คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : บาดแผลในวันวาน
หลังจากเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายหัวใจในวันก่อน
ปราณปรียาก็ไม่เห็นผู้กองภวินท์แวะเวียนมาอีกมีเพียงคนงานในไร่ที่นึ่งลูกประคบมาส่งให้พร้อมกับแจ้งว่าเป็นคำสั่งของผู้กองหนุ่มเท่านั้น
และนั่นเองที่ทำให้เธอได้รู้ว่าเขายังคงติดตามอาการของเธออยู่เสมอ
แม้ว่าจิตใจของเขาจะกระหวัดคิดถึงแม่กระต่ายน้อยอยู่ตลอดเวลาจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด
แต่ก็จำต้องเว้นระยะห่างให้หญิงสาวได้หายใจหายคอสะดวกบ้าง
เพราะเกรงว่าการนำตัวเองเข้าไปใกล้ชิดเกินไปอาจเป็นอุปสรรคสำหรับการทำงานของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็สามารถติดตามการเคลื่อนไหวของปราณปรียาผ่านทางกล้องส่องทางไกลได้อยู่แล้ว
และวันก่อนที่เขาได้ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ผู้ชายคนไหนก็คงจะไม่กล้าเข้าใกล้ปราณปรียาอีกตราบใดที่ยังอยู่ในไร่ภูธรแห่งนี้
สองวันมานี้ผู้กองจึงง่วนอยู่กับการจัดการกับแปลงผักสวนครัวหลังกระท่อมของเขาให้เรียบร้อยเสียที
เพราะเย็นนี้มีแขกคนพิเศษมารับประทานอาหารเย็นที่บ้านใหญ่ซึ่งเป็นที่พำนักของนางอรทัย
ผู้เป็นมารดาที่ตั้งแต่มาถึงเขายังไม่ได้มีโอกาสร่วมโต๊ะอาหารกับนางสักครั้ง
พิมพ์ชนกนั่งอยู่ด้านข้างของห้องประชุมเพื่อรอบรรยายในคาบของตัวเอง
ซึ่งตอนนี้เป็นชั่วโมงของปราณปรียาและสายสมร
ทั้งสองสาวให้ผู้เข้าอบรมแบ่งกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมร่วมกันบรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนานเพราะผู้นำการเรียนรู้ให้ความเป็นกันเองกับเด็กๆ
เธอสังเกตเห็นว่าเด็กทุกคนให้ความสนใจเป็นพิเศษในชั่วโมงของปราณปรียาและช่วงกิจกรรมนันทนาการของหมวดศรุต
ส่วนชั่วโมงของเธอและปลัดเอกภพออกจะกร่อยๆ ไปสักหน่อย
ถ้าหากว่าปราณปรียามิใช่คนที่ผู้กองภวินท์ให้ความสนใจในตอนนี้เธอเองก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าสาวน้อยเป็นเพื่อนที่น่าคบหาคนหนึ่ง
พิมพ์ชนกมองเห็นอดีตที่เคยสดใสของเธอเมื่อยามที่ปราณปรียายิ้มหัวเราะอย่างร่าเริง
เมื่อก่อนเธอเองก็เคยมีช่วงเวลาเช่นนี้
แต่นั่นมันก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเธอ
ความทรงจำในอดีตไหลบ่าเข้ามาในห้วงคำนึงของแพทย์หญิงพิมพ์ชนกดั่งน้ำป่าที่มิอาจสกัดกั้นได้
ในวันนั้นเป็นวันที่เธอดีใจที่สุดเมื่อรู้ว่าตัวเองสอบติดคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดัง
และก็เป็นวันที่ทำให้เธอไม่อาจจะลืมเลือนได้
“แม่คะ
แม่อยู่ไหนคะพิมพ์มีข่าวดีมาบอกค่ะ”
พิมพ์ชนกในวัยสิบแปดปีวิ่งเข้ามาในห้องโถงของคฤหาสน์หลังใหญ่
และเรียกหาผู้เป็นมารดาเพื่อจะแจ้งข่าวดีที่สุดให้ท่านทราบ แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับและไม่มีแม้เงาของผู้เป็นมารดา
“หรือว่าอยู่บนห้องนะ”
สาวน้อยพิมพ์ชนกพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะสาวเท้าขึ้นบันไดเพื่อตรงไปยังห้องนอนของภารดี
นภาสาวใช้วัยกลางคนกำลังอ้าปากจะร้องห้ามคุณหนูแต่ก็ไม่ทันซะแล้ว
นางได้แต่ยกมือทาบอกด้วยความหนักใจ
สาวน้อยเปิดประตูห้องนอนเข้าไปอย่างง่ายดาย
เธอคิดว่ามารดาคงเพลียมากจนลืมล็อคประตูและตอนนี้คงจะนอนหลับอยู่เป็นแน่ด้วยรู้ดีว่าภารดีเป็นคนชอบสังสรรค์และชอบงานสังคมดังนั้นจึงมักกลับบ้านดึกดื่นและจะตื่นอีกทีเกือบเที่ยงวัน
เธอจัดการเปิดผ้าม่านราคาแพงที่มีประโยชน์เพียงแค่บังแสงจากดวงอาทิตย์ในยามสายเท่านั้น
เมื่อแสงสว่างจากภายนอกสาดเข้ามาในห้องจึงปลุกคนที่นอนหลับใหลให้ตื่นจากนิทรา
“ว้าย
!”
เสียงเด็กสาวกรีดร้องอย่างตกใจเมื่อคนที่กำลังงัวเงียลุกขึ้นนั่งเป็นใครก็ไม่รู้ที่เธอไม่รู้จัก
และแน่นอนว่าเขาไม่มีอาภรณ์ห่อหุ้มร่างกายสักชิ้น
เสียงกรีดร้องของเธอปลุกผู้เป็นมารดาให้ลุกขึ้นอีกคน
“ยายพิมพ์
เข้ามาในห้องแม่ได้ยังไง” ภารดีออกจะตกใจที่ลูกสาวเข้ามาเห็นเธอในสภาพเช่นนี้ จึงหันไปบอกกับชายหนุ่มที่กึ่งนั่งกึ่งนอนข้างกันให้ไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำก่อน
ชายหนุ่มที่คงอายุน้อยกว่ามารดาของเธอยอมทำตามแต่โดยดี
พิมพ์ชนกได้แต่ยืนหันหลังเมื่อเขาลุกเดินผ่านไปเข้าห้องน้ำโดยมีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันร่างกายท่อนล่างไว้
“ทำไมคุณแม่ทำแบบนี้คะ”
เด็กสาวหันมาตัดพ้อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เธอไม่นึกเลยว่ามารดาจะทำตัวเป็นสาวไวไฟพาผู้ชายมานอนถึงในห้องนอนตัวเองขนาดนี้
“แล้วทำไมฉันจะทำไม่ได้
ทีพ่อแกยังทิ้งฉันไปอยู่กับนังครูกระจอกๆ นั่นได้เลย”
นางภารดีคว้าเสื้อคลุมตัวยาวมาใส่ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ลูกสาวและอ้างความผิดของผู้เป็นอดีตสามี
“มันไม่เหมือนกันนี่คะ
คุณแม่เป็นผู้หญิงนะคะมีแต่เสียแล้วนายคนนั้นเขาก็เด็กกว่าไม่มีทางจะมาจริงจังกับคุณแม่หรอกค่ะ”
พิมพ์ชนกกล่าวพาดพิงไปถึงบุคคลที่สาม
ทำให้ภารดีโกรธจนลมออกหูที่ลูกสาวริอ่านมาสอนตน
“อย่าอวดดีมาสั่งสอนฉัน
แกมันก็เข้าข้างพ่อแก ใช่สิฉันมันคนไม่ดีนี่ใครๆ ถึงไม่เคยต้องการ”
ภารดีตอกกลับบุตรสาวด้วยคำพูดประชดประชัน
และหวนนึกไปถึงสามีที่เลิกรากันไปซึ่งยังความเจ็บใจให้เธอมาจนถึงทุกวันนี้
เมื่ออภิวัฒน์ยอมทิ้งความสุขสบายทุกอย่างแล้วไปอยู่กินกับครูบ้านนอกคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรเทียบกับเธอได้เลย
“คุณแม่ก็เป็นแบบนี้ไงคะ
คุณพ่อถึงต้องไปอยู่ที่อื่น”
เพี๊ยะ
! เสียงฝ่ามือของผู้เป็นมารดากระทบกับใบหน้าของบุตรสาวจนสาวน้อยถึงกับหน้าหันไปตามแรงตบนั้น
เมื่อคำพูดของเธอแทงใจดำของมารดาเข้าอย่างจัง
“ถ้าแกเห็นว่าพ่อแกดีกว่าฉัน
ก็เชิญไปอยู่ด้วยกันเลย
หรือจะไปอยู่ที่ไหนก็ไปปีกกล้าขาแข็งแล้วนี่ถึงกล้ามายืนเถียงแม่แบบนี้”
ภารดีกล่าววาจาเชือดเฉือนด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด
ในหัวใจมีเพียงความต้องการเอาชนะโดยไม่ได้นึกเลยว่าคำพูดของตัวเองในวันนั้นจะพรากความสดใสไปจากพิมพ์ชนกจนหมดสิ้น
สาวน้อยน้ำตาร่วงพลูพร้อมกับหัวใจที่แตกสลายเมื่อมารดาที่เธอทั้งรักและบูชากล่าววาจาไม่เหลือเยื่อใยออกมา
และถึงแม้ว่าภารดีจะอารมณ์เสียแค่ไหนก็ไม่เคยลงไม้ลงมือกับเธอสักครั้ง
“คุณแม่ที่แสนดีของพิมพ์ไม่มีอีกแล้วใช่ไหมคะ”
เด็กสาวเอื้อนเอ่ยคำพูดออกมาในที่สุด ก่อนจะค่อยๆ
ถอยห่างออกมาทั้งที่กลั้นก้อนสะอื้นไว้จนตัวโยน
ภารดีรู้สึกใจหายกับสิ่งที่ตัวเองได้กระทำลงไปแต่ด้วยทิฐิและความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีจึงเลือกที่จะหันหลังให้กับภาพสะเทือนใจนั้น
พิมพ์ชนกน้ำตาคลอขึ้นมาเมื่อเรื่องราวในอดีตทำให้เธอรู้สึกจุกที่หน้าอกจนอยากระบายออกมา
แต่แล้วก็รู้สึกว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวไปมาอยู่ตรงหน้าของเธอ
และก็เป็นหมวดศรุตนั่นเองที่ยืนแกว่งมือกลับไปกลับมา
“เป็นไรคุณ
เรียกก็ไม่ตอบหรือว่าถอดจิตไปไหนมา”
หมวดศรุตแขวะเข้าให้เมื่อเห็นว่าคุณหมอสาวกระพริบตาตอบสนอง
และถ้าดูไม่ผิดเขาเห็นว่าเธอมีน้ำตาคลอหน่วยตาอยู่ด้วย
“ฉันเองก็อยากลองถอดจิตไปสิงร่างคุณดูสักวัน
เผื่อจะได้รู้ว่าคุณคิดยังไงถึงได้ชอบแขวะฉันนัก” พิมพ์ชนกตอกกลับทันที
เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเวลาเจอหมวดศรุตทีไรทำไมเธอถึงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เลย
เป็นต้องต่อปากต่อคำกับเขาอยู่เรื่อย
“ไม่เอาหรอก
เดี๋ยวคุณก็เห็นอะไร อะไรของผมหมดสิ ผมอายนะ”
พูดพร้อมกับทำท่ากอดตัวเองอย่างน่าหมั่นไส้
“ทะลึ่ง
! ลามก”
หญิงสาวด่ากลับเสียงดังซึ่งผิดวิสัยของแพทย์ หญิงพิมพ์ชนกที่ใครๆ รู้จัก
“เอ้า
ใครลามกกันแน่ ผมหมายถึงเล็บขบต่างหากเป็นคุณจะอายไหมหละ” เขายังลอยหน้าลอยตาตอบ
“อี๋
ยิ่งทุเรศเข้าไปใหญ่ แหวะ” พิมพ์ชนกทำท่าสะอิดสะเอียน
แต่หมวดศรุตกลับหัวเราะชอบใจกับท่าทางของเธอ
“คุณนี่ประสาทหรือเปล่า”
พิมพ์ชนกไม่เข้าใจเอาซะเลยกับท่าทางของหมวดศรุต เขาดูมีความสุขอย่างมากทุกครั้งที่ได้แกล้งเธอ
“คงอย่างนั้น
แต่ถ้าแลกกับการได้เห็นคุณทำหน้าอย่างอื่นบ้างนอกจากเป็นเจ้าหญิงน้ำแข็ง
ผมว่าก็คุ้มนะ” คราวนี้เขาทำหน้าตาจริงจังไม่มีแววล้อเล่น
แต่มีประกายบางอย่างในดวงตาคู่นั้นที่ทำเอาหมอสาวรู้สึกวูบวาบแปลกๆ
“โอยเหนื่อยจังเลยแต่ก็สนุกเนาะน้องต่าย”
สายสมรเดินเร็วจนพุงกระเพื่อมตรงมาทางสองหนุ่มสาว
ก่อนจะหยิบขวดน้ำกรอกเข้าปากเสียงดังอึกอึก โดยมีปราณปรียาตามมาติดๆ
“เสร็จกันแล้วหรือคะ”
พิมพ์ชนกเอ่ยถามทันทีที่สองสาวนั่งบนเก้าอี้เรียบร้อย
“ค่ะ
ให้เด็กๆ พักเบรกสักสิบนาทีแล้วค่อยเริ่มชั่วโมงคุณหมอ” สายสมรชี้แจงแทนอีกคนที่นั่งนิ่ง
เพราะตั้งแต่เหตุการณ์วันก่อนนั้นปราณปรียาก็อับอายจนไม่กล้าจะสู้หน้าใครโดยเฉพาะพิมพ์ชนก
“น้องกระต่ายเก่งจังเลยนะคะ
ขนาดขายังไม่หายดีก็ยังอุตส่าห์มาสอนเด็กๆ” พิมพ์ชนกชื่นชมจากใจจริง
ปราณปรียาจึงยิ้มออกมาได้และมีสีหน้าคลายความกังวลขึ้นมาบ้าง
“จริงๆ
ก็ไม่ค่อยปวดเท่าไหร่แล้วค่ะ พาเด็กๆ ทำกิจกรรมจนลืมเรื่องเจ็บไปเลย”
ปราณปรียาตอบกลับด้วยน้ำเสียงแจ่มใสรู้สึกคลายความอึดอัดขึ้นมาหน่อยที่พิมพ์ชนกไม่แสดงอาการไม่พอใจออกมา
“น้องกระต่ายเธอมีหมอดีค่ะ
คอยส่งหยูกยาอยู่ไม่ขาดถึงได้หายวันหายคืนยังไงคะ” สายสมรเอ่ยแซวด้วยความสนุกปาก
โดยลืมไปว่าจะทำให้ใครต้องคิดหนักหรือไม่
พิมพ์ชนกชะงักไปครู่หนึ่งกับคำบอกเล่าของสาวร่างอวบ
ส่วนปราณปรียาถึงกับทำหน้าตาเหยเกหันไปบิดแขนสาวรุ่นพี่เป็นการลงโทษ
พร้อมกับกระซิบที่ข้างหู เป็นผลให้สายสมรยิ้มแหยๆ อย่างลุแก่โทษ
“พี่หมอนนะ
หาเรื่องให้ต่ายอีกแล้วไหมหละ”
หมอสาวฝืนยิ้มให้ทุกคนทั้งที่เจ็บจุกไปหมด
หมวดศรุตเองก็พลอยรู้สึกแย่กับเธอไปด้วย
เพราะเข้าใจความรู้สึกของพิมพ์ชนกในตอนนี้ดีซึ่งไม่ได้ต่างอะไรกับเขาเลย
“พิมพ์ขออนุญาตเตรียมเอกสารบรรยายก่อนแล้วกันนะคะ”
หมอสาวบอกพร้อมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ตามแบบฉบับของเธอ
บรรยากาศการรับประทานอาหารเย็นที่บ้านใหญ่ดูชื่นมื่นขึ้นเนื่องจากมีแขกคนพิเศษคือผู้กำกับจักรวาลและศรีภรรยาอย่างคุณนวลอนงค์พร้อมด้วยอรุณสวัสดิ์บุตรชายร่วมโต๊ะด้วย
ซึ่งเจ้าบ้านให้การต้อนรับอย่างดีทุกครั้งที่พี่ชายและพี่สะใภ้เดินทางมาเยี่ยมเยียน
อรทัยมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสผิดกับเวลาปกติที่ผู้กองหนุ่มมักเห็นเพียงความเฉยชาจากผู้เป็นมารดา
“แล้วนี่ทิวาเป็นอย่างไรบ้างคะพี่นวล
ตั้งแต่โตเป็นสาวยังไม่ได้เจอตัวสักครั้ง” นางอรทัยเอ่ยถามพี่สะใภ้ถึงบุตรสาวอีกคน
เมื่อทั้งหมดย้ายมานั่งรับลมที่ลานระเบียงหน้าบ้าน
“ขานั้นไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก
ตั้งแต่เรียนจบมาก็เอาแต่ขลุกอยู่ที่ภูนับดาว” คุณนวลอนงค์ว่ายิ้มๆ
เมื่อกล่าวถึงบุตรสาวแสนดื้อของตัวเอง
“ก็ทิวาเขาชอบทำไร่มาแต่ไหนแต่ไร
สมัยเด็กอรยังจำได้พอถึงหน้าทำนายายทิวาเป็นต้องกลายร่างเป็นขอมดำดินทุกที”
อรทัยพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดูหลานสาว
เมื่อนึกถึงภาพที่เด็กหญิงทิวาสวัสดิ์ดำผุดดำว่ายอยู่ในนาข้าวที่มีแต่โคลนเหลวๆ
ขณะที่คนอื่นๆ กำลังปักดำกันอยู่
“ตอนนี้เห็นว่ามีโปรเจคใหม่จะทำสวนสมุนไพรไว้เป็นที่ศึกษาดูงานอะไรของเขานี่แหละ”
ถึงจะไม่ชอบใจนักที่บุตรสาวเพียงคนเดียวไม่ได้มีคุณสมบัติเฉียดใกล้คำว่ากุลสตรีเลย
แต่ทิวาสวัสดิ์ก็เป็นคนที่มุ่งมั่นตั้งใจและสิ่งที่ทำก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
นวลอนงค์จึงออกแนวตามใจบุตรสาวเสียมากว่า ผิดกับผู้เป็นบิดาที่ขัดใจเพราะทั้งลูกชายและลูกสาวต่างก็ส่ายหัวที่จะรับราชการเหมือนเช่นตน
“ทั้งลูกสาว
ลูกชายไม่ได้ดั่งใจสักคน
ไม่เหมือนแม่อรที่อย่างน้อยตาวินก็สืบทอดเจตนารมณ์ของตระกูลเรา”
คราวนี้ผู้กำกับจักรวาลเอ่ยขึ้นบ้าง แม้น้ำเสียงจะไม่ขึงขังเหมือนที่ผ่านมาแต่คนฟังก็รู้สึกได้ว่าคนพูดยังคงไม่ชอบใจอยู่
ผู้กองภวินท์ชำเลืองมองไปที่ผู้เป็นมารดา
และได้เห็นว่าอรทัยยิ้มรับคำชมของพี่ชายอย่างเสียมิได้
เขาจำต้องหันกลับมาเมื่อรู้สึกวูบโหวงอยู่ภายในอกจึงเสยกถ้วยชาในมือขึ้นมาจิบ
นวลอนงค์สังเกตอาการของหลานชายด้วยความรู้สึกหนักใจ
เพราะไม่ว่าจะกี่ครั้งที่มาเยี่ยมเยียนดูเหมือนว่าสถานการณ์ระหว่างสองแม่ลูกคู่นี้จะไม่มีแนวโน้มดีขึ้นเลย
“ตาอรุณเองก็เก่งเหมือนกัน
ดูไร่ภูธรของเราสิทุกวันนี้เป็นที่รู้จักทั้งหน่วยงานราชการและเอกชนต่างก็สนใจมาดูงานที่นี่ทั้งนั้น
รู้สึกว่าตอนนี้ก็มีเข้าค่ายกันด้วยใช่ไหม”
อรทัยหันไปขอความเห็นจากอรุณสวัสดิ์บ้าง เพื่อลดความตึงเครียดของพ่อลูกคู่นี้ ผู้กำกับจักรวาลเองก็มีบุคลิกนิสัยใจคอคล้ายกันกับนาง
คือออกจะเป็นคนเอาแต่ใจและเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่บ้าง
“ครับน้าอร
เป็นค่ายของเด็กเยาวชนกลุ่มเสี่ยงปัญหายาเสพติด
เจ้าของโครงการอยากให้เด็กรุ่นใหม่ปรับทัศนคติในการดำเนินชีวิตโดยอาศัยการปฏิบัติจริงด้วย”
อรุณสวัสดิ์อธิบายด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ
“ก็ดีนะ
ถ้าได้ลงมือปฏิบัติด้วยก็จะเป็นการฝึกความอดทนให้กับเด็กๆ เขา” นางอรทัยกล่าวเสริม
“แล้วค่ายมีถึงวันไหนกันตาอรุณ”
นวลอนงค์เอ่ยถามบุตรชายขึ้นบ้าง
“กำหนดการบอกไว้
9 วัน ก็เหลืออีก 6
วันครับคุณแม่มีอะไรหรือเปล่าครับ”
อรุณถามมารดากลับพร้อมกับสังเกตอาการของนางนวลอนงค์ว่าจะเป็นอย่างที่เขาคิดหรือไม่
“เปล่า
ก็แค่เห็นว่าเราไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว เจ้าทิวาก็บ่นคิดถึงอยู่เหมือนกันเห็นว่าอยากกินข้าวพร้อมหน้ากันสักครั้ง
ใช่ไหมคุณ” คุณนวลอนงค์ว่าพร้อมกับหันไปสะกิดสามี
“อือ...”
ผู้กำกับจักรวาลจำต้องคล้อยตามภรรยา ไม่อย่างนั้นอาจถูกคาดโทษจากอีกฝ่าย อรุณสวัสดิ์อมยิ้มกับท่าทางของผู้เป็นมารดา
อยากให้กลับบ้านแบบนี้คงไม่มีเรื่องอะไรนอกจากนัดลูกสาวเพื่อนมาให้เขาดูตัวเสียมากกว่า
แล้วที่อ้างทิวาสวัสดิ์นั่นยิ่งฟังไม่ขึ้นไปกันใหญ่
“มีอะไรที่น้าไม่รู้หรือเปล่า”
อรทัยสงสัยท่าทางของคนบ้านนี้จึงเอ่ยถามขึ้น
“จะมีอะไรหละครับ
นอกซะจากว่าวางแผนหาคู่ดูตัวให้ผม” อรุณสวัสดิ์เอ่ยอย่างรู้ทัน
“เหอะ..ทำเป็นยิ้มไปเถอะเราหนะมันไม่ใช่อายุน้อยๆ
แล้วนะจะสามสิบอยู่แล้ว แม่เห็นคนอื่นเขาอุ้มหลานมาอวดกันก็อยากได้บ้างสิ”
นวลอนงค์ตัดพ้อลูกชายคนเดียวด้วยที่ผ่านมาไม่เคยเห็นชายหนุ่มมีเรื่องผู้หญิงมาเข้าหูเลย
ทั้งที่ลูกชายของนางก็ออกจะหล่อเหลาเอาการถึงเพียงนี้
ผู้กองภวินท์ที่นั่งฟังเหตุการณ์อยู่ถึงกับยิ้มขำ
แต่แล้วก็ต้องหน้าเศร้าลงเมื่อนึกเปรียบตัวเองกับอรุณสวัสดิ์ที่มีครบสมบูรณ์ทั้งพ่อแม่และน้องสาวที่น่ารักอย่างทิวาสวัสดิ์
ถึงแม้วันนี้เขาจะไม่ได้เรียกร้องโหยหาความรักจากผู้เป็นบิดาแล้วก็ตาม แต่ความรักจากผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขาปรารถนามาตลอดตั้งแต่สูญเสียมันไปนี่สิดูช่างรางเลือนเหลือเกิน
“ผมรอให้เจ้าวินเป็นฝั่งเป็นฝาก่อนแล้วกัน
น่าจะอีกไม่นานหรอกครับคุณแม่” อรุณสวัสดิ์โยนของร้อนมาที่ผู้กองหนุ่มทันที
“จริงเหรอตาวิน
ลูกเต้าเหล่าใครกันป้ารู้จักไหม” คุณนวลอนงค์ทำเสียงตื่นเต้น
ส่วนสตรีอีกนางหนึ่งก็หูผึ่งเช่นกันแต่ยังคงทำหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่สนใจ
“จะตื่นเต้นอะไรกันนักคุณ
แค่หลานจะมีแฟน” ผู้กำกับจักรวาลส่ายหน้ากับท่าทางของศรีภรรยา
ที่ทำราวกับว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่ก็ไม่ปาน
“โธ่คุณป้าครับ
เจ้าอรุณแกล้งโยนระเบิดมาที่ผมต่างหาก”
เขาแกล้งบ่ายเบี่ยงแต่หัวใจนึกถึงใบหน้าของหญิงสาวอีกคน จึงเผลอยิ้มออกมาโดยปริยาย
“แม่ดูหน้ามันสิ
แล้วจะรู้ว่าใครพูดจริง” อรุณสวัสดิ์มิวายเอ่ยแซวผู้กองหนุ่มขึ้นมาอีก
ผู้เป็นลุงกับป้าจึงหัวเราะพร้อมกัน ส่วนอรทัยกลับรู้สึกใจหายเหมือนกำลังจะสูญเสียลูกชายไปอีกครั้ง
บรรยากาศในวงสนทนายังคงดำเนินไปอีกสักพักซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเปิดประเด็นโดยแขกคนพิเศษ
จนเวลาล่วงเลยมาเกือบสามทุ่มจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน
อรทัยยืนมองจากหน้าต่างห้องนอนลงไปยังทางเดิน
บุตรชายเพียงคนเดียวของนางกำลังมุ่งหน้าเดินลงเนินไปยังเบื้องล่างซึ่งไม่ใช่ทางกลับกระท่อมแน่นอน
ก่อนหน้านี้สักห้านาทีผู้กองภวินท์ยืนชั่งใจอยู่เป็นนานเมื่อตัดสินใจไม่ได้ว่าควรทำตามเสียงหัวใจหรือควรคำนึงถึงความเหมาะสมดีเพราะตอนนี้เวลาล่วงเลยมาเกือบจะสามทุ่ม
และเสียงจากค่ายก็เงียบลงไปแล้วคงจะแยกย้ายกันเข้าที่พักแล้วกระมัง
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดเบอร์ที่จำขึ้นใจแม้จะไม่เคยโทรเลยก็ตาม
เมื่อบันทึกเบอร์เรียบร้อยแอปพลิเคชั่นไลน์ก็แจ้งเตือนสถานะการเพิ่มเพื่อน
ผู้กองหนุ่มคิดเพียงว่าจะส่งไลน์ไปทักทายแม่กระต่ายน้อยก่อนสำหรับวันนี้
แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจยัดโทรศัพท์กลับลงกระเป๋ากางเกงแล้วตัดสินในเดินลงเนินไป
“พี่หมอนเห็นสมุดบันทึกของต่ายไหมคะ
เล่มสีเขียวอ่อนๆ” ปราณปรียาตะโกนถามสายสมรที่เพิ่งจะเข้าไปอาบน้ำต่อจากเธอ
“เอ
คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเห็นที่ไหนน้า อ๋อ
พี่หมอนเห็นวางอยู่บนโต๊ะในห้องประชุมแหนะ”
“จริงด้วยค่ะ
แหมต่ายนี่ขี้ลืมจังอุตส่าห์จดบันทึกไว้ว่าพรุ่งนี้จะทำกิจกรรมอะไร
ดันลืมสมุดบันทึกเฉยเลย”
หญิงสาวพูดไปด้วยขณะที่มือก็ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมตัวเอง
“งั้นเดี๋ยวต่ายไปเอาก่อนนะคะ
ห้องประชุมยังเปิดไฟอยู่เลยสงสัยยังทำความสะอาดกันอยู่”
“จ้า พี่ขอปลดทุกข์ก่อนแล้วกัน กินตำมั่วเยอะไปหน่อย” สายสมรร้องบอกด้วยน้ำเสียงอู้อี้
ปราณปรียาส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนเปิดประตูออกไป
ก็จะไม่ให้เข้าห้องน้ำได้อย่างไรในเมื่อวันนี้สายสมรโซ้ยตำมั่วไปตั้งสามจาน
ปราณปรียาเดินตรงเข้าไปหาคนงานหญิงวัยกลางคนที่กำลังเก็บกวาดทำความสะอาดในห้องประชุมอยู่
เพราะเธอหาสมุดบันทึกไม่เจอทั้งที่นึกได้ว่าลืมอยู่บนโต๊ะแท้ๆ
“น้าคะเห็นสมุดเล่มเล็กๆ
สีเขียวๆ ที่อยู่บนโต๊ะตรงโน้นไหมคะ”
“อ๋อ..”
คนงานหญิงกำลังจะอ้าปากตอบแต่ก็ต้องงับปากลงอย่างอัตโนมัติ
เมื่อมีสัญญาณจากคนข้างหลังหญิงสาวว่าไม่ให้พูด
จึงได้แต่อมยิ้มและเดินถอยห่างออกไป ปราณปรียาได้แต่งงกับท่าทางแปลกๆ นั้น
ก่อนจะหันหลังกลับเพื่อตามหาสมุดบันทึกต่อไป
“อุ้ย
! “
ปราณปรียาสะดุ้งตกใจเมื่อหันกลับมาเจอผู้กองภวินท์ที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนเกือบชนกับหน้าของเธอ
“หานี่อยู่เหรอ”
เขาโชว์สมุดบันทึกในมือขึ้นมาพร้อมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
เป็นโชคดีที่เขาเห็นไฟห้องประชุมเปิดอยู่จึงเดินเข้ามาดูถึงได้รู้ว่าปราณปรียาลืมของไว้
ปราณปรียารู้สึกถึงลางไม่ดีเมื่อเห็นรอยยิ้มของเขาเหมือนงานจะเข้า
“ขอคืนด้วยค่ะ” ปราณปรียาแบมือเป็นเชิงขอของคืน แต่อีกฝ่ายกลับทำท่าไม่ได้ยินและไม่ยอมคืนให้ง่ายๆ
“ผู้กองคะขอสมุดคืนด้วยค่ะ”
ปราณปรียาหลับตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กับท่าทางยียวนของเขา
“คืนง่ายๆ
ได้ยังไง ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อกันหน่อย”
เขายิ้มเจ้าเล่ห์อยากแกล้งถ่วงเวลาเพื่อให้สมกับที่ไม่ได้เห็นหน้าปราณปรียามาหลายวัน
“หื้อ
อย่างนี้ก็มีด้วยสมุดก็ของฉันแล้วถ้าคุณไม่มาเจอ ฉันก็จะออกมาเอาอยู่แล้ว ไม่เห็นคุณจะได้ลงแรงอะไรที่ใพอจะมาเรียกร้องเอาของแลกเปลี่ยนเลย”
ปราณปรียาทำเสียงขึ้นจมูกก่อนร่ายยาว
หมั่นไส้คนเจ้าแผนการนักไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนอีก
“นั่นไง
คุณมาไม่ทันเห็นว่าแม่บ้านเขากำลังจะทิ้งถังขยะ ดีที่ผมมาทันไม่อย่างนั้นคงถูกมัดในถุงดำไปแล้ว”
ผู้กองหนุ่มพูดปดคำโต แถมยังทำหน้าตาจริงจังเกินเหตุ หญิงสาวย่นจมูกอย่างไม่เชื่อนัก
ใครจะบ้าทิ้งได้ก็เห็นอยู่ว่าเป็นสมุดชัดๆ
“เฮ้อ
เอาที่สบายใจเถอะค่ะ ฉันง่วงแล้วขี้เกียจจะเถียงด้วย
สมุดนั่นฝากไว้ที่คุณก่อนก็แล้วกัน”
ปราณปรียาเกิดไม่สนใจสมุดบันทึกขึ้นมาซะอย่างนั้น แล้วก็เดินหนีไปดื้อๆ
ผู้กองหนุ่มถึงกับงงเมื่อทุกอย่างผิดแผนไปหมด
“ได้ยังไงกัน
ผมไม่รับฝากของใครง่ายๆ นะจะบอกให้” เขาเดินตามหลังปราณปรียามาติดๆ เมื่อเห็นว่าเธอไม่สนใจใยดีตัวประกันในมืออีกต่อไป
และเขาก็เพิ่งสังเกตว่าผมของเธอยังไม่แห้งสนิทแล้วจะไปนอนได้อย่างไร
“คืนให้ก็ได้”
เขายอมในที่สุด ปราณปรียาจึงหยุดเดินพร้อมกับอมยิ้มอย่างพอใจ
ก่อนจะปรับสีหน้าเรียบเฉยแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา ที่ยื่นสมุดรออยู่ก่อน
“อย่าลืมเป่าผมให้แห้งก่อนนอนด้วยนะกระต่ายน้อยผมเป็นห่วง
อ้อ ขอบคุณสำหรับข้าวต้มมัดด้วย” ประโยคนี้ของเขาและสายตาที่สื่อว่าเขารู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ
นั่นทำเอามือของปราณปรียาสั่นจนสมุดบันทึกแทบร่วง และยังรู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้าราวกับว่าเขาคือไฟกองใหญ่ที่กำลังแผดเผาเธอ
“ค่ะ”
ปราณปรียาก้มหน้ารับคำก่อนที่จะรีบหันหลังเดินกลับห้อง ไม่อย่างนั้นเธออาจจะหัวใจวายตายลงตรงนี้
จากนั้นก็นึกไปถึงแม่อวนที่ไม่ยอมทำตามคำขอของเธอซะอย่างนั้น
ผู้กองหนุ่มเองก็นึกเขินกับคำพูดของเขาเช่นกัน
พอรู้สึกตัวอีกทีก็พูดออกไปแล้วแต่ก็ถือว่าผลงานเป็นที่น่าพอใจคุ้มค่าที่อุตส่าห์เดินลงเนินมา
ปราณปรียากลับเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าแดงจัด
เธอรีบวิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อสงบสติอารมณ์และบังคับจังหวะการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติอยู่เป็นนาน
จึงหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาเปิดแก้เก้อเขินแต่แล้วก็ต้องสะดุดตากับข้อความในหน้าที่ปากกาคั่นอยู่
(
คุณติดหนี้ผมหนึ่งครั้งแล้วนะ...อย่าลืม )
“ฮึ
! คนเจ้าเล่ห์”
หญิงสาวย่นจมูกใส่สมุดบันทึกราวกับว่ามันคือตัวแทนของผู้กองหนุ่มซะอย่างนั้น
.......................................................................................
ความคิดเห็น