ตอนที่ 17 : [sf] Blank Verse III
[sf] Blank Verse III
Doyoung x Jaehyun x
#SFaMilRaindrops
Setting : York, England (1900s)
12,114 words
BG Music: Try again – Jung Jaehyun
I hope the dream
You dreamed because of me
Won't turn out to be a nightmare when you wake up
*
พวกเขารับประทานอาหารค่ำที่ร้านอาหารฝรั่งเศสของโรงแรม ภาพของสุภาพบุรุษหน้าตาดีสองคนที่กำลังนั่งทานอาหารรสเลิศ ไม่ได้สร้างความสะดุดตาหรือเป็นภาพที่แปลกตาสำหรับคนภายนอก ตรงกันข้ามมันกลับเป็นเหมือนภาพวาดชั้นเลิศที่มีองค์ประกอบของภาพเป็นชนชั้นสูงทั้งสองคน
พวกเขาบอกความรู้สึกกันผ่านบทกลอนที่ยกขึ้นมาโต้เถียงกัน – บทสนทนาที่ดูเป็นเหมือนการสนทนาทั่วๆไปของชนชั้นสูง แต่กลับแฝงอะไรบางอย่างในคำพูดเหล่านั้น เจย์เด็นเริ่มเรียนรู้ที่จะส่งบอกความรู้สึกผ่านการใช้ประโยคที่มีนัยยะแบบที่กวีคนโปรดของเขาชอบทำ
เด็กเกรดสิบสามเลือกที่จะจบคอร์สอาหารด้วยแครมบลูเล่ คัสตาร์ดเย็นๆที่โรยด้วยน้ำตาลไหม้ ในขณะที่ดีแลนด์เลือกที่จะจบคอร์สด้วยแชมเปญอีกหนึ่งแก้ว
ร่างแกร่งเรียกแท็กซี่สำหรับการไปส่งเจย์เด็นที่โรงเรียน วันนี้เป็นวันที่ค่อนข้างเหนื่อยสำหรับผู้ชายอายุยี่สิบปลายๆแบบเขา พวกเราขึ้นไปนั่งบนรถ ไม่ได้จับมือหรือนั่งติดกัน – ก็แค่นั่งห่างออกไปหนึ่งที่นั่ง แต่รับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของกันและกัน
“นี่ ดีแลนด์"
“หืม?”
“ผมเจอตั๋วรถไฟที่ผมซื้อ แต่ไม่ได้นั่ง"
มันไม่ใช่ความเงียบที่โรยตัวอย่างน่าอึดอัด ตรงกันข้ามเจย์เด็นกลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่อีกฝ่ายส่งมาปลอบประโลม เขาไม่ได้กลัว มันไม่ใช่เรื่องน่าตกใจซักเท่าไหร่ เพระมันเป็นการกระทำที่เกิดจากความตั้งใจของทั้งเจย์เด็นและดีแลนด์เอง
“จำเอาไว้นะ เจย์เด็น"
“...”
“ดอกไม้น่ะ มันจะพยายามอยู่ในที่ของมัน"
“...”
“ที่ๆปลอดภัยพอให้มันเติบโต และเชิดชูความงามให้คนอื่นเห็นและเชยชมได้"
“อื้อ"
ร่างโปร่งไหวไหล่ เมื่อเขาก็คิดแบบเดียวกับที่ดีแลนด์คิด ดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์น่ะ –
ไม่ต้องการทำให้ชื่อของตัวเองต้องแปดเปื้อนหรอก
เพราะมันบริสุทธิ์เกินกว่าจะยอมรับความโสมมพวกนั้น
ความโสมมที่เป็นความสัตย์จริง
“จอดรอซักครู่นะครับ"
เจ้าของกลุ่มผมสีเทาหันไปบอกแท็กซี่เมื่อรถจอดสนิทที่หน้ารั้วโรงเรียน เขาถือกระเป๋าเดินทางใบเล็กของเจย์เด็นลงมา ยามหน้าโรงเรียนจ้องมาที่ดีแลนด์ในตอนที่อีกฝ่ายทำท่าจะเดินเข้าไปในโรงเรียนด้วย
“ผมเป็น บัทเลอร์ของคุณชายฟิทซ์เฮอร์เบิทน่ะครับ"
เจย์เด็นกลั้นขำแทบไม่อยู่เมื่อได้ยินมุขตลกของพี่เขย เขาลอบมองใบหน้าของคุณยามที่ทำหน้างงกว่าเดิม อีกฝ่ายมองดีแลนด์ตั้งแต่หัวจรดเท้า การแต่งกายหรูหราเกินกว่าจะเป็นแค่คนรับใช้ในบ้านนั่นทำให้คุณยามได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างแรง แต่ก็พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้เดินเข้าไปในโรงเรียนได้
“กระผม เจย์เด็น ฟิทซ์เฮอร์เบิทรู้สึกเป็นเกีรยติอย่างมาก ที่มีคุณชายดีแลนด์เป็นบัทเลอร์ครับ"
เจ้าของรอยยิ้มสดใสทำท่าตะเบะพลางดัดเสียงจริงจังราวกับกำลังพูดสปีชจริงๆ ดีแลนด์ผลักกลุ่มผมสีบลอนด์สว่างนั่นด้วยความหมั่นเขี้ยว ก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่ออีกฝ่ายแกล้งทำท่าจะวิ่งเข้ามาชก
พวกเขาเดินทอดน่องไปตามสวนหน้าโรงเรียนอย่างไม่เร่งรีบนัก ท้องฟ้าในวันนี้ไร้ดวงดาว เพราะพวกมันถูกกลุ่มเมฆปกคลุม จะมีก็แต่ดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่แสนโดดเดี่ยวคอยให้แสงสว่างแก่ผู้คนที่กำลังหลงทาง – หรือเลือกเดินบนทางที่ไม่เคยมีใครเลือก
“ดีแลนด์ พี่ชอบพระจันทร์ หรือพระอาทิตย์มากกว่ากัน?”
“พระจันทร์ เจย์ล่ะ?”
“พระอาทิตย์ซี่! ผมรู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่ดีออก"
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าพระจันทร์ไม่ยิ่งใหญ่?”
“มันให้ความสว่างได้ไม่เท่าพระอาทิตย์ล่ะมั้ง? อืม แล้วก็ไม่ให้ความอบอุ่นด้วย"
เจย์เด็นยิ้มจนเห็นฟันทุกซี่ เมื่อเขารู้สึกภูมิใจกับคำตอบของตัวเอง ร่างโปร่งเปลี่ยนเป็นเดินถอยหลัง เพื่อแสดงออกว่าเขาคาดหวังกับคำตอบของนักกวีคนดัง
“แล้วเราต้องการแสงสว่างและความอบอุ่นขนาดไหนกันล่ะ?”
“อืมม ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนหรือเปล่า – อย่างเจย์อ่ะชอบอากาศแบบหน้าร้อนมากกว่า"
“นั่นไง ความยิ่งใหญ่มันก็ดี แต่ความต้องการของมนุษย์มันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน"
“...”
“เราต้องการแสงสว่างก็จริง แต่หลายครั้งมนุษย์น่ะก็ต้องการความมืดให้ซ่อนตัวด้วย – ซ่อนตัวจากความกลัวของตัวเอง หรือความกลัวที่จะได้รับจากคนอื่น"
“สมแล้วที่เป็นกวีคนดัง!”
หันหลังกลับมาเดินหน้าแบบปกติ พร้อมปรบมือเสียงดังไม่หยุดจนดีแลนด์ต้องยื่นมือมาหยุดเด็กเกรดสิบสาม เพราะเสียงปรบมือดังๆตอนนี้ต้องทำให้ใครซักคนเปิดหน้าต่างออกมาด่าพวกเขาแน่ๆ
“จริงๆแล้ว เหตุผลสำคัญที่สุดเลย"
ดีแลนด์พยายามมองผ่านเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังก้มหน้าลง แต่แสงของดวงจันทร์ก็กลายเป็นอุปสรรคในการจะทำแบบนั้น ร่างหนาจึงตัดสินใจหลับตาเดินเพื่อที่จะได้รับรู้กระแสน้ำเสียงของคนข้างๆให้ชัดเจนขึ้น –
เจย์เด็นน่ะ เป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่งที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมาแล้ว
“เพราะว่าชื่อของแม่ผมน่ะ – "
“...”
“แปลว่าพระอาทิตย์"
“...”
“และเพราะแบบนั้น ไม่ว่ายังเจย์เด็น ฟิทเฮอร์เบิทก็จะไม่ชอบพระจันทร์ – พระจันทร์ที่หมายความว่าเจย์เด็นจะไม่สามารถเห็นพระอาทิตย์ได้ในห้วงเวลานั้นได้"
พวกเขาหยุดเดินเมื่อมาถึงหอพักประจำบ้านของเจย์เด็น อีกฝ่ายอยู่คนละบ้านกับดีแลนด์สมัยที่เรียนที่นี่ มือเรียวยื่นมาเป็นเชิงให้เขาส่งกระเป๋าเดินทางตรงหน้ามาให้
“and I would like to have you as my Sun”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขมขื่นอย่างน่าประหลาด
ประโยคร้องขอที่ดูบิดเบี้ยวในคืนฤดูหนาว
ความไม่มั่นคงของสายลมที่ปลิวผ่านยามที่ร่างกายต้องการความอบอุ่น
“It’s my pleasure, J :)”
ทุกอย่างหวนคืนสู่ความปกติได้ –
เพียงเพราะหนึ่งประโยคตอบรับจากใครคนนั้น
*
คาบเรียนวรรณกรรมเป็นวิชาโปรดของเจย์เด็น – แต่ไม่ใด้หมายถึงคาบที่ต้องเรียนในเช้าวันจันทร์แบบนี้ พวกเขาที่เป็นนักเรียนยังไม่เข้าใจนักว่าทำไมโรงเรียนถึงจัดตารางแบบนี้ พวกอาจารย์คิดว่านักเรียนจะรู้สึกตื่นเต้นกับการเรียน sonnets ในช่วงเวลาที่ง่วงที่สุดของอาทิตย์งั้นหรอ?
ภาพของนักเรียนกว่าครึ่งห้องที่แนบหน้าลงกับโต๊ะเรียนเป็นภาพที่เกิดขึ้นตลอดเทอมนี้ จนกระทั่งมีนักเรียนบางคนส่งเสียงฮือฮา โห่ร้องด้วยความดีใจ
“ให้ตายสิ!! นั่นมันเขานี่นา!!”
“เฮ้ เจมส์ตื่นๆ พ่อนายชอบเขาหนิ ซื้อหนังสือจากร้านหนังสือแล้ววิ่งมาให้เขาเซ็นต์เร็ว"
เสียงดังเซ็งแซ่ที่ดังขึ้นกระทันหันทำให้เจย์เด็นตัดสินใจขยับตัวขึ้นมานั่งดีๆ เขามองรูมเมทตัวเองที่อยู่ดีๆก็นั่งนิ่งและมองตรงไปข้างหน้าราวกับกำลังต้องมนต์สะกดอะไรเทือกนั้น
“Are you kidding me, Dyland?!”
เจย์เด็นเผลอสบถออกมาเมื่อพบว่าคนที่เขาพึ่งร่ำลาไปเมื่อคืนกลับมายืนอยู่หน้าห้องเรียนพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม วันนี้อีกฝ่ายสวมเสื้อเสวตเตอร์สีขาวทับด้วยสูทสีกากีและกางเกงสีเดียวกัน ข้อมือแกร่งถือหนังสือเล่มหนาไว้กับลำตัว
“สวัสดีครับ:)”
อีกฝ่ายเอามือไขว้หลังพลางกล่าวทักทายกลุ่มนักเรียนที่แสดงความตื่นเต้นจนเกินเหตุ คนที่ยืนอยู่หน้าห้องหัวเราะออกมาเมื่อพบว่านักเรียนที่นี่ให้การตอบรับเขาอบอุ่นกว่าที่คิด
“เนื่องจากศาสตราจารย์ เจมส์ ต้องไปสัมมนาที่เวียนนา – "
“เยส!!!!!!”
เสียงโห่ร้องที่ดังขึ้นมาทันทีทำให้ดีแลนด์ได้แต่หัวเราะอย่างชอบใจ แต่เขาก็กวักมือเป็นสัญญาณให้เด็กๆเงียบ ก่อนจะแนะนำตัว
“เพราะงั้น ผม ดีแลนด์ ไบรอน จะมาสอนพวกคุณแทนเป็นเวลาสองสัปดาห์ครับ"
เสียงเชียร์ดังขึ้นทันทีที่อาจารย์คนใหม่พูดจบ ทำให้นักเรียนห้องข้างๆถึงกับทิ้งวิชาที่เรียนอยู่เพื่อวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“เอาล่ะครับ เรามาเริ่มเรียนกันเถอะ"
นักเรียนในห้องเปลี่ยนมานั่งหลังตรง มันค่อนข้างตลกที่นักเรียนผู้ชายทั้งหมดให้ความสนใจกับการสอนของอีกฝ่ายได้ขนาดนั้น แต่มันก็ไม่แปลกอะไร – ในเมื่อดีแลนด์ ไบรอนน่ะ ขึ้นชื่อเรื่องเป็นที่หมายปองของผู้หญิง นั่นทำให้ผู้ชายหลายคนมองอีกฝ่ายเป็น role model ตามไปด้วย ทั้งใบหน้าที่ดูดี และความสามารถท่ีเป็นเลิศทางศิลปะแทบทุกแขนง ทั้งๆที่เจ้าตัวพึ่งอายุ29 ไหนจะการวางตัวที่พอดีนั่นอีก
การประสบความสำเร็จเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม โดยเฉพาะการที่คนๆนั้นมาจากตระกูลที่สูงส่ง และเก่าแก่
เพราะที่นี่คือประเทศอังกฤษ ไม่ใช่อเมริกา – ที่คอยขายความฝันให้กับคนที่ไม่มีอะไรตั้งต้นเลย
“ผมคิดว่าเราควรเปลี่ยนบรรยากาศจาก sonnets มาอ่านเรื่องสั้นของ Edgar Allan Pole กันน่าจะตื่นเต้นกว่าสำหรับหนุ่มๆ?”
“คร้าบบบบ"
เสียงตอบรับที่ดีทำให้ดีแลนด์แทบหยุดยิ้มไม่ได้ เขาหัวเราะออกมาอีกครั้ง ก่อนจะกระแอมเสียงเพื่อเป็นการบอกว่าจะเริ่มบทเรียนแล้วนะ
“ในห้องนี้มีใครเคยอ่าน เรื่อง The Fall of the House Usher หรือยังครับ?”
“อ่า คุณ?”
“จอห์นครับ"
เจย์เด็นสะดุ้งเมื่อพบว่าคนที่ยกมือคือรูมเมทที่นั่งเรียนข้างๆกัน ร่างบางขำออกมาเมื่อพบว่าผู้ชายตัวใหญ่คนนั้นทั้งยืดหลังตรงๆ ทั้งยกมือจนสุดแขนอีก ดวงตาสีมะฮอกกะนีเหลือบเทานั่นมีประกายวิบวับราวกับได้เจอของถูกใจ
“จะให้ผมไม่พูดอะไรใช่ไหมครับ?”
“เปล่าครับ"
“?”
“มันอาจจะไม่ได้ทำให้คุณตื่นเต้นเหมือนครั้งแรกที่อ่าน"
“...”
“แต่ผมคาดหวังกับความเห็นของคุณที่คิดได้หลังจากได้อ่านมันอีกครั้งนะครับ"
“อ่า..ครับ"
ดีแลนด์ขำออกมาเมื่อนักเรียนหน้าตาดีที่นั่งข้างเจย์เด็นแสดงความลำบากใจผ่านทางสีหน้าออกมาอย่างชัดเจนขนาดนั้น
“ผมให้เวลาอ่านยี่สิบนาทีนะครับ หลังจากนั้นเราจะมาดิสคัสกัน"
คาบเรียนในตอนเช้าจบลงด้วยความตื่นเต้นของทุกคน อาจจะเพราะพล็อตหักมุมที่ซ่อนอยู่ในนั้น การปล่อยให้นักเรียนถกเถียงกันอย่างอิสระ แต่ก็มีวิธีต้อนให้คิดต่ออย่างมีเหตุผลของดีแลนด์ด้วย
จอห์น – เพื่อนสนิทของเจย์เด็นบอกว่า ตอนพักเที่ยงเด็กนักเรียนแห่กันไปซื้อหนังสือของดีแลนด์ที่ร้านหนังสือประจำโรงเรียน จนแคชเชียร์ต้องเอาป้ายมาติดไว้ข้างหน้าว่าหนังสือหมดแล้ว
อ่า..และน่าเสียดายที่ห้องพักครูของคุณไบรอนไม่เคยว่างเลยแฮะ :(
ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายชวนเจย์เด็นและจอห์นมานั่งทานข้าวท่ี่ห้องพักครูในวันถัดมาล่ะก็นะ :)
“ถ้างั้นคุณก็ไม่ค่อยได้อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งเลยน่ะสิ?”
เพียงแค่สิบนาที – นั่นคือเวลาทั้งหมดที่ผู้ชายทั้งสองคนนี้สนิทกัน
เจย์เด็นมองภาพที่รูมเมทของเขาพูดคุยอย่างออกรสเรื่องงานวรรณกรรมกับดีแลนด์ ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะชอบงานเขียนประเภทเดียวกัน นั่นยังไม่รวมถึงนักดนตรีคนโปรด หรือคอนเสิร์ตที่ไปดูล่าสุดอีก
มันน่าแปลกที่ผู้ชายสองคนที่ให้บรรยากาศแตกต่างกัน กลับมีนิสัยที่ชอบอะไรๆเหมือนกัน
“ทั้งสองคนน่ะ กินข้าวไปคุยไปก็ได้ ไม่เสียมารยาทหรอก"
เจ้าของผมบลอนด์พูดขึ้นเมื่อเขารับประทานอาหารเย็นจนหมดแล้ว จะเหลือก็แต่ผู้ชายสองคนที่วางช้อนลงแล้วค่อยคุยกันอย่างออกรส จนกับข้าวเย็นหมดแล้วนั่นแหละ
“มี Apple crumble อยู่ข้างตู้หนังสือน่ะ"
ดีแลนด์ชี้ไปที่ของโปรดของเจย์เด็นก่อนจะหันมาถกคำถามเชิงปรัชญากับจอห์นต่อ มันเป็นคำถามประเภทที่เจย์เด็นจัดอยู่ในประเภทปัญหาโลกแตก
“แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าการมีอยู่ของความรักที่เราหมายถึงมันมีน้ำหนักเท่ากับของอีกฝ่ายหรือเปล่า"
“มันไม่จำเป็นต้องเท่ากันนี่จอห์น – มันไม่มีวันเท่ากันอยู่แล้ว การมีอยู่ของปัจเจกบุคคลน่าจะเป็นคำตอบที่ดีพอแล้ว"
“ถ้ามันไม่เท่ากัน – สมมติว่าฝั่งคุณไบรอนมีน้ำหนักมากกว่า รู้ทั้งรู้คุณจะยังรักเขาต่อไปหรอครับ?”
“แล้วปกติคุณจะวัดน้ำหนักของความรักตอนไหนจอห์น? – ตอนที่คุณรักไปแล้วหรือก่อนจะรัก คุณจะสนใจน้ำหนักพวกนั้นไหม ถ้าคุณไม่รักเขาก่อน"
เจย์เด็นขยับหัวตามจังหวะเพลงแจ๊ซที่ถูกเปิดคลออยู่ในห้อง เขาไม่ได้สนใจที่ทั้งสองคนพูดนัก เพราะมันเป็นการถกถึงปัญหาที่ร่างบางมีคำตอบในใจอยู่แล้ว
ถึงจะทำเหมือนไม่สนใจ เจย์เด็นก็รับรู้ว่าว่าประเด็นของจอห์น – ถูกตอกกลับมาทุกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มนิ่มๆนั่น แต่รูมเมทเขากลับไม่มีปัญหากับการกระทำนั้น ตรงกันข้ามอีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมาด้วยความประทับใจ ทั้งยังตบมือเสียงดังไม่หยุดจนเจย์เด็นต้องเดินไปตบหัวอีกฝ่าย ข้อหารบกวนการฟังเพลงแทน
“คุณไบรอนครับ"
เจย์เด็นกลับมานั่งคั่นกลางระหว่างทั้งสองคนเหมือนเดิม เขาเลิกคิ้วขึ้นเมื่อพบว่าเพื่อนสนิทเปลี่ยนมาแสดงสีหน้าที่เรียบนิ่ง
“หืม?”
แม้แต่ดีแลนด์ก็อดเกร็งตามเจย์เด็นไปด้วยไม่ได้ เสียงของไวโอลินที่ถูกสีอย่างไพเราะถูกเล่นคลอไปด้วย ห้องทำงานที่มีกลิ่นของดีแลนด์เต็มไปหมด ทั้งๆที่อีกฝ่ายพึ่งมาใช้ห้องๆนี้ได้เพียงแค่สองวัน – กลิ่นของชิการ์ เทียนหอม กาแฟ และหนังสือ
“คุณจะว่าอะไรไหม...”
“ครับ?”
“ถ้าผม – "
“?”
“จะขอให้คุณเซ็นต์หนังสือให้อีกเล่ม"
เด็กเกรดสิบสามอีกคนถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างแรง เขาจำได้ว่าเมื่อวานจอห์นก็ให้อีกฝ่ายเซ็นต์หนังสือให้หลังคาบบ่าย
แล้วนี่คือภารกิจให้ดีแลนด์ ไบรอนเซ็นต์หนังสือครบสิบสี่เล่ม – ตลอดสองอาทิตย์นี้เลยหรือไง?
“ฮ่าๆ ได้สิ ให้เขียนจ่าหน้าว่าอะไรดี เล่มนี้"
และให้ตายสิ ตลอดสองอาทิตย์นั้น
เจย์เด็นก็พบว่าสิ่งที่เขาคิดเล่นๆน่ะ – เพื่อนเขาทำมันจริงๆ
แต่มันก็เป็นช่วงเวลาสองอาทิตย์ที่เจย์เด็นค่อนข้างมีความสุขมากๆ ท้องฟ้าที่มีกลางคืนมากกว่ากลางวันในหน้าหนาวไม่ได้ทำให้เจย์เด็นรู้สึกเศร้าเท่าเดิมอีกแล้ว
ไม่สิ พวกเขาทั้งสามคนต่างหากที่มีความสุขไปด้วยกัน พวกเราสนิทกันขึ้นและค่อนข้างไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย จนเพื่อนๆในห้องต่างสงสัยและอิจฉาจอห์น – มันไม่แปลกถ้าน้องเขยอย่างเขาจะสนิทกับพี่เขยถึงขนาดไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ
ไหนจะคอลเลคชั่นหนังสือสิบสี่เล่มพร้อมลายเซ็นต์นั่นอีกที่จอห์นชอบเอาไปอวดกับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คุณลุงโทมัส – ยามหน้าโรงเรียน
เรื่องปกติอีกอย่างคือเจย์เด็นมีรูมเมทเพิ่มมาอีกหนึ่งคน –
ดีแลนด์ ไบรอนมักจะมานอนที่ห้องของพวกเขามากกว่าห้องพักพิเศษที่ทางโรงเรียนจัดให้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรมากนอกจากขีดเขียนไอเดียที่อยู่ในหัว อ่านวรรณกรรมเล่มใหม่ หรือตรวจการบ้านนักเรียน
ส่วนเด็กเกรดสิบสามอีกสองคนก็ทำการบ้านและอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาลัย (โดยได้รับเกียรติจากคุณไบรอนมาติวให้ในบางวิชา)
สวนหญ้าหน้าหอพักเป็นที่ๆพวกเขาสามคนมักจะไปนอนดูดาวและถกปัญหาเรื่องต่างๆในชีวิต ทั้งเรื่องไร้สาระและก็เรื่องที่ทำได้แค่แอบคิดในใจ
การแลกเปลี่ยนประสบการณ์แปลกๆเจือจางความรู้สึกแปลกหน้าจนหมด มันเป็นเหมือนกับการอ่านหนังสือชีวประวัติของใครซักคน – ที่เรากำลังจะรับคนๆนั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
เจย์เด็นจำได้ดี – ว่าคืนวันที่สามจอห์นร้องเพลงที่คุณพ่อของอีกฝ่ายร้องตอนของคุณแม่แต่งงาน เสียงอีกฝ่ายไม่ได้แย่อย่างที่คิด ถ้าไม่ติดว่าเจ้ายักษ์นั่นเรอออกมาระหว่างเพลงล่ะก็นะ
และวันนั้นก็เป็นครั้งแรกที่เจย์เด็นพึ่งรู้ว่าเสียงของดีแลนด์ ไบรอน มันงดงามพอๆกับดนตรีที่อีกฝ่ายเล่น เสียงหวานๆแต่ก็เต็มไปด้วยความเข้มแข็งนั่นยังคงก้องอยู่ในใจเจย์เด็น
มันเป็นน้ำเสียงที่ทำให้เขาอยากขอพร –
หากเจย์เด็นสามารถทำให้อะไรบางอย่างกลายเป็นความนิรันดรได้
สิ่งนั่นคือเสียงร้องเพลงของดีแลนด์ ไบรอน
ที่มาพร้อมกับนัยน์ตาสีเทาที่สวยกว่าผลึกแก้วและสเก็ดดาว
คืนวันที่สี่ – เป็นวันที่ดีแลนด์พาพวกเราไปยังสวนลับที่อีกฝ่ายบอกว่ามีเพียงนักเรียนไม่ถึงร้อยคนที่รู้จักสถานที่แห่งนี้ มันเป็นสวนเล็กๆที่อยู่ข้างหลังพุ่มไม้ขนาดใหญ่ตรงโบสถ์ประจำโรงเรียน
เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความลับ –
ความลับที่จะไม่มีใครแพร่งพรายมันออกไปจนกว่าชั่วชีวิตจะหาไม่
จอห์นบอกว่ามันเป็นเหมือนสวนลับที่คุณปู่ของเขาสร้างขึ้นเพื่อเพื่อนสนิทที่ต้องเจ็บปวดเพราะ shell shock จากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มันเป็นสถานที่โปรดในความทรงจำของคุณปู่ และเพราะแบบนั้นจอห์นจึงเชื่อว่าที่นี่จะเป็นสถานที่ที่พวกเขาจะไม่มีวันลืมเหมือนกัน
และก็คืนที่เจ็ด – วันที่หิมะแรกของปีตกลงมา
เจ้าของกลุ่มผมสีเดียวกับรัตติกาลได้เห็นสิ่งที่เขาไม่ควรเห็น
เช่นเดียวกับคืนที่สิบสาม – วันที่หิมะยังคงตกลงมา
เจ้าของกลุ่มผมสีควันบุหรี่ได้เห็นสิ่งที่เขาไม่ควรเห็น
แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหา
เพราะพวกเขาได้คำตอบจากการถกปัญหากันในวันที่สองไปแล้ว
*
“คุณฟิทซ์เฮอร์เบิท มีผู้ปกครองมารอพบหน้าโรงเรียนครับ"
เจย์เด็นทำหน้างงๆใส่คนคุมหอ เขาไม่แน่ใจว่ามีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า ทำไมผู้ปกครองถึงมาพบเขากระทันหันโดยไม่ได้โทรมาแจ้งที่โรงเรียนทิ้งไว้ก่อน เขาโบกมือให้รูมเมทกลับขึ้นไปรอที่ห้องก่อน แล้วจึงเดินออกไปนอกโรงเรียนอย่างไม่รีบร้อนนัก
ฤดูหนาวเป็นฤดูที่เจย์เด็นชอบก็จริง แต่นั่นหมายถึงการที่ได้นั่งมองหิมะหรือฝนตกลงมาจากเตียงในห้อง – ไม่ใช่การเดินต้านท้าลมหนาวออกมาแบบนี้ ระยะทางจากตัวหอมาหน้าโรงเรียนทำให้ผิวขาวๆเริ่มเปลี่ยนแป็นสีแดง ริมฝีปากสีพีชนั่นสั่นนิดหน่อย เพราะลืมใส่ผ้าพันคอออกมาด้วย
เสียงพูดคุยกันที่เริ่มเข้ามาในโสทประสาททำให้เจย์เด็นยิ้มออกมา เจ้าของรถสีดำสนิทส่งยิ้มมาให้เขาก่อนจะรีบก้าวเท้าออกมาหา
“ทำไมไม่ใส่ผ้าพันคอออกมาด้วยล่ะ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก"
พูดขณะถอดผ้าพันคอสีดำสนิทของตัวเองออกมาพันรอบคอระหงศ์ไว้ พวกเขาสบตากันชั่ววินาทีหนึ่ง ก่อนจะถอนสายตาออกจากกัน
“เห้อ เจย์"
ตามด้วยพี่สาวคนสวยที่ถอดหมวกไหมพรมออกมาสวมให้เขา ดึงตัวหมวกให้ลงมาปิดถึงใบหูที่เริ่มแดงเพราะความหนาว ภาพของผู้หญิงตรงหน้าเป็นเหมือนภาพสะท้อนของเจย์เด็น ใบหน้าสวยราวกับตุ๊กตาที่น่าทนุถนอมนั่นมองเข้ามานัยน์ตาเจย์เด็นด้วยความรัก –
ใช่ มันอาจจะเป็นความรักอีกรูปแบบนึง
“ที่บ้านมีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“อ๋า ไม่มีอะไรหรอก แต่พี่เห็นว่ามีวันหยุดตั้งสามวันน่ะ"
“ลิลเลยจะชวนเจย์ไปเที่ยวน่ะ เห็นเคยบ่นๆว่าอยากไป Edinburgh นี่นา"
คนถูกตามใจพยักหน้าขึ้นลงอย่างใช้ความคิด ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ไปเที่ยวกันสองคนก็เถอะ จะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายเล่นมาดักถึงหน้าโรงเรียนแล้ว ใจจริงเขาก็อยากไป ถ้าไม่ติดว่า –
“แต่เจย์มีนัดไปเที่ยวกับเพื่อนแล้วอ่ะ"
“ก็ชวนไปด้วยกันซี่ – น่า เราไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันนานแล้วนะเจย์"
เสียงหวานของลิลลี่ดังขึ้นอย่างออดอ้อน จริงๆทุกอย่างตอนนี้มันก็ดีมากอยู่แล้ว – เขาไม่อยากไปทำให้แก้วมันร้าวเสียเปล่าๆ
แต่ท่าทางคงเลี่ยงไม่ได้อีกแล้วล่ะ
“แน่ใจหรอลิล – ว่าให้เพื่อนผมไปด้วยได้?”
เจย์เด็นก้มลงไปมองลิลลี่ด้วยหางตา เขาไม่ได้อยากทำให้พี่สาวต้องรู้สึกเจ็บปวดไปมากกว่าตอนนี้ มันเป็นความจริงที่เจย์เด็นทั้งรักทั้งเกลียดลิลลี่
“อื้อ แน่นอนซี่ – ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?”
ผมสีบลอนด์นั่นปลิวไปตามกระแสสายลม นัยน์ตาสีฟ้าสวยเปล่งประกายกว่าเมื่อหลายปีก่อนนัก แพขนตายาวกระพริบขึ้นลงช้าๆ ริมฝีปากสวยนั่นเปลี่ยนมาทาลิปสติกที่มีสีสดขึ้น แต่เสื้อโค้ทสีครีมตัวยาวทำให้อีกฝ่ายยังคงดูอ่อนหวานเหมือนเดิม
“งั้นเจย์ไปตามเพื่อนก่อนนะ"
ลิลลี่กับดีแลนด์มองตามคนที่สดใสอยู่เสมอวิ่งกลับเข้าไปในตัวโรงเรียน ดีแลนด์เลือกที่จะยืนพิงไปกับตัวรถ เพราะแสงแดดที่ส่องลงมาตรงๆทำให้ร่างกายรู้สึกอบอุ่นมากกว่าฮีทเตอร์ในรถ
หญิงสาวเอนตัวพิงไปกับอกแกร่งของสามี ภาพของคู่หญิงชายที่ดูเหมาะสมราวกับภาพวาดที่ถูกเขียนออกมาเพื่อเป็นการเติมเต็มของกันและกัน เธอกอดแขนข้างซ้ายของคนรักไว้ราวกับต้องการที่ยึดเหนี่ยว –
และตอนนี้เธอก็มีที่ดีแลนด์ ไบรอนเป็นที่ยึดเหนี่ยว – คนที่พึ่งพาได้ มีชื่อเสียง และเป็นที่รัก
หลังจากผ่านไปซักพักเจย์เด็นก็วิ่งเหยาะๆกลับมาพร้อมรอยยิ้ม ลิลลี่ขมวดคิ้วเมื่อพบว่าน้องตัวเองเดินกลับมาตัวเปล่า
“เจย์ แล้วกระ – "
เสียงหวานหยุดชะงักลงกระทันหันเมื่อพบว่ามีใครอีกคนเดินมาพร้อมกับเจย์เด็น ใครบางคนที่สูงกว่าน้องชายของเธอหลายเซ็นต์ คนที่แม้จะสันโดษ แต่ก็โดดเด่นท่ามกลางฝูงคนเสมอ
“นี่จอห์น รูมเมทผมเอง"
มือเรียวผายมือไปยังผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ เจ้าของผมสีดำสนิทกับใบหน้าที่ได้สัดส่วนและดูดีราวกับดารา ความสูงและร่างกายที่มีไหล่หนาสมชายราตรีทำให้การใส่เสื้อสูทของโรงเรียน ดูกลายเป็นเสื้อโค้ทแบบแฟชั่นจ๋า นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบเทานั่นยังสวยและเปล่งประกายเหมือนเดิม
“สวัสดีครับ ผมเป็นเพื่อนสนิทเจย์เด็น"
คนที่เติมโตขึ้นอย่างดี – ใบหน้าที่มีเค้าของโครงหน้าตอนเด็กทำให้การจดจำอีกฝ่ายได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นไม่ใช่เรื่องยาก
ใบหน้าเล็กๆที่มีคิ้วหนา นัยน์ตาสวยที่มักจะอ่อนลงเมื่อต้องแสง จมูกโด่งที่รับกันได้ดีกับเครื่องหน้าทั้งหมด ริมฝีปากหนาที่มักจะยกยิ้มเสมอเมื่อพบเจอผู้คน สันกรามที่ชันเจนกว่าตอนเด็กทำให้ใบหน้าทั้งหมดดูคมคายและเท่ขึ้นกว่าเดิมยิ่งนัก
“John de Clifford”
คนที่เจย์เด็นไม่เคยตั้งใจให้เข้ามาอยู่ในแผนการ –
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ – คุณไบรอน คุณนายไบรอน :)”
รักแรกของลิลลี่ –
คนที่โชคชะตาเหวี่ยงเข้ามาในโลกของเจย์เด็นเอง
คนที่ยืนยันว่ามันเป็นความตั้งใจของตัวเองทั้งหมด
TBC
Please comment or tag #SFaMilRaindrops
Talk: มาร่วมกันเวลคั่มและหอมหัวคุณชายหล่าแห่งตระกูล de Clifford กันค่ะ *&*//
นามสกุลพี่เขามาตั้งแต่ตอนแรก จนทุกคนน่าจะลืมไปแร้วว ;___;
ฟามบาปหนาคือให้คุณขาเป็นทั้งพี่เขย ทั้งคุณครู นาร๊กกเรียกพิแร้ว .__.
ปล. มีคนถามว่าเราจะรวมเล่มช็อตฟิคไหม เราเลยจะมาลองซาวด์เสียงดูค่ะ (ถ้าไม่ถึงขั้นต่ำที่สำนักพิมพ์รับคงไม่พิมพ์ฮับ)
- ตัวหนังสือเราคิดว่าคงไม่เกิน400-450หน้า ไม่งั้นมันจะหนาไป เพราะงั้นคิดว่าคงใส่ทุกเรื่องที่ลงในเว็บไม่ได้ แต่ที่แน่ๆเราคิดว่าจะใส่ vodka, (os)Reading Dream, Jaeden, อมกว(?) (จริงๆอาจจะเปิดโหวตอีกที) + special/os ที่ไม่มีในเว็บ
- คิดว่าอาจจะรีไรท์บางเรื่องด้วยค่ะ คงไม่ใช่แค่พรู้ฟ ฮืออ
- ทั้งนี้ทั้งนั้น เรายังไม่คิดไปไกล(กว่านี้) แฮ่ ขอดูจำนวนคนที่คิดว่าจะซื้อก่อนนะคะ (ขอความมั่นใจซัก 80%นะคะ .__.)
- สำหรับคนที่สนใจ ไปจิ้มโพลในแท็ก #SFaMilRaindrops ได้เลยค่ะ (ถ้าอยากให้ใส่เรื่องไหนลงไปก็เมนชั่น/คอมเม้นในเด็กดีได้เลยคับ) ;___;
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ละจอนอ่ะ จอนมาแบบ คุนชายของช้านนนนนนนน ชอบความเราสองสาม(สี่)คนนี้ จอนจ๋า พ่อคุณทูลหัว เทอมาดีใช่ไหม ระแวงไปหมด 555555
สนับสนุนไรท์ไปนานๆ
รัก
ปล.ถ้ารวมเล่มซื้อแน่นอนค่า อยากให้รวมมากเลย เชียร์นะคะขอให้ยอดถึงงง สาธุ