ตอนที่ 11 : [os] Vanilla Latte
[os] Vanilla Latte
Doyoung x Jaehyun
12,544 words
BG Music – Perhaps Love ; Eric Nam & Cheeze
https://www.youtube.com/watch?v=VyT8V96Gn5s
“True love has a habit
of coming back”
- Anonymous
*
จองแจฮยอนยืนอยู่ตรงนี้มาสิบนาทีแล้ว
การข้ามถนนยังเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับคนที่ผ่านประสบการณ์เลวร้ายอย่างเขาอยู่
เสื้อสเวตเตอร์สีชมพูกับกางเกงยีนส์ขายาวสีขาวและกระเป๋าเป้สีดำทำให้เขาดูโดดเด่นจากผู้คนในย่านบริษัท ที่มีมนุษย์เงินเดือนเดินสวนกันควักไขว่ การแต่งตัวของคนตัวขาวบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขายังเป็นนักศึกษา
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่หรอก เพราะช่วงเวลาเร่งด่วนแบบนี้น่ะ ไม่มีใครคิดจะสนใจเรื่องเล็กๆน้อยนั่นหรอก
ท้องฟ้าสีครึ้มทำให้นักศึกษาปีหนึ่งต้องถอนหายใจออกมา แจฮยอนชอบฝน แต่มันต้องไม่ตกตอนที่เขากำลังมีเฝือกตรงมือขวา และเจ้าของสเวตเตอร์สีชมพูไม่ได้ถือร่มมา เพราะงั้นเขาจึงทำได้แค่ดึงหมวกสเวตเตอร์มาคลุมรอบหัวแทน
“ข้ามก็ข้ามวะ"
เจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มนั่นสูดหายใจเข้าลึกๆ ราวกับว่าเจ้าตัวต้องใช้ความกล้าทั้งหมดในการเดินข้ามถนนบนทางม้าลาย…
ใช่ ทางม้าล้าย และไฟเขียวสำหรับคนข้ามถนน
แพทเทิร์นนี้เลยที่เขาเคยโดนรถเข้ามาชนจังๆ
“เอ้า เดิน"
เสียงทุ้มๆปนหวานนั่นราวกับว่ากำลังร้องเพลงอะไรซักอย่างอยู่ มันดังขึ้นพร้อมกับสัมผัสที่เสื้อสเวตเตอร์ตัวเก่ง กลิ่นโคโลญจ์เย็นๆนั่นลอยมาพร้อมกับกลิ่นดินที่สายฝนนำพามา
เสี้ยวใบหน้าด้านข้างที่โชว์สันจมูกหล่อๆ ริมฝีปากที่ไม่ได้บ่งบอกความยินดียินร้ายอะไร รับกันได้ดีกับผมสีม่วงเข้มๆที่โดดเด่นนั่น กับดวงตาที่แปลก..
มันแปลกจนแจฮยอนเลิกสนใจความหวาดกลัวที่มีต่อถนน แล้วมาพักสายตาที่ใบหน้าด้านข้างของคนแปลกหน้าแทน
“ต้องข้ามถนนตรงไหนอีกไหม?”
พวกเขาเดินมาหยุดที่ร้านกาแฟตรงหัวมุมถนน คนๆนั้นปล่อยมือที่เคยจับแขนเสื้อสเวตเตอร์สีชมพู ฝนที่เริ่มลงเม็ดทำให้ผู้ใหญ่ใจดีคนนั้นดึงหมวกแก๊ปสีดำทรงแฟชั่นออก ก่อนจะทาบมันลงกับเฝือกด้านขวาเขา เป็นเชิงบอกให้เขาเอาหมวกใบนี้กันไม่ให้เฝือกที่ใส่อยู่่โดนน้ำโดยตรง
“ไม่แล้วครับ"
ผมสีม่วงเริ่มลู่ไปตามกรอบหน้าคมๆนั่น แต่แจฮยอนก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายดูดีน้อยลงเลย
ให้ตายสิ… ฝนตกหนักจนเขาใจสั่นไปหมดแล้ว
ไหนจะคนใจดีหน้าตายตรงหน้าอีก คนที่เป็นแค่คนแปลกหน้า
“ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณมากจริงๆ"
แต่ใส่ใจพอที่จะเดินมาให้ความช่วยเหลือ
“อื้อ ไม่เป็นไร"
เด็กมหาลัยมองตามแผ่นหลังที่สวมเสื้อสเวตเตอร์สีเทา ก่อนจะยิ้มออกมา แรงสั่นของมือถือทำให้เขาต้องละสายตาจากอีกฝ่าย ชื่อที่โชว์ขึ้นมาบนจอทำให้แจฮยอนยิ้มออกมากว้างกว่าเดิม
“ครับ ผมข้ามมารออีกฝั่งแล้วฮะ"
ใช่ แจฮยอนเป็นคนบอกพี่ชายเองว่าเขาจะข้ามถนนมารอฝั่งตรงกันข้าม เพราะถ้าให้อีกฝ่ายไปกลับรถมาเพื่อรับเขาน่ะ อีกสองชั่วโมงก็คงยังไม่ถึงบ้าน
จริงๆแล้วแจฮยอนก็แค่อยากให้ทุกคนในบ้านสบายใจขึ้น ถึงแม้ว่าพอลองทำจริงๆแล้วมันจะค่อนข้างน่ากลัวกว่าที่คิดไว้
แต่อย่างน้อยวันนี้ก็มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นน่า :)
*
언제였던 건지 기억나지 않아
자꾸 내 머리가 너로 어지럽던 시작
(ฉันจำไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน
ฉันคอยแต่คิดถึงเรื่องของคุณ)
ที่เก่า เวลาเดิม เพิ่มเติมคือจองแจฮยอนมีทริคใหม่แล้ว
“เดี๋ยวผมพาข้ามนะครับ คุณยาย"
แจฮยอนส่งยิ้มให้้คุณยายที่ เอ่อ..ก็ดูสุขภาพดี เขายื่นมือข้างมือไปให้อีกฝ่าย และท่านก็ยื่นแขนมาคล้องโดยไม่ได้พูดอะไรมาก
“ขอบคุณนะพ่อหนุ่ม"
ท่านเอ่ยขอบคุณเมื่อพวกเราเดินมาถึงอีกฝั่งแล้ว คนผิวขาวส่งยิ้มกลับไปด้วยความสดใส พวกเราเดินหันหลังให้กันอย่างที่ควรจะเป็น ถ้าไม่ติดว่า..
“ฉลาดขึ้นเยอะเลยหนิ"
เสียงที่ได้ยินไม่กี่ครั้ง แต่จังหวะการแบ่งวรรค ไหนจะเสียงขึ้นลงๆที่ต่างจากคนทั่วไปทำให้แจฮยอนเดาได้ไม่ยากเลยว่าอีกฝ่ายคือใคร
“ถ้ารอให้คนมาช่วยผมคงไม่ได้ข้ามอ่ะ"
แจฮยอนอดไม่ได้ที่จะหันไปต่อปากต่อคำกับคนที่เคยให้ความช่วยเหลือเขาไว้ ก็หน้ากวนๆที่ไม่บอกอารมณ์อะไรนั่น กับนัยน์ตาที่มองลงมาราวกับจะสบประมาททุกคนที่ขวางหน้านั่นน่ะ มันน่าหมั่นไส้น้อยซะที่ไหน
“อื้อ ก็คนแบบผมมีหน่ึงในล้านอ่ะนะ"
“เหอะ!”
พวกเราเดินไปพร้อมกัน หมายถึงว่าไม่มีใครเดินตามกัน แต่แค่เดินไปทางเดียวกันน่ะ..
ไม่สิ
เสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นเพราะพวกเขาผลักประตูเข้าไปพร้อมกัน ไหนจะกลิ่นกาแฟที่ลอยมานั่นอีก..
อ่า..ให้ตายเถอะ
แจฮยอนเงยหน้าไปมองคนข้างๆ และเขาก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองลงมาเหมือนกัน คิ้วที่ขมวดนั่นแปลได้ว่าอีกฝ่ายกำลังสงสัย .. ไม่สิ คงคิดว่าฝ่ายเค้าเป็นคนเดินตามเข้ามาสินะ
“จงฮยอนฮยอง / จงฮยอน"
พับผ่าสิ แล้วก็เป็นทั้งเขาทั้งคนๆนั้นอีกนั่นแหละ ที่อยากจะโชว์ว่าไม่ได้เดินตามใครมาทั้งนั้น นี่ร้านโปรดพวกเขาเอง เนี่ยรู้จักชื่อเจ้าของร้านด้วย!
“เอาเหมือนเดิมฮะ / เหมือนเดิมนะ"
พี่จงฮยอนเจ้าของร้านควบตำแหน่งบาริสต้าหัวเราะออกมา ภาพตรงหน้าของผู้ชายที่ตัวสูงพอๆกัน แต่คนละวัยหันมามองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใครน่ะ มันทั้งตลกทั้งน่ารักอย่างบอกไม่ถูก
“โอเค ไอซ์วานิลลาลาเต้ สองแก้วนะ"
“ง่า...”
แจฮยอนอดจะส่งเสียงออกมาไม่ได้ เมื่อพบว่าคนข้างๆสั่งเครื่องดื่มแบบเดียวกับเขาเป๊ะๆ
“ว่าไงเรา? จะเปลี่ยนหรือเปล่า"
พี่จงฮยอนถามออกมายิ้มๆ พลางมองปฏิกิริยาพองแก้มน่ารักๆจากตัวโมจิเดินได้(ที่มินฮยอนแฟนเขาเป็นคนช่วยตั้งฉายาให้เจ้าเด็กน่ารักนี่)
“ไม่ค้าบบบ ผมไม่เปลี่ยนหรอกฮะ!”
พอพองแก้มเสร็จก็ล้วงกระเป๋าส่งบัตรเครดิตไปให้
“ไอซ์วานิลลาลาเต้ หนึ่งแก้ว 6000 วอนน้า"
“สองแก้วเลยครับ"
ทันทีที่เอ่ยประโยคนั้นเสร็จ แจฮยอนก็พบว่ามันทำให้ทั้งคนตรงแคชเชียร์และคนข้างๆเขาค่อนข้างตกใจ มือเรียวที่สวยกว่ามือผู้หญิงหลายๆคนยกขึ้นมาเกาเส้นผมสีทองสว่างอย่างแก้เก้อ
“ก็ตอบแทนคราวที่แล้ว อ่า .. ที่คุณช่วยผมไว้"
“อ๋า ขอบคุณนะ"
เขาไม่ได้ตอบปฏิเสธออกไป เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงคิดดีแล้วถึงยื่นข้อเสนอนี้มา อีกอย่างถ้าปฏิเสธไม่ให้อีกฝ่ายเลี้ยง เด็กมหาลัยข้างๆนี่คงเสียเซลฟ์น่าดู
“เด็กดี เดินไปชิมเค้กข้างหลังครัวซี่ มินฮยอนพึ่งอบเสร็จเลย รอเรามาชิมให้อยู่"
จงฮยอนหัวเราะออกมา เมื่อเด็กที่เต็มไปด้วยความสดใสนั่นวิ่งอ้อมเคาน์เตอร์พนักงานเข้าไปหลังครัวไปแล้ว ทิ้งไว้ทั้งบัตรเครดิต ทั้งผู้ใหญ่ที่เดินเข้ามาด้วยกัน
“เดี๋ยวนี้ดงยองมาเร็วขึ้นนะ"
จงฮยอนพูดออกมาลอยๆ ทั้งๆที่มือยังคงกดเครื่องบดกาแฟอยู่ ไอร้อนที่กระทบกับกาแฟขั้วอ่อนส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณหน้าแคชเชียร์
“บางทีนายก็น่ากลัวเกินไปนะ จงฮยอน"
คนที่ถูกพูดเสียดสีใส่ยักไหล่เบาๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก และในขณะที่ดงยองกำลังเดินไปนั่งที่มุมโปรดของเขา เสียงแหบๆของเพื่อนสนิทก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“จองแจฮยอน บริหารปีสอง ม.โซล บ้านอยู่ถัดไปอีกสี่บล็อก"
ให้ตายสิ … ที่เค้าบอกว่าคิมจงฮยอนเป็นพระโพธิสัตว์นี่ท่าจะจริง
รู้ไปหมด ... รู้ทุกเรื่องบนโลกใบนี้
“มาบ้างไม่มาบ้าง ถ้ามาก็ช่วงบ่ายสามถึงหกโมง อยู่ไม่เกินสี่ทุ่ม"
อ่า… พอได้ยินประโยคนั้นโดยองก็รู้สึกราวกับเจ็ทแล็คขึ้นมา
“เออๆ เดี๋ยวจะเขียนฉากหลักเป็นร้านมึง"
จริงๆดงยองก็ไม่อยากมาทำการแลกเปลี่ยนอะไรแบบนี้หรอก เพราะจริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะถามออกไป
และให้ตายสิ… มีใครเคยบอกไหมว่าเวลาเจ้าของร้านยกยิ้มแบบนั้นน่ะ มันหลอนขนาดไหน …
มันคือสตอร์เบอร์รี่ช็อทเค้กประมาณสองปอนด์
ใช่...โดยองเงยหน้าจากโน๊ตบุ๊คตัวเองขึ้นมามองมนุษย์โมจิที่วันนี้สวมสเวตเตอร์สีเหลืองกำลังกินเค้กทั้งปอนด์อย่างไม่เดือดร้อนอะไร เขาอดทึ่งกับภาพตรงหน้าไม่ได้จริงๆ
การจ้วงเค้กอย่างดุเดือดจนแก้มที่ดูนุ่มนิ่มนั่นแทบไม่มีเวลาพักหายใจ กองชีทหนาๆที่กองรวมกันแล้วก็ยังไม่สูงเท่าตัวเค้กก้อนนั้น
“คุณอยากกินด้วยหรอ?”
แพขนตาหนาๆพร้อมนัยน์ตาโตๆนั่นเงยหน้าขึ้นมามองดงยองเป็นครั้งแรก หลังจากที่เวลาผ่านมาเกือบสิบนาที คนอายุมากกว่าส่ายหน้าก่อนจะทำมือให้อีกคนก้มลงไปกินเค้กต่อตามสบาย
ภาพตรงหน้าทำให้เขาเลิกสงสัยแล้วว่าทำไมเดี๋ยวนี้มินฮยอนไม่มาขอให้เขาช่วยชิมเค้กสูตรใหม่
한 두 번씩 떠오르던 생각
자꾸 늘어가서 조금 당황스러운 이 마음
(มันเริ่มจากทีละครั้งสองครั้ง
และมันก็เพิ่มมากขึ้นจนทำให้ใจนั้นสับสน)
*
ผ่านไปสองอาทิตย์แล้วที่แจฮยอนได้เจอกับคุณคนแปลกหน้าคนนั้น ที่ตอนนี้คงเรียกว่าคนแปลกหน้าไม่ได้อีกแล้ว- คนแปลกหน้าที่มาพาเขาข้ามถนนทุกวันน่ะ
จริงๆแล้วแจฮยอนก็เคยได้ยินเรื่องการเจอกันบ่อยๆ การพบกันที่ถี่เกินความจำเป็น
อ๋าา… ที่คนทั่วไปเรียกว่าพรหมลิขิตน่ะแหละ
แต่มันก็น่าขนลุกไปหน่อยถ้าจะใช้คำๆนั้นมาอธิบายปรากฏการณ์ที่อีกฝ่ายแค่บังเอิญมาเจอเวลาที่เขากำลังข้ามถนนพอดี
วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่แจฮยอนจะเอาตัวมาหมกไว้ที่ร้านคาเฟ่ตลอดวัน วิชาสุดท้ายที่เขาต้องสอบน่ะ เป็นวิชาที่หินมากจนคนที่อ่านหนังสือเตรียมมาก่อนตลอดอย่างเขายังอยากยกธงยอมแพ้
“ฮยอง เอาเหมือนเดิม แต่เพิ่มอีกสองช็อตเลยค้าบบบ"
สเวตเตอร์สีฟ้าอ่อนตัวโปรดเป็นสิ่งที่เขาเลือกจะใส่เอาฤกษ์เอาชัยในคืนวันก่อนสอบ แจฮยอนพาดมือไปจนเต็มเคาน์เตอร์หน้าแคชเชียร์ ก่อนจะแนบหน้าลงไปบนแขนอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“ไหวไหมเรา?”
ทันทีที่มีคนถามประเด็นอ่อนไหวออกมา ก้อนโมจิประจำร้านก็ทำหน้าราวกับจะร้องไห้ออกมา
“ม่ายหวายแล้นค้าบบบบ พี่จงฮยอนผมแบบคิดว่าเข้าใจแล้วนะตอนเรียนอ่ะ แต่พอเพื่อนถามมาคำถามนึงวันนี้ปุ๊ป ผมแบบ ไม่รู้ต้องเริ่มอ่านตรงไหนเลยอ่ะ มันเป็นฟีลลิ่งที่หดหู่มากๆอ่ะพี่เข้าใจป่ะ"
“เฮ่ะ เฮ่ะ เข้าใจซี่"
เด็กยิ้มง่ายเปลี่ยนมาหัวเราะทันทีที่ได้ยินเสียงหัวเราะแปลกๆประจำตัวพี่เจ้าของร้าน เขาขยับตัวไถไปกับเคาน์เตอร์ ปล่อยให้คนอายุมากกว่าลูบหัวเขาเพลินๆ
“แต่พยายามอีกนิดซี่ อย่าพึ่งท้อ ถ้าได้คะแนนดีเดี๋ยวพี่ให้มินฮยอนทำเค้กรสโปรดเราเลย"
“เค้กหน้าไหนก็ได้หรอคับบบ?”
“อื้อ อยากใส่อะไรบ้างก็บอก เดี๋ยวพี่จะทำให้มันออกมากินได้เอง ฮ่าๆ"
ก้อนโมจิเด้งตัวขึ้นมาด้วยความเร็ว ทันทีที่ฮยองคนโปรดของเขาปรากฏตัวออกมา พร้อมกับประโยคที่น่าฟังที่สุดในโลกนั่นอีก แจฮยอนรักเวลาที่พวกเขา สามฮยอนอยู่ด้วยกันที่ซู๊ดดดเลย!
“ฮยองงงง รอทำเค้กได้เลยคับบบบ"
เสียงถอนหายใจดังขึ้นใกล้ๆ- ไม่สิ ข้างๆเลยนี่นา และน่ันทำให้เด็กบริหารจำได้ว่าเขาไม่ได้เดินเข้ามาในร้านคนเดียวนี่นา
“ลืมไปเลยนะว่าก็เดินเข้ามาด้วยกันเนี่ย"
“คุณนักเขียน!!!”
ใช่ ผู้ชายลึกลับที่พาเขาข้ามถนน แล้วก็มานั่งปักหลักทำงานที่ร้านกาแฟน่ะเป็นนักเขียน ดังมากหรือเปล่าอันนี้เขาไม่เคยถาม แต่ถ้าจะให้เดาจากเสื้อกับนาฬิกาที่ใส่นี่คงจะดังมากอยู่
หรือไม่ก็เป็นนักเขียนไส้แห้ง แต่เผอิญพ่อแม่รวยไปหน่อย(?)
จริงๆตอนแรกที่รู้ความจริงข้อนี้ มันทำให้ภาพลักษณ์เกี่ยวกับนักเขียนของแจฮยอนค่อนข้างเปลี่ยนไป ก็นักเขียนสำหรับเขานะ คงเป็นคนที่ค่อนข้างปล่อยตัว ไม่แต่งตัว ใส่เสื้อยืดย้วยๆ นั่งพิมพ์งานก๊อกแก๊กพลางเกาตูดที่บ้านไรงี้
แต่คุณนักเขียนตรงหน้านี่สิ แต่งตัวเหมือนจะไปเที่ยว ทั้งๆที่จริงๆแล้วแค่มานั่งพิมพ์งานในคาเฟ่ ไหนจะผมสีม่วงสะดุดตานั่นอีก ถ้าไม่บอกเขาคงนึกว่าคงเป็นพวกคนในวงการ
“สั่งเสร็จแล้วก็จ่ายตังสิ ผมจะได้สั่งต่อ"
“ได้ๆๆ เก๊กเข้าไปเลยนะ เกร็งหน้าจนตีนกาขึ้นหมดแล้วอ่ะ"
คนที่ถูกคนอายุน้อยกว่าด่า หันมามองอีกคนตาขวาง แต่นั่นก็ทำอะไรมาสคอตประจำร้านไม่ได้ อีกฝ่ายเพียงแค่หยักไหล่ ก่อนจะหยิบเงินออกมาจ่ายค่าเครื่องดื่มของตัวเอง
“แจฮยอนอ่า"
เสียงทุ้มๆของมินฮยอน ฮยองคนโปรด ทำให้คนที่กำลังแลบลิ้นใส่คนขี้เก๊กข้างๆ เลิกแกล้งคนแก่แล้วหันมาตั้งใจฟังแทน
“อย่าแกล้งดงยองสิครับ"
ดงยองรู้สึกแปลกๆเมื่อเห็นเด็กที่วันนี้สวมสเวตเตอร์สีดำมาหูลู่หางตกทันทีที่ถูกฮยองคนโปรดดุ ริมฝีปากนั่นเปะลงอย่างเอาแต่ใจ
“ดุไป เด็กมันก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก"
“คุณ!!!!”
แค่ลองแหย่กลับอีกรอบนี่มันทำให้คนเราเปลี่ยนเร็วขนาดนั้นเลยหรอ? อาการสลดที่มีชีวิตอยู่ไม่ถึงหนึ่งนาทีนั่นคืออะไรกัน
อ่า.. ไม่น่าเผลอเป็นห่วงเลยแฮะ
“เชอะะะ" แจฮยอนเหล่มองคนขี้ีเก๊กที่กำลังหยิบบัตรเครดิตออกจากกระเป๋า
“ว่าแต่พรุ่งนี้เราสอบวิชาอะไรล่ะ?” เป็นพี่มินฮยอนที่ทำให้คนตัวขาวหายหงุดหงิดอีกแล้ว
“ญี่ปุ่นหนึ่งค้าบบ ผมลงเป็นเลือกเสรีอ่ะ"
“งั้นวันนี้ก็ไปนั่งกับดงยองสิ"
“พี่อยากให้ผมอาละวาดจนร้านพังหรอ"
“อ๋าา น่าเสียดายจังน้าาา ดงยองสอบผ่าน N1* แล้วด้วยน้าา”
*N1 = ระดับสูงสุดของการวัดระดับทางภาษาญี่ปุ่น
ใบหน้าน่ารักนั่นเริ่มแสดงความลังเลออกมา และในขณะที่คนตัวขาวกำลังกัดริมฝีปากอย่างใช้ความคิด
“จะมานั่งด้วยก็นั่ง ไม่ได้ว่า"
พูดจบก็โยนเครื่องรับสัญญาณมาให้โดยไม่ได้บอกอะไรก่อน
“รอเอาเครื่องดื่มให้ด้วย"
แล้วก็เดินสะบัดก้นไปแบบนั้นเลย..ให้ตายสิ
ถ้าอาละวาดจนร้านพัง แจฮยอนจะโดนฮยองสองคนนั้นโกรธมากไหมนะ?
별일이 아닐 수 있다고 사소한 마음이라고
내가 내게 자꾸 말을 하는 게 어색한걸
(มันคงไม่มีอะไรและคงไม่สำคัญ
ทุกครั้งที่ฉันคุยกับคุณ มันรู้สึกเขินอายทุกครั้ง)
โหด..
ตอนแรกแจฮยอนคิดว่าคนนักเขียนคนนี้ดูเป็นคนสบายๆ แต่มันไม่ใช่เลย
ถึงอีกฝ่ายจะไม่หงุดหงิดเวลาเขาถาม (แต่ก็ต้องรอจังหวะให้คนๆนั้นหยุดรัวแป้นพิมพ์ก่อนอ่ะนะ)
“อย่ายุกยิกสิ ตั้งใจไว้"
ตามนั้นแหละ พอถูกสอนเรื่องที่ไม่เข้าใจแล้ว มันเหมือนกับแจฮยอนถูกติดสัญญาณอะไรบางอย่างไว้ แบบที่ว่าพอขยับนิดเดียวก็จะถูกสายตาดุๆนั่นตวัดขึ้นมามอง
“นี่"
แจฮยอนนั่งขัดสมาธิ วางแขนทั้งสองข้างไว้บนหน้าขา เอนตัวลงพลางวางหน้าลงบนมืออีกที
“อื้อ?”
ตอบรับทั้งๆที่ไม่เงยหน้าขึ้นมามองคนฟังนี่มันดูถูกเกินไปแล้วนะ!
“คุณเขียนนิยายแนวไหนอ่ะ?”
“เรื่องสั้น กับเรื่องยาว"
ให้ตายสิ.. คนผิวขาวกำหมัดแน่นพลางมองคนกวนตีนหน้าตาย ที่ตอนนี้ยักยิ้มอย่างมีความสุข ..
“ไม่ใช่แบบนี้ดิคุณ"
“เอาจริงๆก็เขียนไปเรื่อยอ่ะ ผมไม่ชอบเขียนอะไรเดิมๆ"
“แล้วไม่มีแนวไหนที่ถนัดหรอ?”
“เรื่องสั้น"
“คุณดังป่ะ"
“ดังพอที่นักเรียนเอกวรรณคดีทุกคนน่าจะรู้จักผม"
พอได้คำตอบแบบนั้นคนเด็กกว่าก็เลิกเท้าข้าง ให้ความสนใจคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทันที เจ้าของเสื้อฮู้ดสีท้องฟ้าพิงตัวลงบนโซฟา หยิบมือถือขึ้นมาเล่นด้วยความเบื่อหน่าย ปากก็เปะให้กับความหลงตัวเองอย่างไม่มีที่สุดนั่น
“คุณนามสกุลอะไรอ่ะ"
“คิม"
ผิดคาดแหะที่อีกฝ่ายให้คำตอบมาง่ายๆแบบนี้ แต่ก็ดีแล้ว เพราะแจฮยอนขี้เกียจใช้พลังในการเถียงอีกฝ่าย นิ้วเรียวกดเข้าไปที่แอพพลิเคชั่นสีเขียวยอดฮิตของประเทศ เขาพิมพ์ชื่ออีกฝ่ายลงบนช่องค้นหาอย่างไม่คิดอะไรมาก
“เชี่ยยยยยย"
เผลอหลุดคำสบถออกมา เมื่อผลการค้นหาขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าที่ช่วงนี้เขาเห็นเกือบทุกวัน
ใครจะไปคิดว่าผู้ชายที่โคตรกวนตีนคนนี้จะเป็นนักเขียนชื่อดังจริงๆ แจฮยอนเผลอกลืนน้ำลายเมื่อเขาเลื่อนไปเจอจำนวนยอดขายของหนังสือทั้งหมด ไหนจะลิสท์รางวัลที่ได้รับทั้งจากในและนอกประเทศนั่นอีก
“ถ้าไม่อ่านต่อแล้วก็กลับไปนอนสิ"
เสียงดุๆนั่นดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่แจฮยอนใช้เวลาสิบกว่านาทีในการอ่านประวัติอันยาวพรืดของนักเขียนชื่อดัง(ก็ได้วะ)
“คุณอายุ 27 แล้วหรอ?”
“ใช่" คุณนักเขียนเลิกคิ้วขึ้น "คุณเสิร์ชชื่อผม?”
“อื้อ"
“แล้วสรุปจะอ่านต่อหรือเปล่าหนังสืออ่ะ"
“อ่านค้าบบบบ แค่ขอพักสายตาหน่อย"
“งั้นก็คุยกัน"
“หืม?”
“แต่เป็นภาษาญี่ปุ่นนะ"
ชิบหาย..
ทำไมวันนี้มาแปลกวะ?
“โหยยย"
“ถ้าพูดญี่ปุ่น จะให้ถามอะไรก็ได้"
ข้อเสนอที่อีกฝ่ายเสนอมามันน่าสนใจจนทำให้เขาอดลังเลไม่ได้
”準備?(พร้อมนะ)”
“อื้อ"
"好きな小説家?(นักเขียนท่ีชอบ?)”
”Hemingway"
”あなたはお金持ちですか? (คุณเป็นคนรวยหรอ)”
“もちろん (แน่นอนอยู่แล้ว)”
”โหยยย ถ่อมตัวบ้างดิ"
“อ่ะ จบเกม"
แจฮยอนมองคนหลงตัวเองก้มลงไปพิมพ์งานต่อ เขาตัดสินใจเสียบหูฟังและก้มลงไปคัดคันจิต่อบ้าง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ รู้ตัวอีกทีก็มีแก้วมัคที่มีนมร้อนมาวางตรงหน้า
“ดื่มซะแล้วกลับไปนอน"
เจ้าของสเวตเตอร์สีดำพยักหน้าทั้งๆที่ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่ นัยน์ตาที่เคยโต ตอนนี้หรี่ลงแบบที่แทบจะมองไม่เห็นอะไรแล้ว
“ขอบคุณครับ"
ดงยองมองคนอายุน้อยกว่าที่ใช้มือ(ที่ถูกเสื้อกินมือไปกว่าครึ่ง) ทำให้นิ้วเรียวนั่นโผล่พ้นออกมาให้เห็นแค่ข้อแรกเท่านั้น
เมื่อดื่มเสร็จอีกฝ่ายก็ค่อยๆเก็บของลงกระเป๋าเป้อย่างเชื่องช้า
“ผมไปก่อนนะครับ ขอบคุณมากๆที่ติวให้"
“อื้อ ไม่เป็นไร"
ดงยองมองภาพของเด็กที่สวมสเวตเตอร์ตัวโคร่ง หน้าม้ายาวๆที่ดูน่ารำคาญนั่น กับกรอบแว่นสีดำสนิทอีก ไหนนัยน์ตาที่ปรือเพราะความง่วงนั่นอีก
มันทำให้เขาตัดสินใจพูดบางอย่างออกไปโดยแทบไม่ต้องคิดอะไร
“ไปสิ เดี๋ยวพี่เดินไปส่ง"
คนที่กำลังหันหลังให้ได้แต่หยุดชะงัก พยักหน้าให้อีกฝ่าย ทั้งๆที่แก้มกำลังขึ้นสี
“ขอบคุณครับ"
โชคดีชะมัดที่แจฮยอนยังไม่ได้บอกให้พี่เซอุนออกมารับ
왜 이제야 들리죠 우
서로를 만나기 위해 이제야 사랑 찾았다고
(ทำไมฉันถึงพึ่งได้ยินนะ
ตั้งแต่ที่เราพบกัน ฉันก็ได้พบกับความรัก)
อากาศข้างนอกในตอนกลางดึกค่อนข้างหนาว จนทำให้แจฮยอนเลือกที่จะเอามือเข้าไปซุกในกระเป๋าเสื้อ พวกเขาเดินข้างกันเงียบๆ- และนั่นทำให้คนตัวขาวอยากจะบ้าตาย เพราะมันไม่ใช่บรรยากาศแบบปกติ
อย่างน้อยก็ระหว่างเขากับคุณนักเขียน
หรือเพราะพวกเราไม่ได้อยู่ในร้านพี่จงฮยอน เลยทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก
“จำพวกคำช่วยดีๆก็พอ ที่เหลือแจฮยอนคล่องแล้ว"
ลมเย็นๆพวกนี้มันทำให้คนอ่อนโยนลงได้ขนาดนี้เลยหรอ?
“อื้อ ขอบคุณครับ"
แล้วก็กลับมาเงียบ พวกเขาเดินผ่านมาหนึ่งบล็อคถนนแล้ว
“ครัวซองก์ร้านนี้อร่อย"
ดงยองหันไปมองป้ายร้านขนมปังฝรั่งเศสก่อนจะจำชื่อมันไว้ เขาไม่แปลกใจกับการที่อีกฝ่ายพูดอะไรแรนด้อมแบบนี้ออกมาหรอก การอ่านใจคนจากสีหน้าและการกระทำไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนักเขียนชื่อดังแบบเขาหรอก
“พรุ่งนี้ก็สอบเสร็จหมดแล้วสิ"
“อื้อ"
คุณนักเขียนยิ้มออกมา เมื่อเขาลอบเห็นว่าเด็กน้อยคนนั้นกำลังกัดปากอย่างใช้ความคิด จริงๆแล้วดงยองก็ไม่อยากจะกดดันอีกฝ่ายหรอก
“พรุ่งนี้พี่ก็ไม่ต้องรอพาเราข้ามถนนแล้ว"
“อื้อ"
แต่ทำไงได้ ในเมื่อวันนี้เป็นวันแรกที่เขาเห็นเด็กคนนี้ใส่แว่น .. แล้วมันก็ค่อนข้างน่ารักเกินไปจนเขาอดจะแกล้งอีกฝ่ายไม่ได้
“พรุ่งนี้ก็ไม่ได้สั่งวานิลาลาเต้ด้วยกันแล้วสิ"
“อื้อ"
ผู้ใหญ่ขี้แกล้งพยายามกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ เมื่อเขาพบว่าคนข้างๆก้าวขาช้าลง โอเค เราผ่านบล็อกถนนที่สองแล้ว เหลือเพียงอีกสองบล็อกเท่านั้น
“งั้นวันนี้คงได้เจอกันวันสุดท้ายแล้ว"
“อื้อ"
ดงยองไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาก็แค่ใช้ความเงียบเป็นเครื่องมือในการกดดันเด็กน้อยที่น่าสงสารต่อไป พวกเขาเดินผ่านอีกสองบล็อกถนน โดยไม่ได้พูดอะไรอีก จนกระทั่งคนตัวขาวเดินมาหยุดที่หน้าอพาทเม้นท์หลังหนึ่ง
อพาร์ทเม้้นที่อยู่ห่างจากอพาร์ทเม้นของเขาไปแค่สี่ตึกน่ะ ;)
“โชคดีนะแจฮยอน"
“...”
“ถ้าข้ามไม่ไหว ก็รอพาคนแก่ข้ามแบบคราวนั้น"
“..”
“อย่าดื้อให้มากล่ะเรา"
พูดจบก็ส่งมือหนาไปขยี้กลุ่มผมสวยนั่นอย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนจะหันหลังกลับไปทางที่เคยเดินผ่านมา
“คุณนักเขียน"
สัมผัสที่ดึงเสื้อเขาไว้ทำให้ดงยองหันกลับไปมองเด็กแสบ ที่ตอนนี้กำลังก้มหน้างุดๆจนเขามองเห็นสีหน้าอีกฝ่ายได้ไม่ชัดเจน
“หืม?”
“พรุ่งนี้...”
“ครับ?”
“แจฮยอนขอไปนั่งด้วยได้ไหม"
지금 내 마음을 설명하려 해도
네가 내가 되어 맘을 느끼는 방법뿐인데
(ตอนนี้ ถ้าฉันอธิบายความรู้สึก
คุณคงจะเข้าใจ)
ช้อนตาขึ้นมามองแบบนี้ทั้งๆที่กำลังกัดปากอยู่นี่มัน…
“สอบเสร็จแล้วนี่นา..?”
คำพูดเป็นเชิงปฏิเสธนั่นทำให้เด็กน้อยก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม
“ก็ใช่...”
คุณนักเขียนเกือบเผลอหัวเราะออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าทั้งจงฮยอนทั้งมินฮยอนน่ะ ต่างเตือนเขาว่าแจฮยอนเป็นเด็กดื้อ เอาแต่ใจแค่ไหน ซึ่งมันตรงข้ามกับภาพที่เขากำลังเห็นตอนนี้ชัดๆ
“จะไปร้านกาแฟทำไม หืม?”
“ก็...”
“ก็?”
ถ้าจองแจฮยอนเงยหน้าขึ้นมาตอนนี้ บรรยากาศต้องพังแน่ๆ เพราะว่าคุณนักเขียนกำลังยิ้มกริ่มแบบที่เจ้าเล่ห์มากๆ
“ผมอยากเจอคุณ"
ดงยองหัวเราะออกมาเมื่อการกดดันเด็กน้อยตรงหน้าประสบผลสำเร็จ แต่นั่นก็ทำให้เด็กน้อยที่อุตส่าห์พูดความในใจออกไปต้องเงยหน้าขึ้นมามองค้อนคนที่หัวเราะหลังจากที่เขาพูดประโยคบ้าๆนั่นออกไป
“หึ่ย!”
มองค้อนไม่พอยังส่งเสียงไม่พอใจ ทั้งยังกระทืบเท้าแรงๆก่อนจะเดินหันกลับไป
แต่คนตัวขาวก็หยุดเดิน เพราะสัมผัสอุ่นๆตรงแผ่นหลัง และรอบเอว
แจฮยอนไม่อยากจะยอมรับหรอกนะ ว่าแบ็คฮัคของคุณนัักเขียนมันค่อนข้างอบอุ่นกว่าที่คิด และให้ตายสิ .. เขาพึ่งสังเกตุว่าตัวเองวิ่งมาหยุดตรงต้นไม้ที่กำลังออกดอกสวย
… คุณนักเขียนเจ้าเล่ห์นั่นคงไม่ได้วางแผนทั้งหมดนี้ไว้ใช่ไหม? ในเมื่อสถานที่และบรรยากาศทุกอย่างมันเป็นใจขนาดนี้?
“จะไปร้านกาแฟทำไมล่ะ"
“นี่! คุณนักเขียน ถ้าจะปฏิเสธแล้วจะมากอดเราทำไม"
“ฟังให้จบก่อนซี่"
“...”
“เนี่ย สอบเสร็จแล้วพี่ดงยองก็จะพาน้องแจฮยอนไปกินข้าวฉลองแทนไงครับ"
เขาอยากจะวิ่งไปบอกจงฮยอนกับมินฮยอนตอนนี้ชะมัด
ว่าการอยู่กับแจฮยอนน่ะไม่ได้ทำให้ดงยองเหนื่อยเลย...ในเมื่อเขารู้จักวิธีปราบเด็กแซบคนนี้ :)
อ่า..จริงๆดงยองควรจะดึงอีกฝ่ายให้หันมากอดกันดีๆมากกว่าแฮะ
กอดจากข้างหลังแบบนี้ทำให้เขาอดเห็นแก้มแดงๆ แถมยังอดจิ้มแก้มที่ดูท่าจะนุ่มนั่นอีก :(
이미 난 니 안에 있는 걸 내 안에 니가 있듯이
우린 서로에게 이미 길들여 진지 몰라
(ฉันอยู่ในใจคุณแล้ว เหมือนคุณก็อยู่ในใจของฉัน
เราจะเข้ากันได้รึเปล่านะ)
อ่า..
ไม่สิ หลังจากนี้เขาคงมีโอกาสทำอะไรกับแก้มโมจินั่นอีกหลายแบบ ;)
Plz comment or tag #SFaMilRaindrops
Talk : เป็นวันช็อตที่มะมีอะไรเลย ฮื่อออ
อยากจะแต่งอะไรที่เบาสมอง ตรงข้ามกับชีวิตช่วงนี้บั่งง
แต่มะค่อยถนัดแนวนี้เลย ถ้ามันแปร่งๆ...กะมองข้ามมันไปก่อนนะคะ (เราขอเวลาฝึกปรือ;-;)
เอ็นจอยรีดดิ้ง&กู๊ดไนท์นะค้าบบ ;___;
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

นุ้งน่ารักน่าแกล้งมาก ยิ่งตอนโดนคุนเค้าแกล้งกดดัน////?//// นุ้งเหมือนแมวเด็กง้องแง้งไปเรย แง ชอบค่ะ ชอบมากๆๆๆๆ