ตอนที่ 5 : [os] Snowflake (MinJ)
[os] Snowflake
Minhyun x Jonghyun
#มินเจโปรเจค – Winter Project
#Shelterain101
12,987 words
BG Music: Park HyoShin – Snow Flower
Genre: Fantasy, Melodrama
“วันสุดท้ายของปี
จุดเริ่มต้น ใกล้เคียง และยืนขนาน
สู่ชั่วกัลปวสาน”
*
คิมจงฮยอนลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นในหัวใจ ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจว่ามันเกิดจากอะไรก็ตาม ร่างบางหันไปมองคนข้างๆก่อนจะยิ้มออกมา – มันไม่มีเหตุผลที่แน่นอน มีเพียงแค่ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ข้างใน
อาจเป็นเพราะใบหน้าที่สมบูรณ์แบบราวกับเป็นผลงานที่พระเจ้าตั้งใจสร้างขึ้น ผมสีบลอนด์สวยที่ดูเป็นธรรมชาติ จมูกโด่งที่รับกันได้ดีกับริมฝีปากได้รูปสีชมพูสวย ไหล่หนาที่ดูน่าซบหรือแม้แต่ร่างกายท่ีดูสมชายชาตรีนั่นอีก ทุกอย่างเสริมสร้างให้คนที่นอนอยู่ข้างจงฮยอนดูสมบูรณ์แบบเกินกว่าจะเป็นมนุษย์ธรรมดา
ใบหน้าที่ทำให้เขารู้สึกหายจากอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นกลางดึก
“ตื่นแล้วหรอ?”
โดยเฉพาะนัยน์ตาสีฟ้าที่ทอดมองลงมา – ดวงตาที่มีเพียงภาพของจงฮยอนสะท้อนกลับมา
ภาพของคิมจงฮยอนที่มีนัยน์ตาสีดำสวยราวกับรัตติกาล ทว่ามันกลับส่องประกายสวยกว่าดวงดาวทุกดวงที่ฮวังมินฮยอนเคยสัมผัสมาตลอดเวลาหลายพันปี ผิวเนียนละเอียดที่ตัดกับชุดนอนสีน้ำเงินเข้ม ริมฝีปากที่น่าขบกัดนั่นยกยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ ร่างบางยื่นมือออกมาสัมผัสใบหน้าของคนที่นอนอยู่ข้างๆด้วยความโหยหา
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ฮยอนอ่า :)”
ผ่านมาสิบกว่าปีแล้วที่ฮวังมินฮยอนกับคิมจงฮยอนสัมผัสและแลกเปลี่ยนความหมายคำว่ารัก ผ่านทั้งการกระทำและคำพูด
ร่างบางปล่อยให้หยาดน้ำสีใสไหลออกมาจากนัยน์ตาคู่นั้น
“ย่า จะร้องไห้ทำไมล่ะ จงฮยอนอ่า"
มินฮยอนหัวเราะออกมาก่อนจะยื่นมือไปเช็ดคราบน้ำตาอย่างแผ่วเบา
“ก็แค่ดีใจที่มีนายอยู่ข้างๆ – เสมอ"
โทนเสียงแหลมๆแหบจมูกของร่างบางเป็นสิ่งที่มินฮยอนโปรดปรานที่สุด มันอาจไม่ใช่เสียงที่ไพเราะที่สุด แต่เขาสัมผัสได้ถึงความรักที่ฝังอยู่ในทุกๆอณู มินฮยอนดึงคนตัวเล็กเข้ามาในอ้อมกอด กดจูบลงบนกลุ่มผมสีดำ มันนุ่มราวกับปุยเมฆ ถึงแบบนั้นมันก็ยังเทียบไม่ได้กับสัมผัสจากริมฝีปากของคนในอ้อมกอด
“อื้อออ"
คนถูกขโมยจูบร้องออกมาเมื่อร่างหนาไม่ยอมถอนริมฝีปากออกซักที อีกฝ่ายเอาแต่ขบเม้ม ส่งลิ้นเข้าไปสำรวจภายในโพรงปากอย่างกระหาย ไหนจะมือใหญ่ที่กำลังแกะกระดุมเสื้อเขาออกอย่างรีบร้อนนั่นอีก
“ใจเย็นซี่ๆ – ฮยอนอ่า :)”
คนตัวเล็กกว่าพูดออกมาอย่างก๋ากั่นก่อนจะเป็นฝ่ายลุกขึ้น สะบัดเสื้อและกางเกงทิ้งลงอย่างไม่ใส่ใจนัก จงฮยอนนั่งทับลงไปกลางตัวของมินฮยอน ส่งสายตาลงมาราวกับกำลังมองสิ่งมหัศจรรย์ – นัยน์ตาคู่สวยนั่นเต็มไปด้วยทั้งความรัก ความโหยหา และความหลงใหล
ความอบอุ่นที่มาจากเตาผิงในห้องนอนโล่งๆและกิจกรรมอันแสนเร่าร้อนที่คนสองคนกำลังสอดประสานกันอยู่ทำให้อุณหภูมิของห้องสูงขึ้น จนไม่รับรู้ถึงความหนาวจากอากาศภายนอก เตียงสีขาวสั่นคลอนไปตามแรงกระแทก ผ้าปูที่นอนถูกเลิกขึ้นจนไม่เป็นทรง
“อื้อ! อย่าพึ่งกระเด้งสวนมาซี่!”
คนตัวเล็กกว่าตระโกนออกมาอย่างเหลืออดเมื่อคนเอาแต่ใจข้างล่างดันสวนแก่นกายขึ้นมาทั้งๆที่เขากำลงขย่มตัวลงไป มันเข้าไปข้างในได้มากเกินไปจนจงฮยอนรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่
“หืม? ทำไมล่ะ ก็ดีออกนี่นา"
มินฮยอนยกยิ้มขณะนอนมองภาพของร่างบางที่ก้มลงมองมาที่เขาเท่านั้น ร่างกายสวยนั่นขยับไปตามจังหวะความต้องการ เสียงครางกระเส่าที่ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ความร้อนในตัวของจงฮยอนที่โอบกอดแก่นกายของมินฮยอนไว้อย่างแน่นหนาและเร่าร้อน
หยาดเหงื่อที่ไหลลงมาตามลำคอระหงศ์ ลำตัวบาง และเรียวขาที่ถูกใช้เป็นฐาน
เป็นภาพที่สวยงามจนทำให้เขาต้องยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
หยาดน้ำสีใสนั่นไหลลงมาในจังหวะเดียวกับที่เกล็ดหิมะเริ่มตกลงมา
เกล็ดหิมะที่ไม่ว่าจะมีรูปร่างสวยแค่ไหน
แต่ทันทีที่มันตกลงสู่พื้นโลก – รูปลักษณ์พวกนั้นก็จะถูกทำลาย
กลายเป็นเพียงหยาดน้ำที่ไหลลงไปตามพื้นซีเมนต์หรือพื้นหญ้า
ไร้รูปร่าง – และไร้บ้าน
ร่างบางทิ้งตัวพิงใครอีกคนขณะที่กำลังเล่นมือที่ใหญ่กว่ามือของตัวเองอย่างเพลิดเพลิน ร่างเปลือยเปล่าที่พิงทับกันไม่ได้ก่อให้เกิดอารมณ์เท่าตอนแรก ตรงกันข้ามมันมีแต่ความอบอุ่นที่เขาคอยตามหามาตลอด
“นี่ ร้องเพลงให้ฟังหน่อยสิ"
จงฮยอนร้องขอออกมาอย่างออดอ้อน ไถกลุ่มผมนุ่มไปกับแผงอกกว้างๆอย่างเคยชิน คนถูกอ้อนหัวเราะออกมา ก่อนจะร้องเพลงให้คนรักฟังอย่างไม่อิดออด เสียงหวานใสนั่นไพเราะราวกับเป็นบทเพลงที่ถูกขับกล่อมในสรวงสวรรค์ มันดูบริสุทธิแต่ก็ทรงพลัง
ร่างบางเปลี่ยนไปนอนหนุนตักหนาแทน เพราะมันจะทำให้เขาสามารถมองเห็นใบหน้าของคนรักขณะกำลังขับกล่อมบทเพลงให้เขาฟัง มินฮยอนยกยิ้ม ประสานมือเข้ากับมือที่คอยสร้างความสุขให้เขามาตลอด –
มือเล็กๆคู่นี้ที่เลือกจะจับมือของมินฮยอนไว้เสมอ
มือเล็กๆคู่นี้ที่สามารถยึดเหนี่ยวปาฏิหาริย์ไว้ได้
“สบายดีใช่ไหม?” มันเป็นเสียงที่แหบพร่ากว่าปกติ
“อื้อ ที่นั่นยังเหมือนเดิม ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำหรือนึกถึงเสียเท่าไหร่หรอก"
“อ๋า ดีแล้วล่ะ มินฮยอนจะได้คิดถึงผมเยอะๆไง"
มินฮยอนหัวเราะออกมา ส่งมือไปลูบที่กลุ่มผมหนา เขาแตะเบาๆที่รอยแผลตรงหน้าผากมน คิ้วของร่างหนาขมวดขึ้นมาทันทีที่สัมผัสได้ถึงรอยแผลนั้น
“ดูแลตัวเองดีๆหน่อยสิจงฮยอนอ่า อย่าฝืนตัวเองขนาดนั้น ถ้ามินช่วยไว้ไม่ทันจะเป็นยังไง?”
ร่างบางเบะริมฝีปากออกมาอย่างออดอ้อน หวังจะให้คนที่ก้มมองลงมาเห็นใจ
“ง่า ก็ใครจะไปรู้ว่าของมันจะหล่นลงมาหมดเล –"
แต่ก็ไม่สำเร็จ เขาถูกมินฮยอนดึงขึ้นมาจูบซะอย่างงั้น –
หวานกว่าช็อคโกแล็ตทุกชิ้นบนโลก
นุ่มละมุนกว่ากาแฟร้อนๆในตอนเช้าวันอาทิตย์
อบอุ่นกว่าอ้อมกอดใดๆในโลกใบนี้
“อื้อ!”
ฮวังมินฮยอน –
นิยามความรักของคิมจงฮยอน :)
*
ริมทะเลสาบในตอนตีห้านั้นไร้ผู้คน –
“เห็นบ่นว่าอยากไปมานานแล้วน่ะ :)”
มินฮยอนหันมาบอกเหตุผลให้เขาฟังพร้อมกับรอยยิ้ม นัยน์ตาสีไพลิณนั่นยังดูเหงาเหมือนเดิม – ไม่สิ ความโดดเดี่ยวของมินฮยอนมันเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่จงฮยอนได้พบกับอีกฝ่าย
ความโดดเดี่ยวที่เพิ่มไปพร้อมๆกับความรักที่เอ่อล้นขึ้นทุกวัน
ความรักที่มีกาแล็กซี่เป็นภาชนะ – แต่ก็ไม่อาจกักเก็บทุกความรู้สึกของพวกเขาไว้ได้
“นี่ อย่าตามใจผมฝั่งเดียวสิ ทำสิ่งที่คุณอยากทำด้วยซี่"
ร่างบางพูดขณะที่เอนคอซบไหล่กว้างไปด้วย เขาชอบที่จะเล่นมือคู่ใหญ่ๆของมินฮยอน ทั้งจับ ทั้งใช้มือวาดเขียนลงไป ไล้เบาๆเป็นการปลอบประโลมมือคู่ที่คอยปกป้องจงฮยอนมาตลอด
“จงฮยอนอ่า :)”
ร้องไห้
จงฮยอนร้องไห้ออกมาอีกแล้ว
แต่เขาก็ยิ้มออกมา เมื่อพบว่าคนที่แสนยิ่งใหญ่ตรงหน้ากำลังคุกเข่าลง
ดอกแดฟโฟดิลสีขาวหนึ่งดอกที่หมายความว่า 'พระอาทิตย์จะส่องสว่างเสมอตราบใดที่มีคุณอยู่เคียงข้าง’
เสียงคลื่นกระทบฝั่งที่เป็นเหมือนเพลงสดุดีความรักของพวกเขา
ท้องทะเลสาบ ภูเขา ท้องฟ้าสีน้ำเงิน และหาดทรายกลายเป็นพยานแห่งความรัก
สัตย์สาบานที่ถูกกล่าวออกมาผ่านทางสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความโหยหา
ไม่มีบาทหลวง
ไม่มีช่อดอกไม้ช่อใหญ่
ไม่มีแขกใดๆเป็นพยาน
ไม่มีโบสถ์เพื่อประกอบพิธี
ไม่มีการขับร้องบทเพลงแห่งความรัก
มีเพียงแค่คิมจงฮยอนและฮวังมินฮยอน
กับความรักที่ยิ่งใหญ่กว่าหัวใจของมนุษย์และเทวดา
“ครับ ฮวังมินฮยอน :)”
ร่างเล็กกล่าวตอบรับ
แหวนเงินเกลี้ยงๆถูกสวมเข้าที่นิ้วนางข้างขวา
พวกเขาส่งยิ้มให้กัน
แสงแดดที่ส่องกระทบลงมาทำให้พวกเขาสามารถเห็นความรู้สึกของกันและกันได้ชัดเจนกว่าเดิม
พระอาทิตย์ขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่หยาดน้ำสีใสหล่นลงมาจากนัยน์ตาสีฟ้า
ตกกระทบลงบนผืนทราย
“ขอบคุณนะครับ จงฮยอนอ่า :)”
คนตัวเล็กส่ายหัวเพื่อเป็นการปฏิเสธคำขอบคุณนั้น สิ่งที่เขาสามารถให้อีกฝ่ายได้มันเล็กน้อยยิ่งนัก เมื่อเทียบกับทุกๆอย่างที่มินฮยอนทำให้เขามาตลอด
เล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับความรักที่ไม่มีวันสิ้นสุด
ของคนที่อยู่เหนือกาลเวลา
“เสกแหวนอีกวงให้ผมด้วยซี่"
คิมจงฮยอนผู้ที่สว่างไสวกว่าดาวเหนือ
คนที่เป็นแหล่งพลังความสุขทั้งหมดของมินฮยอน
ใครคนนั้นที่มีจันทราครึ่งเสี้ยวอยู่ตรงรอยยิ้ม
ใครคนนั้นที่มีจักรวาลอาศัยอยู่ในดวงตากลมโต
ใครคนนั้นที่มีผิวเนียนละเอียดราวกับกลุ่มก้อนเมฆ
ใครคนนั้นที่มีกลิ่นหอมของทุ่งดอกไม้ประดับอยู่ในร่างกาย
แหวนเกลี้ยงๆปรากฏบนมือเล็กนั่นๆทันทีที่อีกฝ่ายเอ่ยขอ
คิมจงฮยอนยิ้มออกมา คุกเข่าลงกับพื้นทรายอย่างไม่อิดออด
ส่งรอยยิ้มที่สว่างไสวกว่าจันทราในยามราตรี
“ฮวังมินฮยอน :)”
สัตย์สาบานของคิมจงฮยอนนั้นช่างสว่างไสวนัก
สวยงามจนเขาอยากจะขอร้องกับพระเจ้าให้หยุดเวลาไว้ที่ตรงนี้ –
หรือขังให้ฮวังมินฮยอนติดอยู่ในห้วงเวลานี้ตราบชั่วนิรันดร
ให้มันเป็นบทลงโทษที่หอมหวานที่สุดในเทวตำนาน
“ครับ คิมจงฮยอน :)”
เขารู้ – รู้ดีว่าพระเจ้าทรงได้ยินคำขอของมินฮยอน
แต่มันเป็นคำขอที่อีกฝ่ายไม่อาจทำให้มันเป็นจริงได้
ไม่เป็นไรหรอก
มันไม่เป็นไรจริงๆ
หากเขามิสามารถหยุดเวลาไว้ที่ตรงนี้ตลอดกาล
ฮวังมินฮยอนจะทำให้มันคงอยู่ชั่วนิรันดรเอง –
ให้มันมีชีวิตอยู่ในความทรงจำที่มีระยะอนันต์
ของผู้ที่มีชีวิตนิรันดร์
*
พวกเขาอยู่ด้วยกันมาสิบสองชั่งโมงแล้ว ไม่มีใครคิดอยากจะหลับตาลงให้เสียเวลา ทั้งสองคนใช้เวลาที่กำลังเดินไปข้างหน้าให้คุ้มค่าที่สุด
คิมจงฮยอนที่รู้ดีว่าต่อให้เขาจะใช้เวลาจดจำใบหน้าอันสมบูรณ์แบบนั่นนานแค่ไหน
มนุษย์ธรรมดาแบบเขาก็จะลืมทุกสิ่งทุกอย่างทันทีที่ลืมตาขึ้นมาในเช้าวันถัดไป
ตื่นขึ้นมาบนเตียงสีน้ำเงินกับชีวิตธรรมดาๆแบบเดิม
“ฮ่าๆ เทวดาที่ไหนเขากลัวความสูงกัน"
เสียงหัวเราะเล็กๆแหลมๆของจงฮยอนดังออกมาเมื่อตอนนี้คุณเทวดาสุดหล่อหมดคราบคนสมบูรณ์แบบ อีกฝ่ายศิโรราบให้กับเครื่องเล่นของมนุษย์ที่เรียกว่าไวกิ้ง
ใช่แล้ว – ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในสวนสนุก มินฮยอนบอกว่าอยากจะลองมาที่นี่หลายครั้งแล้ว ดังนั้นทั้งสองคนจึงตัดสินใจใช้เวลาทั้งบ่ายที่นี่
“มองไม่คลาดสายตาขนาดนี้ เพราะผมหล่อมากล่ะสิ?”
จงฮยอนส่งมือไปขยี้กลุ่มผมสีบลอนด์นั่นทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ สภาพฮวังมินฮยอนที่สวมแค่เสื้อเชิ้ตสีดำกับเกงยีนส์และทับด้วยเทร้นช์โค้ทสีดำน่ะ มันไม่ได้น่ามองขนาดนั้นหรอกน่า –
ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังสีหน้าพะอืดพะอมล่ะก็นะ
“อื้อ หล่อมากกกกกๆๆเลยล่ะ"
ลากเสียงอย่างกวนอารมณ์
ใช่ จงฮยอนชอบจะมองมินฮยอนในตอนนี้
ตอนที่คนตรงหน้าดูไม่สมบูรณ์แบบ เหมือนมนุษย์ทั่วๆไป
เพราะมันทำให้จงฮยอนรู้สึกว่าเขาสามารถเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น
“งั้นพาคนหล่อไปขึ้นอันนู้นนนหน่อยค้าบบบ"
ร่างหนาพูดพลางเอาคางมาวางตรงไหล่บางนั่นอย่างออดอ้อน รวบเอวบางเข้ามากอดด้วยความรัก แต่อีกฝ่ายกลับส่งสายตาค้อนกลับมา ไหนจะการถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายนั่นด้วย
“ม้าหมุนสวรรค์? โอเค ได้ ฮวังมินฮยอนได้"
มินฮยอนหัวเราะออกมาเมื่อพบว่าตอนนี้คนในอ้อมกอดกำลังขู่ฟ่อออกมาราวกับแมว อีกฝ่ายคงคิดว่าเขาอยากกลับไปสวรรค์อะไรเทือกนั้นสินะ เด็กน้อยของเขายังน่ารักเสมอ
คิมจงฮยอนไม่เคยพลาดที่จะทำให้ฮวังมินฮยอนยิ้มออกมาราวกับคนบ้า
“แค่อยากไปนั่งบนสวรรค์กับจงฮยอนน่ะ :)”
ร่างบางกดหน้าลง
แต่นั่นก็ยังไม่สามารถปิดบังใบหน้าที่กำลังขึ้นสีแดงเพราะมินฮยอนได้
“เจ้าฮวัง!! บ้า!”
สะบัดตัวออกจากอ้อมกอด ก่อนจะก้าวเท้ายาวๆเหมือนหุ่นยนต์ไปยังที่ตั้งของม้าหมุนสวรรค์
มินฮยอนยิ้ม – ยิ้มอีกครั้งและอีกครั้ง
ยิ้มเผื่ออีกสามร้อยหกสิบสี่วันที่เหลือ
“ว่าไง – เจ้าจงฮยอน :)”
วิ่งไปคว้าไหล่อีกคนอย่างเคยชิน สัมผัสของร่างกายที่ลงล็อคราวกับสร้างมาคู่กัน
ท้องฟ้าวันนี้สดใสกว่าเมื่อวาน
ราวกับเป็นการเยาะเย้ยของพระเจ้า
“ฮ่าๆ ไม่ได้ซี่ เจ้าจงฮยอนต้องไปนั่งบนกวางเรนเดียร์"
มินฮยอนดันร่างบางให้ขึ้นไปนั่งบนกวางเรนเดียร์ที่เขาเล็งไว้
นัยน์ตาสีรัตติกาลนั้น – สวยกว่าตาสีดำขลับของสิ่งมีชีวิตที่สวยงามนี้เสียอีก
“งั้นเจ้าฮวัง จงไปนั่งบนมนุษย์แคระซะ!”
สั่งออกมาด้วยเสียงแหลมๆ พร้อมกับนิ้วที่ชี้ไปยังเป้าหมาย ใบหน้าน่ารักนั้นแสดงความจริงจัง ริมฝีปากหนาเบะออกอย่างลืมตัว ขาที่ชี้ออกไปข้างหน้าด้วยความตื่นเต้นที่ได้ออกคำสั่งกับคนขี้ดื้อ ขี้เก๊กตรงหน้า
“ตามบัญชาเลยค้าบบบบบ นายท่านคิม!”
ครั้งที่หนึ่งร้อยสิบสาม –
จำนวนครั้งที่ฮวังมินฮยอนยิ้มออกมาตลอดสิบหกชั่วโมง
*
ภพนภาแปลเปลี่ยนเป็นสีส้มและม่วงในตอนเย็น
ภาพของคิมจงฮยอนที่นั่งอยู่บนม้านั่ง เหม่อมองออกไปยังสุดขอบฟ้า แสงแดดหยอกเหย้าและตกกระทบลงบนใบหน้าน่ารักนั่น ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะมินฮยอนจ้องมองแค่อีกฝ่ายจนมึนหัวหรือเปล่า แต่เขารู้สึกได้ว่าใบหน้าของคิมจงฮยอนกำลังส่องประกายระยิบระยับราวกับกลิตเตอร์
พวกเขาเลือกจะทานแค่แฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟราย และน้ำอัดลมท่ีสวนสาธารณะยออิโด มินฮยอนยื่นมือไปเช็ดคราบมายองเนสที่ติดอยู่บนริมฝีปากสีพีชอย่างเบามือ
“ไม่เหนื่อยเกินไปใช่ไหม?”
ประโยคคำถามที่คลุมเครือ – เป็นประโยคที่ฮวังมินฮยอนใช้เวลากลั่นกรองมาตลอดหลาดปี
มินฮยอนรู้ดีว่าความรักของพวกเขาทั้งสองคนมันไม่ได้อยู่บนความถูกต้อง –
ไม่ได้เป็นไปตามศีลธรรมที่สังคมจารึกไว้
ไม่ใช่ความรักที่ควรคงอยู่ตลอดไป
“จะเหนื่อยได้ยังไง"
ราวกับโลกหยุดหมุน
ไม่สิ – ราวกับคนตัวเล็กมีความสามารถในการหยุดเวลา
ทันทีที่ริมฝีปากอวบอิ่มนั่นแตะลงบนอวัยวะเดียวกันของเขา
ท้องฟ้าไล่สี เสียงกีตาร์ที่ปลิวมาตามทิศทางลม
มือที่สอดประสานกัน – ส่งมอบความอบอุ่นยิ่งกว่าเตาผิงและกาแฟร้อนๆ
ทุกอย่างสวยงามยิ่งกว่าสรวงสวรรค์ที่ผู้คนกล่าวขานว่าเป็นอาณาจักรที่งดงามที่สุด
“ในเมื่อการได้พบมินฮยอนคือการชาร์ตพลังของผม"
ผีเสื้อบินในท้อง?
มินฮยอนเข้าใจแล้วว่าทำไมเหล่ามนุษย์ถึงใช้มันเพื่อเปรียบเทียบกับความรู้สึกตกหลุมรัก
มันล่องลอยอย่างไม่สิ้นสุดราวกับความรู้สึกนี้จะไม่มีวันจบลง
“ให้มันเป็นหนึ่งวันจากสามร้อยหกสิบห้าวัน – ก็ยังดีกว่าไม่ได้พบและเจอกันอีกเลย :)”
เคยมีคนบอกว่าเราไม่ได้รักใครเพราะสิ่งที่ตาเห็น
แต่เป็นเพราะสิ่งที่เราสัมผัสได้ต่างหาก
เหมือนกับที่จงฮยอนมักจะรู้สึกว่ามีใครบางคนคอยอยู่ข้างๆ คอยเฝ้ามองเขาจากที่แสนไกลเสมอ
“คุณที่เป็นความรักของผม"
ความรักเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
มันทำให้เทวดาที่ควรจะเสพแต่ความสุขบนดินแดนแห่งนิรันด์ เลือกจะทิ้งความสุขเหล่านั้นเพื่อลงมาโอบกอดความรักของตัวเอง
ในขณะที่มนุษย์ – สิ่งมีชีวิตที่คิดว่าตัวเองประเสริฐที่สุด แท้จริงแล้วกลับอ่อนแอและเปราะบางกว่าสิ่งมีชีิวิตใดๆ
กลับถูกผลักดันออกมาจากลิมิตของตัวเอง อดทนกับทุกการรอคอย เพื่อคนรักผู้เป็นนิรันดร์
“คุณที่เป็นสาเหตุให้ผมชอบเหม่อมองท้องฟ้าทั้งๆที่ไม่รู้เหตุผล – มอง ยิ้มและร้องไห้ ทั้งๆที่ข้างในมันว่างเปล่า เพราะคุณ – คุณที่หายไป"
ท้องฟ้าในวันฝนพรำ
ท้องฟ้าในวันที่หิมะตก
ท้องฟ้าที่ประดับด้วยสายรุ้ง
ท้องฟ้าที่ไร้ก้อนเมฆและดวงดาว
ท้องฟ้าที่จันทรายืนอยู่ด้วยความโดดเดี่ยว
ท้องฟ้าในวันที่แดดแรงเกินกว่าจะเงยหน้ามอง
“และถึงแม้ว่าผมจะจำไม่ได้ แต่ความว่างเปล่า การไม่มีตัวตนของคุณในชีวิตของผม มันทำให้ผมรู้สึกราวกับว่าตัวเองมีความสุขได้อย่างไม่เต็มที่ ทั้งๆที่ไม่รู้สาเหตุที่ทำให้รู้สึกแบบนั้น ทั้งๆที่ทุกคนต่างก็อิจฉากับเส้นทางชีวิตที่โรยด้วยกลีบดอกไม้ของผม"
ทั้งหมดนั่นคือคุณ คุณที่แปลว่าความรักของผม
ความรักของผมที่ไม่อาจเป็นนิรันดร์
ความรักของคุณที่บอกว่ามันจะคงอยู่ชั่วกัลปวสาน
“ถึงแม้ว่าผมจะเติบโตขึ้น มีความรักและสร้างครอบครัวที่อบอุ่นตามที่พ่อแม่คาดหวัง"
คุณที่บอกว่าอยากมีชีวิตอยู่อย่างคนธรรมดา
คุณที่หนึ่งปีต่อมาบอกว่าให้ผมใช้ชีวิตแบบคนทั่วไปบ้างและบอกกับผมว่า
‘มีชีวิตอยู่อย่างไม่ต้องมาเสียใจทีหลังซี่ คิดเสียว่าผมกำลังใช้ชีวิตผ่านตัวคุณ – โดยการเฝ้ามองคุณ’
“แต่รู้อะไรไหม มินฮยอนอ่า – "
หนึ่งวันก่อนวันแต่งงาน ผมลุกขึ้นกลางดึกเพื่อย้อมผมให้เป็นสีบลอนด์
มันช่างน่าขำนัก เมื่อตอนนี้ผมได้รู้เหตุผลของตัวเอง
หนึ่งเดือนก่อนงานแต่ง ผมเลือกจะตกแต่งตัวงานด้วยสีฟ้าน้ำทะเล –
มันช่างน่าขันนัก เมื่อรู้ว่ามันเป็นเพราะนัยน์ตาคู่นั้นของคุณ
หนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ลูกชายคนแรกของผมถือกำเนิดมา
มันเป็นตลกร้ายชะมัด ที่ผมกลับตั้งชื่อลูกว่ามินฮยอน
ชื่อของคุณที่มันอาจสลักไว้อยู่ในส่วนลึกที่สุดในจิตใจของผม
ส่วนที่แม้แต่พระเจ้ายังไม่อาจหาเจอ
“ท่ามกลางวันเหล่านั้นที่ผมไม่มีคุณ"
ผมอยากขอบคุณพระเจ้าที่นำพาพวกเรามาเจอกัน
แม้จะพรากจากกันในช่วงเวลาหนึ่ง
แต่ก็จะกลับมาพบกันเสมอ – ตลอดไป
“การแหงนมองท้องฟ้ากลายเป็นความสุขที่แท้จริงของผมไปแล้ว"
จะถือว่าเป็นการทำบาปหรือเปล่านะ?
การทำให้เทวดาร้องไห้เป็นครั้งที่สองของวันน่ะ
“ขอบคุณนะจงฮยอนอ่า"
แต่ให้ตายสิ
ผลึกน้ำตาที่หยดลงมาจากนัยน์ตาคู่นั้น
มันสวยงามราวกับเกล็ดหิมะในคืนที่ท้องฟ้าปิดตัวจากทุกสรรพสิ่ง
เกล็ดหิมะที่ล่องลอยไปตามทิศทางลม
ตกลง และ ละลายหายไป
“ผมจะเป็นท้องฟ้าที่สวยที่สุดให้กับคุณเอง – "
แต่ถึงแบบนั้น
ชั่วขณะที่ผมได้เฝ้ามองคุณ – ผู้เป็นดั่งเกล็ดหิมะ
สง่างาม มีเอกลักษณ์ และจับต้องไม่ได้
ชั่วขณะที่ได้เชยชมและสัมผัสถึงการมีอยู่ของคุณ
"คุณ คิมจงฮยอนเท่านั้น"
เป็นชั่วขณะที่กลายเป็นสาเหตุให้ผมมีชีวิตอยู่
ไม่สิ – เป็นห้วงเวลาที่ทำให้ผมเข้าใจว่ามนุษย์เราจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม
*
จุดสูงสุดของโซลทาวเวอร์ในช่วงเวลาห้าทุ่มห้าสิบนาทีนั้นไร้ผู้คน –
ต่างกับชั้นลอยนัก ที่เหล่าคู่รักมากมายส่งมอบความอบอุ่นผ่านอ้อมกอด การจับมือและรสจูบ
ฮวังมินฮยอนรวบตัวจงฮยอนเข้ามากอด ส่งมอบความอบอุ่นให้คนที่เป็นดั่งดวงใจของตัวเอง ไม่แม้แต่จะผละออกมาแม้แต่ชั่ววินาที เพราะเขาไม่อยากให้เวลาผ่านไปโดยที่ไม่ได้สัมผัสคนตรงหน้า
ฮวังมินฮยอนที่คอยเฝ้ามองคิมจงฮยอนมาตลอด ยี่สิบเก้าปี
ฮวังมินฮยอนที่คอยเฝ้ามองคิมจงฮยอนมาตลอด หนึ่งหมื่นห้าพันแปดสิบห้าวัน
เฝ้ามองมาตลอด
เทวดาคนโปรดของพระเจ้าที่ตกหลุมรักมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งตั้งแต่แรกพบ
คอยดูแลและปกป้องมาตลอด – โดยมีกลุ่มก้อนเมฆและชั้นบรรยากาศเป็นปราการกั้น
เฝ้ามองทุกการเจริญเติบโตของจงฮยอน
เฝ้ามองทุกความสุข ความเจ็บปวด ความผิดหวัง และความรักของอีกฝ่าย
เฝ้ามองแม้แต่วันที่คิมจงฮยอนสวมชุดสูทและจุมพิตเจ้าสาวของตัวเองด้วยความรัก
สามร้อยหกสิบห้าวันหรือสามร้อยหกสิบหกวันในหนึ่งปี
จะมีเพียงหนึ่งวัน – คืนวันสุดท้ายของปีที่ความรักของมินฮยอนจะสามารถจดจำเขาได้
คำขอเดียวที่มินฮยอนขอแก่พระบิดาผู้เป็นคนสร้างสรรพสิ่งในโลกใบนี้
แลกกับความทรมานที่มินฮยอนต้องเฝ้ามองคนที่เขารักค่อยๆสร้างฐานความรัก –
สิ่งที่เรียกว่าครอบครัว
เอเดล – เพื่อนสนิทของมินฮยอนเคยเอ่ยด้วยความตลก
‘สวรรค์เป็นสถานที่ปราศจากความเจ็บปวด ความหลงไหล และริษยา ทุกความรู้สึกใดๆแท้ แล้วทำไมเล่า? ทำไมเจ้าต้องดิ้นรนหาความเจ็บปวด – ความเจ็บปวดที่จะคงอยู่กับเจ้าตลอดกาล มินฮยอน?’
มินฮยอนหัวเราะ เขาส่งยิ้มให้กับคนที่เต็มไปด้วยอำนาจและบารมี นัยน์ตาคู่สวยนั่นเหม่อมองลงไปข้างล่าง ภาพของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่กำลังร้องไห้เพราะความเครียดจากการทำงานสะท้อนกลับมา เทวดาที่แสนโง่เขลายิ้มก่อนจะตอบออกไป
‘เพราะนอกจากความเจ็บปวดที่จะอยู่กับข้าตลอดกาล‘
‘ความรักของข้าก็จะเป็นนิรันดร์เฉกเช่นเดียวกับความเจ็บปวดนั้น’
ช่างโง่เขลานัก
เป็นถึงสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร
A Thousand Year เพลงที่มินฮยอนเลือกจะร้องให้เขาฟังก่อนจะจากไป
เพลงที่ถูกขับร้องในงานแต่งงานของจงฮยอน
มันไพเราะราวและกังวาลอยู่ในใจมากกว่าวันที่เขากล่าสัตย์สาบาน มีพิธีที่แต่งงานที่ยิ่งใหญ่ มากกว่าวันนั้นที่มีแขกเหรื่อมากมายต่างมาแสดงความยินดี
เป็นครั้งแรกที่คิมจงฮยอนเข้าใจความหมายที่แท้จริงของเพลงๆนี้
เป็นครั้งแรกที่คิมจงฮยอนเข้าใจว่าเพลงรักมีเพื่อออะไร
เป็นครั้งแรกที่คิมจงฮยอนเข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงตามหาสิ่งที่เรียกว่าชีวิตอมตะในนิทานปรัมปรา
เป็นครั้งแรกที่คิมจงฮยอนรู้สึกไม่พอใจในชีวิตที่แสนสั้นของตัวเอง
เป็นครั้งแรกที่คิมจงฮยอนกลัวกับบาปที่เคยกระทำลงไป กลัวว่ามันจะทำให้เขาไม่อาจกลับไปหาใครคนนั้นหลังการจบชีวิตในชาตินี้
เป็นครั้งที่หนึ่งพันสามร้อยสิบสาม ที่คิมจงฮยอนขอพร ไม่ให้ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะพบกันเวียนมาถึง
เป็นครั้งที่สิบเก้าที่ตกหลุมรักคนๆเดิมจากการใช้ชีวิตในฐานะคิมจงฮยอนตอนยี่สิบเก้าปี – ตกหลุมรักทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้นมาเจอฮวังมินฮยอนอยู่ข้างๆ
แต่ถึงแบบนั้นคิมจงฮยอนก็ไม่เคยขอพรใดๆจากพระเจ้าเลย
เพราะเขามีพรสุดท้ายที่อยากจะขอ ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต
เพราะฉะนั้นตอนนี้คิมจงฮยอนจะอดทนรอ อย่างที่ฮวังมินฮยอนทำมาตลอด
ทำสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อรอให้วันสิ้นปีเวียนมาถึง
“สุขสันต์วันปีใหม่นะมินฮยอนอ่า"
ผู้ชายที่มีนัยน์ตาเป็นเหมือนหลุมดำ ลึกลับ สวยงามและมีแรงดึงดูมหาศาล –
คนที่เป็นโลกทั้งใบของเทวดาคนโปรดของพระเจ้า
นัยน์ตาแห่งรัตติกาลที่ตอนนี้สะท้อนเพียงแต่ภาพของเกล็ดหิมะขนาดใหญ่
มินฮยอนจากไปแล้ว –
เหลือเพียงแต่เกล็ดหิมะรูปทรงสวยที่กำลังจะตกลงสู่พื้นดิน จากความสูงกว่าสองร้อยสามสิบเจ็ดเมตร
แต่คิมจงฮยอนก็ทำอะไรไม่ได้ – ได้แต่รอให้มันตกลงและละลายหายไป
ถึงแบบนั้นคราวนี้จงฮยอนก็ตัดสินใจยื่นมือของตัวเองไปสัมผัสกับเกล็ดหิมะที่เป็นตัวแทนของใครอีกคน มันหนาวเหน็บ – ไม่ได้อบอุ่นเหมือนอ้อมกอดหรือสัมผัสจากคนรักของเขา
แต่อย่างน้อยคราวนี้จงฮยอนก็จะไม่ให้มันตกลงถึงพื้นดิน
ไม่ปล่อยให้ตัวแทนใครคนนั้นต้องละลายและไหลไปตามพื้นดินให้คนเหยียบย่ำ
อย่างน้อยให้มันละลายในมือของเขา –
ให้คิมจงฮยอนโอบกอดมันจนกว่ารุ่งเช้าจะมาถึง
ให้มันซึมลงไปตามผิวหนัง เผื่อว่ามันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของเขา
“เจอกันปีหน้านะครับ – จงฮยอนของผม:)"
เสียงทุ้มที่ดังมาจากข้างในหัว ไม่สิ ข้างๆใบหูจงฮยอนต่างหาก
มันดังขึ้นพร้อมๆกับที่เข็มสั้นและเข้มยาวของนาฬิกาชี้เลขสิบสอง
คำบอกลาที่ไม่มีคำลาในนั้น
คำบอกลาที่ไม่มีคำว่ารักบรรจุอยู่
คำบอกลาที่บอกว่าเราจะพบกันใหม่อีกครั้ง
เจอกันใหม่ เพื่อพบ รัก และ จากกันอีกครั้ง
เสียงจุดพลุดังขึ้นพร้อมๆกับที่สติสัมปชัญญะของจงฮยอนค่อยๆหายไป
และก่อนที่โลกจะกลายเป็นความมืด ก่อนที่ความทรงจำทั้งหมดจะถูกรีเซ็ตอีกครั้ง
ก่อนที่คิมจงฮยอนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งในเช้าวันใหม่
ลืมเลือนทุกเรื่องราวที่เกี่ยวกับคนที่เขารักอย่างสุดหัวใจ
ไร้ร่องรอย – ไม่แม้แต่จะปรากฏในห้วงนิทรา
เป็นแค่เช้าที่ตื่นมาด้วยความว่างเปล่าในหัวใจ
รับรู้ถึงความว่างเปล่า – รับรู้ว่าสิ่งที่เคยเติมเต็มหัวใจนั้นหายไป
ถึงแบบนั้นก็ไม่อาจรับรู้เหตุผลที่ทำให้หัวใจของจงฮยอนวูบโหวงได้แบบนี้
ก่อนที่คิมจงฮยอนจะกลับไปใช้ชีวิตราวกับไม่เคยมีฮวังมินฮยอนในชีวิต
ก่อนที่คิมจงฮยอนจะกลับไปใช้ชีวิตราวกับไม่เคยมีฮวังมินฮยอนในสมอง
ก่อนที่คิมจงฮยอนจะกลับไปใช้ชีวิตราวกับไม่เคยมีฮวังมินฮยอนในหัวใจ
ภาพของฮวังมินฮยอนที่ส่งยิ้มกลับมาช่างสวยงามนัก
สวยงามและเป็นเอกลักษณ์เหมือนเกล็ดหิมะที่มีรูปทรงต่างกันไป
ความสวยงามที่มาพร้อมกับชั่วขณะสั้นๆ –
ถึงแบบนั้นพวกเขาก็จะขยายห้วงเวลานั้นไปเรื่อยๆ
จนกว่าคำว่าชั่วกัลปวสานจะมาถึง
“Love is like a snowflake,
it can come to you in any shape or size,
and from any direction”
End
Please comment or tag #Shelterain101
Talk: ตอนแรกมีชื่อภาษาอังกฤษให้มินฮยอนแล้วนะคะ แต่มันไม่ถึงอารมณ์เท่าชื่อเกาหลี ฮื่ออ จริงๆไม่ควรมีนามสกุลด้วย แต่ก็อดใส่ลงไปไม่ได้ รู้สึกว่ามันให้พลังไม่เท่า ขอโทษสำหรับความไม่สมจริงในส่วนนี้นะคะ T__T
หวังว่าเรื่องราวของทั้งสองคนจะสามารถเติมเต็มช่วงเวลาก่อนปีใหม่ของทุกคนได้บ้างนะคะ:)
Happy New Year ล่วงหน้าค่ะ ^^
ปล. สำหรับคนที่รอ Falling Rain เราขอฮึบหากำลังใจก่อนนะคะ ;__;
ปล2. ม้าหมุนสวรรค์นั้นนน ก็คือม้าหมุนนั่นแหละค่ะ แฮ่ .___.
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ภาษาสวยมากเลย โทนเรื่องก็ดี
อบอุ่นและว่างเปล่าในเวลาเดียวกันเลย
แต่ถึงมองไม่เห็นก็สัมผัสได้ว่ารักนั้นมีอยู่จริงในใจทั้งคู่
มินฮยอนเป็นเกล็ดหิมะที่งดงามที่สุดเลยค่ะ :)
สงสารทั้งคู่มากเลย แต่ก็น่านับถือมากๆ ที่เลือกเส้นทางนี้ ทำให้เพลงที่เปิดในงานแต่งงานมีความหมายในแบบที่ไม่ต้องอธิบายเพิ่มเลย
คุณเทวดาก็คงจะอยู่ตรงนั้นเสมอเพื่อจงฮยอนเหมือนเดิม ㅠㅠㅠㅠ
อ่านจบแล้วไม่รู้จะคอมเมนท์ยังไงเลยค่ะ คุณผู้ชายที่ลืมกับคุณเทวดาที่จำตลอดไป โอยยยยย คือภาษาสวยมาก อ่านแล้วอิน สะเทือนไปถึงขั้วหัวใจ สงสารความเป็นไปได้ยาก แต่อย่างน้อยก็ยังมีหนึ่งวันให้เรารักกันต่อปี ฮือออออออ หน่วง ปวดใจ แต่ก็ซึ้งกับรักนี้มากๆ...
ดีใจที่ได้อ่านนะคะ
อ่านจบแล้วไม่รู้จะคอมเมนท์ยังไงเลยค่ะ คุณผู้ชายที่ลืมกับคุณเทวดาที่จำตลอดไป โอยยยยย คือภาษาสวยมาก อ่านแล้วอิน สะเทือนไปถึงขั้วหัวใจ สงสารความเป็นไปได้ยาก แต่อย่างน้อยก็ยังมีหนึ่งวันให้เรารักกันต่อปี ฮือออออออ หน่วง ปวดใจ แต่ก็ซึ้งกับรักนี้มากๆ...
ดีใจที่ได้อ่านนะคะ
มันช่าง.. เข้ากับความรู้สึกของเราตอนนี้จริงๆ
การอดทน รอคอย มันเจ็บปวด แต่ก็นั่นล่ะ มันจะมีความสุขมาก เมื่อเรารอถึงวันนั้นได้
ไม่รู้จะสงสารใครก่อนเลยค่ะ คนนึงถึงจะจำไม่ได้ แต่ก็รู้สึกเหมือนอะไรหายไป อีกคนรับรู้ทุกอย่าง แต่ทำอะไรไม่ได้
ปีละครั้งเองเนอะ ชอบการบรรยายมากเลยค่ะ มัน เข้าถึงอารมณ์ได้ดี ถึงจะเจ็บปวด แต่ก็ งดงามมากเลยค่ะ
เป็นความเจ็บปวดที่งดงามจริงๆนะคะ
แถมภาษาคุณก็โคตรสวยด้วย ไม่รู้จะพูดยังไงดีเลย คือเป็นภาษาที่เหมาะและลงตัวกับโทนเรื่องเลยค่ะ อ่านลื่นไม่ติดขัดด้วย ชอบนะคะ
รอติดตามต่อนะคะ สู้ๆน้า
คือมันดีมาก ทุกถ้อยคำ ทุกเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดและร้อยเรียงนั้นสวยงาม หากแต่กรีดลึก
ทุกคำเปรียบเปรย
ทุกการเน้นเอียง
ชอบความเจ็บปวดแบบนี้มากๆค่ะ
มันเศร้า แต่สวย
ควรค่าที่จะจดจำ 555
ขอบคุณสำหรับฟิคค่ะ
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ เราดีใจมากจริงๆที่คุณชอบขนาดนี้ :))))