คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : ไร่ภูธร
ผู้กองหนุ่มกำลังขะมักเขม้นอยู่บนหลังควายเหล็กสีส้มคันเล็ก
เขาขับรถไถกลับไปกลับมาเพื่อไถพรวนดินสำหรับเตรียมไว้ปลูกพืชผล
เป็นการใช้เวลาว่างได้คุ้มค่ามากและทำให้เขาเองแทบไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นเลย
เพราะวันทั้งวันเขาเอาแต่ขลุกอยู่ที่หลังกระท่อมของตัวเองใช้เวลาหมดไปกับการเตรียมพื้นที่เพื่อหว่านพืชผลแต่ละชนิดตามที่คิดแปลนเอาไว้
แม้ว่ามือของเขาจะถนัดจับปืนแต่เรื่องการทำนาทำสวนเขาเองก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน
เพราะเขาเองก็มีเลือดของชาวนาอยู่ครึ่งหนึ่ง
วันนี้ชายหนุ่มเริ่มลงมือเตรียมแปลงตั้งแต่เช้าจนเวลานี้ก็ล่วงเลยมาเกือบจะครึ่งวัน
หากใครมองไกลๆ ก็คงดูไม่ออกว่านี่คือผู้กองภวินท์ลูกชายเจ้าของไร่ภูธรแห่งนี้
เพราะเขาใส่กางเกงยีนส์เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเดียวกัน บนศีรษะสวมหมวกสานปีกกว้างใบใหญ่ทำให้มองเห็นเพียงครึ่งหน้าด้านล่างเท่านั้น
แล้วยังผูกผ้าขาวม้าไว้ที่เอวอีกด้วย
เขาขับรถไถเข้ามาจอดเทียบบริเวณคูดินที่เกิดจากฝีมือตนเองพร้อมกับดับเครื่องยนต์
เมื่อมองเห็นว่ามีใครยืนโบกไม้โบกมืออยู่ตรงนั้น
“มาถึงนานแล้วเหรอ”
ผู้กองหนุ่มกระโดดลงจากรถไถนายุคใหม่ พร้อมกับเอ่ยทักผู้หมวดรุ่นน้อง
“สักพักแล้วพี่
เคลียร์เด็กๆ เข้าที่พักเสร็จผมก็รีบมารายงานตัวเลยครับผม”
หมวดศรุตทำท่าตะเบ๊ะล้อเลียน
ก็ดูเอาเถอะผู้กองหนุ่มสุดหล่อกลายมาเป็นหนุ่มชาวไร่ไปซะแล้ว แต่ก็แปลกไม่ว่าผู้กองภวินท์จะทำอะไรก็ดูเหมือนเขาจะชำนาญไปหมด
นี่ขนาดเขาเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังอดคิดไม่ได้เลยว่าผู้กองดูหล่อเท่ห์ไปอีกแบบ
“ล้อเลียนฉันเหรอ
ระวังเถอะเดี๋ยวจะได้ลาพักร้อนโดยไม่รู้ตัว” เขาทำเสียงเข่นเขี้ยว
ขณะที่จับชายผ้าขาวม้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่ซึมอยู่ตามใบหน้า
“เปล่าคร้าบ
ผมก็แค่แวะเอาข้าวต้มมัดมาให้”
หมวดศรุตยื่นตะกร้าสานใบเล็กที่บรรจุข้าวต้มมัดอยู่ประมาณเกือบสิบคู่ได้ส่งให้ผู้กองภวินท์
“นายแบ่งไปกินสิ
เยอะขนาดนี้กินไม่หมดหรอก”
“แน่ใจนะว่าจะแบ่งให้ผมจริงๆ”
หมวดศรุตทำหน้าตากรุ้มกริ่ม ตั้งใจให้ภวินท์ผิดสังเกตและก็สมความตั้งใจ
“มีอะไรก็ว่ามาฉันมีงานต้องทำอีกเยอะ
อย่าลีลา” ภวินท์หมั่นไส้ไอ้คนเจ้าเล่ห์นัก
“ก็ไม่มีอะไร
ก็แค่จะบอกว่าน้องกระต่ายเธอ...” แกล้งลากเสียงยาว
จนอีกคนรีบโพล่งขึ้นมาด้วยความลืมตัว
“คุณกระต่ายเป็นอะไร”
“เธอ...”
“ไอ้ศรุต
! ” ภวินท์ทำเสียงเข้มอย่างเหลืออดกับความยียวนของหมวดรุ่นน้อง
และถ้าหากเขายังไม่รู้เรื่องภายในวินาทีนี้คงต้องมีคนเจ็บตัวอย่างแน่นอน
“เธอเป็นคนห่อข้าวต้มมัดไง”
พูดแล้วก็กระโดดแผล่วจากวิถีบาทาอย่างรวดเร็ว
พร้อมกับหันมาตะโกนก่อนจะรีบวิ่งแจ้นลงเนินไป
“คนห่อข้าวต้มเขาก็มาด้วยนะ”
พอคล้อยหลังหมวดศรุต
ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะหยิบข้าวต้มมัดขึ้นมาดู ก่อนจะมีรอยยิ้มขันปรากฏบนใบหน้าเพราะดูจากรูปพรรณสัณฐานที่บิดเบี้ยวของข้าวต้มแล้วคงไม่ใช่ฝีมือย่าอวนอย่างแน่นอน
แต่เดี๋ยวก่อน เมื่อเขาพิจารณาดูดีๆ มีกระดาษแผ่นเล็กๆ สอดอยู่ในมัดข้าวต้ม
เขาไม่รีรอที่จะแกะออกมาดูและสิ่งที่เห็นคือตัวเลขขึ้นต้นด้วยศูนย์ซึ่งน่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์ของใครสักคนมากกว่าจะเป็นอย่างอื่น
และลายมือแบบนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแน่นอกจากคุณย่าจอมจุ้นของเขานั่นเอง
ภวินท์อมยิ้มก่อนจะหันซ้ายหันขวาเพื่อดูให้แน่ใจว่าผู้หมวดจอมทะเล้นไปพ้นจากบริเวณนี้แล้ว
จึงยัดกระดาษแผ่นนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อตรงหน้าอก
ก่อนจะกระโดดขึ้นหลังรถไถเพื่อทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จเสียที
คณะผู้จัดงานโครงการค่ายพัฒนาอาชีพสำหรับเยาวชนนัดประชุมกันเพื่อสรุปงานก่อนจะเริ่มกิจกรรมในช่วงบ่ายของวันนี้
ปราณปรียา สายสมร หมวดศรุต พิมพ์ชนกและปลัดเอกภพรวมตัวกันอยู่ใต้ร่มจามจุรีต้นใหญ่หน้าโรงนอน
ซึ่งโรงนอนนั้นเป็นอาคารชั้นเดียวมีสองหลังแยกเป็นโรงนอนชายและโรงนอนหญิง ถัดมาคือโรงอาหาร
ส่วนอาคารหลังตรงกลางเป็นหอประชุมใหญ่สำหรับจัดกิจกรรมร่วมกัน
และตรงกลางคือสนามหญ้ามีเสาธงอันใหญ่ตั้งอยู่ทางฝั่งโรงนอนทั้งสองหันหน้าเข้าหาห้องประชุม
สักพักมีชายหนุ่มหน้าตาคมคายคนหนึ่งตามมาสมทบ
โดยทั้งหมดนั่งล้อมวงกันบนโต๊ะม้าหินอ่อน ปลัดเอกภพนั่งหัวโต๊ะฝั่งซ้ายมือคือสายสมร
ถัดมาเป็นปราณปรียา หมอพิมพ์ชนก หมวดศรุต และอรุณสวัสดิ์วิทยากรประจำศูนย์สาธิตการเกษตรแห่งนี้
“ผมว่าเราควรจะเพิ่มนันทนาการเข้าไปอีกหน่อย
ถ้าจะให้ดีจัดเนื้อหาแทรกเข้าไปในกิจกรรมพวกนี้ด้วยจะยิ่งดีใหญ่ เพราะกลุ่มเป้าหมายเป็นเยาวชนทั้งนั้นเรื่องระเบียบวินัยคงต้องหย่อนกันหน่อย
พวกคุณว่ายังไงครับ” ปลัดเอกภพเสนอขึ้นเป็นคนแรก ไม่น่าเชื่อว่าปลัดขี้หลีอย่างเขาเมื่อถึงเวลาทำงานก็มีหลักการน่าเชื่อถือได้
“ต่ายเห็นด้วยกับปลัดค่ะ
ถ้าเราจะเอาสาระเยอะเกินไปพวกเด็กๆ อาจจะเบื่อและไม่อยากให้ความร่วมมือเท่าที่ควร”
ปราณปรียาเห็นคล้อยตามปลัดเอกภพ
แต่ไม่ใช่เพราะความรู้สึกส่วนตัวเธอเพียงคิดเห็นตามหลักการทางทฤษฎีที่ร่ำเรียนมาก็เท่านั้น
แต่ปลัดขี้หลีก็เผลอยิ้มปลื้มปริ่มเข้าข้างตัวเองไปซะแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นกิจกรรมนันทนาการผมขอเป็นตัวหลักแล้วกันนะครับ
ส่วนสาระพวกคุณก็จัดการกันได้เลย ทีมงานผมถนัดดีดสีตีเป่ามากกว่า”
หมวดศรุตแสดงความคิดเห็นบ้าง
“พี่หมอนขอแจมนันทนาการด้วยคนนะคะ
ถ้าจะให้สาระกลัวเด็กไม่เชื่อค่ะ”
“ยินดีครับพี่หมอน
ผมขาดคนยกกลองพอดีเลย” หมวดศรุตแกล้งเย้าสายสมรเล่น ส่งผลให้คนอื่นๆ
หัวเราะไปกับท่าทางค้อนปะหลับปะเหลือกของสาวใหญ่ร่างอวบอ้วน
“เอาเถอะ ถ้าพี่หมอนสวยเหมือนหมอพิมพ์เมื่อไหร่ก็อย่ามาง้อแล้วกัน”
“ฮื่อ พิมพ์ไม่เกี่ยวนะคะ”
พิมพ์ชนกถึงกับสะดุ้งเมื่อต้องเข้าไปอยู่ในหัวข้อสนทนาโดยไม่ทันตั้งตัว
“สวยแบบดุๆ
อย่างนี้ผมก็มิกล้าหรอกครับ” คราวนี้หมวดศรุตหันมาแขวะคนข้างๆ บ้าง
จึงได้รับสายตาเอาเรื่องกลับไป
“คุณอรุณมีอะไรจะเพิ่มเติมไหมครับ”
ปลัดเอกภพหันไปถามความเห็นของเจ้าของพื้นที่บ้าง
อรุณสวัสดิ์ยิ้มกว้างก่อนจะพูดขึ้นเป็นครั้งแรก
“ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ
ส่วนของผมจะเน้นปฏิบัติอยู่แล้วพวกคุณจัดตารางกันตามสบาย
ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงก็แค่แจ้งผมล่วงหน้าก่อนสักวันเท่านั้น”
“พี่หมอนอยากเรียนปฏิบัติกับคุณอรุณสองต่อสองจังเลยค่ะ
จัดตารางเป็นเย็นนี้เลยได้ไหมคะ” สายสมรทำหน้าเคลิบเคลิ้ม จนอรุณและคนอื่นๆ
หัวเราะออกมาพร้อมกัน
ทั้งหมดปรึกษาหารือกันอีกสักพักจึงแยกย้ายกันเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับพิธีเปิดงานโครงการ
ซึ่งมีผู้หลักผู้ใหญ่อย่างนายอำเภอเป็นประธานในพิธี โดยที่ทุกคนหารู้ไม่ว่าการกระทำนั้นของพวกเขาตกอยู่ในสายตาของผู้กองภวินท์ที่ใช้กล้องส่องทางไกลสอดแนมมาจากระเบียงกระท่อมบนเนินซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณห้าร้อยเมตร
หลังจากที่เสร็จสิ้นพิธีเปิด
กลุ่มผู้เข้าอบรมประมาณ 50 คนซึ่งเป็นเยาวชนได้แยกย้ายกันเข้าที่พักและพักผ่อนตามอัธยาศัยโดยนัดหมายกันอีกครั้งเวลาหกโมงเย็นเพื่อรับประทานอาหาร
และทำกิจกรรมร่วมกันตามกำหนดการจนถึงเวลาประมาณสามทุ่มของทุกวัน
ปราณปรียาซึ่งได้โอกาสจึงยืมจักรยานของทางศูนย์ออกสำรวจพื้นที่ในไร่ภูธรตามที่ตั้งใจไว้
เพราะเห็นบรรยากาศภายในไร่แล้วแทบไม่น่าเชื่อว่าที่นี่อยู่ในภาคอีสาน เธอนึกเอาเองว่าคงมีแต่ทางภาคเหนือมากกว่า
ส่วนสายสมรพออาบน้ำเสร็จก็นอนหลับปุ๋ยเนื่องจากที่พักของเจ้าหน้าที่เป็นห้องพักแยกจากโรงนอนและมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกทุกอย่างราวกับห้องพักในรีสอร์ทเลยทีเดียว
ปราณปรียาเลือกแวะเข้าไปในโรงเรือนที่ติดป้ายว่า
“ผักสวนครัว” เมื่อจอดจักรยานเรียบร้อยจึงสังเกตเห็นว่ามีคนอยู่ในโรงเรือนนี้ด้วย
น่าจะเป็นคนงานในไร่นี้กระมัง หญิงสาวเดินสำรวจดูพืชผักที่ถูกเพาะอยู่ในถาดหลุมพลาสติก
บางถาดก็ดูไม่ออกว่าคือต้นอะไรเพราะยังเล็กอยู่ ส่วนพวกที่โตแล้วถูกแยกออกมาไว้ในกระถาง
ด้วยความสงสัยว่ามีต้นอะไรบ้างเพราะไม่มีการติดชื่อไว้จึงตัดสินใจเดินไปถามคนงานในไร่ที่กำลังก้มๆ
เงยๆ อยู่ที่แถวถัดกันไป
“พี่คะ
ต้นนี้เขาเรียกว่าต้นอะไรคะพี่” หญิงสาวคิดเอาเองว่าคนงานน่าจะแก่กว่า
แต่ถ้าไม่ก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติอีกฝ่าย
ถามเสร็จก็หันกลับไปให้ความสนใจกับพรรณไม้ตรงหน้า
“นั่นเป็นต้นอ่อนของแมงลักครับ
เพาะจากเมล็ด”
ปราณปรียา
เป็นอันต้องชะงักเมื่อน้ำเสียงที่ตอบกลับมาดูคุ้นหูเหลือเกิน
หรือว่าเธอจะเป็นเอามากจนหูฝาด
แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองต้นเสียงจึงได้รู้ว่านี่คือความจริง
หญิงสาวถึงกับทำหน้าเหวอ
เมื่อผู้กองหนุ่มที่เธอเคยรู้จักจะกลายร่างมาเป็นเกษตรกรเต็มตัวอย่างนี้
ดูจากผ้าขาวม้าคาดเอวนั่นปะไร
“ทำหน้ายังกะเห็นผี”
ผู้กองภวินท์ว่า เมื่อหญิงสาวทำหน้าราวกับเห็นมนุษย์ต่างดาว
“คุณ..มาทำอะไรที่นี่เหรอคะ” ปราณปรียาถามขึ้นเมื่อตั้งสติได้ เพราะเธอไม่เห็นว่ามีรายชื่อของผู้กองภวินท์ร่วมเป็นคณะทำงานในครั้งนี้ด้วย
“ผมก็กลับมาบ้านผมสิคุณ
อุตส่าห์ได้ลาพักผ่อนทั้งที” ชายหนุ่มบอก แต่ท้ายประโยคน้ำเสียงแกมประชดนิดหน่อย
“อย่าบอกนะว่านี่เป็นไร่ของคุณ”
หญิงสาวเริ่มนึกออกว่าอะไรเป็นอะไร
เมื่อชายหนุ่มพยักหน้าหงึกหงักก็ทำให้ปะติดปะต่อเรื่องได้ง่ายขึ้น
มิน่าหละเธอถึงได้รู้สึกคุ้นๆ กับนามสกุลของเจ้าของไร่ตอนที่อ่านประวัติของที่นี่
ชายหนุ่มคงจะเป็นลูกหลานกับเจ้าของไร่เป็นแน่
แต่เขาจะเป็นอะไรกันก็ไม่เกี่ยวกับเธอสักหน่อยนี่นา
“แล้วคุณกำลังทำอะไรอยู่เหรอคะ”
ปราณปรียาลืมเรื่องเคืองใจไปเสียสนิท ทั้งที่ก่อนหน้านี้แอบน้อยใจเขาอยู่
“อ๋อ ผมกำลังเลือกดูผักสวนครัวที่จะปลูกพอดี แมงลักก็ไม่เลวนะไว้ใส่แกงอ่อมอร่อยอย่าบอกใคร” ว่าแล้วก็นั่งลงเลือกต้นอ่อนแมงลักในถาดเพาะพลาสติก จากนั้นจึงใช้ช้อนพรวนขนาดเล็กจิ้มต้นอ่อนแมงลักออกมาโดยยังมีดินเกาะอยู่ที่รากและห่อด้วยใบตองกล้วยอีกที ปราณปรียายืนมองการ
กระทำของชายหนุ่มด้วยความสนใจ
“โหระพาด้วยค่ะ
ไว้ใส่แกงเผ็ดก็อร่อยเหมือนกัน แต่เอ แล้วไหนหละค่ะต้นอ่อนโหระพา”
หญิงสาวสอดส่ายสายตาหาเจ้าโหระพาที่ว่า ภวินท์จึงลุกเดินไปหยิบจากอีกแถวยื่นให้ดู
“ทำไมถึงเอาไว้คนละที่กับแมงลักหละคะ
น่าจะวางรวมกันจะได้หาง่ายๆ” ปราณปรียาเข้าใจว่าเป็นพืชตระกูลเดียวกัน และเป็นผักที่ใช้ประโยชน์คล้ายกันควรจะจัดให้อยู่แถวเดียวกันเพื่อง่ายต่อการศึกษาดูงาน
“ที่ไม่วางใกล้กันก็เพราะว่าพอเค้าโตแล้วจะได้ลูกครึ่งแบบนี้ไง”
ภวินท์อธิบายพร้อมกับหยิบกระถางใบหนึ่งขึ้นมาประกอบ ปราณปรียาพินิจดูต้นแมงลักที่ใบมีรูปร่างใหญ่กว่าปกติ
พอก้มลงไปดมกลิ่นกลับได้กลิ่นเหมือนแมงลักปนกับกลิ่นโหระพาซะอย่างนั้น
“แปลกจัง
ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะ แล้วทำไมถึงเป็นอย่างนั้นหละคะ”
ปราณปรียาซักต่ออย่างสนใจ
“ผมเองก็ไม่รู้ในหลักการเหมือนกัน
แต่เคยลองปลูกด้วยกันแล้วก็ได้ต้นอย่างนี้มาจริงๆ
คงต้องถามนายอรุณเขาถึงจะอธิบายได้” เขาพูดยิ้มๆ แม้ว่าชายหนุ่มจะดูคล้ำลงจากเดิมแต่สีหน้าของเขาเวลานี้ดูสดใสและมีความสุขเวลาพูดคุยเรื่องต้นไม้ใบหญ้า
“แล้วจะเอาไปปลูกตรงไหนคะ”
ปราณปรียาซักต่ออย่างสนใจ เธอเองก็ชักอยากจะลงไม้ลงมือขึ้นมาและพาลนึกไปถึงป่ารกๆ
หลังห้องเช่าถ้าได้ผักสวนครัวไปปลูกก็คงดีไม่น้อย
“บนเนินหลังบ้านผมเอง
คุณสนใจจะดูงานไหม” เขาเห็นท่าทางสนอกสนใจของปราณปรียาจึงลองชวนดู
เขาเองก็ลืมเรื่องที่รบกวนจิตใจออกไปจนหมดสิ้นเมื่อเห็นความน่ารักสดใสของคนตรงหน้า
“ไปได้เหรอคะ”
“เจ้าของบ้านชวนเองทำไมจะไปไม่ได้หละ”
“แต่ว่า...เอ่อ”
ปราณปรียาเกิดติดอ่างขึ้นมาเมื่อคิดว่าไม่ควรเอาตัวไปใกล้ชิดกับเขาอีก แค่ที่ผ่านมาชายหนุ่มก็ทำเอาเธอสับสนหัวใจไม่น้อย
“ถ้าคุณไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรครับ”
ผู้กองหนุ่มพูดเสียงเรียบเจือประชดเพียงแต่สีหน้าของเขาหาได้บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
ทั้งสิ้น
นั่นปะไรเขาก็แค่ชวนตามมารยาท
ปราณปรียาคิดทึกทักเอาเองแม้หัวใจจะเรียกร้องหาในสิ่งที่เธอเองก็ไม่เข้าใจ
แต่สมองก็คอยสั่งว่าคงจะดูเป็นการไม่เหมาะสมหากเธอจะทำตัวสนิทสนมกับชายหนุ่มเกินไป
ก็เห็นกันอยู่ว่าเขามีหมอพิมพ์ชนกคอยดูแลเอาใจใส่
จะให้เธอทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็คงจะไม่ได้ในเมื่อเธอเองก็ชักไม่แน่ใจความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้เช่นกัน
ปราณปรียาขยับถอยหลังเมื่อความรู้สึกคับข้องใจเข้าเกาะกิน
แต่แล้วก็ต้องกรีดร้องสุดเสียงเมื่อเธอก้าวพลาดเหยียบเอาตะไคร่น้ำทำให้ลื่นและผงะหงายหลัง
โชคดีที่ภวินท์มือไวคว้าข้อมือไว้ได้ทัน
แต่ด้วยความตกใจทำให้ชายหนุ่มออกแรงมากเกินไปจังหวะที่ดึงปราณปรียาเข้ามาในวงแขนแรงปะทะอย่างรวดเร็วประกอบกับพื้นที่ลื่นทำให้ทั้งสองล้มกองลงไปกับพื้น
ในลักษณะที่ปราณปรียาทับอยู่บนตัวของผู้กองหนุ่มเต็มตัว
เกิดความเงียบขึ้นระหว่างหนุ่มสาวทั้งสอง
เมื่อสองสายตาสบเข้าหากันความรู้สึกที่ต่างฝ่ายต่างเก็บงำไว้ข้างในจึงถูกถ่ายทอดผ่านแววตาจนหมดสิ้น
ปราณปรียารู้สึกถึงจังหวะหัวใจของตัวเองที่กระหน่ำรัวราวกับตีกลอง แม้สมองสั่งการให้ถอยห่างแต่กลับไม่อาจละสายตาจากดวงตาคู่คมที่จ้องอยู่นั้นได้
ผู้กองภวินท์เองก็ไม่ต่างกันความใกล้ชิดทำให้เขารู้ใจตัวเองมากขึ้น
และอาการกระสับกระส่ายกระวนกระวายใจที่เป็นมาหลายวันดูเหมือนจะอันตรธานหายไปในชั่วพริบตาเมื่อเขาคิดว่าค้นพบสาเหตุของมันเข้าแล้ว
สติสัมปชัญญะของปราณปรียาเริ่มกลับมาเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ
ของเจ้าของสายตาระยิบระยับตรงหน้า
หญิงสาวขยับตัวให้หลุดจากการเกาะกุมของผู้กองหนุ่มซึ่งเขาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ก่อนจะลุกขึ้นยืนตั้งหลักและไม่กล้าแม้แต่จะหันมามองหน้าเขา
“คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
ภวินท์เอ่ยถาม เมื่อเขาเองก็ลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้ว
“ปะ
เปล่าค่ะ ฉัน ไม่เป็นไร”
ปราณปรียาเอียงหน้าตอบเพื่อซ่อนความหวั่นไหวให้พ้นจากสายตาคมที่จ้องมองมา
และหันไปใช้มือปัดโคลนที่เปื้อนตรงหัวเข่าออกแต่แล้วก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
“คงกระแทกกับพื้นตอนที่ล้มเมื่อกี้นี้
ไหนขอผมดูหน่อย” เขาบอก ก่อนจะนั่งยองๆ พร้อมกับก้มหน้าเข้ามาใกล้ๆ
กับหัวเข่าของปราณปรียา ซึ่งเธอใส่กางเกงสีครีมขาสั้นเสมอเข่าพอดี หญิงสาวเบี่ยงขาหลบด้วยความตกใจจึงถูกผู้กองหนุ่มดุเข้าให้
“อยู่นิ่งๆ
ก่อน” เขาเอ็ด พร้อมกับจับขาข้างที่บาดเจ็บของเธอไว้แล้วใช้มืออีกข้างเช็ดคราบโคลนออกด้วยผ้าขาวม้าของเขาจนสามารถมองเห็นรอยแผลได้ชัดขึ้น
ปราณปรียาแทบจะไม่หายใจขณะที่มองดูการกระทำของอีกฝ่าย
“เข่าคุณแตกแต่แผลไม่ลึกมาก
ล้างแผลให้สะอาดแล้วก็ใส่ยาก็พอ” ผู้กองหนุ่มทำตัวเป็นคุณหมอวินิจฉัยอาการเสร็จสรรพ
จากนั้นจึงลุกยืนแล้วจูงมือปราณปรียาให้เดินตาม
“จะทำอะไรคะ”
หญิงสาวตกใจรีบชักมือกลับแต่ผู้กองหนุ่มยังมือเหนียวไม่ยอมปล่อย
“ไปล้างแผลสิคุณ
ตรงนู้นมีอ่างล้างมือกับสบู่พอแก้ขัดไปก่อน” เขาบอกพร้อมกระตุกแขนให้เธอเดินตาม
“แต่..ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากมายนี่คะ
เดี๋ยวกลับไปล้างแผลที่ห้องก็ได้ค่ะ”
“ไม่ได้
เกิดเป็นบาดทะยักขึ้นมาจะทำยังไง อยากขาด้วนหรือไง”
เขาทำเสียงดุพร้อมกับทำหน้าเหนื่อยหน่ายในความประมาทของเธอ
“ฉันน่าจะเคยฉีดวัคซีนบาดทะยักมาแล้วนะคะถ้าจำไม่ผิด”
ปราณปรียายังคงดื้อแพ่งต่อไป
คราวนี้ผู้กองภวินท์เหลืออดจนไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วยแล้ว
เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ปราณปรียาคาดไม่ถึง
“ว้าย
! คุณปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ”
หญิงสาวอุทานด้วยความตกใจเมื่ออยู่ๆ ภวินท์ก็ช้อนตัวเธอขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน
อารามตกใจสองมือของเธอจึงโอบรอบคอเขาโดนอัตโนมัติ
“คุณนี่บทจะดื้อก็เหลือเกินจริงๆ
แล้วอย่าดิ้นหละไม่อย่างนั้นผมอาจจะทำคุณร่วงลงไปได้แผลเพิ่มอีก”
เขาก้มหน้าลงมาขู่ข้างๆ แก้มนวลที่กำลังเป็นสีระเรื่อ
ดูเหมือนคำขู่จะได้ผลเพราะปราณปรียาทำตัวเกร็งไม่กล้ากระดุกกระดิกเลยเมื่อขายาวๆ
ของเขาออกก้าวเดินไปยังจุดหมาย
เขาค่อยๆ
วางเธอลงอย่างนิ่มนวลบนเก้าอี้ไม้สี่เหลี่ยมตัวเล็กต่างกับคำขู่เมื่อครู่ลิบลับ
จากนั้นก็จัดการล้างแผลให้ด้วยสบู่เหลวอย่างเบามือ
แต่ถึงอย่างนั้นปราณปรียาก็รู้สึกถึงความแสบเมื่อสบู่โดนเข้ากับรอยแผล
เมื่อเช็ดแผลเสร็จแล้วชายหนุ่มหันมาพิจารณาเข่าอีกข้างของเธอว่าได้รับความเสียหายหรือไม่แต่ก็ไม่พบความผิดปกติจึงจัดการเก็บอุปกรณ์กลับเข้าที่
ปราณปรียารู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
มันต่างจากความรู้สึกที่เธอเคยได้รับจากคนในครอบครัวหรือแม้กระทั่งเพื่อนฝูงที่รักใคร่กัน
ช่างเป็นความรู้สึกที่อิ่มเอมในหัวใจยิ่งนัก
หญิงสาวพลอยยิ้มกับความคิดของตัวเองจนไม่รู้สึกตัวว่าตอนนี้ผู้กองภวินท์กำลังมองใบหน้าที่เปื้อนยิ้มนี้อยู่เช่นกัน
“พรุ่งนี้คุณอาจจะปวดแผลนิดหน่อย
ถ้ายังไงก็กินยาแก้อักเสบกันไว้ก่อนก็ดี” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ
แต่คนฟังกลับรู้สึกถึงความห่วงใยในน้ำเสียงนั้น
คิดเข้าข้างตัวเองอีกแล้วนะยัยกระต่าย เสียงอีกฝั่งตะโกนเตือนตัวเอง
“ค่ะ”
เธอรับคำเสียงแผ่วเมื่อจิตใต้สำนึกอีกฝั่งคัดค้านความรู้สึกอยู่
ส่วนภวินท์เข้าใจไปว่าเธอคงจะเจ็บแผลจึงดูหงอยลงไป เพราะเขาสังเกตจากลักษณะผิวพรรณอันบอบบางของปราณปรียาแล้วแผลนี้คงจะทำเธอเจ็บไปหลายวันทีเดียว
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมปั่นจักรยานไปส่งคุณแล้วกัน”
“อ้าว
แล้วคุณมายังไงเหรอคะ”
“ผมเดินมาจากบนเนินนู่น”
เขาพยักหน้าไปทางเนินเขา ก่อนจะเดินกลับไปจูงจักรยานที่ปราณปรียาจอดไว้เพื่อมารับเธอถึงที่
และก็ไม่ลืมเก็บต้นอ่อนผักที่เลือกไว้กลับไปด้วย
ผู้กองภวินท์ปั่นจักรยานมาส่งปราณปรียาถึงที่เมื่อลงจากรถแล้วเขาทำท่าจะช่วยพยุงเธอ
แต่หญิงสาวรีบปฏิเสธเพราะแค่ซ้อนท้ายจักรยานเขาก็ดูเหมือนว่าเธอตกเป็นเป้าสายตาของใครหลายคน
ทั้งคนงานในไร่และนักศึกษาที่เดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้น
รวมไปถึงแพทย์หญิงพิมพ์ชนกอีกคนด้วย
“ขอบคุณค่ะที่มาส่ง
เดี๋ยวฉันขอไปเตรียมตัวสำหรับงานตอนเย็นก่อนแล้วกันนะคะ” ปราณปรียารีบขอตัวเมื่อเห็นว่าใครกำลังเดินตรงเข้ามา
“คุณแน่ใจนะว่าเดินไหว”
เขาถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
เพราะสังเกตเห็นว่าหัวเข่าของปราณปรียาเริ่มขึ้นรอยช้ำแล้ว
“ไหวสิคะแค่นี้เอง
เอิ่ม...ฉันไปก่อนนะคะ” ปราณปรียารีบตัดบทเมื่อเจ้าของรอยยิ้มหวานเย็นเดินใกล้เข้ามา
ว่าแล้วก็หันหลังเดินกะเผลกจากไปทันที เธอยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับผู้หญิงสวยดุในตอนนี้
ภวินท์อ้าปากจะถามอีกแต่ก็ต้องชะงักเมื่อมีเสียงหนึ่งทักขึ้นมาก่อน
“ผู้กอง
พิมพ์กำลังจะไปหาคุณพอดีเลยค่ะ”
“สวัสดีครับคุณพิมพ์
มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มยังคงรักษามิตรภาพที่ดีเช่นเคย
“แหมพิมพ์ไม่กล้าให้ผู้กองช่วยหรอกค่ะ
ได้ยินว่าคุณกลับมาอยู่บ้านก็แค่จะแวะไปทักทายเท่านั้น”
คุณหมอสาวหาข้ออ้างที่ดูดีขึ้นมาหน่อย
แม้ว่าการที่เขากลับมาอยู่บ้านจะไม่ได้แจ้งให้เธอทราบก็ตาม
“เอ
เมื่อกี้ใช่น้องกระต่ายหรือเปล่าคะ”
พิมพ์ชนกแกล้งโยนหินถามทางทั้งที่เห็นอยู่แล้วว่าสองคนนี้มาด้วยกัน
“ครับ
พอดีคุณกระต่ายเธอหกล้มผมเลยอาสาปั่นจักรยานมาส่ง” ชายหนุ่มตอบเพียงสั้นๆ
ขณะที่พิมพ์ชนกกำลังจะซักต่อระฆังช่วยชีวิตก็ดังขึ้น
“อ้าวพี่วิน
มีเรื่องจะปรึกษาพอดีเลย ขอยืมตัวก่อนนะครับคุณหมอ”
หมวดศรุตตรงเข้ามาคว้าแขนของผู้กองหนุ่มแล้วพาเดินไปอีกทาง
ปล่อยให้พิมพ์ชนกยืนแกร่วอยู่คนเดียวโดยที่ยังไม่ได้โต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น
“อะไรของนาย”
ผู้กองภวินท์ถามด้วยความสงสัย
“เปล่า”
หมวดรุ่นน้องตอบหน้าตาเฉยพร้อมกับหยุดเดินเมื่อเห็นว่าออกมาไกลพอสมควร
“ไม่ดีหรือไงผมอุตส่าห์หาทางออกให้พี่นะนี่”
“นายนี่มันจุ้นทุกเรื่องจริงๆ
ยกเว้นเรื่องตัวเอง” ภวินท์ส่ายหน้าพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก
“เรื่องตัวเอง
เรื่องอะไร ไม่มี๊ !”
หมวดศรุตเลิกคิ้วทำเสียงสูงอย่างมีพิรุธ
“ฉันรู้จักนาย
พอๆ กับที่นายรู้จักฉันนั่นแหละศรุต” ผู้กองหนุ่มว่าก่อนจะเดินหนีไป
แต่ยังไม่วายหันมาสั่งการอีกเรื่อง
“เออลืมไป
นายช่วยหายาแก้ปวด แก้อักเสบให้คุณกระต่ายเธอหน่อยนะ กลัวแผลจะอักเสบไปใหญ่”หมวดศรุตได้แต่ยิ้มล้อเลียนกลับไป
ก่อนจะทำหน้าขบคิดกับคำพูดก่อนหน้านี้ของภวินท์อยู่อย่างนั้น
*********************************************
วันหยุดยาวลงทีเดียวสองตอนไปเลยค่า ขอให้แฟนคลับและรีดเดอร์ทุกท่านอ่านอย่างมีความสุขนะค้า
กระต่ายน้อยของเราเข้าถ้ำเสือซะแล้ว จะรอดกลับไปหรือเปล่า เอาใจช่วยกันด้วยน้า
อิตาผู้กองจะทำยังไงกับน้องกระต่ายอีกบ้างน้อ อิ อิ
เขียนเองฟินเองไรท์ท่าจะบ้า
ความคิดเห็น