ตอนที่ 18 : [sf] Blank Verse IV
[sf] Blank Verse IV
Dyland x Jaeden x
Posted: 22/12
Edited : 23/12
#SFaMilRaindrops
16,887 words
BG Music: Epik high ft. Kim Jong Wan – Lost One
“But nothing is so strange when one is in love
(and what was this except being in love?)
as the complete indifference of other people.”
- Mrs. Dalloway, Virginia Woolf’
*
“เจย์ แล้วกระ – "
เสียงหวานหยุดชะงักลงกระทันหันเมื่อพบว่ามีใครอีกคนเดินมาพร้อมกับเจย์เด็น ใครบางคนที่สูงกว่าน้องชายของเธอหลายเซ็นต์ คนที่แม้จะสันโดษ แต่ก็โดดเด่นท่ามกลางผู้คนเสมอ
“นี่จอห์น รูมเมทผมเอง"
มือเรียวผายมือไปยังผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ เจ้าของผมสีดำสนิทกับใบหน้าที่ได้สัดส่วนและดูดีราวกับดารา ความสูงและร่างกายที่มีไหล่หนาสมชายชาตรีทำให้การใส่เสื้อสูทของโรงเรียน ดูกลายเป็นเสื้อโค้ทแบบแฟชั่นจ๋า นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบเทานั่นยังสวยและเปล่งประกายเหมือนในวันวาน
“สวัสดีครับ ผมเป็นเพื่อนสนิทเจย์เด็น"
คนที่เติมโตขึ้นอย่างดี – ใบหน้าที่มีเค้าโครงหน้าตอนเด็ก ทำให้การจดจำอีกฝ่ายได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นไม่ใช่เรื่องยาก
ใบหน้าเล็กๆที่มีคิ้วหนา นัยน์ตาสวยที่มักจะอ่อนลงเมื่อต้องแสง จมูกโด่งที่รับกันได้ดีกับเครื่องหน้าทั้งหมด ริมฝีปากหนาที่มักจะยกยิ้มเสมอเมื่อพบเจอผู้คน สันกรามที่ชันเจนกว่าตอนเด็กทำให้ใบหน้าทั้งหมดดูคมคายและเท่กว่าเดิมยิ่งนัก
“John de Clifford”
คนที่เจย์เด็นไม่เคยตั้งใจให้เข้ามาอยู่ในแผนการ –
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ – คุณไบรอน คุณนายไบรอน :)”
รักแรกของลิลลี่ –
คนที่โชคชะตาเหวี่ยงเข้ามาในโลกของเจย์เด็นเอง
คนที่ยืนยันว่ามันเป็นความตั้งใจของอีกฝ่ายทั้งหมด
จอห์นยื่นมือออกมาเพื่อเชคแฮนด์กับพี่สาวของเพื่อนสนิท แต่ดูเหมือนอากาศจะหนาวเกินไปจนเธอไม่อยากจะยื่นมือท่ีซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ทออกมาเสียเท่าไหร่ เขาจึงส่งยิ้มไปให้อีกครั้งก่อนจะค่อยๆเก็บมือลง
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณชาย de Clifford”
ลิลลี่ยื่นมือของตัวเองออกมา ผิวขาวนั่นกลายเป็นสีขาวซีดเมื่อมันต้องกับแสงแดด เธอส่งยิ้มที่แตกสลายน้อยที่สุดไปให้เขา คนที่เธอเคยเฝ้ามองมาตลอด
การกับมาเจอกับคนที่เป็นรักแรก
ใครคนนั้นที่ไม่ได้เรียกชื่อของเธอ – เขาเรียกเธอด้วยนามสกุลของสามีตามที่ควรทำ
มันน่าตลกที่สังคมเลือกจะกดผู้หญิงให้ต่ำลง แม้ว่าพวกเธอจะแต่งงานออกจากครอบครัวตัวเองแล้ว แต่ก็ยังถูกมองเป็นสิ่งของอยู่ดี
เป็นทรัพสินย์ของสามี – เป็นคนของตระกูลอีกตระกูล
ลิลลี่กำลังทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีแล้วแท้ๆ
เป็นคนที่ตัวเองวาดฝันมาตลอด
แต่การปรากฏตัวของคนที่เป็นรักแรกมันทำให้ทุกอย่างสั่นคลอน
ถึงแบบนั้นลิลลี่ ไบรอนก็บอกกับตัวเองว่าเธอจะไม่เป็นคนแบบที่เธอเกลียด
มันจะไม่มีทางเป็นแบบนั้น
พวกเขายิ้มให้กัน ก่อนดีแลนด์จะเป็นฝ่ายดึงกระเป๋าของเจย์เด็นและจอห์นไปเก็บที่หลังรถ เขาผายมือไปยังที่นั่งเบาะหลัง ทั้งสองคนพยักหน้าก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ
การเดินทางไป Edinburgh สนุกอย่างที่คิดไว้ ไม่มีบรรยากาศกระอักกระอ่วนใดๆระหว่างการเดินทาง พวกเขาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างออกรส ลิลลี่ดูมีชีวิตชีวากว่าเดิม รวมทั้งเจย์เด็นด้วย
มันไม่เหมือนการเดินทางของชนชั้นสูงทั้งสี่คนเสียเท่าไหร่
แต่มันเป็นเหมือนการเดินทางของพวกนักแสดงบรอดเวย์เสียมากกว่า
รถที่ขับเคลื่อนพาคณะการแสดงไปยังจุดไคลแม็กซ์ของเรื่องราว
นักแสดงที่รู้เพียงแค่บทของตัวเอง – อาจรู้บทของคนอื่นบ้าง แต่ก็มิอาจคาดเดาจุดจบ
“จอห์นแต่ก่อนนายก็อยู่แถวๆบ้านเรานะ"
เสียงใสของเจย์เด็นขัดขึ้นมาเมื่อเพื่อนรักที่ชอบพูดอะไรเป็นกวีของเขาตัดพ้อเกี่ยวกับโชคชะตาที่พึ่งทำให้คนตัวสูงที่สุดพึ่งมารู้จักคนทั้งสามคนที่เขากันได้ดี
“อ้าว งั้นหรอ"
“อื้อ แต่ก่อนจอห์นอยู่ตรงข้ามบ้านพวกเราไง แต่พี่กับเจย์เด็นไม่ค่อยเห็นนายออกมาจากบ้านเสียเท่าไหร่"
“ให้ทายว่า อืม..” เสียงของดีแลนด์ดังขึ้นมา "คุณชายคนเดียวของบ้านต้องหมกตัวอยู่ในห้องสมุดของบ้านหรือไม่ก็หมกตัวอยู่ในห้องทดลองลับของตัวเองแน่ๆ"
“ให้ตายสิ ดีแลนด์ ผมว่าคุณควรไปเป็นนักพยากรณ์อะไรเทือกนี้ด้วยก็ดีนะครับ"
จอห์นหลุดหัวเราะออกมาเมื่ออีกฝ่ายเดานิสัยสุดเนิร์ดของตัวเองได้อย่างง่ายดาย ตอนเด็กๆเขาไม่ได้มีเพื่อนมากนัก อาจเพราะอาชีพของคุณพ่อที่ทำให้เขาต้องย้ายที่อยู่บ่อยๆด้วย หนังสือและการทดลองเหล่านั้นจึงเป็นเพื่อนที่จอห์นสามารถพกพาไปที่ต่างๆได้ด้วย
หรืออาจเป็นเพราะจอห์นแค่ยังไม่เจอกลุ่มคนที่เหมาะกับตัวเอง
สถานที่ๆที่จะทำให้เขารู้สึกหายใจสะดวก
“งั้นหรอ แต่ผมว่าแค่นี้ก็พอแล้วนะ ฮ่าๆ"
“แล้วเป็นไงมั่งเด็กๆ คุณครูไบรอนสอนดีไหม?”
“ดีที่สุดเลยครับ!” หัวหน้าแฟนคลับคุณนักเขียนชื่อดังตอบเสียงดังฟังชัดราวกับถูกจ้างมา "เป็นสองอาทิตย์ที่ดีที่สุดเลยล่ะครับ!”
“จอห์น อย่าเวอร์" เจย์เด็นส่งมือไปผลักหัวเพื่อนสนิทพลางหัวเราะไปด้วย
“ก็ดีจริงๆนี่นา หรือเจย์จะบอกว่ามันไม่ดี" จอห์นส่งสายตาเจ้าเล่ห์ทั้งยังส่งหน้าเข้าไปใกล้ๆเป็นการกวนประสาทเพื่อนสนิทอย่างท้าทาย
“เฮ้ ตอบดีๆนะครับ คุณชายฟิทเฮอร์เบิท"
คนที่นั่งประจำตำแหน่งคนขับรถหันมาข่มขู่คนที่อายุน้อยท่ีสุดในนี้ ลิลลี่หัวเราะออกมา ก่อนจะยื่นมือไปจับมือของคนเป็นสามีไว้หลวมๆ – เธอชอบมือของดีแลนด์ที่สุด
มันเป็นมือที่รังสรรค์ศิลปะหลายแขนง เป็นมือที่อบอุ่นที่สุดเท่าที่เธอเคยจับมา
และเป็นมือที่เธอจะไม่มีวันปล่อยไป
ดีแลนด์หัวเราะก่อนจะเลี้ยวรถเข้าสู่ตัวเมือง Leeds พวกเราเลือกจะพักกินข้าวที่เมืองแห่งการคมนาคมนี้ – ซึ่งห่างจากจุดหมายปลายทางแค่สามชั่วโมง คนขับรถจำเป็นเดินลงมายืดเส้นยืดสายอย่างเหนื่อยล้า การคุยกันตลอดเวลาสามชั่วโมงโดยไม่มีใครงีบหลับเลยซักนิดเป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างแปลกใหม่
พวกเราเลือกที่จะรับประทานอาหารทะเลง่ายๆอย่างลอบสเตอร์อบเนย สตูว์ปลาเสิร์ฟพร้อมกับมันอบ ฟิชแอนด์ชิพ ไหนจะ king crab ที่เสิร์ฟมาคู่กับซอสสูตรลับของร้านอีก พวกเขาใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงในการทานอาหารและใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงในการเดินเล่นตรงแม่น้ำอีกซักพัก ก่อนจะรีบขึ้นรถเดินทางต่อ
วิวข้างทางค่อนข้างสวย แต่ก็ดูเงียบเหงา ถนนและทุ่งหญ้าที่ถูกห้อมล้อมด้วยสีขาวทำให้ลิลลี่และเจย์เด็นรู้สึกสะอิดสะเอียดอย่างห้ามไม่ได้
เจย์เด็นไม่ชอบหิมะ
เช่นเดียวกับที่ลิลลี่ไม่ชอบดอกลิลลี่
แต่พวกเขาก็เลือกจะเก็บมันเอาไว้ในใจ ไม่แสดงความอ่อนแอออกไปให้ใครเห็น
“อ่า ผมอยากไปที่ปราสาท Edinburghก่อนหกโมงเย็นจัง”
เสียงของจอห์นดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ดีแลนด์หรี่เสียงเพลงลง
“อยากไปดูพระอาทิตย์ตกดินงั้นหรอ?”
“จริงๆก็ใช่ แต่มันเป็นช่วงที่พระอาทิตย์กำลังตกดินและพระจันทร์กำลังขึ้นน่ะ – เป็นภาพท้องฟ้าที่สวยงามมากจริงๆนะ"
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบเทาส่องประกายสวย ขณะแนะนำสถานที่โปรดของตัวเองให้อีกสามคนฟัง แต่มันกลับทำให้บรรยากาศในรถเต็มไปด้วยความอึดอัด
หนึ่งคนที่เป็นพระอาทิตย์
และคนสองคนที่ชอบพระอาทิตย์และพระจันทร์
“งั้นหรอ – "
จอห์นหันไปมองเพื่อนสนิทที่ส่งเสียงออกมาราวกับกำลังพร่ำเพ้อ นัยน์ตาสีฟ้านั่นเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความว่างเปล่า น้ำเสียงที่ส่งออกมาดูเข้มแข็งแต่ทว่ากลับเต็มไปด้วยความเงียบเหงาของเหมันต์ฤดู
“นายคิดว่าพระอาทิตย์กับพระจันทร์มันควรอยู่ในผืนฟ้าเดียวกันจริงๆหรอ?”
เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ – เพราะอีกฝ่ายมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว
จอห์นรับรู้ได้จากน้ำเสียง เขาเลือกที่จะหยุดตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้ กวาดสายตาดูปฏิกริยาคนอื่นเพื่อเช็คให้มั่นใจและเขาก็ได้รับสายตาจากคนขับรถเป็นการยืนยันว่าตัวเองคิดถูกแล้ว
เพลงแนวบลูส์ที่ถูกเล่นอยู่บนรถกรีดลึกเข้าไปในจิตใจ
มันบาดผิวมากกว่าลมหนาวเสียอีก
“อื้อ น้องคิดถูกแล้วล่ะเจย์เด็น"
เสียงหวานของลิลลี่ดังขึ้นในจังหวะที่เพลงจบลง มันเป็นเสียงที่ฟุ้งไปในอากาศ ราวกับจะทำให้พวกเราทุกคนซึมซาบทุกความเจ็บปวด
ความเจ็บปวดที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
แต่มนุษย์ธรรมดาแบบพวกเราน่ะ
ไม่สามารถรับรู้ความเจ็บปวดของทุกคนได้หรอกนะ
เราไม่สามารถซึมซาบความเจ็บปวดของใครได้
อาจเป็นเพราะพวกเราได้รับความเจ็บปวดมามากพอแล้ว
อาจเป็นเพราะเราเป็นฝ่ายสร้างความเจ็บปวดให้คนอื่น จนไม่อยากรับรู้ถึงความรู้สึกนั้น
หรืออาจเป็นเพราะความเจ็บปวดนั้นมันอยู่แก่นกลางมหาสมุทร ที่เราไม่สามารถเข้าไปถึงมันได้โดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เราอาจจะถูกความกดอากาศเปลี่ยนผันรูปลักษณ์
เราอาจจะถูกความมืดมิดใต้ท้องทะเลกรัดกร่อนจิตใจ
และเมื่อเรากลับขึ้นมาสูดอากาศอีกครั้ง
เราคนนั้นอาจจะไม่สามารถมองโลกด้วยสายตาและความคิดชุดเดิมอีกครั้ง ไม่สามารถรับรู้ความเจ็บปวดที่คนในสังคมให้คำนิยามได้
กลายเป็นคนที่เคยชินกับความเจ็บปวดที่แสนสาหัส –
จนหันหลังให้กับทุกการให้เหตุผลในสังคม
*
Edinburgh เป็นเมืองหลวงของสกอตแลนด์ ตัวเมืองถูกโอบล้อมด้วยต้นไม้ต้นใหญ่ ตัวถนนลาดชัน ผู้้คนตามท้องถนนต่างใส่ชุดประจำเมืองเดินกันเป็นเรื่องปกติ นาฬิกาเรือนใหญ่ที่สวน The Princess Street นั้นสวยเหมือนกับที่เพื่อนในห้องของเจย์เด็นชอบโม้ให้ฟังเลย
เพียงแต่ตอนนี้ที่สวนแห่งนั้นไม่ได้มีต้นไม้สีเขียว ทุกอย่างถูกความหนาวแปลเปลี่ยนรูปลักษณ์ ก้อนหิมะที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณและความหนาวเย็นที่แช่แข็งแม่น้ำใจกลางเมือง แม้แต่สะพานที่อยู่ข้างพิพิธพันธ์แห่งชาติ เสียงร้องเพลงของนักดนตรีริมถนนและกลิ่นของขนมปังอมใหม่ลอยมาตามสายลม
“เอารถไปเก็บก่อน แล้วค่อยเดินไปปราสาทเนอะ"
ดีแลนด์พูดขึ้นมาลอยๆ ลิลลี่และเจย์เด็นไม่ได้ตอบอะไรกลับไปนอกจากพยักหน้าไปส่งๆ จอห์นยักไหล่อย่างสบายๆ พลางยกนิ้วโป้งให้ดีแลนด์ผ่านกระจกหลัง เจ้าของรถหัวเราะออกมาเมื่อพบว่าทั้งเขาและจอห์นคงคิดเหมือนกัน
บางทีการฝืนทำอะไรที่ไม่ชอบอาจทำให้พวกเราโตขึ้นก็ได้
แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ พวกเขาก็พร้อมจะพาทั้งสองคนกลับไป – เดินสวนกับห้วงเวลา
“ลิลลี่ พี่อย่าลืมแวะซื้อวิสกี้ให้คุณพ่อนะ"
เจย์เด็นพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“อื้อ พี่ไม่ลืมหรอก"
ลิลลี่ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน – มันหวานราวกับน้ำผึ้งเดือนห้า
ความหวานที่เกินพอดี
ทั้งสี่คนเดินขึ้นไปบนตัวปราสาทด้วยความเงียบ โดยมีจอห์นเดินนำ – จนอีกฝ่ายเดินไปหยุดที่กำแพงปราสาทฝั่งซ้ายนับจากประตูทางเข้า จากมุมนั้นมันมองเห็นทั้งตัวโบสถ์ประจำเมืองและตัวโรงเรียนอันเก่าแก่ โรงเรียนที่จะกลายมาเป็นต้นแบบโรงเรียนเวทมนต์ชื่อดังในอีกห้าสิบปีข้างหน้า
“ย่อตัวลงสิแล้วมองลอดช่องว่างระหว่างระฆัง นายจะเห็นพระอาทิตย์กำลังเคลื่อนตัวลง"
เจย์เด็นทำตามที่เพื่อนบอกอย่างไม่อิดออด แสงสีส้มเล็กๆที่กำลังเคลื่อนตัวลงทำให้เขายิ้มออกมา ร่างบางย่อตัวค้างไว้จนดีแลนด์ต้องหัวเราะให้กับความเป็นเด็กของอีกฝ่าย
“แต่เดี๋ยวมันก็จะหายไปสินะ"
เจ้าของผมสีบลอนด์พูดออกมาอย่างเหม่อลอย มือเล็กยื่นออกไปพยายามคว้าสิ่งที่เขาไม่มีเอื้อมถึงไว้ในมือ –
แต่มันก็เปล่าประโยชน์
“พระจันทร์เต็มดวงล่ะ"
ดีแลนด์หันไปมองหน้าภรรยาของตัวเองอย่างครุ่นคิด ใบหน้าสวยท่ีดูโศกเศร้ากว่าบทเพลงโซนาต้าทุกๆบท รอยยิ้มที่ยิ้มออกมาราวกับโลกได้ดับสลายและมืดบอดลง
ปริศนาระหว่างพระอาทิตย์และพระจันทร์ที่เขาไม่สามารถเดามันออกได้ทั้งหมด
ความลับของจักรวาลที่ยากแท้หยั่งถึง
แต่จิตใจของมนุษย์มันเป็นมากกว่านั้น
– ทั้งลึก มืดมิด และหนาวเหน็บ
พวกเขาปล่อยให้ช่วงเวลาผ่านเลยไปกว่าครึ่งชั่วโมง จนพระจันทร์ขึ้นไปอยู่ใจกลางท้องฟ้า ไร้แสงจากดวงอาทิตย์
“ไปเถอะ พี่จองดินเนอร์ไว้แล้ว"
คนอายุมากสุดเดินไปโอบทั้งเจย์เด็นและลิลลี่ที่เอาแต่ท้าวแขนกับกำแพงปราสาท แล้วเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าที่ไกลเกินเอื้อม
“Porridge กับ Black pudding ของที่นี่อร่อยมากเลยนะ พ่อของพี่ชอบมากเลย คุณแม่ก็ด้วย"
“ใช่ร้านที่อยู่ตรงข้าม Shakespeare & Co. หรือเปล่าครับ?”
“ใช่ จอห์นก็เคยมาที่นี่หรอ"
“ครับ! เรียกว่าพลาดไม่ได้เลยล่ะ ฮ่าๆ"
จอห์นกับดีแลนด์เดินนำสองพี่น้องไป พวกเขาคุยกันอย่างออกรส จงใจลืมคนสองคนไว้ข้างหลัง การเข้าไปยุ่งกับเจย์เด็น ฟิทเฮอร์เบิทและลิลลี่ ไบรอนตอนที่อีกฝ่ายกำลังอยู่ในโลกของตัวเองน่ะ ไม่ใช่เรื่องที่น่าทำเท่าไหร่นักหรอก
สองพี่น้องที่หน้าเหมือนกันราวกับถอดแบบออกมา เดินไปตามถนนที่ลาดลงเงียบๆ พวกเขาไม่ได้คุยอะไรกันเลย ปล่อยให้ตระกอนความคิดในอดีตผ่านเข้ามาและติดอยู่ในหัว
หลังทานดินเนอร์เสร็จ พวกเขาตัดสินใจเดินเล่นและไปนั่งคาเฟ่ชื่อดังในเมือง พูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดกันที่นั่น มันทำให้พวกเราได้รู้จักกับเจมส์นักเขียนชื่อดังชาวอเมริกัน มันเป็นครั้งแรกที่ดีแลนด์ได้พบอีกฝ่ายหลังจากเขียนจดหมายแลกกันอยู่นาน รวมถึงแต่งเรื่องสั้นโต้ตอบกันด้วย
ถ้าให้พูดตรงๆการพบนักเขียนหรือศิลปินชื่อดังในเมืองนี้น่ะไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ในเมื่อความสวยของตัวเมืองและบรรยากาศมันเหมาะกับการรังสรรค์ผลงานทุกรูปแบบ เจมส์ถามไถ่พวกเราถึงการมาเที่ยวครั้งนี้ ต่อมาดีแลนด์จึงชวนให้อีกฝ่ายไปเที่ยวที่ Lake distinct ด้วยกันพรุ่งนี้ แต่น่าเสียดายนักที่เจมส์ต้องรีบกลับไปลอนดอนในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้
“อ่า ช่วงนี้ผมกำลังถกเถียงคำถามบางอย่างกับเพื่อนอยู่เลย – "
“เป็นเกีรยติอย่างยิ่งครับ :)” เจย์เด็นเป็นฝ่ายตอบรับอีกฝ่ายออกไปด้วยความตื่นเต้น รวมถึงจอห์นที่กำลังวางมาดสุขุมอยู่นั่นด้วย
“ผู้คนมักบอกว่ามนุษย์มีความรักอย่างสุดหัวใจให้คนได้เพียงคนเดียว – "
“...”
“แล้วมันเป็นไปไม่ได้จริงๆหรอ ถ้าเราจะรักใครพร้อมกันสองคน – ในเมื่อความรักมันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากขนาดที่สามารถผลักดันให้มนุษย์ทำสิ่งที่เกิดขีดความสามารถของตัวเองได้?”
เจมส์เป็นผู้ชายวัยสามสิบตอนปลายที่มีใบหน้าค่อนข้างคมเข้ม นัยน์ตาสีคาราเมลที่ดูเต็มไปด้วยประสบการณ์นั่นถอดมองพวกเราทีละคน ดีแลนด์หัวเราะออกมาเมื่อพบว่านักเขียนมืออาชีพน่ะน่ากลัวกว่าพวกนักพยากรณ์หรือหมอดูเสียอีก
เพราะนักเขียนเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องทราบชื่อ วันเกิด หรือลายมือคุณ
พวกเขาแค่ต้องมอง ฟังเรื่องราวของแต่ละคนสั้นๆและวิเคราะห์วิธีการเล่าของคนๆนั้น
“เอาล่ะ ผมขอตอบคนแรกละกัน" ดีแลนด์หยิบบารากุขึ้นมาสูบก่อนจะปล่อยให้ควันล่องลอยไปตามสายลม "ผมไม่รู้ – ที่บอกว่าไม่รู้เพราะผมก็ยังไม่เคยสัมผัสประสบการณ์นั้น นั่นหมายความว่าผมอาจจะได้สัมผัสหรือไม่สัมผัสประสบการณ์นั้นก็เป็นได้"
“...”
“เหมือนกับคนพวกนั้นที่บอกว่าเรารักคนสองคนพร้อมกันไม่ได้ มันอาจเป็นเพราะพวกเขาไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์นั้นหรือเปล่า"
“...”
“ถ้าให้พูดในฐานะกวีคนหนึ่งผมมองว่ามันเป็นไปได้ ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนั้นมันเป็นยังไงก็เถอะ แต่ความรักน่ะ – "
“...”
“มันคือแก่นกลางของมหาสมุทร เป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ เป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้อ้างว่าพวกเขามีดีกว่าสิ่งมีชีวิตจำพวกอื่น"
“...”
“และเพราะแบบนั้นความรักจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัว ทว่ามีพลังพอจะทำลายความกลัวในใจตัวเอง"
เจมส์ตบมือให้กับคำตอบของเพื่อนนักเขียน เขาหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ "สรุปคือคิดว่าเป็นไปได้สินะ" ดีแลนด์พยักหน้าก่อนจะยกแก้ววิสกี้ขึ้นมาชนกับเจมส์ เมื่อดื่มช็อตนั้นเสร็จแล้วเจมส์จึงส่งสายตาไปทางเจย์เด็น
“อืม สำหรับผม – "
“...”
“แน่นอนว่ามันเป็นไปได้"
ร่างบางยิ้ม เขาหยิบแก้วชาของตัวเองมาโคลงเบาๆ
“เหมือนที่ดีแลนด์บอกว่าความรักคือแก่นกลางของมนุษย์ ถ้าแบบนั้นการที่จะรักใครพร้อมกันสองคนมันยิ่งไม่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยขึ้นหรอกหรือ? ผมคิดว่ามันเทียบได้กับการที่เหล่าวายร้ายในนิทานปรัมปราตามหาชีวิตนิรันดร์นั่นแหละ”
“นั่นสินะ" เจมส์พยักหน้าเห็นด้วย
“ในเมื่อเราเป็นสัตว์ประเสริฐที่เห็นแก่ตัวที่สุด มันคงไม่แปลกอะไรหากเราจะมองหาแผนสำรองในทุกๆอย่าง – ไม่สิ บางทีเราก็ไม่ได้ตามหา แต่พวกมันต่างหากที่เป็นฝ่ายมาหาเราเอง "
“คุณหมายถึงการเตรียมพร้อมกับการจากลาอะไรเทือกนั้น?”
“ก็ในเมื่อชีวิตคือความเป็นไปได้และความไม่แน่นอนนี่ครับ :)”
ดีแลนด์ตบมือให้กับคำตอบของน้องเขย ถึงมันจะเป็นคำตอบที่คุ้นเคยก็เถอะ เพราะพวกเขาเคยโต้เถียงกันเกี่ยวกับเรื่องของความรักไปแล้ว
“แล้วคุณชาย de Clifford ล่ะครับ?”
คนที่ถูกเรียกหัวเราะออกมา เจ้าของเสื้อคอเต่าสีดำส่งยิ้มมาให้นักเขียนชื่อดังอีกคน แสงสลัวสีส้มในคาเฟ่ทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายราวกับว่าพวกเขากำลังล่องลอยอยู่ในความฝัน
“ถ้าถามว่าเป็นไปได้ไหม ผมก็จะบอกว่าแน่นอนครับ – เพียงแต่เราจะยอมรับและหามันเจอไหม"
“...”
“เหมือนกับที่กวีหลายคนพยายามจะซ่อนคนรักของตัวเองไว้ในบทกลอนเหล่านั้น"
“...”
"และบางทีพวกเขาก็ซ่อนคนสองคนไว้ในกลอนบทเดียวกัน"
เจมส์ยกยิ้มอย่างตื่นเต้น คนตรงหน้าไม่เหมือนเด็กเกรดสิบสามทั่วไป ทั้งสีหน้าที่แสดงออกมา การอ่านท่าทางคนอื่น โดยเฉพาะความนึกคิดที่เปิดกว้างกว่าคนในวัยเดียวกัน
“แล้วถ้าคุณเป็นกวีคุณจะซ่อนพวกเขาไว้ไหม?”
“ซ่อนซิครับ – เหมือนกับที่คุณดีแลนด์เคยบอก – "
คนถูกเอ่ยถึงหัวเราะออกมา ส่งแก้วไปชนกับจอห์น นึกถึงวันนี้ที่พวกเขาอ่าน sonnet ของกวีชื่อดังที่สุดในสมัย Queen Elizabeth ดีแลนด์เป็นคนแปลกลอนบทนั้นให้จอห์นฟัง
“เพราะคนรักและความรักของเราจะคงอยู่ตลอดกาลในบทกวี – หากผู้คนยังจดจำและยังระลึกถึงมัน"*
เจ้าของผมสีควันบุหรี่เป็นฝ่ายตอบแทนจอห์น เจมส์หันไปมองคนสองคนที่ส่งสายตาให้กันด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
“ส่วนคุณนายไบรอน – ผมคิดว่าผมพอจะรู้คำตอบของคุณแล้วล่ะ"
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน สังคมก็ยังคงสร้างจุดยืนให้ผู้หญิงเสมอ สร้างต้นแบบที่ผู้หญิงควรจะเป็น ควรคิดและควรกระทำ ผู้หญิงสวยจัดในชุดคอเต่าสีขาวทับด้วยสูทสีโรสท์โกลด์หัวเราะออกมา – มันเป็นรอยยิ้มที่สวยงามและมืดมน
เศษเสี้ยวรอยแผลพวกนั้นมันกำลังทิ่มแทงลงมาที่ตัวเธอ
รอยแผลที่เกิดจากสังคม ครอบครัว – และความทรงจำที่ไม่มีอยู่ในวัยเด็ก
“แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นค่ะ คุณเจมส์ :)”
เธอเลือกจะตอบคำถามสั้นๆก่อนจะชักจูงทุกคนไปถกปัญหาเรื่องการเมืองแทน ค่ำคืนที่คาเฟ่ต์จบลงในเวลาเกือบเที่ยงคืน พวกเขากอดลาคุณเจมส์ก่อนจะเดินกลับที่พักและแยกย้ายกันเข้านอน
ดีแลนด์นอนห้องเดียวกับลิลลี่
และจอห์นนอนห้องเดียวกับเจย์เด็น
พระจันทร์เต็มดวงในคืนฤดูหนาว
ชื่อของคนรักที่ดังอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า –
เสียงเรียกหาจากคนที่ไม่มีวันถูกเติมเต็ม
จบลงและเริ่มต้นขึ้น –
ด้วยเหตุผลที่ไม่เหมือนกัน
*
“เจย์เด็น ลงไปเดินเล่นกันไหม"
เสียงของลิลลี่ยังคงเป็นเหมือนยาพิษที่เคลือบน้ำตาลเสมอ คนเป็นน้องพยักหน้าก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อโค้ทมาสวม การลงไปเดินเล่นตอนเช้าทันทีที่ตื่นนอนเป็นเรื่องที่ดูไม่น่าฉลาดเท่าไหร่ เจย์เด็นหันไปมองจอห์นกับดีแลนด์ที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์โดยจิบกาแฟยามเช้าไปด้วยในส่วนห้องรับแขก ทั้งสองคนพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะหันกลับไปสนใจสิ่งที่ตัวเองกำลังอ่านต่อ
ลิลลี่เลือกที่จะหยุดและนั่งลงบนม้านั่งในสวนของโรงแรม ใบหน้าของอีกฝ่ายเรียบเฉย ใบหน้าที่เป็นเหมือนกระจกสะท้อนตัวของเจย์เด็น อาจเป็นสิ่งที่เขาเกลียดที่สุด
– แต่บางทีเขาก็หลงรักมันอย่างเลี่ยงไม่ได้
แสงอาทิตย์ในยามเช้าของฤดูหนาวเป็นสิ่งที่เจย์เด็นชอบเสมอ
มันอบอุ่นและหนาวเหน็บในเวลาเดียวกัน
“คิดว่าลิลจะเจ็บกับการที่เจย์ได้ครอบครองจอห์นงั้นหรอ?”
เป็นครั้งแรกที่ลิลลี่พูดอะไรออกมาตรงๆแบบไม่อ้อมค้อม ซึ่งก็เป็นสิ่งท่ีดี ถึงเจย์เด็นจะเริ่มติดนิสัยพูดอะไรอ้อมๆเหมือนดีแลนด์ จอห์น และลิลลี่ไปแล้วก็เถอะ
“ทำไมเจย์ต้องแคร์พี่ขนาดนั้นด้วยล่ะ?”
เจย์เด็นพูดพลางหาวไปด้วย เขาส่งยิ้มแบบท่ีพี่สาวตัวเองชอบทำกลับคืนไป แสงแดดอ่อนๆของฤดูหนาวทำให้ร่างบางรู้สึกอยากกลับไปนอนในห้องมากกว่าจะเดินมานั่งตากลมข้างนอกแบบนี้
“หมายความว่านายจะนอนกับใครก็ได้งั้นหรอ?”
“ก็มันเป็นความต้องการของผม – "
เจย์เด็นยักไหล่ เขาใช้นัยน์ตาสีฟ้าจ้องเข้าไปในดวงตาสีเดียวกันของพี่สาว
“แล้วก็เป็นความต้องการจอห์น"
ลิลลี่หัวเราะออกมาเสียงดังราวกับ – คนบ้า
อ่า.. แต่เจย์เด็นก็พูดแบบนั้นไม่ได้หรอก
“มันไม่สำคัญมานานแล้วลิลว่าพี่จะรักใคร – ผู้ชายคนไหน"
เพราะว่าเจย์เด็นก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะไปตัดสินสภาพจิตใจของคนอื่นได้ว่ามันปกติหรือไม่ปกติ
“มันไม่ใช่เรื่องของการทำร้ายความรู้สึกพี่มานานแล้ว ลิล – "
ในเมื่อจริงๆแล้วตัวเจย์เด็นอาจจะไม่ได้ต่างจากลิลลี่เลยซักนิด
“มันเป็นเรื่องความรู้สึกปลอดภัยของผมมากกว่า"
มันอาจเป็นเพราะพวกเขาถูกให้กำเนิดจากปัจจัยอะไรบางอย่างที่เหมือนกัน – เป็นภาพสะท้อนของกันและกัน เป็นสิ่งที่ถูกสร้างมาคู่กัน
“ถอดแบบออกมาจากแม่ของนายเลยนะเจย์เด็น – หยิ่งยโส โอหัง ไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดของคนอื่น"
ไม่มีน้ำตาไหลออกมาจากนัยน์ตาที่อ่อนแอคู่นั้น มันมีแต่ความเจ็บปวดที่ไม่มีเสียง เพราะเธอเคยกรีดร้องออกมาจนสุดเสียงแล้ว แต่มันกลับไม่ช่วยอะไรเลย
ไม่แม้แต่จะทำให้พระเจ้าหันมาสนใจ
ไม่แม้แต่จะปลุกพระเจ้าให้ตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทรา –
พระเจ้าที่อยู่บนฟ้า –
และพระเจ้าแห่งตระกูลฟิทเฮอร์เบิทก็ด้วย
ราวกับความรู้สึกของเกล็ดหิมะที่ตกลงบนพื้นโลก
ได้แต่รอให้ตัวเองละลาย – ไหลไปตามพื้นซีเมนต์หรือผืนดิน
“แล้วพี่รู้ได้ยังไงลิลว่าคนอื่นเขาไม่เจ็บปวด ทั้งๆที่ตัวพี่เองกลับวิ่งหนี – "
เจย์เด็นกล้ำกลืนความเจ็บปวดลงไป ภาพความทรงจำในตอนเด็กที่เขาพึ่งเข้าใจมันได้เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาย้อนคืนกลับมา เด็กผู้ชายคนนั้นหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
มองใบหน้าของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่สาวคนละแม่
ความจริงที่มีคนเพียงไม่กี่คนรับรู้มัน
คนกลุ่มนั้นที่ยังไม่มีใครสะกิดใจว่าเจย์เด็นและลิลลี่รับรู้มันแล้ว
“พี่วิ่งหนี ทั้งๆที่พี่ก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นแท้ๆ ทำไมพี่ถึงเอาแต่นิ่งเงียบไม่กรีดร้องขอความช่วยเหลือล่ะ?”
เจย์เด็นหัวเราะออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นเด็กที่โง่เขลาแค่ไหนในอดีต
บริสุทธิ์ราวกับหิมะแรกที่ล่องลอยอยู่บนอากาศ
จนกระทั่งหิมะกลุ่มนั้นตกลงมาบนผืนดินและถูกย้อมด้วยสีของโลหิต
เปรอะเปื้อนไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและสีแดงที่แปลว่าจุดจบของชีวิต
“พี่ที่กุมมือผมไว้ – อยู่ข้างๆผมในตอนที่แม่ของผมกำลังฆ่าตัวตาย"
“...”
"พี่ที่ยิ้มแล้วบอกให้ผมมองการแสดงตรงหน้า ให้ผมลืมทุกอย่างในตอนที่มันจบลง"
เขายังจำมันได้ดี ถึงความทรงจำที่ครั้งหนึ่งเคยลืมเลือนมันไป –
ภาพของหิมะสีขาวโพลน รอยยิ้มจางๆที่คนเป็นแม่ส่งมาให้ หยาดเลือดสีแดงที่ตกกระทบกับกองหิมะสีขาว พร้อมกับร่างที่ตกลงไปบนอาณาจักรสีขาวโพลนที่ธรรมชาติเป็นฝ่ายสร้างขึ้น
รอยกรีดข้อมืออาจเป็นความเจ็บปวดที่ไม่มากและไม่ลึกพอสำหรับคุณแม่ของเขา
อีกฝ่ายจึงเลือกที่จะจากไปพร้อมความหนาวเหน็บและกลุ่มหิมะที่กัดกินผิวหนัง
แต่มันคงไม่เจ็บเสียเท่าไหร่
เมื่อเทียบกับความรู้สึกหายใจไม่ออกในยามที่อีกฝ่ายยังหายใจอยู่บนโลกที่โสโครกแห่งนี้
ในตอนนั้นเจย์เด็นก็เป็นแค่เด็กโง่คนหนึ่งที่วิ่งไปบอกคุณพ่อว่าคุณแม่ของเขากระโดดลงไปเล่นหิมะและเจย์เด็นก็อยากลงไปเล่นกับคุณแม่บ้าง แต่สิ่งที่ได้กลับมามันเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่าของคนเป็นพ่อและเสียงกรีดร้องของคนใช้ในบ้าน
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรและทำไมเหมือนกัน ระบบป้องกันตัวเองงั้นหรอ? ทำให้เด็กผู้ชายคนนั้นลืมเรื่องราวทั้งหมดและเริ่มชีวิตใหม่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีผู้หญิงที่อ่อนหวาน สวยงามและเปราะบางราวกับแก้วคริสตัลคนนั้นอยู่ในความทรงจำอีกต่อไป
ทั้งๆที่เจย์เด็นก็ไม่อยากจะลืมช่วงเวลานั้น ถึงมันจะเจ็บปวด แต่เขาก็จะไม่ปฏิเสธว่าภาพของคนเป็นแม่ยามที่ล่องลอยไปในอากาศมันดูอิสระและสวยงามแค่ไหน
“จำได้แล้วหรอ?”
ลิลลี่หันมายิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความยินดี
“อื้อ วันที่พี่ทะเลาะกับพ่อไง"
มันน่าตลกสิ้นดี เจย์เด็นจำได้ว่าวันนั้นมันเป็นครั้งแรกท่ีลิลลี่ทะเลาะกับพ่อเลยล่ะมั้ง คนที่คอยอยู่เงียบๆมาตลอด แต่กลับเลือกจะมีปากมีเสียงในวันที่สายไปแล้ว อีกฝ่ายเอาแต่ตะโกนด่าพ่อที่รักคนสองคนพร้อมกัน – คนที่เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
พ่อที่เลือกจะโยนความรับผิดชอบทั้งหมดให้ลิลลี่ ฟิทเฮอร์เบิท
ทั้งที่ๆตัวเองนั่นแหละที่เป็นสาเหตุของทุกการกระทำ –
คุณพ่อที่ทำให้ทุกความปรารถนาของทุกคนเป็นจริงได้
แต่กลับไม่สามารถรักษาคนรักของตัวเองไว้ได้ซักคน
แม่ของพวกเขาเป็นแฝดกัน
Solar และ Lunar
สองสิ่งที่เป็นขั้วตรงข้ามของกันและกัน
กลับตกหลุมรักคนๆเดียวกัน
Solar แม่ของเจย์เด็นเป็นฝ่ายแต่งงานกับคุณพ่อของเขาก่อน แต่หลังจากนั้นอีกหนึ่งปี
ตลกร้ายที่สุดในตระกูลก็เกิดขึ้น –
Lunar ท้อง
กฏของการเป็นลูกผู้หญิงของตระกูลอันเก่าแก่คือห้ามทำให้ตระกูลต้องแปดเปื้อนหรือเสื่อมเสีย
และคนพวกนั้นก็บ้ามากพอที่จะสั่งให้แม่ของเจย์เด็นทำบางอย่าง –
คำสั่งที่ราวกับออกมาจากปากของอมนุษย์
ใช้ประโยชน์ของฝาแฝดที่มีใบหน้าเหมือนกันราวกับส่องกระจก –
ให้โซลาร์อยู่ที่คฤหาสน์ฟิทเฮอร์เบิทจนกว่าจะคลอดลูก
และให้ลูน่ากลับไปอยู่ที่บ้านของตัวเองในฐานะโซลาร์
มันเป็นโศกนาตกรรมที่ค่อนข้างตลก ถ้าคุณลองนึกดู พล็อตที่ถอดแบบบทละครเอกของกวีชื่อก้องโลกอย่าง Shakespeare ในเรื่อง Twelfth Night ที่นางเอกถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ชายและมันทำให้เธอพบรักกับพระเอก อาจมีเรื่องเข้าใจผิดและอุปสรรคไปบ้าง แต่ทุกอย่างก็จบลงด้วยดี
แต่แฝดคู่นี้รักผู้ชายคนเดียวกันและสลับตัวกันเพื่อเผชิญหน้ากับความตาย
“ดีแล้วล่ะ – อย่างน้อยก็จะได้มีเจย์เด็นอีกคนหนึ่งที่จดจำความเจ็บปวดของแม่ลิลได้"
ลิลลี่จำได้ไม่ได้หรอก – ความทรงจำของคุณแม่ตัวเองน่ะ
ถ้าเธอไม่ได้จดหมายจากคุณแม่ตอนที่ลิลลี่อายุเจ็ดขวบ
จดหมายที่บอกว่าตัวเองเหนื่อยกับโลกใบนี้มากแค่ไหน จดหมายที่แสดงความไม่แน่ใจว่าตัวเองสมควรจะบอกลูกสาวของเธอไหมว่าจริงๆแล้วแม่ของลิลลี่คือใคร คนที่หัวเราะเยาะให้กับความรักที่ดำมืดของตัวเอง ความรักที่เธอเลือกเองกับมือและเลือกจะจบมันด้วยมือของตัวเองเช่นกัน
เธอจบมันทันทีที่ให้กำเนิดลูกสาวที่แสนน่ารัก – คนที่เป็นหลักฐานเดียวในความรักของตนเอง
แต่ในจดหมายนั่นไม่มีซักประโยคที่บอกว่าลูน่าเสียใจกับสิ่งที่เลือก
อีกฝ่ายบอกว่าได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่แล้ว
คนที่บอกแบบนั้นกลับเลือกที่จะตั้งชื่อลูกสาวของตัวเองว่าลิลลี่ เพราะเธออยากให้ลูกสาวคนเดียวของตัวเองเป็นเหมือนผ้าสีขาวสะอาด – สัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ อ่อนหวานเกินกว่าจะเข้าใจในโลกที่โสมมแห่งนี้ โลกที่มีคนแบบลูน่าและเซพติมัสอยู่
คนที่เลือกจะจากไปด้วยวิธีเดียวกับแฝดของตัวเอง –
ไม่สิ โซลาร์ต่างหากที่เลือกทำตามลูน่า
โซลาร์เกลียดความรัก แต่เธอก็มีคนรักและลูกชายอันเป็นที่รัก
ถึงแบบนั้นโซลาร์ก็คิดถึงแฝดของตัวเองจนไม่สามารถอยู่บนโลกที่โหดร้ายแห่งนี้คนเดียวได้
ทั้งสองคนจากไปโดยให้เหตุผลว่า –
ความรักของพวกเธอที่มีให้คนรักและลูกเพียงคนเดียวนั้นมันมากพอที่จะยืนยาวเท่าชั่วชีวิตของคนๆนึงแล้ว
หญิงสาวที่งดงามราวกับพระจันทร์เต็มดวง คนที่ไม่ได้บอกให้เธอใช้ชีวิตอย่างฉลาด ผู้หญิงที่ดูร้ายกาจในสายตาใครหลายคนกลับทิ้งประโยคสุดท้ายที่น่าตลกไว้ให้ลิลลี่
ความหวังที่ฟังดูน่าขันเหลือเกินในความรู้สึก –
แต่กลับเป็นประโยคที่ถูกต้องที่สุดแล้วสำหรับผู้หญิงในยุคนี้
‘I hope you will be a fool – that’s the best thing a girl can be in this world,
a beautiful little fool’**
เด็กผู้หญิงคนนั้นที่เติบโตขึ้นอย่างสวยงาม
คนที่เดินไปตามทางเดียวกับที่แม่ของเธอเคยเดินผ่านและจบลงที่ทางตัน
“เจย์เด็น – นายน่ะ เติบโตมาได้เป็นอย่างดีเลยนะ"
“พูดต่อสิ"
“เติบโตมาด้วยความรักและสองรักเหมือนพ่อไม่ผิดเพี้ยน"
เจย์เด็นเอื้อมมือมาจับมือของพี่สาวตัวเองไว้ นัยน์ตาสีเดียวกับไพลิณเต็มไปด้วยประกายความสุข
“อืม ถ้างั้นตอนนี้ก็เจ็บอีกสิ"
เขาเอื้อมมืออีกข้างไปลูบบนกลุ่มผมสีบลอนด์สวย เจย์เด็นชอบมองนัยน์ตาสีฟ้าของลิลลี่ยามที่มันต้องกับแสงและอ่อนลง ดวงตาที่มักจะมองตามเขาเสมอ ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งตอนนี้
“ในเมื่อผู้ชายที่ลิลเคยรักและกำลังรักอย่างสุดหัวใจ"
ลิลลี่คนโง่ที่เลือกจะพรากความรักของเจย์เด็น
“ทั้งสองคนน่ะ – รักผมด้วยทั้งหมดของหัวใจเลยล่ะ”
ลิลลี่ที่หลงลืมไปว่าพี่น้องมักจะชอบอะไรเหมือนๆกัน
ตกลงไปในหลุมที่ตัวเองขุดไว้
“แต่อย่างน้อยเจย์ก็ปล่อยให้ลิลได้ทำทุกอย่างที่ตัวเองต้องการแล้วนะ :)”
ลิลลี่ ไบรอนที่หลงรักสามีของตัวเองอย่างสุดหัวใจ
TBC
-------------------
* = Shakespeare's Sonnet18
** = F.Scott Fitzgerald ,The Great Gatsby
Please comment or tag #SFaMilRaindrops
Talk: ด้วยพลังแห่งจันทรา ลิลลี่จะลงทัณคนอื่นได้ยังงั้ยย ;__; (จริงๆนังหน้าสงสารมากนะ)
อ่านตอนนี้จบทุกคนก็จะสงสัยว่าเอ๊ะ เรื่องนี้มีคนปกติซักคนไหม ซึ่งงงงง – 555555 สาบานลั่ยว่าทุกอย่างมันเกิดจากสเตชั่นน้องจริงๆ (ถึงจะตกใจมากๆตอนเห็นสเตชั่นเวนดี้ตามมาก็เถอะ ฮื่ออ เหมือนจนกลัว *w*)
ปล. แร้วววถ้าอ่านตอนสามดีๆ จะรู้ว่าตอน5จะเกิดอะไรขึ้นน
ปล2. ทุกคนคิดว่าคุณสุภาพบุรุุษทั้งสองคนยังนั่งจิบกาแฟอยู่บนห้องหรือเปล่าคะ (‘ ‘)/
[เรื่องการรวมเล่ม]
- จากผลโหวตคือรวมเล่มได้นะคะ T____T แต่คงต้องรอปีหน้าเลย เพราะเราต้องแต่งเจย์เด็นกับอมกว.ให้จบก่อน ทั้งนี้จะพยายามเร่งให้เร็วที่สุดนะคะ (จริงๆเราอยากให้คุณคนนึงวาดปกให้ แต่ตอนนี้เขายังไม่ว่าง เลยอยากจะรอก่อน ;__;)
- ข่าวดีคือเราลองไปจัดหน้าคร่าวๆมา คิดว่าสามารถใส่เรื่อง YOUniverse เข้าไปได้ค่ะ เย้ะะ >< (อาจจะใส่ os ที่ลงในเว็บอีกสองเรื่องได้ด้วย)
- ตัวหนังสือคิดว่าจะไม่เกิน 400 หน้า เพราะงั้นราคาจะไม่เกิน 400 บาทฮับ .__.
- จะมีสเปเชี่ยลของ อมกว. เจย์เด็น แล้วก็ยูนิเวิร์สนะคะ (ไม่ลงเว็บ)
- จะมี os อันใหม่หนึ่งเรื่อง ซึ่งงง เราจะให้คุณรีดเดอร์ส่งพล็อตที่เราอยากให้แต่งมาได้ จะส่งมาใน ask หรือดีเอ็มก็ได้ค่ะ คือเราอยากจะตอบแทนทุกคนที่ลงมาแล่นเรือผีนี้ด้วยกัน :)
ปล. ทั้งหมดนี้เป็นรายละเอียดคร่าวๆนะคะ กว่าทุกอย่างจะเสร็จเปิดโอนอาจจะกลาง-ปลายเดือน2ปีหน้าเลยค่ะ ขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจนะคะ :)
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ปล.อยากจะบอกไรท์ว่าดีใจมากที่สเปyouniverseจะถูกใส่ลงไปในเล่มด้วย แงงงง กราบขอบคุณในความรักของไรท์ที่มีต่ เรื่องนี้มากๆเลยค่ะ เรารักเรื่องนี้มากๆ บ่นกับไรท์บ่อยแล้วก็อยากจะบ่นอีกเรื่อยๆ 55555555 สุดท้าย สู้ๆนะคะ เราจะรอฟอร์มเปิดจองอย่างเป็นทางการของไรท์น้า~
ปล.2 สงสารทั้งลิลและคุณจอห์น แต่นี่ว่าสุดท้ายแล้วเจย์เด็นจะเลือกออกจากโซนปลอดภัยนั้นมาเติบโตภายใต้แสงอาทิตย์ค่ะ :)