ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวใจรักภูธร

    ลำดับตอนที่ #24 : บาดแผลในวันวาน

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ค. 59


    แอบมีมาม่านิดหน่อยนะคร้า อย่าว่ากันเด้อ.ฝากอิมเมจหมวดศรุตกับหมอพิมพ์ด้วยคร่า................
    .............................................................................................



                    หลังจากเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายหัวใจในวันก่อน ปราณปรียาก็ไม่เห็นผู้กองภวินท์แวะเวียนมาอีกมีเพียงคนงานในไร่ที่นึ่งลูกประคบมาส่งให้พร้อมกับแจ้งว่าเป็นคำสั่งของผู้กองหนุ่มเท่านั้น และนั่นเองที่ทำให้เธอได้รู้ว่าเขายังคงติดตามอาการของเธออยู่เสมอ

                    แม้ว่าจิตใจของเขาจะกระหวัดคิดถึงแม่กระต่ายน้อยอยู่ตลอดเวลาจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด แต่ก็จำต้องเว้นระยะห่างให้หญิงสาวได้หายใจหายคอสะดวกบ้าง เพราะเกรงว่าการนำตัวเองเข้าไปใกล้ชิดเกินไปอาจเป็นอุปสรรคสำหรับการทำงานของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็สามารถติดตามการเคลื่อนไหวของปราณปรียาผ่านทางกล้องส่องทางไกลได้อยู่แล้ว และวันก่อนที่เขาได้ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ผู้ชายคนไหนก็คงจะไม่กล้าเข้าใกล้ปราณปรียาอีกตราบใดที่ยังอยู่ในไร่ภูธรแห่งนี้

                    สองวันมานี้ผู้กองจึงง่วนอยู่กับการจัดการกับแปลงผักสวนครัวหลังกระท่อมของเขาให้เรียบร้อยเสียที เพราะเย็นนี้มีแขกคนพิเศษมารับประทานอาหารเย็นที่บ้านใหญ่ซึ่งเป็นที่พำนักของนางอรทัย ผู้เป็นมารดาที่ตั้งแต่มาถึงเขายังไม่ได้มีโอกาสร่วมโต๊ะอาหารกับนางสักครั้ง

                   

                    พิมพ์ชนกนั่งอยู่ด้านข้างของห้องประชุมเพื่อรอบรรยายในคาบของตัวเอง ซึ่งตอนนี้เป็นชั่วโมงของปราณปรียาและสายสมร ทั้งสองสาวให้ผู้เข้าอบรมแบ่งกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมร่วมกันบรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนานเพราะผู้นำการเรียนรู้ให้ความเป็นกันเองกับเด็กๆ เธอสังเกตเห็นว่าเด็กทุกคนให้ความสนใจเป็นพิเศษในชั่วโมงของปราณปรียาและช่วงกิจกรรมนันทนาการของหมวดศรุต ส่วนชั่วโมงของเธอและปลัดเอกภพออกจะกร่อยๆ ไปสักหน่อย ถ้าหากว่าปราณปรียามิใช่คนที่ผู้กองภวินท์ให้ความสนใจในตอนนี้เธอเองก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าสาวน้อยเป็นเพื่อนที่น่าคบหาคนหนึ่ง

                    พิมพ์ชนกมองเห็นอดีตที่เคยสดใสของเธอเมื่อยามที่ปราณปรียายิ้มหัวเราะอย่างร่าเริง เมื่อก่อนเธอเองก็เคยมีช่วงเวลาเช่นนี้ แต่นั่นมันก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเธอ

                    ความทรงจำในอดีตไหลบ่าเข้ามาในห้วงคำนึงของแพทย์หญิงพิมพ์ชนกดั่งน้ำป่าที่มิอาจสกัดกั้นได้ ในวันนั้นเป็นวันที่เธอดีใจที่สุดเมื่อรู้ว่าตัวเองสอบติดคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดัง และก็เป็นวันที่ทำให้เธอไม่อาจจะลืมเลือนได้

                    “แม่คะ แม่อยู่ไหนคะพิมพ์มีข่าวดีมาบอกค่ะ” พิมพ์ชนกในวัยสิบแปดปีวิ่งเข้ามาในห้องโถงของคฤหาสน์หลังใหญ่ และเรียกหาผู้เป็นมารดาเพื่อจะแจ้งข่าวดีที่สุดให้ท่านทราบ แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับและไม่มีแม้เงาของผู้เป็นมารดา

                    “หรือว่าอยู่บนห้องนะ” สาวน้อยพิมพ์ชนกพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะสาวเท้าขึ้นบันไดเพื่อตรงไปยังห้องนอนของภารดี นภาสาวใช้วัยกลางคนกำลังอ้าปากจะร้องห้ามคุณหนูแต่ก็ไม่ทันซะแล้ว นางได้แต่ยกมือทาบอกด้วยความหนักใจ

                    สาวน้อยเปิดประตูห้องนอนเข้าไปอย่างง่ายดาย เธอคิดว่ามารดาคงเพลียมากจนลืมล็อคประตูและตอนนี้คงจะนอนหลับอยู่เป็นแน่ด้วยรู้ดีว่าภารดีเป็นคนชอบสังสรรค์และชอบงานสังคมดังนั้นจึงมักกลับบ้านดึกดื่นและจะตื่นอีกทีเกือบเที่ยงวัน เธอจัดการเปิดผ้าม่านราคาแพงที่มีประโยชน์เพียงแค่บังแสงจากดวงอาทิตย์ในยามสายเท่านั้น เมื่อแสงสว่างจากภายนอกสาดเข้ามาในห้องจึงปลุกคนที่นอนหลับใหลให้ตื่นจากนิทรา

                    “ว้าย !” เสียงเด็กสาวกรีดร้องอย่างตกใจเมื่อคนที่กำลังงัวเงียลุกขึ้นนั่งเป็นใครก็ไม่รู้ที่เธอไม่รู้จัก และแน่นอนว่าเขาไม่มีอาภรณ์ห่อหุ้มร่างกายสักชิ้น เสียงกรีดร้องของเธอปลุกผู้เป็นมารดาให้ลุกขึ้นอีกคน

                    “ยายพิมพ์ เข้ามาในห้องแม่ได้ยังไง” ภารดีออกจะตกใจที่ลูกสาวเข้ามาเห็นเธอในสภาพเช่นนี้ จึงหันไปบอกกับชายหนุ่มที่กึ่งนั่งกึ่งนอนข้างกันให้ไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำก่อน ชายหนุ่มที่คงอายุน้อยกว่ามารดาของเธอยอมทำตามแต่โดยดี พิมพ์ชนกได้แต่ยืนหันหลังเมื่อเขาลุกเดินผ่านไปเข้าห้องน้ำโดยมีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันร่างกายท่อนล่างไว้

                    “ทำไมคุณแม่ทำแบบนี้คะ” เด็กสาวหันมาตัดพ้อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เธอไม่นึกเลยว่ามารดาจะทำตัวเป็นสาวไวไฟพาผู้ชายมานอนถึงในห้องนอนตัวเองขนาดนี้

                    “แล้วทำไมฉันจะทำไม่ได้ ทีพ่อแกยังทิ้งฉันไปอยู่กับนังครูกระจอกๆ นั่นได้เลย” นางภารดีคว้าเสื้อคลุมตัวยาวมาใส่ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ลูกสาวและอ้างความผิดของผู้เป็นอดีตสามี

                    “มันไม่เหมือนกันนี่คะ คุณแม่เป็นผู้หญิงนะคะมีแต่เสียแล้วนายคนนั้นเขาก็เด็กกว่าไม่มีทางจะมาจริงจังกับคุณแม่หรอกค่ะ” พิมพ์ชนกกล่าวพาดพิงไปถึงบุคคลที่สาม ทำให้ภารดีโกรธจนลมออกหูที่ลูกสาวริอ่านมาสอนตน

                    “อย่าอวดดีมาสั่งสอนฉัน แกมันก็เข้าข้างพ่อแก ใช่สิฉันมันคนไม่ดีนี่ใครๆ ถึงไม่เคยต้องการ” ภารดีตอกกลับบุตรสาวด้วยคำพูดประชดประชัน และหวนนึกไปถึงสามีที่เลิกรากันไปซึ่งยังความเจ็บใจให้เธอมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่ออภิวัฒน์ยอมทิ้งความสุขสบายทุกอย่างแล้วไปอยู่กินกับครูบ้านนอกคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรเทียบกับเธอได้เลย

                    “คุณแม่ก็เป็นแบบนี้ไงคะ คุณพ่อถึงต้องไปอยู่ที่อื่น”

    เพี๊ยะ ! เสียงฝ่ามือของผู้เป็นมารดากระทบกับใบหน้าของบุตรสาวจนสาวน้อยถึงกับหน้าหันไปตามแรงตบนั้น เมื่อคำพูดของเธอแทงใจดำของมารดาเข้าอย่างจัง 

    “ถ้าแกเห็นว่าพ่อแกดีกว่าฉัน ก็เชิญไปอยู่ด้วยกันเลย หรือจะไปอยู่ที่ไหนก็ไปปีกกล้าขาแข็งแล้วนี่ถึงกล้ามายืนเถียงแม่แบบนี้” ภารดีกล่าววาจาเชือดเฉือนด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด ในหัวใจมีเพียงความต้องการเอาชนะโดยไม่ได้นึกเลยว่าคำพูดของตัวเองในวันนั้นจะพรากความสดใสไปจากพิมพ์ชนกจนหมดสิ้น สาวน้อยน้ำตาร่วงพลูพร้อมกับหัวใจที่แตกสลายเมื่อมารดาที่เธอทั้งรักและบูชากล่าววาจาไม่เหลือเยื่อใยออกมา และถึงแม้ว่าภารดีจะอารมณ์เสียแค่ไหนก็ไม่เคยลงไม้ลงมือกับเธอสักครั้ง

    “คุณแม่ที่แสนดีของพิมพ์ไม่มีอีกแล้วใช่ไหมคะ” เด็กสาวเอื้อนเอ่ยคำพูดออกมาในที่สุด ก่อนจะค่อยๆ ถอยห่างออกมาทั้งที่กลั้นก้อนสะอื้นไว้จนตัวโยน ภารดีรู้สึกใจหายกับสิ่งที่ตัวเองได้กระทำลงไปแต่ด้วยทิฐิและความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีจึงเลือกที่จะหันหลังให้กับภาพสะเทือนใจนั้น

     

                    พิมพ์ชนกน้ำตาคลอขึ้นมาเมื่อเรื่องราวในอดีตทำให้เธอรู้สึกจุกที่หน้าอกจนอยากระบายออกมา แต่แล้วก็รู้สึกว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวไปมาอยู่ตรงหน้าของเธอ และก็เป็นหมวดศรุตนั่นเองที่ยืนแกว่งมือกลับไปกลับมา

                    “เป็นไรคุณ เรียกก็ไม่ตอบหรือว่าถอดจิตไปไหนมา” หมวดศรุตแขวะเข้าให้เมื่อเห็นว่าคุณหมอสาวกระพริบตาตอบสนอง และถ้าดูไม่ผิดเขาเห็นว่าเธอมีน้ำตาคลอหน่วยตาอยู่ด้วย

                    “ฉันเองก็อยากลองถอดจิตไปสิงร่างคุณดูสักวัน เผื่อจะได้รู้ว่าคุณคิดยังไงถึงได้ชอบแขวะฉันนัก” พิมพ์ชนกตอกกลับทันที เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเวลาเจอหมวดศรุตทีไรทำไมเธอถึงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เลย เป็นต้องต่อปากต่อคำกับเขาอยู่เรื่อย

                    “ไม่เอาหรอก เดี๋ยวคุณก็เห็นอะไร อะไรของผมหมดสิ ผมอายนะ” พูดพร้อมกับทำท่ากอดตัวเองอย่างน่าหมั่นไส้

                    “ทะลึ่ง ! ลามก” หญิงสาวด่ากลับเสียงดังซึ่งผิดวิสัยของแพทย์ หญิงพิมพ์ชนกที่ใครๆ รู้จัก

                    “เอ้า ใครลามกกันแน่ ผมหมายถึงเล็บขบต่างหากเป็นคุณจะอายไหมหละ” เขายังลอยหน้าลอยตาตอบ

                    “อี๋ ยิ่งทุเรศเข้าไปใหญ่ แหวะ” พิมพ์ชนกทำท่าสะอิดสะเอียน แต่หมวดศรุตกลับหัวเราะชอบใจกับท่าทางของเธอ

                    “คุณนี่ประสาทหรือเปล่า” พิมพ์ชนกไม่เข้าใจเอาซะเลยกับท่าทางของหมวดศรุต เขาดูมีความสุขอย่างมากทุกครั้งที่ได้แกล้งเธอ

                    “คงอย่างนั้น แต่ถ้าแลกกับการได้เห็นคุณทำหน้าอย่างอื่นบ้างนอกจากเป็นเจ้าหญิงน้ำแข็ง ผมว่าก็คุ้มนะ” คราวนี้เขาทำหน้าตาจริงจังไม่มีแววล้อเล่น แต่มีประกายบางอย่างในดวงตาคู่นั้นที่ทำเอาหมอสาวรู้สึกวูบวาบแปลกๆ

                    “โอยเหนื่อยจังเลยแต่ก็สนุกเนาะน้องต่าย” สายสมรเดินเร็วจนพุงกระเพื่อมตรงมาทางสองหนุ่มสาว ก่อนจะหยิบขวดน้ำกรอกเข้าปากเสียงดังอึกอึก โดยมีปราณปรียาตามมาติดๆ

                    “เสร็จกันแล้วหรือคะ” พิมพ์ชนกเอ่ยถามทันทีที่สองสาวนั่งบนเก้าอี้เรียบร้อย

                    “ค่ะ ให้เด็กๆ พักเบรกสักสิบนาทีแล้วค่อยเริ่มชั่วโมงคุณหมอ” สายสมรชี้แจงแทนอีกคนที่นั่งนิ่ง เพราะตั้งแต่เหตุการณ์วันก่อนนั้นปราณปรียาก็อับอายจนไม่กล้าจะสู้หน้าใครโดยเฉพาะพิมพ์ชนก

                    “น้องกระต่ายเก่งจังเลยนะคะ ขนาดขายังไม่หายดีก็ยังอุตส่าห์มาสอนเด็กๆ” พิมพ์ชนกชื่นชมจากใจจริง ปราณปรียาจึงยิ้มออกมาได้และมีสีหน้าคลายความกังวลขึ้นมาบ้าง

                    “จริงๆ ก็ไม่ค่อยปวดเท่าไหร่แล้วค่ะ พาเด็กๆ ทำกิจกรรมจนลืมเรื่องเจ็บไปเลย” ปราณปรียาตอบกลับด้วยน้ำเสียงแจ่มใสรู้สึกคลายความอึดอัดขึ้นมาหน่อยที่พิมพ์ชนกไม่แสดงอาการไม่พอใจออกมา

                    “น้องกระต่ายเธอมีหมอดีค่ะ คอยส่งหยูกยาอยู่ไม่ขาดถึงได้หายวันหายคืนยังไงคะ” สายสมรเอ่ยแซวด้วยความสนุกปาก โดยลืมไปว่าจะทำให้ใครต้องคิดหนักหรือไม่

                    พิมพ์ชนกชะงักไปครู่หนึ่งกับคำบอกเล่าของสาวร่างอวบ ส่วนปราณปรียาถึงกับทำหน้าตาเหยเกหันไปบิดแขนสาวรุ่นพี่เป็นการลงโทษ พร้อมกับกระซิบที่ข้างหู เป็นผลให้สายสมรยิ้มแหยๆ อย่างลุแก่โทษ

                    “พี่หมอนนะ หาเรื่องให้ต่ายอีกแล้วไหมหละ”

                    หมอสาวฝืนยิ้มให้ทุกคนทั้งที่เจ็บจุกไปหมด หมวดศรุตเองก็พลอยรู้สึกแย่กับเธอไปด้วย เพราะเข้าใจความรู้สึกของพิมพ์ชนกในตอนนี้ดีซึ่งไม่ได้ต่างอะไรกับเขาเลย

                    “พิมพ์ขออนุญาตเตรียมเอกสารบรรยายก่อนแล้วกันนะคะ” หมอสาวบอกพร้อมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ตามแบบฉบับของเธอ

     

                    บรรยากาศการรับประทานอาหารเย็นที่บ้านใหญ่ดูชื่นมื่นขึ้นเนื่องจากมีแขกคนพิเศษคือผู้กำกับจักรวาลและศรีภรรยาอย่างคุณนวลอนงค์พร้อมด้วยอรุณสวัสดิ์บุตรชายร่วมโต๊ะด้วย ซึ่งเจ้าบ้านให้การต้อนรับอย่างดีทุกครั้งที่พี่ชายและพี่สะใภ้เดินทางมาเยี่ยมเยียน อรทัยมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสผิดกับเวลาปกติที่ผู้กองหนุ่มมักเห็นเพียงความเฉยชาจากผู้เป็นมารดา

                    “แล้วนี่ทิวาเป็นอย่างไรบ้างคะพี่นวล ตั้งแต่โตเป็นสาวยังไม่ได้เจอตัวสักครั้ง” นางอรทัยเอ่ยถามพี่สะใภ้ถึงบุตรสาวอีกคน เมื่อทั้งหมดย้ายมานั่งรับลมที่ลานระเบียงหน้าบ้าน

                    “ขานั้นไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก ตั้งแต่เรียนจบมาก็เอาแต่ขลุกอยู่ที่ภูนับดาว” คุณนวลอนงค์ว่ายิ้มๆ เมื่อกล่าวถึงบุตรสาวแสนดื้อของตัวเอง

                    “ก็ทิวาเขาชอบทำไร่มาแต่ไหนแต่ไร สมัยเด็กอรยังจำได้พอถึงหน้าทำนายายทิวาเป็นต้องกลายร่างเป็นขอมดำดินทุกที” อรทัยพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดูหลานสาว เมื่อนึกถึงภาพที่เด็กหญิงทิวาสวัสดิ์ดำผุดดำว่ายอยู่ในนาข้าวที่มีแต่โคลนเหลวๆ ขณะที่คนอื่นๆ กำลังปักดำกันอยู่

                    “ตอนนี้เห็นว่ามีโปรเจคใหม่จะทำสวนสมุนไพรไว้เป็นที่ศึกษาดูงานอะไรของเขานี่แหละ” ถึงจะไม่ชอบใจนักที่บุตรสาวเพียงคนเดียวไม่ได้มีคุณสมบัติเฉียดใกล้คำว่ากุลสตรีเลย แต่ทิวาสวัสดิ์ก็เป็นคนที่มุ่งมั่นตั้งใจและสิ่งที่ทำก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร นวลอนงค์จึงออกแนวตามใจบุตรสาวเสียมากว่า ผิดกับผู้เป็นบิดาที่ขัดใจเพราะทั้งลูกชายและลูกสาวต่างก็ส่ายหัวที่จะรับราชการเหมือนเช่นตน

                    “ทั้งลูกสาว ลูกชายไม่ได้ดั่งใจสักคน ไม่เหมือนแม่อรที่อย่างน้อยตาวินก็สืบทอดเจตนารมณ์ของตระกูลเรา” คราวนี้ผู้กำกับจักรวาลเอ่ยขึ้นบ้าง แม้น้ำเสียงจะไม่ขึงขังเหมือนที่ผ่านมาแต่คนฟังก็รู้สึกได้ว่าคนพูดยังคงไม่ชอบใจอยู่

                    ผู้กองภวินท์ชำเลืองมองไปที่ผู้เป็นมารดา และได้เห็นว่าอรทัยยิ้มรับคำชมของพี่ชายอย่างเสียมิได้ เขาจำต้องหันกลับมาเมื่อรู้สึกวูบโหวงอยู่ภายในอกจึงเสยกถ้วยชาในมือขึ้นมาจิบ นวลอนงค์สังเกตอาการของหลานชายด้วยความรู้สึกหนักใจ เพราะไม่ว่าจะกี่ครั้งที่มาเยี่ยมเยียนดูเหมือนว่าสถานการณ์ระหว่างสองแม่ลูกคู่นี้จะไม่มีแนวโน้มดีขึ้นเลย

                    “ตาอรุณเองก็เก่งเหมือนกัน ดูไร่ภูธรของเราสิทุกวันนี้เป็นที่รู้จักทั้งหน่วยงานราชการและเอกชนต่างก็สนใจมาดูงานที่นี่ทั้งนั้น รู้สึกว่าตอนนี้ก็มีเข้าค่ายกันด้วยใช่ไหม” อรทัยหันไปขอความเห็นจากอรุณสวัสดิ์บ้าง เพื่อลดความตึงเครียดของพ่อลูกคู่นี้ ผู้กำกับจักรวาลเองก็มีบุคลิกนิสัยใจคอคล้ายกันกับนาง คือออกจะเป็นคนเอาแต่ใจและเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่บ้าง

                    “ครับน้าอร เป็นค่ายของเด็กเยาวชนกลุ่มเสี่ยงปัญหายาเสพติด เจ้าของโครงการอยากให้เด็กรุ่นใหม่ปรับทัศนคติในการดำเนินชีวิตโดยอาศัยการปฏิบัติจริงด้วย” อรุณสวัสดิ์อธิบายด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ

                    “ก็ดีนะ ถ้าได้ลงมือปฏิบัติด้วยก็จะเป็นการฝึกความอดทนให้กับเด็กๆ เขา” นางอรทัยกล่าวเสริม

                    “แล้วค่ายมีถึงวันไหนกันตาอรุณ” นวลอนงค์เอ่ยถามบุตรชายขึ้นบ้าง

                    “กำหนดการบอกไว้ 9 วัน ก็เหลืออีก 6 วันครับคุณแม่มีอะไรหรือเปล่าครับ” อรุณถามมารดากลับพร้อมกับสังเกตอาการของนางนวลอนงค์ว่าจะเป็นอย่างที่เขาคิดหรือไม่

                    “เปล่า ก็แค่เห็นว่าเราไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว เจ้าทิวาก็บ่นคิดถึงอยู่เหมือนกันเห็นว่าอยากกินข้าวพร้อมหน้ากันสักครั้ง ใช่ไหมคุณ” คุณนวลอนงค์ว่าพร้อมกับหันไปสะกิดสามี

                    “อือ...” ผู้กำกับจักรวาลจำต้องคล้อยตามภรรยา ไม่อย่างนั้นอาจถูกคาดโทษจากอีกฝ่าย อรุณสวัสดิ์อมยิ้มกับท่าทางของผู้เป็นมารดา อยากให้กลับบ้านแบบนี้คงไม่มีเรื่องอะไรนอกจากนัดลูกสาวเพื่อนมาให้เขาดูตัวเสียมากกว่า แล้วที่อ้างทิวาสวัสดิ์นั่นยิ่งฟังไม่ขึ้นไปกันใหญ่

                    “มีอะไรที่น้าไม่รู้หรือเปล่า” อรทัยสงสัยท่าทางของคนบ้านนี้จึงเอ่ยถามขึ้น

                    “จะมีอะไรหละครับ นอกซะจากว่าวางแผนหาคู่ดูตัวให้ผม” อรุณสวัสดิ์เอ่ยอย่างรู้ทัน

                    “เหอะ..ทำเป็นยิ้มไปเถอะเราหนะมันไม่ใช่อายุน้อยๆ แล้วนะจะสามสิบอยู่แล้ว แม่เห็นคนอื่นเขาอุ้มหลานมาอวดกันก็อยากได้บ้างสิ” นวลอนงค์ตัดพ้อลูกชายคนเดียวด้วยที่ผ่านมาไม่เคยเห็นชายหนุ่มมีเรื่องผู้หญิงมาเข้าหูเลย ทั้งที่ลูกชายของนางก็ออกจะหล่อเหลาเอาการถึงเพียงนี้

                    ผู้กองภวินท์ที่นั่งฟังเหตุการณ์อยู่ถึงกับยิ้มขำ แต่แล้วก็ต้องหน้าเศร้าลงเมื่อนึกเปรียบตัวเองกับอรุณสวัสดิ์ที่มีครบสมบูรณ์ทั้งพ่อแม่และน้องสาวที่น่ารักอย่างทิวาสวัสดิ์ ถึงแม้วันนี้เขาจะไม่ได้เรียกร้องโหยหาความรักจากผู้เป็นบิดาแล้วก็ตาม แต่ความรักจากผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขาปรารถนามาตลอดตั้งแต่สูญเสียมันไปนี่สิดูช่างรางเลือนเหลือเกิน

                    “ผมรอให้เจ้าวินเป็นฝั่งเป็นฝาก่อนแล้วกัน น่าจะอีกไม่นานหรอกครับคุณแม่” อรุณสวัสดิ์โยนของร้อนมาที่ผู้กองหนุ่มทันที

                    “จริงเหรอตาวิน ลูกเต้าเหล่าใครกันป้ารู้จักไหม” คุณนวลอนงค์ทำเสียงตื่นเต้น ส่วนสตรีอีกนางหนึ่งก็หูผึ่งเช่นกันแต่ยังคงทำหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่สนใจ

                    “จะตื่นเต้นอะไรกันนักคุณ แค่หลานจะมีแฟน” ผู้กำกับจักรวาลส่ายหน้ากับท่าทางของศรีภรรยา ที่ทำราวกับว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่ก็ไม่ปาน

                    “โธ่คุณป้าครับ เจ้าอรุณแกล้งโยนระเบิดมาที่ผมต่างหาก” เขาแกล้งบ่ายเบี่ยงแต่หัวใจนึกถึงใบหน้าของหญิงสาวอีกคน จึงเผลอยิ้มออกมาโดยปริยาย

                    “แม่ดูหน้ามันสิ แล้วจะรู้ว่าใครพูดจริง” อรุณสวัสดิ์มิวายเอ่ยแซวผู้กองหนุ่มขึ้นมาอีก ผู้เป็นลุงกับป้าจึงหัวเราะพร้อมกัน ส่วนอรทัยกลับรู้สึกใจหายเหมือนกำลังจะสูญเสียลูกชายไปอีกครั้ง

                    บรรยากาศในวงสนทนายังคงดำเนินไปอีกสักพักซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเปิดประเด็นโดยแขกคนพิเศษ จนเวลาล่วงเลยมาเกือบสามทุ่มจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน

                    อรทัยยืนมองจากหน้าต่างห้องนอนลงไปยังทางเดิน บุตรชายเพียงคนเดียวของนางกำลังมุ่งหน้าเดินลงเนินไปยังเบื้องล่างซึ่งไม่ใช่ทางกลับกระท่อมแน่นอน

     

                    ก่อนหน้านี้สักห้านาทีผู้กองภวินท์ยืนชั่งใจอยู่เป็นนานเมื่อตัดสินใจไม่ได้ว่าควรทำตามเสียงหัวใจหรือควรคำนึงถึงความเหมาะสมดีเพราะตอนนี้เวลาล่วงเลยมาเกือบจะสามทุ่ม และเสียงจากค่ายก็เงียบลงไปแล้วคงจะแยกย้ายกันเข้าที่พักแล้วกระมัง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดเบอร์ที่จำขึ้นใจแม้จะไม่เคยโทรเลยก็ตาม เมื่อบันทึกเบอร์เรียบร้อยแอปพลิเคชั่นไลน์ก็แจ้งเตือนสถานะการเพิ่มเพื่อน ผู้กองหนุ่มคิดเพียงว่าจะส่งไลน์ไปทักทายแม่กระต่ายน้อยก่อนสำหรับวันนี้ แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจยัดโทรศัพท์กลับลงกระเป๋ากางเกงแล้วตัดสินในเดินลงเนินไป

                    “พี่หมอนเห็นสมุดบันทึกของต่ายไหมคะ เล่มสีเขียวอ่อนๆ” ปราณปรียาตะโกนถามสายสมรที่เพิ่งจะเข้าไปอาบน้ำต่อจากเธอ

                    “เอ คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเห็นที่ไหนน้า อ๋อ พี่หมอนเห็นวางอยู่บนโต๊ะในห้องประชุมแหนะ”

                    “จริงด้วยค่ะ แหมต่ายนี่ขี้ลืมจังอุตส่าห์จดบันทึกไว้ว่าพรุ่งนี้จะทำกิจกรรมอะไร ดันลืมสมุดบันทึกเฉยเลย” หญิงสาวพูดไปด้วยขณะที่มือก็ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมตัวเอง

                    “งั้นเดี๋ยวต่ายไปเอาก่อนนะคะ ห้องประชุมยังเปิดไฟอยู่เลยสงสัยยังทำความสะอาดกันอยู่”

                    “จ้า พี่ขอปลดทุกข์ก่อนแล้วกัน กินตำมั่วเยอะไปหน่อย” สายสมรร้องบอกด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ปราณปรียาส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนเปิดประตูออกไป ก็จะไม่ให้เข้าห้องน้ำได้อย่างไรในเมื่อวันนี้สายสมรโซ้ยตำมั่วไปตั้งสามจาน

     

                    ปราณปรียาเดินตรงเข้าไปหาคนงานหญิงวัยกลางคนที่กำลังเก็บกวาดทำความสะอาดในห้องประชุมอยู่ เพราะเธอหาสมุดบันทึกไม่เจอทั้งที่นึกได้ว่าลืมอยู่บนโต๊ะแท้ๆ

                    “น้าคะเห็นสมุดเล่มเล็กๆ สีเขียวๆ ที่อยู่บนโต๊ะตรงโน้นไหมคะ”

                    “อ๋อ..” คนงานหญิงกำลังจะอ้าปากตอบแต่ก็ต้องงับปากลงอย่างอัตโนมัติ เมื่อมีสัญญาณจากคนข้างหลังหญิงสาวว่าไม่ให้พูด จึงได้แต่อมยิ้มและเดินถอยห่างออกไป ปราณปรียาได้แต่งงกับท่าทางแปลกๆ นั้น ก่อนจะหันหลังกลับเพื่อตามหาสมุดบันทึกต่อไป

                    “อุ้ย ! “ ปราณปรียาสะดุ้งตกใจเมื่อหันกลับมาเจอผู้กองภวินท์ที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนเกือบชนกับหน้าของเธอ

                    “หานี่อยู่เหรอ” เขาโชว์สมุดบันทึกในมือขึ้นมาพร้อมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เป็นโชคดีที่เขาเห็นไฟห้องประชุมเปิดอยู่จึงเดินเข้ามาดูถึงได้รู้ว่าปราณปรียาลืมของไว้ ปราณปรียารู้สึกถึงลางไม่ดีเมื่อเห็นรอยยิ้มของเขาเหมือนงานจะเข้า

                    “ขอคืนด้วยค่ะ” ปราณปรียาแบมือเป็นเชิงขอของคืน แต่อีกฝ่ายกลับทำท่าไม่ได้ยินและไม่ยอมคืนให้ง่ายๆ

                    “ผู้กองคะขอสมุดคืนด้วยค่ะ” ปราณปรียาหลับตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กับท่าทางยียวนของเขา

                    “คืนง่ายๆ ได้ยังไง ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อกันหน่อย” เขายิ้มเจ้าเล่ห์อยากแกล้งถ่วงเวลาเพื่อให้สมกับที่ไม่ได้เห็นหน้าปราณปรียามาหลายวัน

                    “หื้อ อย่างนี้ก็มีด้วยสมุดก็ของฉันแล้วถ้าคุณไม่มาเจอ ฉันก็จะออกมาเอาอยู่แล้ว ไม่เห็นคุณจะได้ลงแรงอะไรที่ใพอจะมาเรียกร้องเอาของแลกเปลี่ยนเลย” ปราณปรียาทำเสียงขึ้นจมูกก่อนร่ายยาว หมั่นไส้คนเจ้าแผนการนักไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนอีก

                    “นั่นไง คุณมาไม่ทันเห็นว่าแม่บ้านเขากำลังจะทิ้งถังขยะ ดีที่ผมมาทันไม่อย่างนั้นคงถูกมัดในถุงดำไปแล้ว” ผู้กองหนุ่มพูดปดคำโต แถมยังทำหน้าตาจริงจังเกินเหตุ หญิงสาวย่นจมูกอย่างไม่เชื่อนัก ใครจะบ้าทิ้งได้ก็เห็นอยู่ว่าเป็นสมุดชัดๆ

                    “เฮ้อ เอาที่สบายใจเถอะค่ะ ฉันง่วงแล้วขี้เกียจจะเถียงด้วย สมุดนั่นฝากไว้ที่คุณก่อนก็แล้วกัน” ปราณปรียาเกิดไม่สนใจสมุดบันทึกขึ้นมาซะอย่างนั้น แล้วก็เดินหนีไปดื้อๆ ผู้กองหนุ่มถึงกับงงเมื่อทุกอย่างผิดแผนไปหมด

                    “ได้ยังไงกัน ผมไม่รับฝากของใครง่ายๆ นะจะบอกให้” เขาเดินตามหลังปราณปรียามาติดๆ เมื่อเห็นว่าเธอไม่สนใจใยดีตัวประกันในมืออีกต่อไป และเขาก็เพิ่งสังเกตว่าผมของเธอยังไม่แห้งสนิทแล้วจะไปนอนได้อย่างไร

                    “คืนให้ก็ได้” เขายอมในที่สุด ปราณปรียาจึงหยุดเดินพร้อมกับอมยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะปรับสีหน้าเรียบเฉยแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา ที่ยื่นสมุดรออยู่ก่อน

                    “อย่าลืมเป่าผมให้แห้งก่อนนอนด้วยนะกระต่ายน้อยผมเป็นห่วง อ้อ ขอบคุณสำหรับข้าวต้มมัดด้วย” ประโยคนี้ของเขาและสายตาที่สื่อว่าเขารู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ นั่นทำเอามือของปราณปรียาสั่นจนสมุดบันทึกแทบร่วง และยังรู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้าราวกับว่าเขาคือไฟกองใหญ่ที่กำลังแผดเผาเธอ

                    “ค่ะ” ปราณปรียาก้มหน้ารับคำก่อนที่จะรีบหันหลังเดินกลับห้อง ไม่อย่างนั้นเธออาจจะหัวใจวายตายลงตรงนี้ จากนั้นก็นึกไปถึงแม่อวนที่ไม่ยอมทำตามคำขอของเธอซะอย่างนั้น

                    ผู้กองหนุ่มเองก็นึกเขินกับคำพูดของเขาเช่นกัน พอรู้สึกตัวอีกทีก็พูดออกไปแล้วแต่ก็ถือว่าผลงานเป็นที่น่าพอใจคุ้มค่าที่อุตส่าห์เดินลงเนินมา

                    ปราณปรียากลับเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าแดงจัด เธอรีบวิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อสงบสติอารมณ์และบังคับจังหวะการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติอยู่เป็นนาน จึงหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาเปิดแก้เก้อเขินแต่แล้วก็ต้องสะดุดตากับข้อความในหน้าที่ปากกาคั่นอยู่

                    ( คุณติดหนี้ผมหนึ่งครั้งแล้วนะ...อย่าลืม )

                    “ฮึ ! คนเจ้าเล่ห์” หญิงสาวย่นจมูกใส่สมุดบันทึกราวกับว่ามันคือตัวแทนของผู้กองหนุ่มซะอย่างนั้น

    .......................................................................................


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×