ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวใจรักภูธร

    ลำดับตอนที่ #22 : ไร่ภูธร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.31K
      7
      17 ก.ค. 59


                 

                     ผู้กองหนุ่มกำลังขะมักเขม้นอยู่บนหลังควายเหล็กสีส้มคันเล็ก เขาขับรถไถกลับไปกลับมาเพื่อไถพรวนดินสำหรับเตรียมไว้ปลูกพืชผล เป็นการใช้เวลาว่างได้คุ้มค่ามากและทำให้เขาเองแทบไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นเลย เพราะวันทั้งวันเขาเอาแต่ขลุกอยู่ที่หลังกระท่อมของตัวเองใช้เวลาหมดไปกับการเตรียมพื้นที่เพื่อหว่านพืชผลแต่ละชนิดตามที่คิดแปลนเอาไว้

                    แม้ว่ามือของเขาจะถนัดจับปืนแต่เรื่องการทำนาทำสวนเขาเองก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน เพราะเขาเองก็มีเลือดของชาวนาอยู่ครึ่งหนึ่ง วันนี้ชายหนุ่มเริ่มลงมือเตรียมแปลงตั้งแต่เช้าจนเวลานี้ก็ล่วงเลยมาเกือบจะครึ่งวัน หากใครมองไกลๆ ก็คงดูไม่ออกว่านี่คือผู้กองภวินท์ลูกชายเจ้าของไร่ภูธรแห่งนี้ เพราะเขาใส่กางเกงยีนส์เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเดียวกัน บนศีรษะสวมหมวกสานปีกกว้างใบใหญ่ทำให้มองเห็นเพียงครึ่งหน้าด้านล่างเท่านั้น แล้วยังผูกผ้าขาวม้าไว้ที่เอวอีกด้วย

                     เขาขับรถไถเข้ามาจอดเทียบบริเวณคูดินที่เกิดจากฝีมือตนเองพร้อมกับดับเครื่องยนต์ เมื่อมองเห็นว่ามีใครยืนโบกไม้โบกมืออยู่ตรงนั้น

                    “มาถึงนานแล้วเหรอ” ผู้กองหนุ่มกระโดดลงจากรถไถนายุคใหม่ พร้อมกับเอ่ยทักผู้หมวดรุ่นน้อง

                    “สักพักแล้วพี่ เคลียร์เด็กๆ เข้าที่พักเสร็จผมก็รีบมารายงานตัวเลยครับผม” หมวดศรุตทำท่าตะเบ๊ะล้อเลียน ก็ดูเอาเถอะผู้กองหนุ่มสุดหล่อกลายมาเป็นหนุ่มชาวไร่ไปซะแล้ว แต่ก็แปลกไม่ว่าผู้กองภวินท์จะทำอะไรก็ดูเหมือนเขาจะชำนาญไปหมด นี่ขนาดเขาเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังอดคิดไม่ได้เลยว่าผู้กองดูหล่อเท่ห์ไปอีกแบบ

                    “ล้อเลียนฉันเหรอ ระวังเถอะเดี๋ยวจะได้ลาพักร้อนโดยไม่รู้ตัว” เขาทำเสียงเข่นเขี้ยว ขณะที่จับชายผ้าขาวม้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่ซึมอยู่ตามใบหน้า

                    “เปล่าคร้าบ ผมก็แค่แวะเอาข้าวต้มมัดมาให้” หมวดศรุตยื่นตะกร้าสานใบเล็กที่บรรจุข้าวต้มมัดอยู่ประมาณเกือบสิบคู่ได้ส่งให้ผู้กองภวินท์

                    “นายแบ่งไปกินสิ เยอะขนาดนี้กินไม่หมดหรอก”

                    “แน่ใจนะว่าจะแบ่งให้ผมจริงๆ” หมวดศรุตทำหน้าตากรุ้มกริ่ม ตั้งใจให้ภวินท์ผิดสังเกตและก็สมความตั้งใจ

                    “มีอะไรก็ว่ามาฉันมีงานต้องทำอีกเยอะ อย่าลีลา” ภวินท์หมั่นไส้ไอ้คนเจ้าเล่ห์นัก

                    “ก็ไม่มีอะไร ก็แค่จะบอกว่าน้องกระต่ายเธอ...” แกล้งลากเสียงยาว จนอีกคนรีบโพล่งขึ้นมาด้วยความลืมตัว

                    “คุณกระต่ายเป็นอะไร”

                    “เธอ...”

                    “ไอ้ศรุต ! ” ภวินท์ทำเสียงเข้มอย่างเหลืออดกับความยียวนของหมวดรุ่นน้อง และถ้าหากเขายังไม่รู้เรื่องภายในวินาทีนี้คงต้องมีคนเจ็บตัวอย่างแน่นอน

                    “เธอเป็นคนห่อข้าวต้มมัดไง” พูดแล้วก็กระโดดแผล่วจากวิถีบาทาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหันมาตะโกนก่อนจะรีบวิ่งแจ้นลงเนินไป

                    “คนห่อข้าวต้มเขาก็มาด้วยนะ”

                    พอคล้อยหลังหมวดศรุต ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะหยิบข้าวต้มมัดขึ้นมาดู ก่อนจะมีรอยยิ้มขันปรากฏบนใบหน้าเพราะดูจากรูปพรรณสัณฐานที่บิดเบี้ยวของข้าวต้มแล้วคงไม่ใช่ฝีมือย่าอวนอย่างแน่นอน แต่เดี๋ยวก่อน เมื่อเขาพิจารณาดูดีๆ มีกระดาษแผ่นเล็กๆ สอดอยู่ในมัดข้าวต้ม เขาไม่รีรอที่จะแกะออกมาดูและสิ่งที่เห็นคือตัวเลขขึ้นต้นด้วยศูนย์ซึ่งน่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์ของใครสักคนมากกว่าจะเป็นอย่างอื่น และลายมือแบบนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแน่นอกจากคุณย่าจอมจุ้นของเขานั่นเอง

                    ภวินท์อมยิ้มก่อนจะหันซ้ายหันขวาเพื่อดูให้แน่ใจว่าผู้หมวดจอมทะเล้นไปพ้นจากบริเวณนี้แล้ว จึงยัดกระดาษแผ่นนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อตรงหน้าอก ก่อนจะกระโดดขึ้นหลังรถไถเพื่อทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จเสียที

                   

                    คณะผู้จัดงานโครงการค่ายพัฒนาอาชีพสำหรับเยาวชนนัดประชุมกันเพื่อสรุปงานก่อนจะเริ่มกิจกรรมในช่วงบ่ายของวันนี้ ปราณปรียา สายสมร หมวดศรุต พิมพ์ชนกและปลัดเอกภพรวมตัวกันอยู่ใต้ร่มจามจุรีต้นใหญ่หน้าโรงนอน ซึ่งโรงนอนนั้นเป็นอาคารชั้นเดียวมีสองหลังแยกเป็นโรงนอนชายและโรงนอนหญิง ถัดมาคือโรงอาหาร ส่วนอาคารหลังตรงกลางเป็นหอประชุมใหญ่สำหรับจัดกิจกรรมร่วมกัน และตรงกลางคือสนามหญ้ามีเสาธงอันใหญ่ตั้งอยู่ทางฝั่งโรงนอนทั้งสองหันหน้าเข้าหาห้องประชุม

                    สักพักมีชายหนุ่มหน้าตาคมคายคนหนึ่งตามมาสมทบ โดยทั้งหมดนั่งล้อมวงกันบนโต๊ะม้าหินอ่อน ปลัดเอกภพนั่งหัวโต๊ะฝั่งซ้ายมือคือสายสมร ถัดมาเป็นปราณปรียา หมอพิมพ์ชนก หมวดศรุต และอรุณสวัสดิ์วิทยากรประจำศูนย์สาธิตการเกษตรแห่งนี้

                    “ผมว่าเราควรจะเพิ่มนันทนาการเข้าไปอีกหน่อย ถ้าจะให้ดีจัดเนื้อหาแทรกเข้าไปในกิจกรรมพวกนี้ด้วยจะยิ่งดีใหญ่ เพราะกลุ่มเป้าหมายเป็นเยาวชนทั้งนั้นเรื่องระเบียบวินัยคงต้องหย่อนกันหน่อย พวกคุณว่ายังไงครับ” ปลัดเอกภพเสนอขึ้นเป็นคนแรก ไม่น่าเชื่อว่าปลัดขี้หลีอย่างเขาเมื่อถึงเวลาทำงานก็มีหลักการน่าเชื่อถือได้

                    “ต่ายเห็นด้วยกับปลัดค่ะ ถ้าเราจะเอาสาระเยอะเกินไปพวกเด็กๆ อาจจะเบื่อและไม่อยากให้ความร่วมมือเท่าที่ควร” ปราณปรียาเห็นคล้อยตามปลัดเอกภพ แต่ไม่ใช่เพราะความรู้สึกส่วนตัวเธอเพียงคิดเห็นตามหลักการทางทฤษฎีที่ร่ำเรียนมาก็เท่านั้น แต่ปลัดขี้หลีก็เผลอยิ้มปลื้มปริ่มเข้าข้างตัวเองไปซะแล้ว

                    “ถ้าอย่างนั้นกิจกรรมนันทนาการผมขอเป็นตัวหลักแล้วกันนะครับ ส่วนสาระพวกคุณก็จัดการกันได้เลย ทีมงานผมถนัดดีดสีตีเป่ามากกว่า” หมวดศรุตแสดงความคิดเห็นบ้าง

                    “พี่หมอนขอแจมนันทนาการด้วยคนนะคะ ถ้าจะให้สาระกลัวเด็กไม่เชื่อค่ะ”

                    “ยินดีครับพี่หมอน ผมขาดคนยกกลองพอดีเลย” หมวดศรุตแกล้งเย้าสายสมรเล่น ส่งผลให้คนอื่นๆ หัวเราะไปกับท่าทางค้อนปะหลับปะเหลือกของสาวใหญ่ร่างอวบอ้วน

                    “เอาเถอะ ถ้าพี่หมอนสวยเหมือนหมอพิมพ์เมื่อไหร่ก็อย่ามาง้อแล้วกัน”

                    “ฮื่อ พิมพ์ไม่เกี่ยวนะคะ” พิมพ์ชนกถึงกับสะดุ้งเมื่อต้องเข้าไปอยู่ในหัวข้อสนทนาโดยไม่ทันตั้งตัว

                    “สวยแบบดุๆ อย่างนี้ผมก็มิกล้าหรอกครับ” คราวนี้หมวดศรุตหันมาแขวะคนข้างๆ บ้าง จึงได้รับสายตาเอาเรื่องกลับไป

                    “คุณอรุณมีอะไรจะเพิ่มเติมไหมครับ” ปลัดเอกภพหันไปถามความเห็นของเจ้าของพื้นที่บ้าง อรุณสวัสดิ์ยิ้มกว้างก่อนจะพูดขึ้นเป็นครั้งแรก

                    “ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ ส่วนของผมจะเน้นปฏิบัติอยู่แล้วพวกคุณจัดตารางกันตามสบาย ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงก็แค่แจ้งผมล่วงหน้าก่อนสักวันเท่านั้น”

                    “พี่หมอนอยากเรียนปฏิบัติกับคุณอรุณสองต่อสองจังเลยค่ะ จัดตารางเป็นเย็นนี้เลยได้ไหมคะ” สายสมรทำหน้าเคลิบเคลิ้ม จนอรุณและคนอื่นๆ หัวเราะออกมาพร้อมกัน ทั้งหมดปรึกษาหารือกันอีกสักพักจึงแยกย้ายกันเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับพิธีเปิดงานโครงการ ซึ่งมีผู้หลักผู้ใหญ่อย่างนายอำเภอเป็นประธานในพิธี โดยที่ทุกคนหารู้ไม่ว่าการกระทำนั้นของพวกเขาตกอยู่ในสายตาของผู้กองภวินท์ที่ใช้กล้องส่องทางไกลสอดแนมมาจากระเบียงกระท่อมบนเนินซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณห้าร้อยเมตร

     

                    หลังจากที่เสร็จสิ้นพิธีเปิด กลุ่มผู้เข้าอบรมประมาณ 50 คนซึ่งเป็นเยาวชนได้แยกย้ายกันเข้าที่พักและพักผ่อนตามอัธยาศัยโดยนัดหมายกันอีกครั้งเวลาหกโมงเย็นเพื่อรับประทานอาหาร และทำกิจกรรมร่วมกันตามกำหนดการจนถึงเวลาประมาณสามทุ่มของทุกวัน ปราณปรียาซึ่งได้โอกาสจึงยืมจักรยานของทางศูนย์ออกสำรวจพื้นที่ในไร่ภูธรตามที่ตั้งใจไว้ เพราะเห็นบรรยากาศภายในไร่แล้วแทบไม่น่าเชื่อว่าที่นี่อยู่ในภาคอีสาน เธอนึกเอาเองว่าคงมีแต่ทางภาคเหนือมากกว่า ส่วนสายสมรพออาบน้ำเสร็จก็นอนหลับปุ๋ยเนื่องจากที่พักของเจ้าหน้าที่เป็นห้องพักแยกจากโรงนอนและมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกทุกอย่างราวกับห้องพักในรีสอร์ทเลยทีเดียว

                    ปราณปรียาเลือกแวะเข้าไปในโรงเรือนที่ติดป้ายว่า “ผักสวนครัว” เมื่อจอดจักรยานเรียบร้อยจึงสังเกตเห็นว่ามีคนอยู่ในโรงเรือนนี้ด้วย น่าจะเป็นคนงานในไร่นี้กระมัง หญิงสาวเดินสำรวจดูพืชผักที่ถูกเพาะอยู่ในถาดหลุมพลาสติก บางถาดก็ดูไม่ออกว่าคือต้นอะไรเพราะยังเล็กอยู่ ส่วนพวกที่โตแล้วถูกแยกออกมาไว้ในกระถาง ด้วยความสงสัยว่ามีต้นอะไรบ้างเพราะไม่มีการติดชื่อไว้จึงตัดสินใจเดินไปถามคนงานในไร่ที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ที่แถวถัดกันไป

                    “พี่คะ ต้นนี้เขาเรียกว่าต้นอะไรคะพี่” หญิงสาวคิดเอาเองว่าคนงานน่าจะแก่กว่า แต่ถ้าไม่ก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติอีกฝ่าย ถามเสร็จก็หันกลับไปให้ความสนใจกับพรรณไม้ตรงหน้า

                    “นั่นเป็นต้นอ่อนของแมงลักครับ เพาะจากเมล็ด”

                    ปราณปรียา เป็นอันต้องชะงักเมื่อน้ำเสียงที่ตอบกลับมาดูคุ้นหูเหลือเกิน หรือว่าเธอจะเป็นเอามากจนหูฝาด แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองต้นเสียงจึงได้รู้ว่านี่คือความจริง หญิงสาวถึงกับทำหน้าเหวอ เมื่อผู้กองหนุ่มที่เธอเคยรู้จักจะกลายร่างมาเป็นเกษตรกรเต็มตัวอย่างนี้ ดูจากผ้าขาวม้าคาดเอวนั่นปะไร

                    “ทำหน้ายังกะเห็นผี” ผู้กองภวินท์ว่า เมื่อหญิงสาวทำหน้าราวกับเห็นมนุษย์ต่างดาว

                    “คุณ..มาทำอะไรที่นี่เหรอคะ” ปราณปรียาถามขึ้นเมื่อตั้งสติได้ เพราะเธอไม่เห็นว่ามีรายชื่อของผู้กองภวินท์ร่วมเป็นคณะทำงานในครั้งนี้ด้วย

                    “ผมก็กลับมาบ้านผมสิคุณ อุตส่าห์ได้ลาพักผ่อนทั้งที” ชายหนุ่มบอก แต่ท้ายประโยคน้ำเสียงแกมประชดนิดหน่อย

                    “อย่าบอกนะว่านี่เป็นไร่ของคุณ” หญิงสาวเริ่มนึกออกว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อชายหนุ่มพยักหน้าหงึกหงักก็ทำให้ปะติดปะต่อเรื่องได้ง่ายขึ้น มิน่าหละเธอถึงได้รู้สึกคุ้นๆ กับนามสกุลของเจ้าของไร่ตอนที่อ่านประวัติของที่นี่ ชายหนุ่มคงจะเป็นลูกหลานกับเจ้าของไร่เป็นแน่ แต่เขาจะเป็นอะไรกันก็ไม่เกี่ยวกับเธอสักหน่อยนี่นา

                    “แล้วคุณกำลังทำอะไรอยู่เหรอคะ” ปราณปรียาลืมเรื่องเคืองใจไปเสียสนิท ทั้งที่ก่อนหน้านี้แอบน้อยใจเขาอยู่

                    “อ๋อ ผมกำลังเลือกดูผักสวนครัวที่จะปลูกพอดี แมงลักก็ไม่เลวนะไว้ใส่แกงอ่อมอร่อยอย่าบอกใคร” ว่าแล้วก็นั่งลงเลือกต้นอ่อนแมงลักในถาดเพาะพลาสติก จากนั้นจึงใช้ช้อนพรวนขนาดเล็กจิ้มต้นอ่อนแมงลักออกมาโดยยังมีดินเกาะอยู่ที่รากและห่อด้วยใบตองกล้วยอีกที ปราณปรียายืนมองการ

    กระทำของชายหนุ่มด้วยความสนใจ

                    “โหระพาด้วยค่ะ ไว้ใส่แกงเผ็ดก็อร่อยเหมือนกัน แต่เอ แล้วไหนหละค่ะต้นอ่อนโหระพา” หญิงสาวสอดส่ายสายตาหาเจ้าโหระพาที่ว่า ภวินท์จึงลุกเดินไปหยิบจากอีกแถวยื่นให้ดู

                    “ทำไมถึงเอาไว้คนละที่กับแมงลักหละคะ น่าจะวางรวมกันจะได้หาง่ายๆ” ปราณปรียาเข้าใจว่าเป็นพืชตระกูลเดียวกัน และเป็นผักที่ใช้ประโยชน์คล้ายกันควรจะจัดให้อยู่แถวเดียวกันเพื่อง่ายต่อการศึกษาดูงาน

                    “ที่ไม่วางใกล้กันก็เพราะว่าพอเค้าโตแล้วจะได้ลูกครึ่งแบบนี้ไง” ภวินท์อธิบายพร้อมกับหยิบกระถางใบหนึ่งขึ้นมาประกอบ ปราณปรียาพินิจดูต้นแมงลักที่ใบมีรูปร่างใหญ่กว่าปกติ พอก้มลงไปดมกลิ่นกลับได้กลิ่นเหมือนแมงลักปนกับกลิ่นโหระพาซะอย่างนั้น

                    “แปลกจัง ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะ แล้วทำไมถึงเป็นอย่างนั้นหละคะ” ปราณปรียาซักต่ออย่างสนใจ

                    “ผมเองก็ไม่รู้ในหลักการเหมือนกัน แต่เคยลองปลูกด้วยกันแล้วก็ได้ต้นอย่างนี้มาจริงๆ คงต้องถามนายอรุณเขาถึงจะอธิบายได้” เขาพูดยิ้มๆ แม้ว่าชายหนุ่มจะดูคล้ำลงจากเดิมแต่สีหน้าของเขาเวลานี้ดูสดใสและมีความสุขเวลาพูดคุยเรื่องต้นไม้ใบหญ้า

                    “แล้วจะเอาไปปลูกตรงไหนคะ” ปราณปรียาซักต่ออย่างสนใจ เธอเองก็ชักอยากจะลงไม้ลงมือขึ้นมาและพาลนึกไปถึงป่ารกๆ หลังห้องเช่าถ้าได้ผักสวนครัวไปปลูกก็คงดีไม่น้อย

                    “บนเนินหลังบ้านผมเอง คุณสนใจจะดูงานไหม” เขาเห็นท่าทางสนอกสนใจของปราณปรียาจึงลองชวนดู เขาเองก็ลืมเรื่องที่รบกวนจิตใจออกไปจนหมดสิ้นเมื่อเห็นความน่ารักสดใสของคนตรงหน้า

                    “ไปได้เหรอคะ”

                    “เจ้าของบ้านชวนเองทำไมจะไปไม่ได้หละ”

    “แต่ว่า...เอ่อ” ปราณปรียาเกิดติดอ่างขึ้นมาเมื่อคิดว่าไม่ควรเอาตัวไปใกล้ชิดกับเขาอีก แค่ที่ผ่านมาชายหนุ่มก็ทำเอาเธอสับสนหัวใจไม่น้อย

    “ถ้าคุณไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรครับ” ผู้กองหนุ่มพูดเสียงเรียบเจือประชดเพียงแต่สีหน้าของเขาหาได้บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น

    นั่นปะไรเขาก็แค่ชวนตามมารยาท ปราณปรียาคิดทึกทักเอาเองแม้หัวใจจะเรียกร้องหาในสิ่งที่เธอเองก็ไม่เข้าใจ แต่สมองก็คอยสั่งว่าคงจะดูเป็นการไม่เหมาะสมหากเธอจะทำตัวสนิทสนมกับชายหนุ่มเกินไป ก็เห็นกันอยู่ว่าเขามีหมอพิมพ์ชนกคอยดูแลเอาใจใส่ จะให้เธอทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็คงจะไม่ได้ในเมื่อเธอเองก็ชักไม่แน่ใจความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้เช่นกัน

                    ปราณปรียาขยับถอยหลังเมื่อความรู้สึกคับข้องใจเข้าเกาะกิน แต่แล้วก็ต้องกรีดร้องสุดเสียงเมื่อเธอก้าวพลาดเหยียบเอาตะไคร่น้ำทำให้ลื่นและผงะหงายหลัง โชคดีที่ภวินท์มือไวคว้าข้อมือไว้ได้ทัน แต่ด้วยความตกใจทำให้ชายหนุ่มออกแรงมากเกินไปจังหวะที่ดึงปราณปรียาเข้ามาในวงแขนแรงปะทะอย่างรวดเร็วประกอบกับพื้นที่ลื่นทำให้ทั้งสองล้มกองลงไปกับพื้น ในลักษณะที่ปราณปรียาทับอยู่บนตัวของผู้กองหนุ่มเต็มตัว

                    เกิดความเงียบขึ้นระหว่างหนุ่มสาวทั้งสอง เมื่อสองสายตาสบเข้าหากันความรู้สึกที่ต่างฝ่ายต่างเก็บงำไว้ข้างในจึงถูกถ่ายทอดผ่านแววตาจนหมดสิ้น ปราณปรียารู้สึกถึงจังหวะหัวใจของตัวเองที่กระหน่ำรัวราวกับตีกลอง แม้สมองสั่งการให้ถอยห่างแต่กลับไม่อาจละสายตาจากดวงตาคู่คมที่จ้องอยู่นั้นได้

    ผู้กองภวินท์เองก็ไม่ต่างกันความใกล้ชิดทำให้เขารู้ใจตัวเองมากขึ้น และอาการกระสับกระส่ายกระวนกระวายใจที่เป็นมาหลายวันดูเหมือนจะอันตรธานหายไปในชั่วพริบตาเมื่อเขาคิดว่าค้นพบสาเหตุของมันเข้าแล้ว

    สติสัมปชัญญะของปราณปรียาเริ่มกลับมาเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเจ้าของสายตาระยิบระยับตรงหน้า หญิงสาวขยับตัวให้หลุดจากการเกาะกุมของผู้กองหนุ่มซึ่งเขาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ก่อนจะลุกขึ้นยืนตั้งหลักและไม่กล้าแม้แต่จะหันมามองหน้าเขา

    “คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ภวินท์เอ่ยถาม เมื่อเขาเองก็ลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้ว

    “ปะ เปล่าค่ะ ฉัน ไม่เป็นไร” ปราณปรียาเอียงหน้าตอบเพื่อซ่อนความหวั่นไหวให้พ้นจากสายตาคมที่จ้องมองมา และหันไปใช้มือปัดโคลนที่เปื้อนตรงหัวเข่าออกแต่แล้วก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ

    “คงกระแทกกับพื้นตอนที่ล้มเมื่อกี้นี้ ไหนขอผมดูหน่อย” เขาบอก ก่อนจะนั่งยองๆ พร้อมกับก้มหน้าเข้ามาใกล้ๆ กับหัวเข่าของปราณปรียา ซึ่งเธอใส่กางเกงสีครีมขาสั้นเสมอเข่าพอดี หญิงสาวเบี่ยงขาหลบด้วยความตกใจจึงถูกผู้กองหนุ่มดุเข้าให้

    “อยู่นิ่งๆ ก่อน” เขาเอ็ด พร้อมกับจับขาข้างที่บาดเจ็บของเธอไว้แล้วใช้มืออีกข้างเช็ดคราบโคลนออกด้วยผ้าขาวม้าของเขาจนสามารถมองเห็นรอยแผลได้ชัดขึ้น ปราณปรียาแทบจะไม่หายใจขณะที่มองดูการกระทำของอีกฝ่าย

    “เข่าคุณแตกแต่แผลไม่ลึกมาก ล้างแผลให้สะอาดแล้วก็ใส่ยาก็พอ” ผู้กองหนุ่มทำตัวเป็นคุณหมอวินิจฉัยอาการเสร็จสรรพ จากนั้นจึงลุกยืนแล้วจูงมือปราณปรียาให้เดินตาม

    “จะทำอะไรคะ” หญิงสาวตกใจรีบชักมือกลับแต่ผู้กองหนุ่มยังมือเหนียวไม่ยอมปล่อย

    “ไปล้างแผลสิคุณ ตรงนู้นมีอ่างล้างมือกับสบู่พอแก้ขัดไปก่อน” เขาบอกพร้อมกระตุกแขนให้เธอเดินตาม

    “แต่..ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากมายนี่คะ เดี๋ยวกลับไปล้างแผลที่ห้องก็ได้ค่ะ”

    “ไม่ได้ เกิดเป็นบาดทะยักขึ้นมาจะทำยังไง อยากขาด้วนหรือไง” เขาทำเสียงดุพร้อมกับทำหน้าเหนื่อยหน่ายในความประมาทของเธอ

    “ฉันน่าจะเคยฉีดวัคซีนบาดทะยักมาแล้วนะคะถ้าจำไม่ผิด” ปราณปรียายังคงดื้อแพ่งต่อไป คราวนี้ผู้กองภวินท์เหลืออดจนไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วยแล้ว เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ปราณปรียาคาดไม่ถึง

    “ว้าย ! คุณปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ” หญิงสาวอุทานด้วยความตกใจเมื่ออยู่ๆ ภวินท์ก็ช้อนตัวเธอขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน อารามตกใจสองมือของเธอจึงโอบรอบคอเขาโดนอัตโนมัติ

    “คุณนี่บทจะดื้อก็เหลือเกินจริงๆ แล้วอย่าดิ้นหละไม่อย่างนั้นผมอาจจะทำคุณร่วงลงไปได้แผลเพิ่มอีก” เขาก้มหน้าลงมาขู่ข้างๆ แก้มนวลที่กำลังเป็นสีระเรื่อ ดูเหมือนคำขู่จะได้ผลเพราะปราณปรียาทำตัวเกร็งไม่กล้ากระดุกกระดิกเลยเมื่อขายาวๆ ของเขาออกก้าวเดินไปยังจุดหมาย

    เขาค่อยๆ วางเธอลงอย่างนิ่มนวลบนเก้าอี้ไม้สี่เหลี่ยมตัวเล็กต่างกับคำขู่เมื่อครู่ลิบลับ จากนั้นก็จัดการล้างแผลให้ด้วยสบู่เหลวอย่างเบามือ แต่ถึงอย่างนั้นปราณปรียาก็รู้สึกถึงความแสบเมื่อสบู่โดนเข้ากับรอยแผล เมื่อเช็ดแผลเสร็จแล้วชายหนุ่มหันมาพิจารณาเข่าอีกข้างของเธอว่าได้รับความเสียหายหรือไม่แต่ก็ไม่พบความผิดปกติจึงจัดการเก็บอุปกรณ์กลับเข้าที่

    ปราณปรียารู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มันต่างจากความรู้สึกที่เธอเคยได้รับจากคนในครอบครัวหรือแม้กระทั่งเพื่อนฝูงที่รักใคร่กัน ช่างเป็นความรู้สึกที่อิ่มเอมในหัวใจยิ่งนัก หญิงสาวพลอยยิ้มกับความคิดของตัวเองจนไม่รู้สึกตัวว่าตอนนี้ผู้กองภวินท์กำลังมองใบหน้าที่เปื้อนยิ้มนี้อยู่เช่นกัน

                    “พรุ่งนี้คุณอาจจะปวดแผลนิดหน่อย ถ้ายังไงก็กินยาแก้อักเสบกันไว้ก่อนก็ดี” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ แต่คนฟังกลับรู้สึกถึงความห่วงใยในน้ำเสียงนั้น คิดเข้าข้างตัวเองอีกแล้วนะยัยกระต่าย เสียงอีกฝั่งตะโกนเตือนตัวเอง

                    “ค่ะ” เธอรับคำเสียงแผ่วเมื่อจิตใต้สำนึกอีกฝั่งคัดค้านความรู้สึกอยู่ ส่วนภวินท์เข้าใจไปว่าเธอคงจะเจ็บแผลจึงดูหงอยลงไป เพราะเขาสังเกตจากลักษณะผิวพรรณอันบอบบางของปราณปรียาแล้วแผลนี้คงจะทำเธอเจ็บไปหลายวันทีเดียว

                    “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมปั่นจักรยานไปส่งคุณแล้วกัน”

                    “อ้าว แล้วคุณมายังไงเหรอคะ”

                    “ผมเดินมาจากบนเนินนู่น” เขาพยักหน้าไปทางเนินเขา ก่อนจะเดินกลับไปจูงจักรยานที่ปราณปรียาจอดไว้เพื่อมารับเธอถึงที่ และก็ไม่ลืมเก็บต้นอ่อนผักที่เลือกไว้กลับไปด้วย

                    ผู้กองภวินท์ปั่นจักรยานมาส่งปราณปรียาถึงที่เมื่อลงจากรถแล้วเขาทำท่าจะช่วยพยุงเธอ แต่หญิงสาวรีบปฏิเสธเพราะแค่ซ้อนท้ายจักรยานเขาก็ดูเหมือนว่าเธอตกเป็นเป้าสายตาของใครหลายคน ทั้งคนงานในไร่และนักศึกษาที่เดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้น รวมไปถึงแพทย์หญิงพิมพ์ชนกอีกคนด้วย

                    “ขอบคุณค่ะที่มาส่ง เดี๋ยวฉันขอไปเตรียมตัวสำหรับงานตอนเย็นก่อนแล้วกันนะคะ” ปราณปรียารีบขอตัวเมื่อเห็นว่าใครกำลังเดินตรงเข้ามา

                    “คุณแน่ใจนะว่าเดินไหว” เขาถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เพราะสังเกตเห็นว่าหัวเข่าของปราณปรียาเริ่มขึ้นรอยช้ำแล้ว

                    “ไหวสิคะแค่นี้เอง เอิ่ม...ฉันไปก่อนนะคะ” ปราณปรียารีบตัดบทเมื่อเจ้าของรอยยิ้มหวานเย็นเดินใกล้เข้ามา ว่าแล้วก็หันหลังเดินกะเผลกจากไปทันที เธอยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับผู้หญิงสวยดุในตอนนี้ ภวินท์อ้าปากจะถามอีกแต่ก็ต้องชะงักเมื่อมีเสียงหนึ่งทักขึ้นมาก่อน

                    “ผู้กอง พิมพ์กำลังจะไปหาคุณพอดีเลยค่ะ”

                    “สวัสดีครับคุณพิมพ์ มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มยังคงรักษามิตรภาพที่ดีเช่นเคย

                    “แหมพิมพ์ไม่กล้าให้ผู้กองช่วยหรอกค่ะ ได้ยินว่าคุณกลับมาอยู่บ้านก็แค่จะแวะไปทักทายเท่านั้น” คุณหมอสาวหาข้ออ้างที่ดูดีขึ้นมาหน่อย แม้ว่าการที่เขากลับมาอยู่บ้านจะไม่ได้แจ้งให้เธอทราบก็ตาม

                    “เอ เมื่อกี้ใช่น้องกระต่ายหรือเปล่าคะ” พิมพ์ชนกแกล้งโยนหินถามทางทั้งที่เห็นอยู่แล้วว่าสองคนนี้มาด้วยกัน

                    “ครับ พอดีคุณกระต่ายเธอหกล้มผมเลยอาสาปั่นจักรยานมาส่ง” ชายหนุ่มตอบเพียงสั้นๆ ขณะที่พิมพ์ชนกกำลังจะซักต่อระฆังช่วยชีวิตก็ดังขึ้น

                    “อ้าวพี่วิน มีเรื่องจะปรึกษาพอดีเลย ขอยืมตัวก่อนนะครับคุณหมอ” หมวดศรุตตรงเข้ามาคว้าแขนของผู้กองหนุ่มแล้วพาเดินไปอีกทาง ปล่อยให้พิมพ์ชนกยืนแกร่วอยู่คนเดียวโดยที่ยังไม่ได้โต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น

                    “อะไรของนาย” ผู้กองภวินท์ถามด้วยความสงสัย

                    “เปล่า” หมวดรุ่นน้องตอบหน้าตาเฉยพร้อมกับหยุดเดินเมื่อเห็นว่าออกมาไกลพอสมควร

    “ไม่ดีหรือไงผมอุตส่าห์หาทางออกให้พี่นะนี่”

    “นายนี่มันจุ้นทุกเรื่องจริงๆ ยกเว้นเรื่องตัวเอง” ภวินท์ส่ายหน้าพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก

    “เรื่องตัวเอง เรื่องอะไร ไม่มี๊ !” หมวดศรุตเลิกคิ้วทำเสียงสูงอย่างมีพิรุธ

    “ฉันรู้จักนาย พอๆ กับที่นายรู้จักฉันนั่นแหละศรุต” ผู้กองหนุ่มว่าก่อนจะเดินหนีไป แต่ยังไม่วายหันมาสั่งการอีกเรื่อง

    “เออลืมไป นายช่วยหายาแก้ปวด แก้อักเสบให้คุณกระต่ายเธอหน่อยนะ กลัวแผลจะอักเสบไปใหญ่”หมวดศรุตได้แต่ยิ้มล้อเลียนกลับไป ก่อนจะทำหน้าขบคิดกับคำพูดก่อนหน้านี้ของภวินท์อยู่อย่างนั้น

    *********************************************

    วันหยุดยาวลงทีเดียวสองตอนไปเลยค่า ขอให้แฟนคลับและรีดเดอร์ทุกท่านอ่านอย่างมีความสุขนะค้า 

    กระต่ายน้อยของเราเข้าถ้ำเสือซะแล้ว จะรอดกลับไปหรือเปล่า เอาใจช่วยกันด้วยน้า

    อิตาผู้กองจะทำยังไงกับน้องกระต่ายอีกบ้างน้อ อิ อิ 

    เขียนเองฟินเองไรท์ท่าจะบ้า 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×