ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวใจรักภูธร

    ลำดับตอนที่ #2 : โชคชะตานำพา

    • อัปเดตล่าสุด 20 มิ.ย. 59



     

     

              ณ ดินแดนแห่งที่ราบสูงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศลาว โดยทั้งสองประเทศถูกกั้นด้วยแม่น้ำขนาดใหญ่ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “แม่น้ำโขง”

              วิถีชีวิตของคนส่วนใหญ่ที่นี่ อยู่กันอย่างเรียบง่าย และผูกพันกับพุทธศาสนาเป็นอย่างมากตั้งแต่การเกิด จนตาย ทำให้ผู้คนที่อยู่อาศัยแถบนี้มีอัธยาศัยดี ยิ้มแย้ม แจ่มใส มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน

              เพล้ง ! ! !  เสียงของแข็งตกกระทบกับอะไรบางอย่าง ซึ่งน่าจะแรงพอที่จะทำให้มีวัตถุใดวัตถุหนึ่งแตก ตามด้วยเสียงตึง ตัง และเสียงเอะอะโวยวาย ของผู้หญิงและผู้ชาย สักพักก็มีเสียงสตาร์ทเครื่องรถมอเตอร์ไซต์ขับออกไป พร้อมด้วยเสียงสรรเสริญของคู่กรณี

              ปราณปรียา  ใช้มือควานหาของบางอย่างบนหัว จากนั้นแสงสว่างจากโคมไฟดวงเล็กๆ ก็สว่างวาบขึ้น ส่งผลให้หญิงสาวต้องหยีตาลงเพราะยังไม่ชินกับแสงสว่าง จากนั้นก็คลานออกจากที่นอนไปหยิบโทรศัพท์  ที่ชาร์ตแบตเตอรี่ทิ้งไว้ตรงมุมห้องอีกด้านเพื่อดูเวลา

              “พึ่งจะตีสี่...โอ๊ย...อะไรจะทะเลาะกันได้เวลาเดิมเป๊ะ ทู๊กวันเนี่ย” หญิงสาวพูดอยู่ในลำคอ เนื่องจากคู่กรณีอยู่ห้องติดกันจึงไม่กล้าเสียงดัง จากนั้นก็คลานกลับไปยังที่นอน แล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหัว เฉกเช่นทุกวัน

              เหตุการณ์ทะเลาะวิวาทของคู่สามี ภรรยา ข้างห้องเป็นเรื่องปกติสำหรับปราณปรียาไปซะแล้ว แม้ตอนแรกจะทำให้ต้องลุกขึ้นมาดู เพราะยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

              ถ้านับแล้ว ปราณปรียา อาศัยอยู่ที่ห้องพักตำรวจ หรือเรียกอีกอย่างว่าแฟลตตำรวจ มาได้ประมาณเกือบสองเดือนแล้ว หญิงสาวจากเมืองกรุงที่อยู่อาศัยมาแต่เล็กจนโต เพราะมีความฝันอยากรับราชการเป็น พัฒนากร ซึ่งตอนนี้เธอก็สามารถสอบบรรจุได้รับราชการในตำแหน่งที่ต้องการแล้ว

              แม้ว่าครอบครัวของ ปราณปรียา จะไม่มีใครเห็นด้วย แต่ก็ไม่มีใครขัดใจได้สักคน เนื่องจากครอบครัวของเธอประกอบธุรกิจหลายอย่าง ทั้งกิจการจิวเวอรี่ทางฝั่งของแม่ กิจการขนส่งทางฝั่งของพ่อ นอกนั้นยังมีรีสอร์ท และกิจการอื่นในเครือร่วมกับญาติพี่น้อง นับได้ว่าฐานะทางบ้านของเธอเป็นผู้มีอันจะกิน จึงไม่แปลกที่จะมีความเห็นแย้งในเรื่องนี้

              หลังจากเหตุการณ์ข้างบ้านกลับสู่ภาวะปกติ และปราณปรียาได้งีบหลับต่ออีกประมาณสองชั่วโมง  หญิงสาวจึงรู้สึกตัวตื่น ซึ่งเป็นเวลาประมาณหกโมงเช้า หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็จัดเตรียมของใช้ที่จำเป็นสำหรับกิจกรรมวันนี้ลงในกระเป๋าเป้สะพายหลังใบย่อม เมื่อเสร็จแล้วก็ไม่ลืมที่จะหยิบหมวกสานขนาดพอดีกับศีรษะของเธอติดมือมาด้วย

              หญิงสาวปั่นจักรยานคันเล็กออกจากห้องพัก ซึ่งอยู่หลังสถานีตำรวจ สาเหตุที่ต้องมาอยู่ที่นี่ก็เพราะว่า การเป็นข้าราชการในอำเภอเล็กๆ มีความจำกัดในเรื่องของพื้นที่และงบประมาณ และบ้านพักของข้าราชการพลเรือนมีน้อย บางส่วนก็ทรุดโทรมจนอยู่อาศัยไม่ได้ ท่านนายอำเภอจึงฝากให้เธอมาพักที่แฟลตตำรวจ อีกเหตุผลคือเพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเอง  ซึ่งอย่างหลังน่าจะเป็นเหตุผลของทางบ้านเธอมากกว่า

              ขณะที่หญิงสาว กำลังจะเลี้ยวรถจักรยานออกมาพ้นประตูรั้วของโรงพัก ก็ต้องกรีดร้องผงะ พร้อมกับหักรถเข้าข้างทาง เมื่ออยู่ดีๆ ก็มีรถมอเตอร์ไซด์บิ๊กไบค์คันหนึ่งขับสวนเข้ามาอย่างรวดเร็ว ประกอบกับเสียงเครื่องรถที่เสียงดัง ทำให้คนที่ปั่นจักรยานมาแบบสบายๆ ตกใจ จนรถแถออกข้างทางไปเล็กน้อยแต่ยังประคองไว้ได้

              ปราณปรียา หันกลับไปมองคู่กรณีด้วยอารมณ์คุกรุ่น ซึ่งเจ้าของรถคันนั้นก็หันมามองเธอแวบหนึ่ง ก่อนที่จะขับต่อไปโดยไม่ได้สนใจถามไถ่สวัสดิภาพของคนที่ตกใจปนโมโหเลย หญิงสาวมองตามจนเห็นว่ารถเลี้ยวไปทางแฟลตตำรวจ

              “ฮึ่ย อะไรของเค้าเนี่ย จะรีบไปไหนกัน แน่จริงก็อย่าใส่หมวกกันน็อก ดิ !” หญิงสาวบ่นอุบ โชคดีที่วันนี้เธอแต่งกายทะมัดทะแมงกว่าทุกวัน วันนี้หญิงสาวเลือกสวมกางเกงยีนส์ตัวเก่ง กับเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวถึงศอกเข้ารูป ถ้าใส่กระโปรงอย่างทุกวันคงได้มีขายหน้ากันหละงานนี้

              “ฝากไว้ก่อนเถอะ อย่าให้รู้ว่าอยู่ห้องไหนนะ จะ จะ ...ฮึ่ย” อดจะคาดโทษไม่ได้ แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะทำอะไรกับเขาได้ จึงตัดใจปั่นจักรยานต่ออย่างหัวเสีย

     

    *************************

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×