ตอนที่ 22 : [sf] When the Wind Blows Back IV
[sf] When the Wind Blows Back IV
Doyoung x Jaehyun
#SFaMilRaindrops
*AU- Omegaverse
10,154 words
BG Music : Emeli Sandé - Read All About It
Love isn't something you find.
Love is something that finds you.
*
“พอดีนึกขึ้นได้ว่ามีธุระที่ใต้ต้นซากุระพันปีน่ะ"
คำพูดกับสายตาที่ส่งมาอย่างเว้าวอนทำให้ยุนโอต้องถอนหายใจออกมา จริงๆเขาก็ไม่ชอบวิธีการวิ่งหนีของตัวเองเท่าไหร่ เพราะมันไม่สมนิสัยจริงๆของคนแบบเขาเลย
“หืม? ด่วนมากหรอ? ไม่กินข้าวก่อนอ่ะ"
“อื้อ ด่วนมากๆเลย"
คังซิลกิเดินออกจากห้องทันทีที่พูดจบ สภานักเรียนก็หันกลับมากินข้าวต่ออย่างร่าเริง แต่ทุกคนก็ยังคอยถกเรื่องธุระของคนที่พึ่งเดินออกไปอย่างออกรส
“หืม? กินเสร็จแล้วหรอคุณจอง?”
จอห์นนี่ถามออกมาทันทีที่เห็นว่าโอเมก้าคนดังลุกขึ้นยืน –
และตอนนั้นเขาก็ค้นพบว่ามีอะไรผิดปกติ
– อะไรบางอย่างที่ทำให้ความคิดของใครอีกคนยุ่งเหยิงไปหมด
“อื้อ พอดีมีธุระน่ะ"
เพราะตอนนี้จองยุนโอกำลังยิ้ม
บ่ายโมงครึ่ง ใต้ต้นสากุระพันปี –
เป็นช่วงเวลาที่ดอกซากุระกำลังร่วงหล่นลงมาจากต้นของมัน พื้นดินเต็มไปด้วยสีชมพูสวย สายลมพัดพากลีบของมันไปทั่วบริเวณสนามบอล ภาพของคนสองคนที่ดูเหมาะสมกับเหมือนกับเกสรดอกไม้และท้องนภา
คังซึลกิในชุดนักเรียนสีฟ้า กระโปรงลายสก็อตสีน้ำเงินสลับแดง ทับด้วยเสื้อคาร์ดิแกนสีครีมของโรงเรียน ผมสีเทาสว่างถูกปล่อยไว้อย่างลวกๆ นัยน์ตาชั้นเดียวที่มีสเน่ห์ที่สุดเท่าที่จองยุนโอเคยพบเจอ วันนี้มันยังแข็งแกร่งเหมือนเดิม
คังซึลกิที่ชอบต้นซากุระ เพราะมันไม่มีกลิ่น
“ว่าไง จองยุนโอ"
พวกเขาสนิทกันเพราะครอบครัวที่มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและนิสัยที่เหมือนกัน เข้ากันได้ดีโดยไม่ต้องพูดอะไรมาก นั่นทำให้พวกเขาสนิทกันมากกว่าเดิม – เป็นเพื่อนสนิทที่ทำให้รู้สึกสบายใจเสมอ
“อื้อ – ตอนนี้สายลมมันเปลี่ยนทิศไปแล้วล่ะ ซึลกิอ่า"
จองยุนโอยิ้มออกมาราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนกับที่พระทิตย์ขึ้นและตกลงในทุกๆวัน นัยน์ตาคู่นั้นไม่มีแม้แต่ความสั่นไหว มันยังคงแข็งแกร่งเหมือในวันวาน – ไม่สิ มากกว่าที่ผ่านมาด้วยซ้ำ
“ถ้าจะให้พูดแบบเห็นแก่ตัว – ไม่สิ จองยุนโอคนนี้ต่างหากที่เห็นแก่ตัว"
มันน่าอาย –
ที่เขารู้สึกดีใจที่ยังไม่สารภาพความรู้สึกนั้นออกไป
การที่โอเมก้าผู้ชายเป็นแฟนกับอัลฟ่าที่เป็นผู้หญิงน่ะ มันหมายความว่าจองยุนโอต้องเป็นฝ่ายถูกซึลกิกัด เขาไม่เคยเหยียดผู้หญิง ไม่ได้รู้สึกรังเกียจ เพียงแต่ –
มันมากเกินไป
มากเกินกว่าเขาจะรับมันไหวจริงๆ
ไม่สิ
จริงๆแล้วมันก็คือการเหยียดเพศนั่นแหละ
จองยุนโอที่ทำเป็นเท่ ทำเป็นเปิดกว้างสำหรับหลายๆอย่างกับต้องหมดศรัทธาในตัวเอง
การเชื่อในอะไรบางอย่างเป็นเรื่องง่าย
แต่การต้องเผชิญและผ่านประสบการณ์เหล่านั้นต่างหากที่เป็นของจริง
การรักใครบางคนมันก็เป็นเรื่องง่ายดายเหมือนกัน
แต่การใช้เวลาทั้งชั่วชีวิตอาจเป็นเวลาที่กลายเป็นฝุ่นผงสำหรับการลืมใครซักคน
ถึงแบบนั้น
สิ่งที่น่ากลัวที่สุด –
คือความละอายต่อสังคมต่างหาก
ความรู้สึกนั้นมันยิ่งใหญ่กว่าความรักที่ใช้เวลาหล่อเลี้ยงขึ้นมา
มีพลังมากกว่าความกล้าทั้งหมดที่รวบรวมมาตลอด
แข็งแกร่งกว่าจองยุนโอที่เคยหยิ่งทะนงในตัวตนของตนเอง
“หรอ – "
คังซึลกิเอนตัวพิงกับต้นซากุระต้นใหญ่ เธอถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า
ความรู้สึกที่ถูกสะสมทับถมกันมากว่าหลายปี
กลายเป็นเพียงหมอกจางๆที่กำลังจะหายไปเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่ตอนไหนกันนะ?
ภาพความทรงจำในอดีตยังสวยงามเสมอ
รวมถึงภาพในตอนนี้..ภาพของจองยุนโอที่กำลังส่งยิ้มมาให้ –
รอยยิ้มที่แตกสลายกว่าดอกไม้ที่ไร้กลิ่น
ภาพที่กำลังจะเป็นอดีต เป็นหนึ่งในความทรงจำที่งดงามที่สุดในชีวิตวัยรุ่น –
ในหนึ่งช่วงชีวิต
“แล้วมันต่างกันไหนหรอ ยุนโออ่า – "
ความรู้สึกคน – มันน่ากลัวแบบนี้เองหรอกหรือ?
เพียงแค่การผลัดเปลี่ยนของช่วงเวลาในตอนกลางคืน
เพียงแค่เข็มของนาฬิกาขยับไปหนึ่งมิลลิเมตร
เพียงแค่สายลมเลือกจะเปลี่ยนเป้าหมายของมัน
“การที่เราเป็นของกันและกัน"
ทั้งๆที่มันเป็นสิ่งที่เรียกว่าความรักเหมือนกันแท้ๆ
ทั้งๆที่ทุกคนน่าจะให้คำนิยามคำว่ารักเหมือนกันแท้ๆ
ทั้งๆที่พวกเราเหมาะสมกันมากกว่าใครทั้งหมดแท้ๆ
ทั้งๆที่พวกเรารักกันมากกว่าที่คนอื่นจะมองเห็นและสัมผัสได้แท้ๆ
“กับการที่ฉันทำให้นายเป็นคนของฉัน – เป็นคนของคังซึลกิ"
คังซึลกิหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน เธอจ้องมองผู้ชายที่เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่เธอเฝ้ามองและมองเธอมาตลอดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความเจ็บปวด
คนที่เธออยากจะใช้ชีวิตที่เหลือทั้งหมดกับคนๆนี้
“ใช่ – มันต่างกันมากเลยล่ะ"
จองยุนโอยิ้ม – ความทรงจำที่เคยทำร่วมกันมากมายไหลย้อนกลับมา ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน หยอกล้อกันเหมือนกับเด็กๆ แต่ก็รู้จักวิธีปกป้องกันและกันจากความผิดหวัง จองยุนโอและคังซึลกิที่รู้วิธีรับมือกับความเจ็บปวดของใครอีกคน
ภาพของอนาคตที่วาดฝันไว้อย่างหอมหวาน
กลายเป็นเพียงความทรงจำที่ขมขื่น
เพราะปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกิน
“ซึลกิอ่า – "
จองยุนโอขยับเข้าไป โอบกอดใครอีกคนด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี – ความรู้สึกที่ไม่สมควรจะคงอยู่ ผู้หญิงที่แข็งแกร่งเหลือเกินในสายตาใครหลายคน แท้จริงแล้วมีเพียงแค่สะเก็ดแผลและความอ่อนแอข้างใน ใบหน้าที่สง่างามนั่นซบลงกับอกแกร่งอย่างคุ้นชิน
จองยุนโอที่เปลี่ยนตัวเองเป็นเกาะกำบังของคังซึลกิ – เพื่อให้อีกคนได้ปลดปล่อยความรู้สึกออกมาอย่างเต็มที่
“ขอโทษนะ ซึลกิอ่า"
หัวใจกระตุก เจ็บและด้านชาไปหมด ทันที่ยุนโอรู้สึกถึงหยาดน้ำตาที่กำลังไหลลงมา –
หยาดน้ำตาที่กำลังซึมและกลืนไปกับเสื้อสูทของตน
โอเมก้าหนุ่มหลับตาลง – ซึมซับทุกความรู้สึกทุกอย่างเท่าที่จะทำได้
โอบกอดร่างกายที่จะไม่มีวันเป็นของเขา
โอบกอดผ่านทางสัมผัสของร่างกายและสายตา
“แต่มันเจ็บปวดเกินจะทนไหวจริงๆ"
ต่อให้จะบอกว่าตัวเองแข็งแกร่งและอดทนกับมันได้ขนาดไหน
แต่มันก็เป็นความจริงที่โหดร้ายเกินไป ถ้าจองยุนโอที่เคยเป็นที่ชื่นชมคนนั้น จะกลายเป็นโอเมก้า – โอเมก้าที่ต้องใส่ปลอกคอของผู้หญิง
ถึงแม้ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นคนหนึ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาก็ตาม
“งั้นหรอ – "
น้ำเสียงนั่นแหบด้วยความสับสน ความเสียใจ และความเจ็บปวดอย่างสุดพรรณนา ไม่ใช่เพราะลมหนาวที่ถูกพัดพามา
เพราะจองยุนโอและคังซึลกิเป็นเหมือนภาพที่สะท้อนของกันและกัน มันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่เธอจะเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังรู้สึก เผชิญหน้าและกำลังต่อสู้อยู่ในตอนนี้
ซึลกิชอบที่เธอรู้จักและเข้าใจอีกฝ่ายโดยไม่ต้องใช้คำพูดใดๆ
แต่ตอนนี้เธอกลับเกลียดความสามารถนี้อย่างสุดหัวใจ
“ถ้างั้นขออยู่แบบนี้อีกซักพักนะ"
หญิงสาวกระชับอ้อมกอดนั่นให้แน่นขึ้น มือเรียวกำชายเสื้ออีกฝ่ายไว้อย่างอดกลั้น
ถึงจะกอดคนๆนี้ไว้แน่นแค่ไหน แต่เธอก็รู้ – รู้ดีว่าอีกไม่นานก็ต้องปล่อยให้อีกคนจากไป
ต้องปล่อยความรักครั้งนี้ให้จากไป ก่อนตะวันจะลับฟ้า
“แล้วคังซึลกิจะกลับไปเป็นความสบายใจของจองยุนโออีกครั้ง"
ช่วงเวลาถูกหยุดเอาไว้
พวกเขาหยุดมันเอาไว้ได้
แม้จะไม่สามารถหมุนทวนเข็มนาฬิกา
การซึมซับทุกความรู้สึกขณะมองดอกซากุระร่วงโรยลงมา
เป็นเหมือนตระกอนความรู้สึกที่กำลังตกลงมาจากที่สูง รอวันให้คนมาเหยียบย่ำ
ถึงแบบนั้นการตกลงมาจากที่ๆทำให้เราชมวิวได้สวยที่สุดมันไม่ใช่เรื่องโหดร้ายนัก
เมื่อเทียบกับการที่เราเป็นฝ่ายปล่อยตัวเองลงมาจากสิ่งที่รัก – จากกิ่งก้านที่คอยอยู่เคียงข้างกันเสมอ
เสียงออดเปลี่ยนคาบดังขึ้นพร้อมๆกับที่สายลมหยุดพัด
เป็นขณะเดียวกับที่อ้อมกอดนั้นถูกคลายออกด้วยความโหยหา
“ว่าไง พ่อโอเมก้าคนเท่ :)”
ประโยคสุดคลาสสิคของคังซึลกิกับรอยยิ้มคู่ใจเรียกรอยยิ้มกว้างๆจากจองยุนโอ
ภาพของคนสองคนที่ยังคงเหมาะสมกันเสมอ แม้จะมีบางอย่างเปลี่ยนไป เป็นภาพที่อยู่ในสายตาของนักเรียนหลายคน บางคนถึงเกาะหน้าต่างเพื่อดูภาพที่เหมือนอยู่ในหนังวัยรุ่นกระแสดีที่กำลังฉายในโรงภาพยนต์
นักเรียนหลายคนนั่นรวมถึงคิมดงยองด้วย เขายืนมองภาพๆนั้นที่กระจกตรงบันไดด้วยใบหน้าเฉยชา ข้อมือแกร่งถูกพักไว้ในกระเป๋ากางเกงอย่างที่มักจะทำ
“ดงยองอปป้า!”
เสียงที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมกับสัมผัสที่แนบรอบแผ่นหลังกว้าง ใบหน้าเรียบเฉยเมื่อกี้เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่สว่างจนนักเรียนแถวนั้นอดจะตกใจออกมาไม่ได้
“ย่าห์ โซฮยอน ทำไมมาไม่บอกพี่เลย หืม?”
ส่งมือใหญ่ออกไปลูบผมสีดำขลับนั่นด้วยความรัก ใบหน้าสะสวยราวกับดารา สัดส่วนร่างกายที่ดูเพอร์เฟ็กต์จนคนที่เห็นอดจะรู้สึกอิจฉาออกมาไม่ได้ ดวงตาโตๆกับนัยน์ตาสีดำขลับ จมูกทรงน้ำเพชรนั่นยิ่งทำให้ผู้หญิงคนนี้ดูสวยราวกับหลุดออกมาจากหนังสือการ์ตูน ไหนจะกลิ่นจัสมินหอมๆที่เป็นเอกลักษณ์นั่นอีก
“มาเซอร์ไพรส์ไง"
คิมโซฮยอน ส่งยิ้มทะเล้นมาให้คนที่อยู่ดีๆก็เปลี่ยนมาทำหน้าเครียด เธอส่งมือออกไปแยกให้มุมปากของคนอายุมากกว่าเป็นรอยยิ้ม โซฮยอนยิ้มออกมาเมื่อพอใจกับผลงานตัวเอง
“ขอความจริง"
แต่คิมดงยองกลับไม่หลงกลลูกไม้ตื้นๆที่เขาเห็นมาสิบกว่าปีแล้ว โซฮยอนเบะปากออกอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อพบว่าผู้ชายตรงหน้ายังขี้จริงจังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน คิมดงยองที่ใช้ชีวิตน่าเบื่อ แต่ไม่เคยเบื่อที่จะกวนตีนคนรอบข้างด้วยหน้าตายๆนั่นน่ะ
“พี่ดงฮยอนส่งมา – อย่าว่าน้องนะ คราวนี้พี่สร้างเรื่องเองอ่ะ"
คนอายุน้อยกว่าเท้าเอวอย่างเอาเรื่อง จ้องมองคนเป็นพี่ด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะละสายตาไปมองภาพของหญิงชายสองคนที่ยืนยิ้มให้กันที่ใต้ต้นซากุระพันปี
“คนนั้นหรอ – จองยุนโอ?”
“อื้อ"
ตอบออกไปสั้นๆ ก่อนจะกลับไปมองโอเมก้าคนนั้นที่กำลังส่งสายตาอ่อนโยนที่สุดให้เพื่อนสนิทของเขา สำหรับคนอื่นการเห็นใบหน้านิ่งเฉยของคิมดงยองอาจจะแปลว่าความเฉยชาและความไม่สนใจ
แต่มันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามสำหรับคนที่เป็นน้องสาวอีกฝ่ายอย่างโซฮยอน
“หึ ไปกันเถอะ"
หญิงสาวควงแขนคนเป็นพี่ ปรายตามองภาพคนสองคนนั้นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินออกไปด้วยท่าทางสง่างามราวกับเจ้าหญิง ทิ้งไว้เพียงแต่สายตาชื่นชมของนักเรียนที่อยู่บริเวณนั้น
เดินจากไปพร้อมกับข่าวลือเกี่ยวกับ 'ผู้หญิงของคุณเลขาประธานนักเรียนคนดัง’
*
แปลก…
ตลอดสี่วันมานี้ – นัยน์ตาที่แสนเย็นชาคู่นั้นดูเย็นชากว่าอากาศบนเทือกเขาจุงเฟราเสียอีก
นัยน์ตาคู่นั้นมันไม่ได้มองมาที่จองยุนโออีกแล้ว
ตรงกันข้าม ดวงตาคู่นั้นน่ะมันมองผ่านเขาไปยัง –
ใครอีกคนที่สง่างามราวกับเจ้าหญิง
ใบหน้าสะสวย หุ่นที่ได้ส่วนสัด ผมสีดำขลับสุขภาพดีนั่นปลิวสไวไปตามจังหวะการเดิน – ท่วงท่าที่สง่างามราวกับเป็นเจ้าหญิงผู้ไร้มงกุฏ
แต่มันก็ดีแล้วนี่นา
ไม่มีสายตาดุๆ กับคำพูดขี้บ่น ตีความยากแบบนั้น
มันดีแล้ว
มันดีมากแล้วจริงๆ
การมาโรงเรียนโดยที่ไม่มีสายตาคู่นั้นจับจ้องอยู่เสมอน่ะ
จองยุนโอบอกกับตัวเองแบบนั้น
“วันนี้ไม่ไปนั่งห้องสภาอีกหรอ คุณหนูจอง :)”
ประธานนักเรียนเดินมาพร้อมกับยูตะ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงพร้อมท่าเดินเก๊กๆ นัยน์ตาคู่นั้นส่งสายตาแพรวพราวไปให้ทุกคนที่พบเห็น เขาหยุดอยู่ตรงหน้าโอเมก้ามือใหม่ ก่อนจะทักทายอย่างอารมณ์ดี
“ว่างมากหรอจอห์น"
ยุนโอหัวเราะออกมาเมื่อพบว่าคังซึลกิทำหน้าหาเรื่องใส่ประธานนักเรียน เขาโบกมือไปมาเพื่อบอกกับเพื่อนสนิทว่ามันไม่เป็นไรจริงๆ
แต่ขณะที่โอเมก้ากลิ่นวานิลลาจะมีโอกาสตอบคำถามนั้น กลับมีเสียงของใครบางคนแทรกขึ้นมา –
“ระดับคุณหนูจองน่ะ ไม่ว่างหรอก"
เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังมาพร้อมกับกลิ่นมิ้นต์เย็นๆที่เขามากระทบจมูก ริมฝีปากคู่นั่นเปล่งคำกระทบกระทั่นออกมา จ้องมองเข้ามาในตาของโอเมก้าหนุ่มด้วยสายตาที่เขาอ่านไม่ออก
“อื้อ ระดับเราน่ะไม่ว่างหรอก"
แรงมาก็แรงกลับ –
มันยังเป็นลักษณะนิสัยที่โดดเด่นของจองยุนโอจริงๆนั่นแหละ
คุณเลขาคนดังเหยียดยิ้มออกมา มองผ่านจองยุนโออีกครั้งเพื่อก้าวเดินไปข้างหน้า
ก้าวไปพร้อมกับใครอีกคนที่ยุนโอไม่อยากจะใส่ใจนัก
ก้าวออกไปโดยที่จองยุนโอยังยืนอยู่ที่เดิม
แผ่นหลังกว้างๆของคิมดงยองน่ะ มันสง่างามมากจริงๆนั่นแหละ น่าเกรงขามเหมือนกับที่ใครหลายๆคนมักจะเอ่ยชม
การมองภาพด้านหลังของคิมดงยองไม่เคยเป็นปัญหาเลย
จนกระทั่งวันนี้
ณ ตอนนี้
ที่แผ่นหลังกว้างๆนั่นมีภาพของใครอีกคนเดินเคียงคู่ไปด้วยกัน
มือใหญ่ๆคู่นั่นที่เคยปัดป่ายไปทั่วร่างกายของเขา
เปลี่ยนไปวางมือบนกลุ่มผมสีดำยาวนั่น
สายลมที่พัดย้อนมา
ทำให้จองยุนโอได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง –
กลิ่นมิ้นต์และจัสมินน่ะเข้ากันได้ดีมากๆ
เข้ากันได้ดีกว่ากลิ่นมินต์เย็นๆและกลิ่นวานิลลาที่หวานจนแสบจมูก
“หงอยเชียววว"
“เป็นบ้าหรอจอห์น"
“ถ้าว่างมากก็ไปช่วยเขียนโครงการทีจ้าาาา"
จองยุนโอกับคังซึลกิเหลือบตาขึ้นมองอย่างไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะปล่อยให้คุณประธานนักเรียนตกอยู่ในสนามอารมณ์ที่ตัวเองทิ้งไว้
ประธานนักเรียนหัวเราะอย่างอารมณ์ดีจนยูตะอดมองด้วยสายตาหวาดกลัวไม่ได้
“ชอบมากสินะ เวลาเห็นคนที่สมบูรณ์แบบกลายเป็นคนโง่ เงอะงะแบบนี้"
เพื่อนชาวญี่ปุ่นคนเดียวเอ่ยออกมา เมื่อพบว่าตอนนี้ดวงตาของจอห์นนี่ ซอน่ะเป็นประกายระยิบระยับขนาดไหน
“แล้วกล้าปฏิเสธไหมล่ะ ว่ามึงไม่ชอบคิมดงยองโหมดนี้"
นากาโมโตะ ยูตะ ยักไหล่ เหล่สายตาไปมา
“มีแต่คนประหลาด"
ก่อนจะเดินเข้าห้องเรียนพร้อมรอยยิ้มสนุก
ทิ้งความเงียบไว้กับโถงทางเดินที่มีกลิ่นฟีโรโมนผสมปนเปกันไปหมด
*
จองยุนโอหอบหายใจด้วยความเหนื่อย เข้ารีบวิ่งกลับเข้ามาในโรงเรียนหลังจากที่กลับบ้านแล้วพึ่งนึกขึ้นได้ว่าตนลืมการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ไว้ใต้โต๊ะเรียน ร่างโปร่งก้าวเท้าไวๆผ่านโถงทางเดินที่ไร้ผู้คน บรรยากาศของโรงเรียนช่วงทุ่มนึงน่ะน่ากลัวอย่างที่ใครหลายคนกลัวจริงๆนั่นแหละ ในเมื่อพวกเขาน่ะเลิกเรียนกันตั้งแต่บ่ายสามแล้วนี่นา –
โอเมก้ากลิ่นวนิลลายิ้มออกมาเมื่อตนพบหนังสือและสมุดการบ้านที่ต้องการแล้ว เขาหยิบของที่ต้องการใส่กระเป๋าขณะที่รีบก้าวเท้าออกจากตัวห้องเรียนไปด้วย ก้าวเท้าลงบนไดอย่างไม่รีบร้อน
แต่แล้วสัญชาตญาณบางอย่างมันกลับสั่งให้ยุนโอยืนอยู่กับที่ก่อนจะเงี่ยหูฟังเสียงและกลิ่นที่ดังมาจากห้องน้ำชั้นหนึ่ง ขายาวถอยหลังไปพิงกำแพงเมื่อพอจะจับใจความและตีความสถานการณ์ตรงหน้าได้
โอเมก้าคนหนึ่งกำลังโดนอัลฟ่ากลุ่มหนึ่งขืนใจ
มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่ากลัวจนเขาก้าวเท้าไม่ออก เป็นเรื่องที่ยุนโอไม่เข้าใจ
ว่าทำไมโอเมก้าคนนั้นถึงไม่ใช้แรงเฮือกสุดท้ายในการกดปุ่มสัญญาณแจ้งเหตุร้ายที่ถูกติดไว้ในห้องน้ำทุกห้อง ห้องเรียนทั้งสี่ด้าน แน่นอนว่ามันถูกติดไว้เกือบทุกที่ในโรงเรียน เพราะที่นี่เป็นโรงเรียนที่ปล่อยให้โอเมก้า เบต้าและอัลฟ่าเรียนร่วมกัน
จองยุนโอก็แค่สงสัยว่าโอเมก้าน่ะ
ไร้เรี่ยวแรงขนาดนั้นเลยหรอ?
ถึงจะสงสัยขนาดไหน แต่จองยุนโอก็ฉลาดพอที่จะค่อยๆเดินกลับขึ้นไปชั้นสาม
เขาไม่อยากเสี่ยงให้ใครซักคนในกลุ่มอัลฟ่านั้นได้กลิ่นวนิลลาของตัวเอง
ร่างโปร่งเลือกจะเข้าไปในห้องเรียนที่อยู่ริมสุดของชั้นสาม ยุนโอทรุดตัวนั่งลงพิงกำแพง เปลี่ยนมาตั้งระบบไร้เสียงและไร้การสั่น แทนระบบสั่นเฉยๆ ร่างบางเลือกจะส่งข้อความบอกมิกิ เพื่อนที่อยู่ในสภานักเรียนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น –
เขาตัดสินใจส่งข้อความหามิกิแทนเลขาประธานนักเรียนคนนั้น
ผมสีเฮเซลนัทพิงไปกับโต๊ะเรียนอย่างเหนื่อยล้า กดส่งข้อความให้คนขับรถที่บ้านมารับ แทนที่จะใช้บริการขนส่งธารณะอย่างที่คิดเอาไว้ในตอนแรก เจ้าของกลิ่นวานิลลาไม่อยากทำให้มันเป็นเรื่องราวใหญ่โต เพราะเขารู้ดีว่าถ้าส่งข้อความหาพี่ๆคนใดคนหนึ่งล่ะก็ …
นอกจากโรงเรียนจะแตกแล้ว
เรื่องราวที่เกิดขึ้นคงกลายเป็นเรื่องที่ทั้งโรงเรียนรู้แน่นอน
ว่าจองยุนโอคนนั้นต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น
ว่าเขาไม่มีพละกำลังมากพอจะไปช่วยเหลือใครอีกแล้ว
ทุกอย่างในชีวิตมันกลายเป็นความไม่แน่นอนและไม่มั่นคง จนจองยุนโอต้องเตรียมแผนสำรองไว้ในทุกๆเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต
เพราะจองยุนโอไม่ต้องการจะเสียอะไรในชีวิตไปมากกว่านี้แล้ว
เพราะงั้นเขาต้องทำให้มั่นใจว่าทุกๆย่างก้าวที่จองยุนโอเดินออกไปน่ะ
มันมีความเสี่ยงน้อยที่สุดแล้ว
และก้าวเดินที่ว่านั่นน่ะมันรวมคิมดงยองด้วย
อัลฟ่าที่อยู่เหนืออัลฟ่าทุกคนแบบนั้นน่ะ
ไม่สามารถหยุดลงที่โอเมก้าผู้ชายได้หรอก
ไม่ว่าโอเมก้าที่ว่าจะมาจากตระกูลที่สูงส่งและมีชื่อเสียงขนาดไหน
และการต้องก้มหัว ใส่ปลอกคอของใครซักคนน่ะ มันก็ไม่เคยอยู่ในหัวจองยุนโอเช่นกัน
ยุนโอแทบจะกลั้นหายใจ เมื่อเขาได้ยินเสียงคนกำลังเดินดังมาจากโถงทางเดิน ร่างบางค่อยๆขยับตัวไปพิงล็อคเกอร์ข้างหลังห้องแทน รู้ทั้งรู้ว่ามันไร้ประโยชน์
เพราะโอเมก้าน่ะไม่สามารถระงับกลิ่นของตัวเองได้
คุณหนูตระกูลจองจึงตัดสินใจกดข้อความ sos หาพี่ทั้งสามคนแทน
เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นซีเมนต์ดังเข้ามาใกล้ๆเรื่อย จังหวะการเดิน
กลิ่นของอัลฟ่าที่ไม่คุ้นเคยทำให้ร่างกายสั่นเพราะความกลัว
อุณหภูมิของห้องเรียนลดลงราวกับยุนโอกำลังนั่งอยู่กลางภูเขาน้ำแข็ง
ตลอดชีวิต –
เขาไม่เคยรู้สึกกลัวขนาดนี้มาก่อน
ได้แต่สงสัยว่าทำไมวรรณนะที่ถูกกำหนดมามันสามารถบั่นทอดแรงใจ และพละกำลังมาได้ขนาดนี้เชียวหรอ
เสียงรองเท้าหนังกระทบกับพื้นหยุดลงพร้อมๆกับที่เสียงระฆังบอกเวลาจากหอนาฬิกาดังขึ้น
พวกเขาสบตากัน –
มันเป็นเวลาหนึ่งนาทีที่ยาวนานที่สุดในชีวิต
ยาวนานและน่ากลัวกว่าตอนที่เข็มนาฬิกาชี้ไปที่เลขสิบสองในวันเกิดของจองยุนโอเสียอีก อาจเพราะมันเป็นสาเหตุที่เขาสามารถสัมผัสมันได้ง่ายๆ
ความกลัวที่มีสาเหตุเป็นรูปธรรม
“ว้าว เจอของดีซะด้วย :)”
อัลฟ่าหน้าตาหล่อเหลา แต่ให้ออร่าความน่าขยะแขยงคนนั้นส่งยิ้มที่น่าสะอิดสะเอียนมาให้ พร้อมกับแสงไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือที่สาดเข้ามาใส่หน้าเต็มๆ
มันเป็นวินาทีที่จองยุนโอยิ้มให้กับความโง่เขลาของตัวเอง
การใช้แต่เทคโนโลยีกลายเป็นความเขลาที่น่าอภัยให้น้อยที่สุด
ทั้งๆที่เขาพึ่งด่าโอเมก้าที่อยู่ชั้นล่างในใจแท้ๆ
จองยุนโอได้เรียนรู้ว่าความรู้สึกจนตรอกน่ะ
มันทำให้สมองของเราตื้อและมึนเบลอกว่าเวลาตกหลุมรักเสียอีก
“ว่าไง คุณหนูจองผู้สูงศักดิ์ ;)”
จองยุนโอส่งยิ้มท้าทายไปให้คนหน้า
ขณะที่รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายไปไว้ที่ปลายเท้า
ร่างโปร่งเด้งตัวขึ้นสุดแรง
ก่อนจะใช้แรงทั้งหมดในการกดออดฉุกเฉินที่อยู่เหนือหัว
ในขณะที่อัลฟ่าคนนั้นพุ่งตัวมาหาเขา
โอเมก้าหนุ่มใช้ความได้เปรียบทางสรีระในการลอดใต้หว่างแขนของผู้ชายตรงหน้า
วิ่งออกไปอย่างสุดแรงเกิด
เสียงไซเรนดังก้องไปทั่วตัวโรงเรียน
พร้อมๆกับเสียงตระโกนเรียกอย่างสุดเสียงของโอเมก้ากลิ่นวานิลลา
“คิมดงยอง!!!!!!!!!!!!!!!!!”
ชื่อของคนๆเดียวที่แล่นเข้ามาในหัว
ในวินาทีที่ชีวิตมาถึงจุดจนตรอกอีกครั้ง
ครั้งแรกที่อีกฝ่ายยื่นมือมา – ยุนโอไม่ได้เอ่ยขอความช่วยเหลือนั้น
เพียงแต่ครั้งนี้ –
เขาเอ่ยขอความช่วยเหลืออัลฟ่าคนนั้น
พร้อมๆกับหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อ
ความรู้สึกที่เอ่อล้นนั้นมันมีพลังมากพอจะหล่อเลี้ยงและกลบความกลัวที่มีอยู่ตอนนี้
การตระโกนเรียกชื่อคนๆนั้น
ชื่อของใครบางคนที่ทำให้เขาเรียกสติตัวเองกลับมาได้
คนเดียวที่จะมาหาเขาทัน
คนที่มีความสามารถ พละกำลังและมีเปอร์เซ็นต์สูงที่สุดในการช่วยเขาจากสถานการณ์ทุเรศๆนี่
คิมดงยอง
ที่น่าจะยอมทิ้งทุกอย่างมาเพื่อปกป้องเขา
ใช่
จองยุนโอเชื่อแบบนั้น
คิมดงยอง
เป็นคนเดียวที่จองยุนโอยอมถูกตกเป็นเจ้าของ
แค่อัลฟ่าที่อยู่เหนืออัลฟ่าทุกคน
แค่คิมดงยอง
TBC
Please comment or tag #SFaMilRaindrops
Talk: อะไรเอ่ยน้อยใจ ใจน้อยแล้วไม่น่ารักเลยยย ไปค่ะแม่น้องแจน จัดการคุนเลขาเลย! 55555
อยากบอกซึลกิว่า ออนนี่คะ เรายังว่างนะคะ ฮือออ /กอดขา
เลือกน้องว้าวมาเป็นน้องคนสุดท้องของตระกูลคิมเพราะน้องตาโตค่ะ และเราชอบน้อง ไม่มีเหตุผลอื่นอีกแล้ว555555555555
ปล. ตอนหน้าจบแล้วนะคะ :)
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 8 กรกฎาคม 2561 / 17:47