ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวใจรักภูธร

    ลำดับตอนที่ #25 : เคลียร์ปัญหาหัวใจ

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ค. 59


                    

                    


    ขออภัยที่มาช้านะคร้า รอกันอยู่รึเปล่าเอ่ย

    ********************************************************

                   ค่ายเยาวชนที่นำทีมโดยฝ่ายปกครองอย่างปลัดเอกภพดำเนินมาถึงครึ่งทางแล้วซึ่งกิจกรรมในช่วงนี้จะเป็นภาคปฏิบัติและมีการแบ่งกลุ่ม ดังนั้นเด็กๆ จะได้ลงมือทำการเกษตรในพื้นที่จริงเพื่อฝึกความอดทนและเรียนรู้วิถีชีวิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ในเช้านี้ทั้งวิทยากรและผู้เข้าอบรมจึงรวมตัวกันอยู่ที่แปลงนาสาธิตเพื่อรับฟังการถ่ายทอดความรู้จากอรุณสวัสดิ์วิทยากรหนุ่มรูปหล่อ พอแนะนำตัวเท่านั้นก็เรียกเสียงกรี๊ดจากเด็กสาวๆ ดังระงม เพราะหลายคนรอเวลาที่จะได้เรียนวิชานี้มานานแล้ว

                    “น้องๆ รู้กันหรือไม่ว่าข้าวที่เรากินกันอยู่ทุกวันมีวิธีการปลูกและเก็บเกี่ยวอย่างไร ชาวนาต้องใช้เวลาและความอดทนเท่าไหร่กว่าจะได้ข้าวมาแต่ละเม็ด วันนี้เราจะมาเรียนรู้ด้วยสองมือของเราเอง ผมหวังว่าทุกคนจะได้เรียนรู้จากบทเรียนในวันนี้ไม่มากก็น้อย” หนุ่มหล่อผู้มองเผินๆ แล้วมีส่วนคล้ายกับผู้กองภวินท์อยู่บ้าง หากจะแตกต่างในเรื่องของบุคลิกลักษณะภายนอก การแสดงออกที่อรุณสวัสดิ์ดูนุ่มนวลกว่าอีกฝ่ายหนึ่งนั่นเอง

                    ผู้เข้าอบรมรวมทั้งทีมงานได้เรียนรู้วิธีการปักดำพร้อมๆ กับลงมือปฏิบัติจริงในแปลงนาที่คนงานในไร่ไถคราดเตรียมความพร้อมไว้แล้ว ขณะที่วิทยากรอย่างอรุณสวัสดิ์ลงมือสาธิตด้วยตนเองและอธิบายขั้นตอนประกอบโดยละเอียด ปราณปรียาและสายสมรก็ร่วมวงไปกับเด็กๆ อย่างสนุกสนาน ส่วนปลัดเอกภพที่แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้าและกางเกงแสล็คได้แต่ยืนมองอยู่บนคันนาด้วยกลัวว่าชุดทำงานจะเลอะโคลน

                    “ปลัดคะ ลงมาดำนาด้วยกันสิคะสนุกจะตาย” สายสมรโบกมือที่เปื้อนโคลนหยอยๆ เรียกปลัดหนุ่มให้มาร่วมวงด้วย เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายแต่งกายมาไม่เหมาะกับสถานที่เอาเสียเลย

                    “ไม่เอาหรอกครับเดี๋ยวเลอะหมด เชิญพี่หมอนตามสบายเถอะ” เอกภพโบกมือปฏิเสธก่อนจะล้วงกลับเข้าในกระเป๋ากางเกงเช่นเดิม

                    “พี่หมอนนี่ ก็รู้อยู่ว่าปลัดแกไม่ใช่ขาลุย ยังจะไปชวนแกอีก” ปราณปรียากระซิบกับสาวร่างอวบ

                    “ก็เพราะรู้หนะสิจ๊ะพี่เลยอยากแกล้ง” สายสมรหัวเราะคิกกับความคิดของตน ส่วนปราณปรียาได้แต่อมยิ้มพร้อมกับส่ายหัว ก่อนจะจุ่มมือลงไปปักกล้าต้นแรก แต่พอปล่อยมือต้นกล้ากลับลอยขึ้นมาบนน้ำเฉยเลยเธอได้แต่แปลกใจ

                    “พี่หมอนคะทำไมเป็นอย่างนี้หละคะ” หญิงสาวขมวดคิ้ว สายสมรถึงกับหัวเราะเมื่อหันมาเจอต้นกล้าของสาวรุ่นน้อง ตอนที่เธอหัดดำนาใหม่ๆ ก็มีสภาพไม่ต่างจากนี้เท่าไหร่

                    “เวลาน้องต่ายปักกล้าลงไปต้องใช้นิ้วโป้งกดรากเขาให้จมดินด้วยค่ะ แต่อย่ากดแรงนะคะไม่อย่างนั้นเขาจะช้ำได้” สาวอวบอธิบายจากประสบการณ์ตรงของตนเอง

                    ปราณปรียาจึงลองทำใหม่แต่คราวนี้คงออกแรงเยอะไปจนต้นกล้าคอหัก หญิงสาวลองทำใหม่อีกสองสามครั้งจึงเริ่มทำได้คล่องขึ้นและเริ่มสนุกสนานเมื่อเด็กๆ เริ่มจะเล่นโคลนกัน เด็กผู้ชายแกล้งกำโคลนโยนใส่ฝ่ายหญิงจึงมีการตอบโต้กันไปมาและเริ่มตีวงกว้างมาทางสองสาวต่างไซส์

    จนในที่สุดสองสาวก็ร่วมวงปาโคลนกับเขาไปด้วยเมื่อปราณปรียาโดนลูกหลงเข้าเต็มกลางหลัง แต่แทนที่จะโกรธเธอกลับก้มลงไปกำโคลนขึ้นมาปาไปตามทิศทางเดิมของมัน สายสมรนึกสนุกจึงเล่นบ้าง ปากันไปปากันมาแม้แต่ปลัดเอกภพที่ยืนอยู่บนฝั่งก็โดนลูกหลงเข้าไปเต็มหน้าเรียกเสียงโห่ร้องและเสียงหัวเราะจากทุกคน เขาเลยต้องรีบจ้ำอ้าวกลับไปชำระล้างร่างกายที่ห้องพักของตนเอง

    ผู้กองภวินท์ซึ่งยืนมองเหตุการณ์อยู่ใต้ต้นหูกวางใกล้ๆ กันกับแปลงนาสาธิตระบายยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นแม่กระต่ายน้อยเปื้อนเปรอะเลอะโคลนไปหมดโดยไม่ห่วงสวยสักนิด ช่างเป็นหญิงสาวผู้ไม่เคยทุกข์ร้อนใดๆ เลย

    “ทำอะไรอยู่เหรอคะ” เสียงทักจากข้างหลังเรียกให้ผู้กองหนุ่มหลุดจากห้วงความนึกคิด และหันกลับไปมองต้นเสียง

    “คุณพิมพ์” ผู้กองหนุ่มเรียกชื่อผู้มาใหม่ที่มีรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า แต่เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าในใจเธอคิดอย่างไร พิมพ์ชนกก้าวมายืนข้างๆ เขาและมองไปตามทิศทางที่ชายหนุ่มเพิ่งละสายตาจากมา

    “น้องกระต่ายเธอน่ารักสดใสนะคะ” หมอสาวเปิดประเด็นที่ทำให้เธอสะเทือนใจเมื่อกล่าวออกมา

    “ครับ” ผู้กองภวินท์ตอบรับสั้นๆ แต่พิมพ์ชนกกลับรู้สึกว่ามันช่างหนักแน่นเหลือเกิน และหัวใจเธอก็ปวดแปลบราวกับโดยฟ้าผ่า แต่อย่างไรก็ตามเธอตัดสินใจแล้วว่าจะต้องบอกความรู้สึกที่มีให้ภวินท์ได้รับรู้ มิเช่นนั้นแล้วบาดแผลในหัวใจของเธอรังแต่จะกลัดหนองสร้างความทรมานไม่รู้จบ แม้ว่าผลของมันจะทำให้เวลาสองปีที่ผ่านมาของเธอเปล่าประโยชน์ก็ตาม

    “ผู้กองทราบไหมคะว่าทำไมพิมพ์ถึงเลือกมาทำงานที่นี่” พิมพ์ชนกเปิดประเด็นอย่างยากลำบาก ให้ผ่าตัดสองสามชั่วโมงเธอว่าง่ายกว่านี้ ผู้กองภวินท์ละสายตาจากแปลงนาหันกลับมามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างใช้ความคิด

    “ทำไมหรือครับ” เขาถามอย่างสนใจ เมื่อรู้สึกว่าพิมพ์ชนกต้องการสื่อสารอะไรบางอย่าง หมอสาวถอนหายใจก่อนเริ่มพูดอีกครั้ง

    “เมื่อสองปีที่แล้วพิมพ์..เอ่อ..พิมพ์ตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่งค่ะ” เธอเริ่มอย่างตะกุกตะกักแทบอยากกัดปากตัวเอง ภวินท์ยังเงียบเพื่อรอให้เธอเล่าต่อ

    “ตกหลุมรักทั้งที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เรียกว่าแอบรักคงจะเหมาะกว่า เพียงแค่เห็นสีหน้าและแววตาอมทุกข์คู่นั้นทำให้รู้สึกว่าเขาช่างโดดเดี่ยวแม้กระทั่งเวลาที่เจ็บปางตายก็ไร้ซึ่งเงาของคนในครอบครัว” พิมพ์ชนกหยุดเล่าและถอนหายใจอย่างหนักหน่วงดูเหมือนยิ่งเล่าเธอยิ่งรู้สึกกดดัน

    “แล้วเขาคนนั้นเป็นใครหรือครับ” ภวินท์เอ่ยถามเมื่อเห็นประกายวูบไหวในสายตาคนเล่า

    พิมพ์ชนกยิ้มมุมปากเมื่อหันมาสบตากับผู้ชายตรงหน้าของเธอ ผู้กองหนุ่มถึงกับชะงักเมื่อสบเข้ากับสายตาที่สื่อความหมายชัดเจน

    “เขาเป็นคนไข้รายแรกที่พิมพ์ลงมือผ่าตัดด้วยตัวเองค่ะ” คำตอบของเธอตอกย้ำความเข้าใจของผู้กองหนุ่มให้ชัดเจนขึ้นไปอีก แม้ที่ผ่านมาเขาเองก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ในใบหน้าเรียบเฉยนี้ แต่เพราะเธอเองไม่เคยพูดออกมาและเขาก็ไม่เคยคิดเกินเลยกับพิมพ์ชนกมากไปกว่าเพื่อนที่ดีต่อกัน เขาจึงปล่อยให้มิตรภาพระหว่างเขากับเธอยังดำรงอยู่จนถึงวันนี้

    พิมพ์ชนกสังเกตสีหน้าที่เคร่งขรึมลงของผู้กองหนุ่ม เธอมั่นใจในนาทีนั้นว่าเขาไม่ได้คิดตรงกันกับเธออย่างแน่นอน พลันน้ำตาที่เก็บกดเอาไว้ก็เอ่อล้นออกมาราวกับเขื่อนแตก เธอตัดสินใจถอยห่างจากเขาเพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มต้องรู้สึกลำบากใจไปมากกว่านี้ และอย่างน้อยเธอเองก็ปรารถนาที่จะคงสถานะความเป็นเพื่อนกับเขาต่อไป

    “ผมเสียใจนะครับ และหวังว่าเรายังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเช่นเดิม” ผู้กองหนุ่มเอ่ยออกมาในที่สุด ทั้งที่ยังยืนหันหลังอยู่ที่เดิม พิมพ์ชนกหยุดเพื่อกลืนก้อนสะอื้นให้ไหลกลับลงไปพร้อมกับเช็ดน้ำตาให้เรียบร้อย ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย

    “ขอบคุณนะคะที่ไม่รังเกียจพิมพ์...แล้วก็ปาท่องโก๋หนะไม่ดีต่อสุขภาพเท่าไหร่นะคะ” หญิงสาวฝากความปรารถนาดีเป็นครั้งสุดท้าย

    “ครับ  โชคดีที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ด้วย” คำตอบของภวินท์ทำเอาพิมพ์ชนกหายเศร้าในทันทีเมื่อมีโจทก์ใหม่ให้ต้องเคลียร์ หญิงสาวพึมพำตอบรับอยู่ในลำคอก่อนเดินลิ่วไปจากตรงนั้น

    ภวินท์ถอนหายใจอย่างโล่งอกกับสถานการณ์อึดอัดเมื่อสักครู่ แต่ทุกอย่างก็คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีหลังจากนั้นคงต้องใช้เวลาช่วยเยียวยาให้ดีขึ้น ต่อจากนี้ไปเขาจะได้เดินหน้าตามเสียงเรียกร้องของหัวใจตัวเองอย่างเต็มที่เสียที

     

    พิมพ์ชนกอ่อนแอเกินกว่าที่จะออกไปพบปะผู้คนได้ในเวลานี้ ดีแล้วที่เธอเลือกจะทำภารกิจสำคัญในวันที่ตัวเองว่างจากการเป็นวิทยากรมิเช่นนั้นแล้วประสิทธิภาพของงานคงไม่ดีเท่าที่ควร หญิงสาวนั่งทอดถอนใจอยู่ที่เพิงพักเล็กๆ ริมแปลงนาสาธิตผิดแต่ว่าเวลานี้มีเพียงแสงสว่างจากไส้ตะเกียงที่จุดเรียงรายให้แสงสว่างตามทางเดินและจุดสาธิตย่อยภายในศูนย์แห่งนี้

    หญิงสาวทอดถอนใจครั้งแล้วครั้งเล่าจนไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วตั้งแต่มานั่งที่นี่ แม้เวลานี้แผลกลัดหนองในหัวใจจะถูกบ่งออกไปแล้วแต่ก็สร้างรอยแผลเป็นให้ยังหลงเหลืออยู่ เธอเคยคิดเมื่อครั้งหลงรักแววตาที่หม่นเศร้าของผู้กองภวินท์ว่าเขาช่างดูคล้ายกับเธอเหลือเกิน แต่วันนี้ทุกอย่างไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อผู้กองหนุ่มไม่อาจทนต่อความน่ารักสดใสของสาวน้อยอีกคน คงมีแค่เพียงเธอกระมังที่ไม่สามารถชะล้างคราบไคลแห่งความทุกข์ในวันวานออกไปได้

    “มานั่งทำอะไรคนเดียว” ฟังแค่สำเนียงเธอแทบไม่ต้องหันไปดูด้วยซ้ำว่าเป็นเสียงของใคร อีตาหมวดศรุตนี่ก็ช่างกระไรชอบกวนประสาทเธอได้ทุกที่ทุกเวลา พิมพ์ชนกเบ้ปากเมื่อนึกถึงความจุ้นจ้านของอีกฝ่าย

    “ไม่รู้หรือไงว่าคนงานผู้ชายในไร่นี้หนะกลัดมันทั้งนั้น เอ๊ะหรือว่ารู้เลยตั้งใจมาอ่อย” หมวดศรุตยังพูดจาก่อกวนแกมถากถางคุณหมอสาว โดยไม่รู้เลยว่าคนที่นั่งนิ่งหันหลังอยู่นั้นกำลังจะปรี๊ดแตก

    “คุณนี่อาการหนักเข้าไปทุกวันแล้วนะ ว่างๆ ควรไปพบจิตแพทย์บ้างนะคะหมวด แล้วฉันก็ยังไม่เห็นใครที่จะมีความคิดอกุศลได้อย่างคุณมาก่อน” พิมพ์ชนกลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับเขาพร้อมโต้กลับอย่างเหลืออด

    “ผมท่าจะบ้าอย่างที่คุณว่าจริงๆ” หมวดศรุตพุ่งพรวดเข้ามาประชิดตัวพิมพ์ชนกอย่างรวดเร็วพร้อมกับจับหัวไหล่ทั้งสองข้างของเธอแน่นและสีหน้าเคร่งขรึมที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าเชื่อว่าเป็นเขาตัวจริง

    “คุณทำบ้าอะไร ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ” พิมพ์ชนกตัวสั่นด้วยความตกใจและไม่เข้าใจปฏิกิริยาของหมวดศรุตในตอนนี้เลย

    “ว่ากันว่าคนบ้าทำอะไรไม่ผิดใช่ไหม” หมวดศรุตก้มหน้าลงไปกระซิบที่ข้างแก้มของคุณหมอสาว พิมพ์ชนกขนลุกซู่เมื่อลมหายใจอุ่นๆ ของเขาปะทะเข้ากับใบหน้าของเธอ ถ้าจมูกเธอไม่มีปัญหาเธอคิดว่าได้กลิ่นแอลกอฮอล์มาจากตัวเขา

    “คุณแค่เมายังไม่ถึงกับบ้า เพราะฉะนั้นปล่อยฉันเถอะค่ะ ฉันจะกลับห้องแล้ว” พิมพ์ชนกระงับสติอารมณ์เพื่อเจรจากับเขา เธอควรเอาตัวเองให้รอดพ้นจากสถานการณ์สุ่มเสี่ยงนี้ไปก่อนไว้ค่อยชำระความกันทีหลังเมื่อหมวดศรุตมีสติมากกว่านี้ แต่อีกฝ่ายกลับกระชับเธอเข้าไปในวงแขนซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเจรจาของเธอล้มเหลวโดยสิ้นเชิง หญิงสาวใช้สองมือยันหน้าอกเขาไว้แต่ก็สู้แรงของอีกฝ่ายไม่ไหว

    “อยู่นิ่งๆ ก่อนได้ไหมผมขอเวลาคุณแค่นิดเดียว” เขาบอกพร้อมกับเกยคางบนไหล่ของเธอ พิมพ์ชนกทั้งงงและตกใจกับอาการของหมวดศรุต เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เขายังยืนว่าเธออยู่เลยแล้วเหตุใดตอนนี้มาขอซบไหล่เธอเสียอย่างนี้ แต่เมื่อวิเคราะห์จากท่าทางแล้วดูเหมือนชายหนุ่มจะมีเรื่องรบกวนจิตใจมิใช่น้อย พิมพ์ชนกจึงยอมอยู่นิ่งๆ ให้เขากอดไปก่อน โดยลืมหาเหตุผลว่าเพราะอะไรเธอถึงต้องยอมเขาด้วย

       “ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ จะไม่ถามหน่อยเหรอว่าผมเป็นอะไร” เขายิ้มมุมปากทั้งที่น้ำเสียงดูอ่อนล้าเต็มที พิมพ์ชนกย่นจมูกใส่ยังมีหน้ามาขอบคุณ มัดมือชกเห็นๆ

    “คุณอยากเล่าไหมหละคะ ถ้าอย่างนั้นเราไปนั่งคุยกันดีไหม” พิมพ์ชนกรีบหาทางออกสำหรับสถานการณ์นี้ทันที คำตอบที่ได้คือชายหนุ่มส่ายหน้าทั้งที่คางยังเกยอยู่บนไหล่ของเธอ แล้วจะถามเพื่อ...ทั้งสองยังคงอยู่ในสภาพนั้นเกือบนาทีแต่นานเหลือเกินในความคิดของคุณหมอสาว ในที่สุดหมวดศรุตจึงเงยหน้าขึ้นมาและคลายอ้อมแขนออกแต่ยังคงกอดเธอไว้

    “ปล่อยได้หรือยังคะ ฉันไม่ได้บริจาคอ้อมกอดเพื่อการกุศลนะ” พิมพ์ชนกอดประชดประชันไม่ได้ เมื่อเห็นว่าเขาดูสงบสติอารมณ์ลงบ้าง ตอนนี้เธอเริ่มสับสนว่าตัวเองอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่ เพราะก่อนหน้าที่หมวดศรุตจะเข้ามาเธอยังซึมเศร้าอยู่เลย

    “ขอโทษครับ ผมคงจะเมาอย่างที่คุณว่าจริงๆ” เขาว่ายิ้มๆ พร้อมกับชูมือขึ้นแบหราราวกับว่าโดนของร้อน พิมพ์ชนกหมั่นไส้ท่าทางของหมวดศรุตนัก พอสมความปรารถนาก็ทำท่ารังเกียจเธอซะอย่างนั้น มันน่านัก

    “เห็นฉันเป็นของสาธารณะหรือไง คิดจะกอดก็กอด คิดจะปล่อยก็ปล่อย ห๊า !” หญิงสาวเดินชนกระแทกไหล่เขาอย่างแรงเพื่อระบายอารมณ์โมโห แต่แรงมดหรือจะสู้แรงช้างกลายเป็นเธอซะเองที่กระเด็นกระดอนจนเกือบตกคันนาดีที่หมวดศรุตเกาะเอวไว้ทัน

    “แหม อยากให้กอดนานๆ ก็ไม่บอก ไม่เห็นต้องลงทุนขนาดนี้เลย” เขาทำหน้าตายียวน ลืมเรื่องราวทุกข์ร้อนในใจไปจนหมดสิ้นและกลับมาเป็นหมวดศรุตคนเดิม เขาก้มหน้าลงไปใกล้คนที่อยู่ในอ้อมแขน หญิงสาวจึงรีบใช้สองมือยันหน้าผากของเขาเอาไว้ด้วยกลัวว่าเขาจะทำพิเรนกับเธออีก

    “เหอะ สำคัญตัวเองไปหรือเปล่าคะ ใครอยากให้คุณกอดกันฉันก็แค่ สงสารลูกหมาตาดำดำ” ประโยคสุดท้ายคุณหมอเน้นเสียงหนักเพื่อให้คนฟังรู้สึกเจ็บใจบ้างไม่ใช่เอาแต่แกล้งและเอาเปรียบเธออยู่ฝ่ายเดียว

    “ถ้าอย่างนั้น ผมปล่อยคุณก็ได้” เขาว่าพร้อมกับปล่อยมือจากเธอทั้งที่หญิงสาวยืนเพียงหมิ่นเหม่อยู่บนคันนา

    “ว้าย คนบ้าปล่อยฉันทำไม” พิมพ์ชนกรีบคว้าคอเขาไว้ได้ทันก่อนที่จะหงายหลังตกลงไปในโคลนสีดำนั่น หมวดศรุตหัวเราะหึหึอย่างถูกใจ

    “คุณนี่ยังไง เห็นผมเป็นของสาธารณะหรือไง เดี๋ยวก็ให้กอด เดี๋ยวก็ให้ปล่อย” เขาย้อนคำเธอได้อย่างแสบสันต์แถมยังลอยหน้าลอยตาล้อเลียน เธอจำต้องข่มอารมณ์คุกรุ่นไว้ก่อนได้แต่ขบเคี่ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ เพราะไม่มั่นใจว่าเขาอาจจะเหวี่ยงเธอลงท้องร่องหรือไม่

    “เอายังไงครับ ให้กอดหรือให้ปล่อย” เขาพูดช้าๆ เนิบๆ ยียวนเสียไม่มี พิมพ์ชนกต้องนับหนึ่งถึงสิบเป็นสิบสิบรอบกระมังถึงจะทำใจให้สงบได้ หมวดศรุตช่างมีความสามารถทำให้คนคนหนึ่งมีหลากหลายอารมณ์ได้ในคราวเดียว ทั้งโกรธจนอยากทำร้ายเขาให้เจ็บตัวแต่อีกด้านกลับรู้สึกหวามไหวไปกับสัมผัสอันใกล้ชิดของเขา ตอนนี้หญิงสาวเริ่มแยกแยะไม่ออกว่าระหว่างเขากับเธอใครเมากันแน่

    “ไม่เอาทั้งสองอย่างค่ะ” หญิงสาวมองค้อนและพยายามรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงให้กลับมารวมตัวกันโดยเร็ว จากนั้นจึงยึดแขนของชายหนุ่มไว้เพื่อพยุงตัวให้สามารถยืนได้อย่างมั่นคง

    “ทีนี้ปล่อยได้แล้วค่ะ” พิมพ์ชนกท้วงพร้อมกับฟาดฝ่ามือเข้าที่แขนแข็งแรงเมื่อศรุตยังยืนเฉยทำเป็นไม่รับรู้ เขาสะดุ้งตกใจและจำต้องปล่อยเชลยสาวให้เป็นอิสระ แต่ไม่ทันไรเขาก็ต้องกระโดดเต้นเหยงๆ เมื่อพิมพ์ชนกกระทืบเข้าที่เท้าของเขาอย่างแรงแล้ววิ่งโกยแนบโดยที่เขายังไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ

    “โอ๊ย ยายหมอโรคจิตทำคุณบูชาโทษจริงๆ เลย”

    “คนบ้า บ้า บ้า บ้าที่สุด กล้าดียังไงมากอดฉัน ฮึ่ม” พิมพ์ชนกเดินแกมวิ่งมาตามทางขณะที่มือไม้ปัดป่ายไปทั่วตัวด้วยหวังว่าจะคลายความร้อนรุ่มลงบ้าง

    ส่วนหมวดศรุตกลับเป็นฝ่ายนั่งถอนหายใจแทนที่หญิงสาวคนเมื่อกี้เสียเอง ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากแต่ปัญหาที่เกาะกินอยู่ในหัวใจก็ไม่อาจจางหายไปได้ แม้ว่าจะเป็นปัญหาเดิมๆ ที่เขาเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต

    ย้อนไปเมื่อหนึ่งวันก่อน หมวดศรุตได้รับโทรศัพท์จากคนงานให้กลับไปเคลียร์ปัญหาที่บ้าน แม้ว่าเขาจะไม่อยากใส่ใจแต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อคราวนี้เรื่องราวดูจะรุนแรงกว่าทุกครั้ง

    เสี่ยนำชัยเจ้าของโรงสีและลานค้าพืชผลการเกษตรรายใหญ่ที่ทุกคนในอำเภอนี้รู้จักกันเป็นอย่างดีทั้งความร่ำรวยและกิตติศัพท์เรื่องผู้หญิง แต่คราวนี้ดันไปยุ่งกับคนมีเจ้าของเลยถูกจัดชุดใหญ่ต้องมานอนหยอดน้ำเกลือเล่นที่โรงพยาบาล

    “มาแล้วเหรอไอ้ลูกชาย ถ้าฉันไม่ปางตายคงไม่ได้เห็นหน้าแกสินะ” เสี่ยใหญ่เอ่ยตัดพ้อลูกชายเพียงคนเดียวที่ไม่เคยกลับมาบ้านสักครั้ง หมวดศรุตเดินมาหยุดที่ข้างเตียงพร้อมกับพิจารณาสภาพของคนเจ็บที่หน้าตาบวมช้ำ ที่ปากมีรอยกระแทกกับของแข็งจนเป็นรอยแตก เขาได้แต่ส่ายหน้า

    “ดูไม่จืดจริงจริง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่คนฟังกลับรู้สึกถึงอาการเย้ยหยันจากสายตาที่มองมา

    “ฉันไม่ได้ตามแกมาเยาะเย้ยฉันนะ แกต้องไปจัดการไอ้คนที่มันทำร้ายพ่อตัวเองสิถึงจะถูก” เสี่ยนำชัยผงกศีรษะด้วยความโมโหพร้อมกับบอกจุดประสงค์ในการตามตัวลูกชายกลับมา

    “ต้องขอบคุณคนที่ทำพ่อเจ็บมากกว่า ถ้าเป็นผมได้ไปนอนเล่นที่วัดแน่ อยู่ดีไม่ว่าดีไปยุ่งกับคนมีเจ้าของ แก่แล้วนะพ่อหนะไม่ใช่หนุ่มจะทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังซะบ้าง” หมวดศรุตเหลือทนกับพฤติกรรมของผู้เป็นบิดา เพราะเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เขาจำความได้ ถึงตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่จนผู้เป็นมารดาของเขาต้องหนีไปอยู่ที่วัดกระทั่งทุกวันนี้

    “แกแน่นักหรือไง ริอ่านมาสอนฉันไอ้ศรุตเสียแรงส่งเสียให้ร่ำเรียนเป็นตำรวจ เรื่องแค่นี้แกจัดการไม่ได้หรือไง เสียชื่อหมดใครเขาคงเอาไปพูดกันทั่วแล้วว่าพ่อตำรวจโดนพวกจิ๊กโก๋รุมตี” เสี่ยนำชัยถากถางลูกชายเมื่อรูปการไม่เป็นอย่างที่คิด

    “อย่าให้ผมพูดเลยพ่อ พ่อนั่นแหละเมาแล้วไปมั่วแฟนเขาแถมยังพังร้านคาราโอเกะเขายับหมด เจ้าทุกข์ไปแจ้งความที่โรงพักไว้แล้วด้วย ทีนี้คนเขาคงมีเรื่องพูดกันสนุกปากไปข้ามปีแน่” เขาสวนกลับทันควันเพราะได้รับรายงานจากจ่าสมยศที่เป็นคนเข้าไปเคลียร์พื้นที่ในวันเกิดเหตุ ดูรูปการแล้วเสี่ยนำชัยผิดเห็นๆ

    “คนละเรื่องกันโว้ย แต่ไอ้คนที่มันรุมฉันแกต้องลากคอมันเข้าคุกไม่อย่างนั้นฉันไม่ยอมเข้าใจไหม” เสี่ยนำชัยยังไม่ยอมและยืนยันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

    “คดีทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายอย่างมากก็แค่เสียค่าปรับ พ่อเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากเดี๋ยวก็กลับบ้านได้แล้ว”

    “ไอ้ศรุตตกลงแกเป็นลูกฉันหรือเปล่า ห๊า !” เสี่ยใหญ่พยายามจะลุกจากเตียงขึ้นมาต่อว่าลูกชายแต่แล้วก็ต้องนอนกลับลงไปเพราะรู้สึกเจ็บที่ซี่โครง จึงทำได้เพียงฟาดฝ่ามือลงบนเตียงเพื่อระบายความโมโหโกรธา

    “พ่ออย่าพาลสิ แล้วก็เลิกเสียทีเถอะเรื่องผู้หญิงหัดเข้าวัดเข้าวากับเขาบ้าง” ชายหนุ่มเอือมระอากับพฤติกรรมของบิดาเต็มที

    “ถ้าไม่ช่วยก็ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้า ไปอยู่กับแม่แกที่วัดนู่นฉันมันคนบุญเยอะไม่จำเป็นต้องเข้าวัดหรอก” ผู้เป็นบิดายังดันทุรังตามความคิดของตน โดยไม่ได้สนใจความรู้สึกของใคร ศรุตถอนหายใจยกมือลาบิดาก่อนเดินออกมาจากห้องพิเศษของโรงพยาบาลประจำอำเภอ ด้วยความรู้สึกหลากหลาย เมื่อไหร่กันเสี่ยนำชัยจะรู้จักมองดูตนเองบ้างว่าการกระทำของเขาได้ผลักไสคนในครอบครัวให้ถอยห่างจากเขาไปทีละคน

    เขาเจอลูกน้องคนสนิทของเสี่ยนำชัยที่หน้าห้องพอดี จึงสั่งความและฝากฝังให้ดูแลผู้เป็นบิดาแทนตน เพราะหากเขาอยู่ก็รังแต่จะทะเลาะกันซะเปล่าๆ จากนั้นจึงแวะไปหาจ่าสมยศที่แฟลตและดื่มกันนิดหน่อยตามประสาเพื่อระบายเรื่องราวกลัดกลุ้มใจให้พอบรรเทาลงมาบ้าง ก่อนที่เขาจะกลับมาที่ไร่ภูธรเมื่อหัวค่ำของวันนี้เอง


    *************************************************************************************


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×