ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวใจรักภูธร

    ลำดับตอนที่ #19 : วันทำงาน

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.ค. 59


                    เช้านี้ปราณปรียาตื่นเช้ากว่าปกติ เพราะต้องรีบเอาขนมแบ่งไปให้แม่อวนแล้วก็รีบกลับมาจัดการกับตัวเองโดยไม่ได้รอใส่บาตรด้วย เนื่องจากเป็นวันทำงานวันแรกของสัปดาห์ กิจกรรมทุกอย่างในวันนี้ดูจะวุ่นวายไปหมดสำหรับชีวิตข้าราชการใหม่เช่นเธอ  

                    หญิงสาวแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบสีกากีแบบแขนยาว กระโปรงสั้นเสมอเข่า เปลี่ยนจากเป้ใบเก่งเป็นกระเป๋าสะพายข้างใบย่อมแทน และถุงกระดาษอีกหนึ่งใบ ในนั้นคือรองเท้าคัทชูสำหรับเปลี่ยนเมื่อถึงที่ทำงาน เพราะวันนี้เธอคงต้องเดินไปทำงานแทนการปั่นจักรยาน ด้วยความไม่สะดวกของชุดที่ใส่

                    เมื่อเปิดประตูห้องออกมา ก็ได้ยินเสียงเพื่อนบ้านหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน

                    “อารมณ์ดีแต่เช้าเชียวพี่ดาว มีอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวถามอย่างสนิทสนม

                    ดาวประกายที่นั่งหันหลังอยู่หันมาทางต้นเสียง พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนชูสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ในมือให้หญิงสาวรุ่นน้องดู

                    “น่ารักไหมคะน้องกระต่าย” มันคือลูกหมาสีขาวมีจุดแดงๆ แซมอยู่ ตัวเล็กกว่าฝ่ามือของดาวประกายนิดหน่อย กำลังเลียมือเจ้าของหมาดๆ อย่างเอร็ดอร่อย ส่วนเจ้าของก็หัวเราะคิกคักด้วยความรู้สึกจั๊กจี้

                    “ได้มาจากไหนคะ น่ารักเชียว” ว่าพลางเดินเข้ามาใกล้ ใช้มือลูบหัวเจ้าตัวเล็กอย่างเอ็นดู

                    “พี่สมยศได้มาจากจ่าน้อยค่ะ ที่บ้านแกเลี้ยงหมาหลายตัวเลยเอามาแจกจ่ายให้คนอื่นบ้าง รู้สึกว่าคราวนี้คลอดออกมาตั้งหลายตัวแหนะ”

                    “ต่ายอยากได้บ้างจัง” หญิงสาวรำพันอย่างถอนใจ เนื่องจากคงทำไม่ได้อย่างที่คิด เพราะตอนกลางวันต้องทำงาน

                    “น้องต่ายก็มาดูแลลูกหนูช่วยพี่ดาวก็ได้ ลูกหนูให้น้องต่ายเป็นแม่อีกคนนะ” หลังจากคุยกับคนแล้วก็หันไปคุยกับเจ้าตัวเล็กต่อ ปราณปรียาถึงกับหัวเราะกับชื่อเรียกของเจ้าลูกสุนัขตัวนั้น

                    “ได้ไหมเจ้าลูกหนู ขอกระต่ายเป็นแม่อีกคนนะ เรียกแม่สิลูก” ปราณปรียา ก้มหน้าไปบอกกับเจ้าหมาน้อยอย่างนึกสนุกตามเจ้าของหมาไปด้วย แล้วสองสาวก็หัวเราะคิกคักกันเมื่อเจ้าลูกหนูเห่า “บ๊อก บ๊อก” กลับมาเหมือนตอบรับคำขอ

                    “อ้าว พี่วินวันนี้ทำงานเหรอคะ”  ดาวประกาย ร้องทักเพื่อนบ้านอีกคน ที่กำลังเดินใกล้เข้ามาเพราะได้ยินเสียงหัวเราะของสองสาว

    ปราณปรียาหยุดหัวเราะแล้วหันกลับไปมองตามดาวประกายอีกคน แต่แล้วก็ต้องตะลึงกับภาพของชายหนุ่มซึ่งแต่งกายด้วยเครื่องแบบชุดสีกากีของตำรวจ แม้หญิงสาวจะตระหนักดีว่าผู้กองภวินท์เป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีคนหนึ่ง แต่วันนี้เขาดูแตกต่างกว่าทุกวัน ร่างสูงในชุดเครื่องแบบเต็มยศที่เน้นให้เห็นสัดส่วนอันสมบูรณ์แบบเยี่ยงชายชาตรี เขาช่างดูดีมากทีเดียว มองเผินๆ นึกว่านายแบบหลุดมาจากนิตยสารอย่างไรอย่างนั้น

    “อะแฮ่ม...ผมลืมรูดซิบเหรอคุณ” ภวินท์ทักขึ้น เมื่อมาหยุดอยู่ต่อหน้าหญิงสาว ทำให้คนที่คิดอะไรเพลินๆ ถึงกับสะดุ้งและหน้าแดงกับคำพูดของเขา ก่อนจะเบือนหน้าหนีสายตาที่มีประกายวิบวับแปลกๆ

    ชายหนุ่มเองก็สะดุดตากับการแต่งกายของปราณปรียาในวันนี้เช่นกัน แม้จะแต่งเครื่องแบบที่มิดชิดและเป็นทางการแต่ผู้กองหนุ่มกลับเห็นความน่ารักที่ไม่เหมือนใครของเธอคนนี้

    “ลืมจริงๆ ด้วยค่ะ” ดาวประกาย ส่งเสียงตอบกลับแทนสาวรุ่นน้อง ทำให้ผู้กองที่มั่นใจว่าตนเองแต่งตัวมาเรียบร้อยแล้ว อดเหลียวมองตำแหน่งของซิปกางเกงตามไม่ได้  เรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากสองสาวได้อีกรอบ

    “แกล้งพี่นะเรา” ผู้กองหนุ่มแกล้งเอ็ด น้องสาวคนละพ่อคนละแม่ แต่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก จนชายหนุ่มต้องจากบ้านไปเรียนต่อ กระนั้นก็ยังผูกสมัครรักใคร่กันเรื่อยมา

    “เสร็จภารกิจแล้วก็ต้องไปรายงานตัวกับผู้บังคับบัญชาเสียหน่อย” ผู้กองยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางสบาย

    “ค่ะ ท่านคงอยากเห็นหน้าพี่วินกว่าใคร” ดาวประกาย กล่าวเสริม

    ส่วนปราณปรียา กลับรู้สึกประหม่าเพราะผู้กองหนุ่มยืนอยู่ห่างเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น จึงขยับออกไปถือเอาถุงรองเท้าและปิดล็อคห้องให้เรียบร้อย แก้อาการที่เป็นอยู่ ก็วันนี้เขาดูดีเหลือเกินไม่ใช่ผู้กองสุดเซอร์อย่างที่เธอเคยเห็น เพราะฉะนั้นการอยู่ห่างจากเขาน่าจะปลอดภัยสำหรับเธอที่สุด

    “คุณจะไปทำงานแล้วเหรอ” เขาหันกลับไปถาม เมื่อเห็นเธอตระเตรียมข้าวของ

    “ค่ะ” ปราณปรียาตอบสั้นๆ พร้อมกับปรายตามองชายหนุ่มเพียงแวบเดียว ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจในท่าทีของเธอ และพาลคิดไปว่าหญิงสาวคงจะยังโกรธเรื่องเมื่อวานอยู่

    “ผมก็กำลังจะไปทำงานพอดีเลย ไปพร้อมกันนะ” ว่าแล้วก็โบกมือให้ดาวประกายแทนคำกล่าวลา พร้อมกับเดินตามปราณปรียาไปติดๆ

    ขายาวๆ ก้าวไม่กี่ก้าวก็ตามหญิงสาวทัน ก่อนจะแย่งถุงกระดาษในมือของเธอไปถือหน้าตาเฉย ปราณปรียาขมวดคิ้ว กำลังจะแย่งถุงกระดาษคืนก็โดนขัดจังหวะขึ้นก่อน

    “น้องกระต่าย ผู้กอง ทำไมมาด้วยกันได้ล่ะคะ” เป็นหมอพิมพ์ชนกนั่นเอง ที่พอออกเวรก็รีบเดินลัดเลาะออกมาทางหลังโรงพยาบาล เพื่อจะมาให้ทันได้เจอกับผู้กองหนุ่ม

    ปราณปรียา เปลี่ยนเป้าหมายหันไปส่งยิ้มให้คุณหมอสาวแทน พร้อมกับยกมือไหว้อีกฝ่ายก่อน

    “สวัสดีค่ะหมอพิมพ์”

    หมอสาวรับไหว้พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ เช่นเคย นี่ขนาดเพิ่งออกเวรเธอก็ยังดูสวยสง่าไม่มีวี่แววของคนที่อดหลับอดนอนเลยสักนิด

    “พอดีแวะเอาน้ำเต้าหู้ กับปาท่องโก๋มาให้ผู้กองค่ะ แล้วนี่ทำไมถึงเดินกันคะ” หมอสาวรีบแจ้งเจตนารมณ์ของตนทันที หวังจะให้ชายหนุ่มรับรู้ถึงความหวังดีของเธอ และอีกเหตุผลคืออยากให้หญิงสาวตรงหน้ารับรู้ถึงความสนิทสนมของตนกับภวินท์ด้วย

    “อ้อ..พอดีวันนี้แต่งเครื่องแบบเลยไม่สะดวกจะขับรถน่ะครับ คุณกระต่ายก็ด้วย ก็เลยเดินออกกำลังกันซะหน่อย” ผู้กองหนุ่มตอบคุณหมอด้วยคำพูดเรียบๆ แต่ปราณปรียากลับรู้สึกหมั่นไส้ชายหนุ่มโดยหาเหตุผลไม่ได้

    “นี่ค่ะ ร้านประจำที่ผู้กองเคยทานเลยนะคะ” หมอสาวยื่นของที่อยู่ในมือส่งให้ผู้กองหนุ่ม พร้อมกับเอ่ยย้ำราวกับว่ารู้ใจชายหนุ่มเป็นอย่างดี

    “ขอบคุณครับ แล้วหมอพิมพ์ทานหรือยังครับ” ชายหนุ่มยิ้มขอบคุณความมีน้ำใจ พร้อมกับถามกลับตามมารยาท เพราะพิมพ์ชนกนับว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่มีน้ำใจกับเขาเสมอมา

    ปราณปรียา เห็นท่าว่าบทสนทนาจะยาวเพราะดูจากสีหน้ายิ้มแย้มของคนทั้งคู่ จึงคิดว่าควรขอตัวไปก่อนท่าจะดีกว่า

    “ถ้างั้น ต่ายขอตัวก่อนละกันนะคะ เช้าวันจันทร์แบบนี้ที่สำนักงานจะวุ่นวายกว่าทุกวันน่ะค่ะ” หญิงสาวหาเหตุผลในการขอตัวโดยไม่ให้ดูเสียมารยาทมากนัก

    “ค่ะ วันหลังคงมีโอกาสได้ทานข้าวด้วยกันนะคะ” หมอสาวพูดพร้อมส่งรอยยิ้มหวานเย็น แต่ปราณปรียากลับรู้สึกเย็นสันหลังวาบมากกว่า ว่าแล้วก็หันหลังเดินจ้ำอ้าวโดยไม่แม้แต่มองหน้าชายหนุ่มอีกคน

    ส่วนภวินท์พอเห็นปราณปรียาชิงหนีไปก่อนก็รีบขอตัวตามไปทันที

    “ผมเองก็ต้องเข้ารายงานตัวกับผู้กำกับเหมือนกัน ขอตัวอีกคนนะครับ” พูดเสร็จก็รีบสาวเท้าตามแม่กระต่ายน้อยไปทันที ยังไม่ทันที่หมอสาวจะได้พูดอะไรด้วยซ้ำ

    พิมพ์ชนกมองตามหลังชายหนุ่มด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ภายในใจกลับปวดหนึบเหมือนหัวใจถูกทุบด้วยค้อนหนักๆ ที่มองไม่เห็น หากใครเห็นแววตาของเธอในตอนนี้คงจะรับรู้ถึงความรู้สึกข้างในได้เป็นอย่างดี ว่าการถูกปฏิเสธอย่างสุภาพจากผู้ชายที่แอบมีใจให้มานานมันเจ็บเพียงใด

    หมอสาวเงยหน้ากะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่ความอ่อนแอที่กำลังจะเอ่อล้นออกมาตอกย้ำความพ่ายแพ้ออกไป แม้จะรู้ดีมาตลอดว่าภวินท์ไม่เคยแสดงให้เห็นว่าเธอคือคนพิเศษ แต่ทุกครั้งที่ได้รับการเอาใจใส่จากเขาแม้จะแค่ถามไถ่ ก็ยังอดเอามาคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้

    “เรื่องบางเรื่อง เราไม่สามารถกำหนดให้เป็นอย่างใจได้ คุณว่าไหม” เสียงที่คุ้นเคยปลุกพิมพ์ชนกให้ตื่นจากภวังค์ความคิด ก่อนจะรีบปาดน้ำตาที่เอ่อคลอแล้วเดินต่อไปข้างหน้า โดยไม่หันมามองคนข้างหลัง

    “ก็เห็นอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร ยังจะดันทุรังหาเรื่องเจ็บตัว” หมวดศรุตพูดลอยๆ ขึ้นมาอีก ขณะที่สาวเท้าตามหลังพิมพ์ชนกมาติดๆ จู่ๆ เธอก็หยุดเดินแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่เบรกเกือบไม่ทัน

    “คุณเคยรักใครไหม” เธอถามเสียงเรียบ แต่แววตานั่นสิเห็นได้ชัดว่าเจ็บปวดกับสิ่งที่พูดอยู่แค่ไหน

    ศรุตจ้องตาคุณหมอสาวพร้อมกับตอบคำถามของเธอ ด้วยท่าทางสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    “เคยสิ เรียกว่าแอบรักมากกว่า” มีประกายบางอย่างในแววตาของคนพูด แต่พิมพ์ชนกเลือกจะไม่ใส่ใจ

    “งั้นคุณก็คงจะเข้าใจความรู้สึกของฉันในตอนนี้ดีสินะ” เมื่อพูดเสร็จ ก็หันหลังค่อยๆ เดินจากไป ทิ้งให้หมวดศรุตยืนตรึกตรองกับคำพูดของตนด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความรู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกัน

    “ก็รู้สึกอยู่นี่ไง ลึกซึ้งเลยล่ะ” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะถอนหายใจอย่างหนักอกกับสภาวการณ์ที่เป็นอยู่


                     ผู้กองภวินท์ตามปราณปรียาทันก่อนที่จะเดินพ้นประตูรั้วสถานีตำรวจพอดี ชายหนุ่มขว้าหมับเข้าที่ข้อมือของหญิงสาวเพื่อหยุดเธอไว้

                    “รอก่อนสิ จะรีบไปไหนกัน”

                    “แล้วใครให้ตามมาไม่ทราบ ปล่อยมือฉันด้วยค่ะ” ปราณปรียาชักสีหน้าไม่พอใจกลับไป พร้อมกับพยายามสะบัดมือให้หลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย

                    “เป็นอะไรของคุณ เมื่อกี๊นี้ยังหัวเราะอยู่เลย มาตอนนี้หน้างอซะแล้ว” เขาว่าหน้าตาเฉย

                    “ไม่เกี่ยวกับคุณสักหน่อย ปล่อยฉันได้แล้วอายคนเขา” ปราณปรียา มองซ้ายมองขวาเห็นตำรวจและประชาชนเริ่มทยอยมาทำงานและติดต่อราชการกันแล้ว บางคนก็มองทั้งสองคนด้วยใบหน้ายิ้มๆ

                    ผู้กองหนุ่มจำต้องปล่อยมือหญิงสาวเมื่อมีตำรวจนายหนึ่งเดินเข้ามาทำความเคารพ ด้วยกลัวว่าจะทำให้เธอเสียชื่อเสียงกลายเป็นขี้ปากของเหล่าแม่บ้านตำรวจซะเปล่าๆ

                    “เอ้า ถุงกระดาษของคุณ” เขายื่นถุงกระดาษไปตรงหน้าของคนขี้งอน ที่ยืนเชิดหน้าไปอีกทาง ปราณปรียารับถุงกระดาษไปอย่างรวดเร็ว

                    “ขอบคุณค่ะ” ว่าแล้วก็ขยับจะก้าวเดิน แต่แล้วก็ต้องชะงักทันทีเมื่อชายหนุ่มกล่าวประโยคหนึ่งขึ้นมา

                    “เดี๋ยว คุณเอาน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋นี่ไปทานสิ ดูท่าคุณจะยังไม่ได้ทานข้าวเช้าใช่ไหม” ชายหนุ่มช่างไม่รู้เอาซะเลยว่าเป็นความหวังดีที่ประสงค์ร้ายต่อตัวเองอย่างแรง ปราณปรียาอยากตะโกนใส่หน้าเขาเสียจริงแต่ก็ทำได้เพียงพูดเสียงขมอยู่ในลำคอ แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

                    “เชิญคุณทานไปคนเดียวเถอะ”


    ***********************************************************************

    เอาหละสิ อิตาผู้กองนี่ก็เนอะ คนเขางอนอยู่ก้อไม่รู้ น่าจับมาจุ๊บ เอ๊ย ! ตีสักที อิอิ

    ว่าแต่ หมวดศรุตนี่ชักจะยังไงแล้วน้า รีดเดอร์ลองเดาอาการผู้หมวดจอมทะเล้นช่วยกันหน่อย

    ว่าฮีไปอกหักรักคุดที่ไหนมา ฝากติดตามกันต่อไปนะค้า รักรีดเดอร์ทุกท่านค่ะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×