอมข้างทางเป็นที่เบรครถชั่วคราว ส่วนเขาและตัวต้นเหตุถูกเทกระจาดลงบนพื้นสนามหญ้าพอดิบพอดี
ปราณปรียายังไม่ทันที่จะหายจุกผู้กองหนุ่มรีบใช้โอกาสนั้นรวบเอวของเธอเข้าหาตัวพร้อมกับเอาคืนด้วยการทำแบบเดียวกับที่เธอทำกับเขา
หญิงสาวแกล้งทำตัวแข็งทื่ออยู่ได้ไม่นานก็ต้องหลุดเสียงร้องปนเสียงหัวเราะออกมา
คดีพลิกกลายเป็นเธอที่เป็นฝ่ายถูกเขากระทำเสียนี่
ปราณปรียากลายเป็นฝ่ายหัวเราะทั้งน้ำตาแทนจนต้องยกมือยอมแพ้กว่าเขาจะยอมหยุดเล่นเอาเธอแทบขาดใจ
ต่างฝ่ายต่างหายใจอย่างเหนื่อยหอบจากนั้นก็มองสบตากันและหัวเราะออกมาพร้อมกัน
ก่อนจะนอนแผ่หลาอยู่ตรงนั้นอย่างหมดแรง
นานเท่าไหร่แล้วที่นางอรทัยไม่ได้เห็นบุตรชายคนเดียวหัวเราะอย่างมีความสุขเช่นนี้
และนานเท่าไหร่แล้วที่นางปล่อยให้เวลาแห่งความสุขเลยผ่านไปโดยที่นางไม่ได้ใช้มันกับคนที่รักสุดหัวใจ
แต่แล้วความรู้สึกหวงแหนก็พลันบังเกิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกต่อต้านหญิงสาวผู้ที่อาจหาญจะมาพรากเอาดวงใจของนางไป
นางอรทัยทอดสายตามองสองหนุ่มสาวที่หยอกล้อกันอยู่กลางสนามหญ้าด้วยแววตาของคนหวงของรัก
พลางคิดด้วยอคติของตนว่าผู้หญิงเมืองกรุงหรือจะมาใช้ชีวิตอยู่บ้านนอกคอกนาได้
หากถึงวันที่ทนความลำบากไม่ได้จริงๆ คนที่จะเสียใจคงไม่พ้นบุตรชายของนางเป็นแน่ เบื้องหลังคือนางสมใจแม่บ้านที่เปรียบเหมือนญาติสนิทพลอยคิดหนักแทนนายน้อยของนางไปด้วย
เมื่อเห็นสีหน้าของคนเป็นนายแม่แห่งไร่ภูธร
ด้วยรู้จักนิสัยใจคอของอรทัยเป็นอย่างดี
“หายเหนื่อยหรือยังคุณ”
ผู้กองหนุ่มลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิพร้อมกับปัดเศษใบไม้ใบหญ้าบนผมไปด้วยก่อนก้มลงมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของปราณปรียาที่นอนหลับตาพริ้มอย่างสบาย
ภวินท์นึกสงสัยว่าทำไมผู้หญิงที่นอนอยู่ตรงนี้ถึงกลายมามีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของเขาได้
“ว่ามาเลยค่ะ
ฉันฟังอยู่” หญิงสาวพูดขึ้นทั้งที่ยังนอนหลับตาอยู่เช่นเดิม ภวินท์ชักอยากทำอย่างอื่นมากกว่าพูดคุยเสียแล้วเมื่อพักหลังมานี้ไม่ว่าปราณปรียาจะทำท่าทางไหนก็ช่างดูน่าพิสมัยสำหรับเขาไปหมด
นี่เธอจะรู้ตัวบ้างไหมว่าอาจทำให้เขาเสียการควบคุมได้ง่ายๆ
“ทำไมเงียบหละคะ”
ปราณปรียาลืมตาขึ้นมาในที่สุดเมื่ออีกฝ่ายเงียบไม่มีเสียงตอบกลับ
ทำให้ผู้กองหนุ่มรีบหลบสายตาเพราะเกรงว่าหญิงสาวจะรู้ความคิดของตน
“พอดีคุณแม่ฝากให้ผมมาชวนคุณทานข้าวเย็นด้วยกัน
คุณจะว่ายังไงครับ” เขาเกาหัวแกรกๆ ด้วยความประหม่า ส่วนปราณปรียาทำตาโตพร้อมกับทะลึ่งลุกพรวดขึ้นมาทันที
“ทำไมอยู่ดีๆ
ถึงชวนฉันทานข้าวหละคะ แล้วชวนฉันคนเดียวหรือว่าชวนคนอื่นด้วย”
น้ำเสียงของเธอไม่สามารถปกปิดอาการตื่นเต้นได้เลย ภวินท์ถึงกับยิ้มด้วยความเอ็นดูก่อนจะค่อยๆ
หยิบเศษหญ้าที่ติดอยู่บนผมของเธอออก ส่งผลให้ปราณปรียาหน้าแดงกับการกระทำแสนอ่อนโยนของเขา
“ก็ชวนทุกคนนั่นแหละ
แต่ถ้าคุณลำบากใจละก็...”
“เปล่านะคะ..คือ..ฉันแค่ตื่นเต้นนิดหน่อยนะค่ะ”
ปราณปรียารีบพูดแทรกขึ้นมาเพราะกลัวเขาจะเข้าใจผิดไปว่าเธอรังเกียจเขา
ภวินท์หัวเราะหึ หึ กับท่าทางของอีกฝ่าย
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะแจ้งทีมงานทุกคนว่าเย็นนี้มีนัดพิเศษ”
ปราณปรียายังคงมีท่าทางตื่นเต้นอยู่เธอเองอยากมีโอกาสได้เจอตัวเจ้าของไร่สักครั้งเพราะได้ยินแต่กิตติศัพท์ความเป็นผู้หญิงแกร่งของนางอรทัย
“แต่ยกเว้นไอ้ปลัดขี้หลีนั่นนะ”
เขาทำหน้าดุเมื่อเอ่ยประโยคนั้นออกมา ทำเอาปราณปรียาขมวดคิ้วมุ่ย
“ไปเรียกเขาแบบนั้นได้ยังไงคะ
คุณนี่เกเรจริง”
“ไม่รู้หละ
ถ้าคุณชวนปลัดนั่นมาด้วยผมจะทำโทษคุณแน่” เขาทำเสียงดุพร้อมกับหน้าตาจริงจัง
“อย่าพาลสิคะผู้กอง
ถ้าไม่ชวนเขาก็น่าเกลียดตายเลย” ปราณปรียาอธิบายด้วยเหตุและผล ขืนทำตามใจผู้กองภวินท์ก็ไม่ต่างกับเด็กเล่นขายของ
ถึงเธอจะไม่ชอบท่าทางที่ปลัดเอกภพแสดงออกแต่เธอก็สามารถแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้
แล้วเธอก็ไม่เข้าใจว่าผู้กองภวินท์ที่ปกติเป็นคนนิ่งเฉยชอบทำหน้าตาย บทจะไร้เหตุผลก็เป็นซะดื้อๆ
“ก็ผมหวงนี่”
เขาหลุดปากออกมาอย่างรวดเร็ว
เพราะไม่พอใจที่ปราณปรียาแสดงออกว่าปลัดเอกภพมีความสำคัญต่อการตัดสินใจของเธอ
ปราณปรียาถึงกับอึ้งและทำตาโตก่อนจะหน้าแดงและรีบหลบสายตาของเขาทันที
ผู้กองภวินท์ลุกขึ้นยืนทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสิ่งที่ตัวเองได้พูดออกมา
“ผมจะไปบอกป้าสมใจเตรียมสำรับไว้สำหรับทุกคน แล้วเจอกันตอนหกโมงครึ่งนะครับ” เขารวบรัดตัดตอนเสร็จสรรพโดยไม่ได้ขอความเห็นของปราณปรียาด้วยซ้ำ อย่างนี้เรียกตำรวจรังแกประชาชนได้หรือเปล่าเธออยากจะถามออกไปนัก แต่เรื่องอะไรที่จะต้องหาเหตุให้เจ็บตัวเล่าในเมื่อที่ผ่านมาเขาก็มักหาเหตุผลในการทำโทษเธออยู่แล้วนี่นา และมันไม่คุ้มค่าสักเท่าไหร่ที่จะดื้อกับผู้กองภวินท์
ความคิดเห็น