ตอนที่ 1 : [os] Reading Dream
[os] Reading Dream
Doyoung x Jaehyun
First Published: 2 April, 2017
Rewrite: 6 Jan, 2021
#SFaMilRaindrops
“Never love a wild thing…
If you let yourself love a wild thing.
You'll end up looking at the sky.”
– Truman Capote, Breakfast at Tiffany's
*
การมาถึงของฤดูฝน ไม่ใช่อะไรที่คิมโดยองเฝ้ารอ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาเกลียดเช่นกัน
นั่นก็เพราะโดยองไม่เคยชอบฤดูไหนเลย
โดยองยิ้มได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขากำลังมีความสุข
โดยองสอบได้ที่หนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาชอบเรียนหนังสือ
โดยองเป็นแฟนกับใครสักคน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้โดยองเข้าใจคำว่า 'รัก' ที่ใครหลายคนใฝ่ฝันถึงได้มากนัก
ถึงโดยองจะไม่เข้าใจเหตุผล รวมถึงการกระทำของคนบนโลกนี้เสียเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยเขาก็ฉลาดพอที่จะไม่ฝืนทำสิ่งที่เขาไม่อยากทำ
ฝนที่ตกโปรยปรายลงมาไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเดินกลับคอนโดของโดยองแต่อย่างใด เพราะเขามีหมวกแก๊ปที่เปรียบเสมือนของคู่กายประจำฤดูนี้ติดตัวอยู่เสมอ คิมโดยองไม่ชอบถือร่ม เพราะเขารู้สึกว่ามันเป็นภาระและเกะกะ ใช่ – นิสัยเสียของโดยองถูกถ่ายทอดออกมาสู่ทุกอย่าง แม้แต่สิ่งของที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตก็ด้วย
“ฮ่าๆ นี่เราแค่ให้นมนายเอง ไม่ต้องเดินตามมาก็ได้"
เสียงใสๆ ที่มีประกายความสุขติดมาด้วยลอยมาจากที่ไหนสักแห่ง เสียงนั่นมันก้องกังวานพอที่จะทำให้ขายาวๆ ของโดยองเดินตามเสียงนั้นไป – เป็นข้ออ้างที่แย่ชะมัด แต่ผลลัพธ์มันก็ไม่ได้แย่เหมือนข้ออ้างนั้นหรอก
“เอางั้นเหรอ งั้น…ไปอยู่กับเราไหม? เราทำกับข้าวเก่งนะ!"
เขาเป็นผู้ชายที่ผิวขาวมาก ขาวอมชมพูทั้งตัวราวกับลูกพีชที่ค่อยๆ แย้มตัวลงให้เชยชมตัดกับชุดนักเรียนสีเหลืองของโรงเรียนดังได้เป็นอย่างดี โดยองค่อนข้างประหลาดใจกับรูปลักษณ์คุณหนูสุดๆ ที่ไม่เข้ากับสถานที่โกโรโกโสเช่นโกดังแห่งนี้เสียเท่าไหร่ โอเค – อีกฝ่ายอาจจะแค่วิ่งเข้ามาหลบฝน แต่ผิวขาวสุขภาพดีที่ตัดกับผมสีดำสนิทนั่นช่างเปล่งประกาย ราวกับหิมะที่ต้องแสงจันทร์ทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์ ไหนจะริมฝีปากสีชมพูที่วาดยิ้มกว้างเมื่อเจ้าแมวจรจัดนั่นเอาแต่คลอเคลียอีกฝ่ายไม่หยุด
ไม่รู้ทำไม แต่โดยองรู้สึกว่าเขาเห็นแมวตัวนั้นเป็นตัวเองในอดีต ใช่ โดยองรู้สึกราวกับว่าตัวเองไม่สามารถกลมกลืนไปกับที่ไหนได้เลย ไม่เคยเจอคนหรือสถานที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นสบายใจ
แต่อย่างน้อยตอนนี้เจ้าแมวนั่นก็เจอสถานที่ที่เป็นของตัวเองแล้วล่ะนะ
“อ๊ะ คุณก็เข้ามาหลบฝนเหรอครับ?”
เสียงที่ดูเหมาะกับรูปลักษณ์ภายนอกของอีกฝ่ายดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้มันดังขึ้นเพื่อโดยอง
“อื้อ"
ตอบไปอย่างนั้นทั้งๆ ที่หมวกใบเก่งก็ยังทำหน้าที่ของมันได้ดีเหมือนเดิม บทสนทนาถูกตัดจบอย่างรวดเร็ว ด้วยนิสัยที่แข็งทื่อของโดยอง แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ – ทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เพราะคนคนนั้นที่ส่องสว่างกว่าเดิมในวันที่ท้องฟ้าอยากหลบซ่อนตัวเองเอาไว้หลังกลุ่มเมฆมหึมา
“ผมมีร่มนะ เดินไปที่ป้ายรถเมล์ด้วยกันไหมครับ?”
เด็กผู้ชายคนนั้นลุกขึ้นยืน ความสูงของอีกฝ่ายไม่ได้แตกต่างจากตัวโดยองมาก แต่ลำตัว – ผมหมายถึงเอวของอีกฝ่ายดูบางกว่ามาก มือสีขาวอมชมพูนั่นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดตามความหนาวของอุณหภูมิที่ลดลง แต่รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้ายังไม่จางลง
“อ่า ขอบคุณครับ"
การเรียนมหาลัยมาสามปีไม่ได้ทำให้โดยองต่อบทสนทนากับเด็กมัธยมตรงหน้าได้เก่งขึ้นเลย การเป็นนักร้องนำของวงดนตรีประจำคณะก็ด้วย
“แต่ว่า….” อีกฝ่ายคลี่ยิ้มด้วยท่าทางเขินอาย นัยน์ตากลมโตนั้นเต็มไปด้วยความลังเลใจ “คุณช่วยถือร่มให้ผมได้ไหมครับคือว่าผมต้องอุ้มเจ้าแมวนี่ด้วย แล้วคือมือมั...”
“ได้สิ"
โดยองยิ้มกลับ แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นรอยยิ้มที่สมบูรณ์แบบเท่ารอยยิ้มของคนตรงหน้าหรือเปล่า
“ขอบคุณครั...”
“แต่ช่วยใส่ถุงมือนี่แทนหน่อยได้ไหม พี่ใส่แล้วอึดอัดน่ะ"
คิมโดยองย่นระยะห่างระหว่างพวกเขาลงเล็กน้อย มือที่เย็นเฉียบนั่นถอดถุงมืออย่างรีบๆ ก่อนจะยื่นไปให้อีกฝ่าย ทั้งๆ ที่เด็กมัธยมตรงหน้ายังไม่ทันตอบอะไรสักคำ แจฮยอนเงียบไปก่อน จะยิ้มออกมาจนเห็นเขี้ยว
“คุณนี่ตลกดีนะฮะ"
เขาหัวเราะอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่ผมอยากจะได้ยินในทุกๆ เช้า โดยองส่งถุงมือหนังสีดำนั่นโดยจับเพียงแค่ส่วนปลาย เพื่อให้อีกฝ่ายไม่สัมผัสกับมือที่เริ่มมีอุณหภูมิต่ำลงของเขาได้ เด็กมัธยมพยายามใส่ถุงมือทั้งๆ ที่มือทั้งสองข้างยังอุ้มแมวตัวนั้นอยู่ มันเป็นภาพที่ค่อนข้างทุลักทุเล แต่โดยองก็ไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วย อ่า – ผมไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อภาพเคลื่อนไหวตรงหน้ามันสบายตาเกินกว่าจะเข้าไปขัดจริงๆ
จองยุนโอ – นั่นคือชื่อของเขา
เป็นครั้งแรกที่โดยองรู้สึกขอบคุณแมวจรจัดตัวนั้นกระโดดลงพื้น จนทำให้ผมเห็นป้ายชื่อของยุนโอได้ เมื่อเด็กนักเรียนสามารถจัดการแมวตัวนั้นได้ ยุนโอหันมายิ้ม ก่อนจะกวักมือเรียกให้ผมเข้าไปอยู่ในร่ม ทั้งๆ ที่ตอนนี้เราก็ยังอยู่ในตัวอาคาร ผมยื่นมือเข้าไปจับร่มมาถือแทนเขา และในจังหวะที่เราจะก้าวออกจากตัวอาคารยุนโอก็หยุดเดิน ส่งรอยยิ้มเกรงใจที่ชวนให้หัวใจเต้นรัวกว่าเดิม
“คุณมีหูฟังไหมอ่ะ ผมคิดว่าถ้าฟังเพลงไปด้วยมันคงจะดีมาก.."
“อื้อ มีสิ"
โดยองขอบคุณเพื่อนสนิทที่ลืมหูฟังไว้ในกล่องดินสอ เขาตวัดกระเป๋าสะพายมาแนบลำตัว ใช้มือขวาคุ้ยหาของในนั้น โดยไม่ยอมปล่อยร่มที่ถืออยู่ลง ทั้งๆ ที่ตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่ได้เดินออกไปนอกตัวอาคาร
“ขอบคุณครับ"
“อยากฟังเพลงอะไร?”
ให้ตายสิ ถึงเขาจะเด็กกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะพูดห้วนๆ ใส่ได้นี่นา คิดได้แล้วก็อยากจะเขกหัวตัวเองสักสิบครั้ง
“อืมม… เพลงเกี่ยวกับฝนครับ ฮ่าๆ "
อีกแล้ว เขาหัวเราะอีกแล้ว รอยยิ้มที่อีกฝ่ายครอบครองไว้น่ะขี้โกงเกินไปแล้ว ทำไมรอยยิ้มของคนคนหนึ่งถึงทำให้สายรุ้งปรากฏในอาคารที่กำลังถูกห่าฝนซัดใส่ได้กันนะ?
“อ่ะ"
ผมยื่นสายหูฟังไปให้เขา แต่อีกฝ่ายกลับส่งสายตาไปยังมือทั้งสองข้างที่ไม่ว่างของตัวเอง เป็นเชิงบอกให้โดยองช่วย ผมขยับตัวเข้าไปด้วยไปหน้าเรียบเฉย มันก็แค่เรื่องปกติ ผมมีประสบการณ์การเดทมามากพอแล้ว ผมได้แต่คิดแบบนั้น จนถึงวินาทีที่โดยองกำลังใส่หูฟังให้ยุนโอ
มันเหมือนกับไฟช็อต ความรู้สึกที่ทั้งใจเต้นและน่าขนลุก –
มันคือเรื่องที่แปลกใหม่สำหรับคิมโดยอง
“ชอบไหม"
ผมเอ่ยออกไปทันทีที่หูฟังเล่นเพลงตามหน้าที่ของมัน ยุนโอไม่ได้ยิ้ม เพียงแค่ยักคิ้วกลับมา พวกเราเดินไปด้วยกันพร้อมกับเสียงฝนที่ดังคลออยู่ในหู พร้อมกับเสียงของหยาดฝนที่กระทบกับพื้นผิว ยังดังไม่เท่าเสียงหัวใจของโดยองในตอนนี้เลย
ป้ายรถเมล์อยู่ไกลออกไปพอสมควร แต่คิมโดยองก็ยังหวังให้มันไกลกว่านี้ เขาจึงพยายามก้าวเท้าให้เล็กลงจนอีกฝ่ายต้องปรับจังหวะตาม ถึงอย่างนั้นเด็กผู้ชายข้างๆ ก็เป็นเด็กดีพอที่จะไม่ถามหาเหตุผลให้กับกระทำโง่ๆ ของเด็กมหาลัยแบบโดยอง
“โดยอง"
“หืม?”
“คิมโดยอง" เขาก้าวเท้าให้ช้าลงกว่าเดิมอีก "ชื่อของผม"
เด็กมัธยมก้าวเท้าให้เร็วขึ้นจนทำให้โดยองได้แต่สบถกับตัวเองในใจ มีแต่คนแปลกๆเท่านั้นแหละ ที่อยู่ๆก็โพล่งบอกชื่อตัวเองออกไปแบบนั้น ยุนโอคงคิดว่าเขาเป็นคนประหลาดๆแล้วแน่ๆ
“แจฮยอน"
น้ำเสียงนั้นทุ้มนุ่ม แต่ก็อ่อนโยนเหมือนเสียงเชลโล่ แพขนตานั้นกะพริบลงอย่างเชื่องช้า ด้วยท่วงท่าที่งดงามจนโดยองแทบหยุดหายใจ
“จองแจฮยอน" เด็กมัธยมหยุดเดิน "ผมอยากให้คุณเรียกชื่อนั้นมากกว่า" ก่อนจะโน้มตัวลงมาพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสที่สุดเท่าที่โดยองเคยเห็นมา
ผมยิ้มตาม เป็นวินาทีที่โดยองปลดปล่อยโซ่ตรวนที่รัดตัวเขามาตลอด
“แจฮยอน"
ผมเรียกชื่อเขาออกไปและมันก็ทำให้โดยองพบว่าการยิ้มที่สมบูรณ์แบบน่ะไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย
“ครับ? ฮ่าๆ"
เพียงแค่เขาอยู่ข้างๆแจฮยอน
โดยองกับแจฮยอนเดินทอดน่องไปตามทางเท้าที่ถูกหยาดฝนชะล้าง เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยบรรเลงอยู่ท่ามกลางสายฝนที่เริ่มซาลง
“ผมต้องไปแล้ว"
แจฮยอนหันมาบอก หันมาโบกมือลาทั้งรอยยิ้ม ก่อนจะเดินหันหลังไป โดยองยิ้มกว้าง ก่อนจะโบกมือกลับด้วยท่าทางมีพิรุธสุดๆ แต่คนอายุน้อยกว่าก็ได้แต่ทิ้งความสงสัยนั้นไว้ แล้วขึ้นไปจับจองที่นั่งบนรถเมล์อย่างอารมณ์ดี
“อ๊ะ"
เด็กมัธยมร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อหันไปพบว่าโดยองขึ้นมานั่งข้างตน
“ผมต้องไปทำธุระที่คาโรซูกิลน่ะ"
โดยองรีบออกตัวก่อนที่อีกฝ่ายจะคิดว่าเขาเป็นโรคจิต ท่าทางตื่นตูมนั้นยิ่งทำให้แจฮยอนรู้สึกสงสัยกว่าเดิม เด็กมัธยมยักคิ้วหลิ่วตาด้วยท่าทีน่ามันเขี้ยว แต่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
“โอ้ บังเอิญจัง"
โดยองหัวเราะให้กับท่าทางขี้เล่นนั่น ก่อนจะส่งหูฟังข้างเดิมกลับไปให้แจฮยอนด้วยความตื่นเต้น แจฮยอนรับหูฟังนั่นกลับแทบจะทันที ใส่หูฟังแล้วเงยหน้ามองออกไปนอกตัวรถ
“คุณจะไปเดท?”
แจฮยอนถามขึ้นมาท่ามกลางความเงียบที่กินเวลาไปเกือบนาที มันเป็นคำถามที่ค่อนข้างแปลก แต่มันก็ทำให้โดยองรู้สึกดีใจอย่างน่าประหลาด
“ก็ไม่เชิง"
“หืม?”
ความช่างสงสัยของเด็กมัธยม ไม่เคยน่ารักในสายตาของผมมาก่อน จนกระทั่งวันนี้ วันที่ผมเข้าใจว่าทำไมการฟังเพลงกับใครสักคนมันถึงพิเศษกว่าการฟังเพลงคนเดียว
“จะไปบอกเลิกน่ะ"
“ห๊ะ!”
แจฮยอนเอี้ยวตัวเข้าหาเขาทั้งตัว ใบหน้าตื่นตกใจนั่นทำให้ผมได้แต่ยิ้ม – ยิ้มอีกแล้ว ผมจำไม่ได้แล้วจริงๆว่าวันนี้ตัวเองยิ้มออกมากี่รอบแล้ว
“มันเป็นเรื่องของการโตขึ้นน่ะ"
“พี่หมายความว่ายังไงเหรอ?”
“พอนายโตขึ้น โตที่หมายความว่าเข้าใจโลกน่ะ ไม่ใช่แค่อายุเพิ่มขึ้น.."
โดยองมองผ่านแจฮยอนไปยังเม็ดฝนที่ตกลงแรงขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาสีดำสนิทราวกับกระต่ายนั้นสะท้อนเพียงแต่ภาพของท้องฟ้าที่ทอดตัวอยู่เบื้องหน้า
"..นายจะเข้าใจว่ามันมีหลายครั้งที่การกระทำจะมีเหตุผล และก็ไม่มีเหตุผลในตัวของมันเอง"
“อ่า มันค่อนข้างปรัชญาเกินไป ผมไม่ค่อยเข้าใจ"
แจฮยอนขมวดคิ้วน้อยๆ มือที่ถูกให้ความอบอุ่นด้วยถุงมือของเขาเข้ามาเขย่าร่างโปร่งด้วยความเคยชิน ริมฝีปากอวบอิ่มนั่นเปะออกทันทีเพื่อบอกว่าเขาต้องการคำอธิบายเพิ่ม
“พี่หมายความว่า มันอาจจะเป็นเหตุผลที่ดีพอสำหรับพี่ แต่กับอีกฝ่าย มันอาจจะดูไร้เหตุผลและไร้ความรับผิดชอบสิ้นดี"
“ถ้างั้นเหตุผลของพี่คืออะไรเหรอฮะ?”
คิมโดยองเงียบ ทั้งๆ ที่เหตุผลนั่นก็ถูกเรียบเรียงไว้ในหัวตั้งแต่วินาทีที่เขาก้าวเข้าไปในอาคารร้างๆ หลังนั้นแล้ว เหตุผลที่คิมโดยองไม่เคยสัมผัสและเข้าใจมันมาก่อน
“เพราะว่าวันนี้ฝนตก และพี่ก็ไม่อยากถือร่มให้เธอแล้ว"
“อ่า เป็นเหตุผลค่อนข้างใจร้ายเลยนะครับ"
แจฮยอนขบริมฝีปากอย่างครุ่นคิด และนั่นเป็นการกระทำที่น่าแปลกใจสำหรับโดยอง เขาไม่ค่อยมั่นใจว่าทำไมแจฮยอนต้องเอาเรื่องของคนที่พึ่งเจอครั้งแรกมาครุ่นคิดและเป็นกังวลขนาดนั้น
“พูดง่ายๆ คือพี่หมดรักเธอแล้ว?”
“มันไม่ใช่การหมดรัก เพราะก่อนหน้านี้มันเป็นแค่ความสัมพันธ์ที่บรรจุความรู้สึกของคนแค่ฝ่ายเดียว"
หรืออาจจะเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ได้บรรจุความรู้สึกของใครสักคนเลย เพราะตัวโดยองเองก็คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะรู้สึกเหมือนกัน เพราะพวกเขาเป็นเหมือนภาพสะท้อนของกันและกัน
“อ่า … ผมต้องลงแล้ว บ๊ายบายฮะโดยองฮยอง"
แจฮยอนจากไปแล้ว แต่ร่างโปร่งก็ไม่คิดจะเดินตามไป ทั้งๆที่ตัวเขาเองก็อาศัยอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ต์เดียวกับแจฮยอนเหมือนกัน โดยองรู้เพราะเขาเห็นคีย์การ์ดอพาร์ทเม้นท์ของแจฮยอน
และนั่นทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลาไปตามเวลานัดสาย
*
คิมฮานึลเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดในชีวิตของคิมโดยอง วันนั้นท้องฟ้าร้องไห้ให้กับความเสียใจของนางฟ้าอย่างเธอ ร้านกาแฟที่เคยเป็นสถานที่เดทแรก บัดนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นสถานที่ความรักในห้วงความทรงจำ
มันใจร้ายมาก – แม้แต่คนแบบเขาเองยังรู้สึกได้
เธอไม่ได้ถามหาเหตุผลอะไร 'สายตาของนายบอกทุกอย่างแล้ว' เธอเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม พร้อมกับบอกว่านั่นคือข้อดีของผมเหมือนกัน 'ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อฉันตกหลุมรักสายตาที่โกหกไม่ได้ของนายตั้งแต่แรกพบ' ฮานึลยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่แตกสลายเพราะผู้ชายที่ไม่เคยรักเธอกำลังจะเดินจากไป ฮานึลขอให้ผมโชคดี เธอใช้เวลาอวยพรผมมากกว่าเวลาร้องไห้เสียอีก คำอวยพรพวกนั้นครอบคลุมทุกด้านในชีวิต ราวกับจะเป็นการบอกว่าหลังจากนี้พวกเราคงจะหลุดจากวงโคจรของกันและกันตลอดกาล
และผมหวังอย่างสุดใจให้เธอได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุด หวังให้ฮานึลได้เจอเจ้าชายที่ดีพอและรักเธอสุดหัวใจ
*
การเจอกับจองแจฮยอนเป็นเหมือนการเล่นเพลงที่ถูกกดเล่นซ้ำๆ เหมือนกับนิสัยการฟังเพลงของผม เวลาชอบเพลงไหนแล้วผมก็จะกดเล่นมันซ้ำๆ เช่นเดียวกับที่ผมพาตัวเองไปเจอแจฮยอนทุกวัน
ราวกับกงล้อแห่งโชคชะตาที่ลืมหน้าที่ของมัน พึ่งจะตื่นจากห้วงนิทราอันยาวนาน
หรืออาจเป็นเพราะพวกเราเจอกันในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเข็มนาฬิกา
“โหหห ถ้าฮยองติวให้ผม ผมต้องสอบติดแน่ๆ "
มันเป็นตอนกลางคืนที่ไร้เมฆ ไร้แสงสว่างจากดวงดาวและพระจันทร์ที่วิ่งตามกลุ่มดาวของมัน แจฮยอนพูดออกมาขณะที่พวกเรากำลังกินมื้อดึกกัน ดวงตากลมโตนั้นส่องประกายและแปรเปลี่ยนเป็นเสี้ยวของพระจันทร์ที่ควรจะอยู่บนท้องฟ้า เขาหัวเราะออกมาอย่างสดใส ทอประกายให้ชายผู้ไร้ฤดูแบบผม
“เอาสิ"
ผมยิ้มก่อนจะยื่นซัมที่ห่อเสร็จแล้วให้คนกินเก่งตรงหน้า เขาไม่ได้ทำตาโตอย่างที่มักจะทำเหมือนตอนรู้จักกันแรกๆ แจฮยอนก็แค่ยักคิ้วให้ ราวกับรู้อยู่แล้วว่าผมไม่มีทางปฏิเสธข้อเสนอที่หว่านออกมาแบบซื่อๆ ของน้องได้
“ผมรู้อยู่แล้ว ว่าฮยองอยากให้ผมไปเรียนที่เดียวกัน ฮ่าๆ "
แจฮยอนห่อซัมให้ผมคืนและผมก็เห็นว่าเขาแอบใส่กระเทียมเข้าไปสามเม็ด
“ขอรางวัลหน่อย ว่าที่นักศึกษา postmodern music"
แจฮยอนยิ้ม โดยองชอบที่แจฮยอนมักจะยิ้มออกมาตลอดเวลาที่อยู่กับผม เพราะงั้นโดยองจึงทำเป็นตกหลุมกับดักที่อีกฝ่ายยื่นมา ทั้งๆ ที่กระเทียมจำนวนนั้นก็ไม่ได้ทำให้โดยองรู้สึกเผ็ดหรือแสบอะไรขนาดนั้น
เพราะยังไงมันก็คุ้มกับการที่แจฮยอนเป็นคนป้อนผมเองแบบนี้ :)
คิมโดยองไม่มีรูมเมท เขาไม่จำเป็นต้องมี แต่นั่นมันก็แค่เมื่อก่อน
ตอนนี้เด็กเตรียมเอ็นท์แทบจะย้ายมาอยู่ที่ห้องของเขา เจ้าตัวทิ้งชุดนอน ชุดเที่ยว ชุดนักเรียน ข้าวของเล็กๆ น้อยไว้ในห้องของโดยอง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะอีกฝ่ายตื่นมาซ้อมเปียโน ฟังเพลง คอมโพสนู่นนี่ แล้วก็นอนอย่างเต็มอิ่ม แจฮยอนบอกว่ามันเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถทำที่บ้านได้และโดยองก็เข้าใจดีว่ามันหมายถึงอะไร
จองแจฮยอนเป็นเด็กดีที่ไม่อยากทำให้คนรอบตัวรู้สึกไม่ดี โดยองรู้ดีว่าเวลาที่จินตนาการของเราโลดแล่น แล้วมีคนบอกให้พักหรือทำอย่างอื่นแทน มันก็เหมือนกับการชวนทะเลาะดีๆ นั่นแหละ เพราะงั้นถึงพวกเขาจะอยู่ห้องเดียวกัน แต่พวกเราก็แทบไม่เข้าไปล่วงเลยเวลาส่วนตัวของกันและกัน จะมีบ้างที่โดยองไปชี้หรือแนะนำให้อีกฝ่ายลองปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง แต่มันก็แทบจะไม่เกิดขึ้น
เพราะจองแจฮยอนเป็นเหมือนชิ้นส่วนที่สมบูรณ์แบบแล้ว…
สมบูรณ์แบบจนไม่จำเป็นต้องมีคิมโดยองเป็นส่วนเติมเต็ม
เขาไม่ได้รู้ความจริงข้อนี้ตั้งแต่แรก แต่มันก็แทบจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย
เพราะจองแจฮยอนเป็นชิ้นส่วนที่คิมโดยองตามหามาตลอด
ทั้งๆ ที่เขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังตามหาอะไร …
*
ฤดูฝน สู่ฤดูใบไม้ผลิ เข้าสู่ฤดูหนาว
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกัน แต่ทุกๆ ฤดูกลายเป็นฤดูที่ผมชอบไปแล้ว
นั่นอาจจะเพราะมีใครสักคนทำให้เขาเห็นข้อดีของทุกๆ อย่างรอบตัว
‘Can I lay by your side? Next to you, you’
มันเป็นเสียงริงโทนเสียงแรกในชีวิตของคิมโดยอง หลังจากที่ผมตั้งเป็นระบบสั่นมาตลอด สำเนียงภาษาอังกฤษที่ทำให้โดยองอยากตื่นขึ้นมาฟัง เสียงร้องของใครบางคนที่โดยองอยากได้ยินในทุกๆ เช้า มันเป็นของรางวัลที่เด็กมัธยมปลายปีสุดท้ายให้เป็นการตอบแทนจากการที่อีกฝ่ายมานั่งๆ นอนในห้องโดยองแทบทุกวัน
“ว่าไงมึง" คิมโดยองยิ้มหลังจากได้ยินประโยคที่เขาปรารถนาจะได้ยินมาตลอดหลายเดือน “โอเค ขอบคุณมาก"
เขาตัดสายทันทีหลังจากขอบคุณเพื่อนที่เขาไปวานธุระให้ ก่อนจะกดโทรออกด้วยรอยยิ้มที่แทบจะฉีกถึงหู เสื้อโค้ตสีเทาถูกใส่อย่างรีบร้อนบนแผ่นหลังกว้าง
“แจฮยอนอ่า" เสียงทุ้มน่าฟังนั่นพูดชื่อคู่สนทนาในขณะที่นิ้วชี้ก็ฉีดน้ำหอมไปด้วย
(ผมอยู่หน้าโรงเรียน กำลังเดินกลับฮะ)
“แจฮยอนรอแป๊ปหนึ่งได้ไหม เดี๋ยวพี่ไปรับ"
นิ้วมือที่สามารถมองเห็นเส้นเลือดชัดเจนนั่นเดินไปเกี่ยวกุญแจรถอย่างรีบๆ ก่อนจะรีบหยิบกระเป๋าสตางค์ใส่กระเป๋ากางเกง และรีบก้าวขายาวๆ ออกจากห้องที่กว้างเกินไป
(โอเคฮะ งั้นผมรอตรงป้ายรถเมล์นะฮะ)
“ครับ"
จองแจฮยอนต้องคิดว่าคิมโดยองเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ จากคำพูดที่เขาใช้พูดกับอีกฝ่ายตอนนี้ แต่ทำยังไงได้ในเมื่อเขาดีใจและอยากจะบอกข่าวดีนี้ให้อีกฝ่ายรู้เร็วๆ
รถสปอร์ตยี่ห้อดังไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างเต็มที่ เพราะตอนนี้ถนนต่างแออัดไปด้วยยานพาหนะจำนวนมาก จนโดยองอยากจะจอดรถของตัวเองทิ้งไว้ แล้วกลับไปเอารถดูคาติของตัวเองออกมาซิ่งรับเด็กมัธยมคนเก่งแทนให้รู้แล้วรู้รอด แต่ตอนนั้นโดยองก็ไม่ได้ทำแบบนั้น และมันกลับกลายมาเป็นความเสียใจที่แสนหวานของคิมโดยอง
ใครจะคิดกันว่ารถที่ติดไม่ถึงครึ่งชั่วโมงวันนั้นจะสามารถทำลายความฝันของเขาที่สร้างไว้ในความฝัน
ความฝันของคิมโดยองคนเดียว…
สิบห้านาทีผ่านไปกับภาพของจองแจฮยอนที่เริ่มเข้าสู่สายตา แต่โดยองก็ต้องประหลาดใจเมื่อเขาพบว่าอีกฝ่ายกำลังคุยกับใครสักคนที่ดูไม่ใช่เพื่อนในโรงเรียนหรือคนรู้จัก อาจจะฟังดูน่าเหลือเชื่อ แต่คิมโดยองรู้จักคนในชีวิตของแจฮยอนเกือบทุกคน เพราะพวกเราเปิดโลกของตัวเองให้กันและกันเข้ามาในช่วงเวลาสั้นๆ ที่แสนยาวนานในความทรงจำ
“แจฮยอนอ่า"
เขาตัดสินใจลงจากรถ เอ่ยเรียกคนที่กำลังยื่นมือไปรับนามบัตรจากชายแปลกหน้า ใบหน้าที่เขาสามารถมองเห็นทุกวันหันกลับมา ในขณะที่มือก็รับนามบัตรที่ดูหรูหรานั่น ชายแปลกหน้าหันไปพูดอะไรอีกนิดหน่อยก่อนที่จะก้มหัวแล้วเดินออกไป แจฮยอนก้มหัวให้อีกฝ่ายเช่นกัน ก่อนจะเดินมาขึ้นรถเขา
“แมวมอง?”
โดยองพูดออกไปขณะที่เท้าก็เปลี่ยนไปเหยียบคันเร่งเพื่อพาเขาและอีกฝ่ายไปสถานที่ที่คิดเอาไว้
“อื้อ เมื่อกี๊ผมร้องเพลงไปด้วย งงเลยแฮะ"
“หืม? ตรงป้ายรถเมล์?”
“อื้อ ร้องไปแค่ท่อนฮุค"
“เพลง?”
“ริงโทนของพี่ – เขาบอกว่ามาจากสามค่ายใหญ่"
“SN?”
“ถ้าตามนามบัตรที่เขาให้มาก็ใช่"
คิมโดยองอยากจะแสดงความยินดีกับอีกฝ่าย เขาอยากจะทำแบบนั้นจริงๆ ข่าวดีที่เขารีบมาบอกอีกฝ่ายคงไม่จำเป็นอีกต่อไป การสอบติดมหาลัยกลายเป็นแค่เศษฝุ่น เมื่อเทียบกับโอกาสที่อีกฝ่ายพึ่งได้รับ
โดยองรู้ เขารู้ดีว่าวันนี้จะต้องมาถึง
วันที่พระจันทร์อย่างแจฮยอนต้องกลับขึ้นไปอยู่บนฟ้า
ห่างไกลจากดาวตกที่คลานกลับขึ้นไปบนฟ้าไม่ได้แบบคิมโดยอง
“แล้วต้องเริ่มไปฝึกตั้งแต่วันไหน?”
“ยังอ่ะ ผมต้องไปเต้นให้เขาดูก่อน"
“ฮ่าๆ "
เสียงหัวเราะเฝื่อนๆ ที่เคยเป็นของเขา – มันกลับมาแล้ว ห่างหายไปเสียนานจนโดยองจำเกือบไม่ได้ว่านี่คือเสียงปกติของเขาเอง
“ผมแบบเครียดเลยอ่ะ ไม่น่าผ่านแน่ๆ พี่ว่..”
“ไปเถอะ โอกาสมันวิ่งมาหาแจฮยอนขนาดนี้"
โดยองคลี่ยิ้ม เขาพยายามจำกัดการแสดงออกทางสีหน้าของตัวเองให้คงที่ วางมือของตัวเองลงบนหลังมือของคนเป็นน้องอย่างเบามือ
“เรื่องเต้น เดี๋ยวพี่ให้เพื่อนเอกเต้นมันมาสอนเรา"
“แต่ว่า..”
“น่า ไปลองดูก่อน"
โดยองตีไฟเลี้ยวเข้าอาคารจอดรถของตึกสูงในย่านอับกูจอง เขาเดินลงไปเปิดประตูรถให้แจฮยอน ก่อนจะปล่อยให้ที่เหลือเป็นหน้าที่ของพนักงานจอดรถ
“ตอนนี้ไม่ต้องคิดอะไรเยอะเลย แค่ทำทุกอย่างที่แจฮยอนอยากทำก็พอ เพราะแจฮยอนก็รู้ว่าพี่น่ะจะไม่มีวันปล่อยให้แจฮยอนอยู่บนทางเดินที่เลือกนั้นคนเดียว"
โดยองสอดมือประสานกับมือเรียวของแจฮยอน เขาบีบมือเพื่อส่งกำลังใจให้เด็กน้อยที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมาตลอดเวลา คนเป็นพี่หัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู ก่อนจะยื่นมืออีกข้างไปลูบหัวคนเป็นน้อง
“มาฉลองกันเถอะ มีสเต๊กที่แจฮยอนชอบด้วยนะ"
แจฮยอนเดินเข้าไปนั่งในเก้าอี้ที่เขาเลื่อนให้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มจางหายไปเหลือแต่คิ้วที่ขมวดอยู่ตลอดเวลา ภาพนั้นเร่งให้โดยองพยายามยิ้มให้สวยที่สุด แต่มันก็เกือบล้มไม่เป็นท่าเมื่อเจอประโยคต่อมาของแจฮยอน
“ผมรู้ว่าตอนแรกพี่ไม่ได้จะพาผมมาฉลองเรื่องนี้"
แจฮยอนจ้องเข้ามานัยน์ตาของผม มันทำให้คนอายุมากกว่าต้องเสมองไปยังวิวของเมืองยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยตึกสูงอีกมากมาย
“นี่ไง พี่ได้ฉลองให้แจฮยอนสองเรื่องเลย"
จานสเต๊กและไวน์ถูกเสิร์ฟทันที นั่นเป็นเพราะโดยองโทรมาสั่งทุกอย่างเอาไว้แล้ว ตั้งแต่ตอนที่เขายังติดแหง็กบนถนน
“ฮยอง…”
คิมฮานึลพูดผิด – การที่เขามักจะถ่ายทอดความรู้สึกทุกอย่างผ่านดวงตาของตัวเองนั่นมันไม่ใช่เรื่องดีเลย หรืออาจเป็นเพราะจองแจฮยอนรู้จักคิมโดยองดีเกินไปกันนะ?
“มันเป็นทางที่นายควรเลือก แจฮยอนอ่า"
ไม่สิ นั่นเป็นเพราะว่าโดยองปล่อยให้แจฮยอนเข้ามาในโลกของตัวเองมากเกินไปต่างหาก
“และพี่กับแจฮยอน มันจะไม่ห่างไปมากกว่านี้"
โลกที่จะกลายเป็นที่รกร้าง ทันทีที่จองแจฮยอนเดินจากไป
“แต่เราคงไม่สามารถโคจรเข้าใกล้กันได้มากกว่านี้เหมือนกัน"
ใช่ การเป็นไอดอลมันไม่ใช่เรื่องง่าย อีกฝ่ายต้องเฝ้าระวังทุกย่างก้าว ทุกการกระทำ คำพูดและเรื่องส่วนตัว นั่นหมายความว่าแจฮยอนของเขาจะถูกจับตามองทุกขณะวินาที และเกาหลีใต้ก็เป็นเพียงแค่ประเทศกลวงๆ ที่ถูกเติมเต็มด้วยความเกลียดชังของผู้คน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่รักในการทำลายชีวิตคนอื่นผ่านอินเทอร์เน็ต
ดังนั้นคิมโดยองจึงรู้ดี – ว่าหากเขาสานต่อเจตนาที่ตัวเองเคยตั้งใจเอาไว้ มันจะทำลายรอยยิ้มของแจฮยอนอย่างสาหัส
เรื่องราวของพวกเขาจึงกลายเป็นเรื่องราวที่ไม่ควรสมหวัง
เพราะแบบนั้นเขาจึงอยากให้อีกฝ่ายกลับไปเดินบนเส้นทางที่ผู้คนคิดว่ามันเป็นเส้นทางปกติ
“โดยอง"
โดยองยิ้ม – ยิ้มเหมือนครั้งแรกที่เขาได้พบแจฮยอน
“พี่รู้ใช่ไหม"
แจฮยอนยิ้ม – ยิ้มเหมือนตัวโดยองในอดีต
“อื้อ พี่รู้ดี แจฮยอนอ่า"
และพวกเขาก็เห็นน้ำสีใสที่ไหลออกมาจากนัยน์ตาของกันและกัน
อ่า...เป็นไวน์ที่เค็มชะมัด….
*
ช่วงเปลี่ยนผ่านของเขากับแจฮยอนเป็นช่วงเวลาเดียวกัน
วันนี้คิมโดยองเซตผมขึ้น มือที่เคยประคองความรู้สึกไว้ตลอดได้โอบอุ้มช่อดอกแดนดิไลออนแสนสวยที่บรรจุของขวัญที่เต็มไปด้วยความทรงจำเอาไว้ หุ่นที่สูงและดูดีราวกับนายแบบ ไหนจะชุดและรองเท้าเข้าคู่กันราวกับชุดในงานแฟชั่นโชว์เรียกความสนใจจากกลุ่มนักเรียนผู้หญิงได้ตลอดทาง เขาเดินตรงไปใต้ต้นไฮเดรนเยียที่มีคนมุงเต็มไปหมด
การหาจองแจฮยอนไม่เคยเป็นเรื่องยาก เพราะแจฮยอนของเขามักจะถูกรุมล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย
“แจฮยอนอ่า"
เสียงทุ้มน่าฟังของคิมโดยองไม่ได้ดังมากไปกว่าเสียงนักเรียนผู้หญิงและผู้ชายที่เรียกชื่อแจฮยอนสักนิด
“พี่โดยอง!”
การที่แจฮยอนจำเสียงเขาได้ มันไม่ใช่สาเหตุที่หนักแน่นพอที่จะทำให้อีกฝ่ายหันมาทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของโดยองหรอก
“ยินดีด้วยนะครับ"
คิมโดยองยิ้ม ใช่ – เพราะโดยองเป็นคนเดียวนอกจากคนในครอบครัวที่มีสิทธิ์เรียกอีกฝ่ายว่าแจฮยอน ในขณะที่คนอื่นต้องเรียกอีกฝ่ายว่ายุนโอ
“อ่า คิดถึงจัง"
จุดพักสายตาของผู้คนทิ้งตัวลงบนอกของเขาและนั่นมันก็พิเศษมากพอที่จะทำให้คิมโดยองยิ้มกว้างออกมา มือใหญ่นั่นลูบหัวของอีกคนเบาๆ พยายามจำความรู้สึกนี้เอาไว้ให้ชัดเจนที่สุด
“แจฮยอนรู้ใช่ไหม"
คิมโดยองถามขณะที่ยื่นช่อดอกไม้และของขวัญชิ้นสุดท้ายของปีนี้ให้แจฮยอน ช่อดอกไม้ช่อใหญ่ที่ไม่อาจบรรจุเศษเสี้ยวของความรู้สึกอันหนักอึ้งของโดยอง
“เค้ารู้"
ภาพรอยยิ้มทั้งน้ำตาของแจฮยอนกลายเป็นความทรงจำที่ชัดเจนที่สุด – สวยงามและแตกสลายเหมือนตัวตนของผมที่มันเคยสมบูรณ์ในชั่วขณะหนึ่ง
“อันนี้ – พี่อยากให้นายร้องมัน ตอนที่ได้โอกาสทำโซโล่"
“ถ้าผมทำได้...พี่จะมาฟังใช่ไหม"
“แน่นอนสิ พี่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ที่นั่งแถวหน้าสุดเลย"
“โดยอง พี่ก็ต้องประสบความสำเร็จเหมือนกันนะ"
“ถ้าถึงตอนนั้น แจฮยอนคงต้องร้องแต่เพลงที่พี่แต่งแล้วล่ะ ฮ่าๆ "
“นี่..โดยอง เค้าขออะไรอย่างสิ"
“ได้ซี่"
“เพลงของพี่ – เพลงเศร้าน่ะ พี่แต่งโดยคิดถึงเค้าคนเดียวได้ไหม เค้าอยากให้พี่ทิ้งรอยเท้าของเค้าไว้ในเพลงเศร้าพวกนั้น มากกว่าเพลงรัก"
ราวกับเวลามันถูกกรอให้เร็วขึ้น ผู้คนรอบข้างไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าถูกแย่งอากาศหายใจอีกต่อไป เพราะทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับจองแจฮยอนทั้งหมด
“ได้สิ :) ”
“สมกับเป็นแฟนคลับคนแรกของผมเลย! ฮ่าๆ "
“นี่… แจฮยอน พี่ต้องไปแล้วล่ะ"
“อื้อ… รีบไปสิ เดี๋ยวตกเครื่องนะ"
ผมหยักหน้าให้แจฮยอนที่ส่งรอยยิ้มมาให้ โอบกอดเขาด้วยสายตาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินออกมาและไม่หันหลังกลับไปอีกเลย
ในวันนั้นที่เขาต้องโคจรไปไกลจากผม – จองแจฮยอน
พระจันทร์ดวงนั้นให้รางวัลแก่คิมโดยอง
เป็นรางวัลที่แจฮยอนไม่สามารถให้ใครได้อีก
...ให้คิมโดยองได้เป็นคนเดียวที่ได้ครอบครองจองแจฮยอน…
*
คิมโดยองอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงของออสเตรียมาเกือบสี่ปีแล้ว เขามาที่นี่เพราะได้ทุนจากแมวมอง มันคือวันเดียวกับที่แจฮยอนไปออดิชั่นที่ตึกค่ายเพลงที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ ในตอนนั้นเขาคิดว่ามันเป็นตลกร้ายที่น่าขำที่สุดในชีวิต
ราวกับโชคชะตาเหวี่ยงให้พวกเขามาเจอกัน และเหวี่ยงพวกเขาให้ห่างออกจากกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มันเป็นความรัก...
แต่ทั้งคิมโดยองและจองแจฮยอนเองก็ไม่อาจปฏิเสธโอกาสที่จะทำให้ความฝันพวกเขาเป็นจริงได้ และพวกเขาก็ไม่รู้จะผลักมันออกไปทำไม เพราะผู้คนมากมายต่างก็พยายามวิ่งตามโอกาสนั้นอย่างสุดกำลัง หลังจากผ่านพ้นค่ำคืนที่เต็มไปด้วยทรมานมานับร้อยคืน ตอนนี้คิมโดยองก็เป็นทั้งนักแต่งเพลง นักดนตรี และกำลังจะเป็นนักร้อง หลังจากที่สั่งสมประสบการณ์เบื้องหลังมานาน
จองแจฮยอนเองก็สามารถเติมเต็มความฝันของตัวเองได้เช่นกัน โดยใช้เวลาแค่สามปีหลังจากเดบิวต์ ก่อนจะได้ออกอัลบั้มเดี่ยว
แม้ตอนนี้ชื่อจองแจฮยอนจะไม่ใช่ชื่อที่โดยองสามารถเรียกได้คนเดียวอีกต่อไป เพราะมันถูกเลือกเป็นชื่อในวงการของอีกฝ่าย
จองแจฮยอนที่เป็นดวงดาวของคิมโดยอง เลือกจะส่องประกายในวงการมายาด้วยชื่อนั้น – ชื่อที่ยิ่งใหญ่และเติบโตขึ้นเพื่อคิมโดยอง
แต่ชื่อๆ นั้นจะไม่มีวันเป็นของคิมโดยองเช่นกัน
ความรู้สึกบางอย่างที่มันชัดเจนจนไม่ต้องหาคำมาจำกัดความ มันชัดเจนมากพอที่พวกเขาสามารถสัมผัสมันได้ผ่านเพลงของกันและกัน เป็นความรู้สึก เป็นเส้นความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครสัมผัสหรือรู้สึกถึงมันได้ นอกจากคิมโดยองและจองแจฮยอนเท่านั้น
เป็นความฝันที่ชัดเจนที่สุด
เป็นความฝันที่จับต้องได้ของกันและกัน
เป็นความฝันที่ไม่มีวันสิ้นสุดลง
เหมือนเรื่องเล่าในนิทานปรัมปราที่ถูกนำมาเล่าต่อนับครั้งไม่ถ้วน
เช่นเดียวกับที่ตอนจบที่ไม่สมหวังนั้นจะถูกเล่าขานซ้ำๆ
*
ทันทีที่ประตูผู้โดยสารขาเข้าถูกเปิดออก แสงแฟลชก็ถูกสาดเข้ามาจากทุกสารทิศ ทว่ารอยยิ้มของใครอีกคนที่ยืนส่งยิ้มให้เขาตรงปลายทางกลับสว่างยิ่งกว่าสิ่งใด
“แจฮยอนอ่า :) ”
‘อัลบั้มโซโล่ของ จองแจฮยอน ถูกโปรดิวซ์โดย คิมโดยอง โปรดิวเซอร์ชื่อดังทั้งอัลบั้ม!’
‘ฮือฮา! โปรดิวเซอร์ชื่อดังคิมโดยอง ร่วมฟีท.ในอัลบั้มเดี่ยว Reading Dream ของจองแจฮยอน’
‘A song that will break your heart into million pieces, ‘Reading Dream’ get an all-kill chart!’
‘An unexpected duet, an unstoppable playlist?! ‘Reading Dream’
‘The love we bonded, merely existed in a dream:
a dream that fulfills our youth
a dream that leads to a happen ending
a reading dream that was once my everything’
“You can love somebody without it being like that.
You keep them a stranger,
a stranger who's a friend.”
– Truman Capote, Breakfast at Tiffany's
THE END
Please comment or tag #SFaMilRaindrops
Talk: จริงๆเรานั่งคิดอยู่นานมากว่าจะกดลบเรื่องนี้ดีไหม มันเป็นเรื่องที่เรารักมาก แล้วก็เป็นฟิคโดแจเรื่องแรกที่เราแต่งด้วย แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เราเสียความมั่นใจอยู่บ่อยครั้ง น้อยใจก็ด้วยค่ะ .___. แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจกดรีไรท์แทน เพราะมันเป็นเรื่องที่เราซ่อนคนที่สำคัญเอาไว้ เลยอยากจะให้เรื่องราวนี้โลดแล่นอยู่ในโลกออนไลน์ที่เป็นอมตะ (แล้วเราก็ไม่ต้องกลัวเวลาทำไฟล์ฟิคหายด้วย แงงงTT) แล้วก็อยากจะให้เรื่องราวเหล่านี้สลักอยู่ในใจผู้คนให้ได้มากที่สุดด้วยค่ะ ;-; หวังว่าทุกคนที่อ่านจะสนุกแล้วก็ดื่มด่ำไปกับเรื่องราวของทั้งสองคนนะคะ!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ดีมากเลยยยยยย ชอบมาก
สัมผัสได้ถึงทุกอย่างเลยค่ะ ดีมากเลย
ชอบภาษาและการดำเนินเรื่องมากเลยค่ะ ฮือ ชอบที่ทั้งคู่ปล่อยให้แต่ละคนได้ไปตามความฝันแล้วกลับมาเจอกันในตอนที่ประสบความสำเร็จ :-)
ขอบคุณที่ชอบการดำเนินเรื่องของเรานะค้าา จะพยายามพัฒนาให้มัน smooth กว่านี้ ><
จริงๆเราแต่งเพราะไม่มีฟิคโดแจให้อ่านนี่แหละค่ะ แต่พอแต่งอ่านเองแล้วมันก็เขินๆ ._.
ขอบคุณมากนะค้าา เม้นยาวมากๆเลย <3
ตอนที่กลับมา เราแค่อยากให้เห็นว่าเค้ายังเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของกันและกันอยู่น่ะค่ะ
แต่ความมรู้สึก หรือความต้องการอาจจะเปลี่ยนไปบ้างก็ได้ น้องอาจจะไปเจอใครใหม่ เพราะก็อยู่ในวงการงี้
ขอบคุณอีกครั้งนะค้าา เม้นยาวมากเลย ช่วยเราได้มากจริงๆ <3