คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : พระอาทิตย์ตกน้ำ
เจ้าเข้มค่อยๆ วิ่งมาตามถนนสายหลักก่อนจะชะลอและเลี้ยวเข้ามาภายในประตูวัดชื่อดังซึ่งอยู่ห่างจากตัวอำเภอประมาณสี่สิบกิโลเมตร ด้วยความที่สิ้นเกจิชื่อดังไปแล้วบรรยากาศภายในวัดจึงดูเงียบสงบ และร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ซึ่งล้วนเป็นต้นไม้ประจำท้องถิ่น
ภวินท์เลือกจอดรถใต้ทิวต้นสนที่ปลูกเป็นแนวยาว
สามารถบดบังแสงแดดยามบ่ายแก่ๆ ได้ดีทีเดียว
“ถึงแล้วเหรอคะ นี่วัดไม่ใช่เหรอ”
ปราณปรียา หันซ้ายขวาด้วยความสงสัย ขณะที่ชายหนุ่มถอดหมวกกันน็อคของตัวเองเสร็จเรียบร้อย
และหันมาถอดหมวกของเธอบ้างโดยที่ยังไม่ตอบคำถาม
หญิงสาวกระโดดลงจากรถบิดแขนบิดขาเพื่อไล่ความเมื่อยขบ
เพราะไม่กล้าจะซบหลังของชายหนุ่มจึงได้แต่กำชายเสื้อแน่นจนตัวเกร็งไปหมด
“ใครให้นั่งตัวเกร็งอย่างนั้นเล่า
ไม่เป็นตะคริวก็ดีเท่าไหร่” ชายหนุ่มล้อเลียน
“แล้วจ่าสมยศกับพี่ดาวอยู่ที่นี่กันเหรอคะ”
ปราณปรียา รีบเปลี่ยนเรื่องกลบเกลื่อนอาการเขินอาย
“ลงไปข้างล่างกัน”
ชายหนุ่มชักชวนแทนคำตอบ พร้อมกับเดินนำหญิงสาวลงไปตามบันไดระยะทางประมาณห้าสิบเมตร
ก็พบกับชะง่อนหินที่ยื่นลงไปในแม่น้ำโขง มีราวระเบียงกั้นไว้โดยรอบ
ปราณปรียา รีบเดินไปเกาะราวระเบียงที่สูงเลยเอวของเธอเพียงนิดเดียว
เพื่อจะได้มองทัศนียภาพที่สวยงามชัดๆ ท่าทางตื่นเต้นเหมือนเด็กๆเจอของเล่นถูกใจเป็นภาพที่ชวนมองสำหรับภวินท์มากกว่าทิวทัศน์เวลานี้เสียอีก
หญิงสาวจ้องมองดูสายน้ำที่บางช่วงไหลแรง
และบางช่วงไหลมารวมกันเป็นเกลียวพัดพาทุกสิ่งให้จมหายลงไป
แม้กระทั่งท่อนไม้ใหญ่ก็ไม่อาจต้านทานได้
พอเงยหน้าขึ้นมาจากเกลียวน้ำภาพทุกอย่างกลับพร่าเลือนจนเธอไม่สามารถทรงตัวยืนอยู่ได้
“กระต่าย ! !” ภวินท์
ผวาเข้าไปคว้าร่างของหญิงสาวได้ทัน ก่อนที่หัวจะทิ่มตกน้ำลงไป
จากนั้นจึงช้อนตัวหญิงสาวขึ้นพาเข้าไปหลบใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ
สักครู่มีแม่ชีสองคนเดินเข้ามาดูอาการของปราณปรียา
“ถ้าอาการดีขึ้นแล้วพาไปกราบหลวงปู่บนศาลาด้วยนะคุณ
แม่หนูท่าจะเป็นคนจิตอ่อน ให้บารมีหลวงปู่ท่านช่วยคุ้มครอง” แม่ชีบอกเสียงเรียบ คล้ายกับว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
ก่อนจะยื่นยาดมให้แล้วเดินจากไปเงียบๆ เหมือนตอนมา
ภวินท์ยังคงประคองหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน
ขณะที่มือข้างหนึ่งแกว่งยาดมไปมาเพื่อให้หญิงสาวหายใจได้สะดวกขึ้น ชายหนุ่มนึกถึงเรื่องลี้ลับของแม่น้ำสายนี้ขึ้นมาทันใด
ถึงแม้จะเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องสิ่งเร้นลับแต่เขาถือคติไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะสิ่งที่เกิดกับหญิงสาวตรงหน้าไม่อาจหาเหตุผลมาอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์
“แม่จ๋า ช่วยต่ายด้วย”
ปราณปรียาพึมพำโดยที่ยังไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้
ความรู้สึกเหมือนโดนกดทับด้วยมวลของหนักที่แตะต้องสัมผัสไม่ได้
แม้แต่จะผลักไสออกไปก็ทำไม่ได้
เธอใช้ความพยายามที่จะเปิดเปลือกตาขึ้นมาแต่ในห้วงคำนึงเหมือนโดนมือที่มองไม่เห็นปกปิดไว้อย่างแน่นหนา
ช่างเป็นความรู้สึกที่ทรมานเหลือเกิน หัวใจกระหวัดนึกถึงผู้ให้กำเนิด
ผู้ที่รักและห่วงใยตน นึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ทันใดนั้นสายลมเย็นพัดโชยมาวูบหนึ่งพร้อมกับแสงสว่างวาบเข้าสู่ประสาทรับรู้การมองเห็นของหญิงสาว
“ฟื้นแล้วเหรอ” ภวินท์ ทักขึ้นทันทีที่เห็นหญิงสาวเริ่มขยับตัว
และกะพริบตา
“คุณ..ฉันเป็นอะไรไป” ปราณปรียา ยังอยู่ในอาการงงงวย
พยายามจับต้นชนปลาย
“คงจะหน้ามืดไป” ภวินท์กล่าวสวนทางกับความคิดข้างต้น
เพราะไม่อยากให้ปราณปรียารู้สึกหวาดกลัว
หรือบางทีหญิงสาวอาจจะหาว่าเขาเพ้อเจ้อซะเอง
“ฉันนี่นะหน้ามืด”
“อืม..” ชายหนุ่มครางรับ “ลุกไหวไหม เดี๋ยวเราไปไหว้พระกัน”
ตอนนี้เองที่ปราณปรียาเพิ่งสังเกตว่าตนเองกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ในวงแขนของชายหนุ่ม
พอตั้งสติได้จึงรีบกระโจนออกมาอย่างรวดเร็ว
“ไปกันเถอะค่ะ” พูดเสร็จก็เดินก้มหน้างุดๆ เพื่อซ่อนความเขินอาย
ภวินท์รีบลุกตามและคว้าหมับเข้าที่หัวไหล่จนหญิงสาวสะดุ้งหันกลับมา
“ทางนี้” ยักคิ้วพร้อมกับชี้มือไปอีกทาง ปราณปรียาได้แต่ยิ้มแหยๆ
ให้กับความเปิ่นของตัวเอง
หลังจากที่พาปราณปรียาขึ้นไปไหว้พระเรียบร้อยแล้ว ภวินท์ยังไม่มีทีท่าว่าจะเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจในคราวแรก
จนหญิงสาวเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว
“ตกลงเราไม่ต้องรีบไปตามจ่าสมยศกันหรือไงคะ”
“อ้าว ผมยังไม่ได้บอกคุณหรอกเหรอ ว่าเปลี่ยนแผนนิดหน่อย”
ชายหนุ่มตอบหน้าตาเฉย พร้อมกับแหงนหน้ามองไปทางทิศตะวันตก
ส่วนคนถามทำหน้างงยิ่งกว่าเดิม
“จวนได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ” ว่าแล้วก็เดินนำไปยังรถที่จอดอยู่
“เดี๋ยวก่อน ที่ว่าเปลี่ยนแผนเนี่ย แผนอะไรของคุณ”
“เดี๋ยวก็รู้” ชายหนุ่มยังไม่ให้ความกระจ่าง
ปล่อยให้ปราณปรียาฮึดฮัดกับท่าทางลับลมคมในของตนต่อไป
***************************************************************
ความคิดเห็น