ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักระหว่างภพ

    ลำดับตอนที่ #3 : รักระหว่างภพ ตอนที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ย. 49


    บทที่ 3

                        เมื่อสองสาวใช้พาคล้ายจันทร์ไปอาบน้ำจริง ๆ หล่อนถึงได้รู้สึกว่าทำไมคนเหนือไม่ยอมอาบน้ำกลางวันกันโดยเฉพาะสาว ๆ ป้าจันเป็งให้หล่อนนุ่มผ้าซิ่นกระโจมอก  มีผ้าคลุมไหล่ผืนหนึ่งที่ไม่ใช่ผ้าขนหนู  หล่อนเข้าใจว่าผ้าขนหนูคงยังไม่มีใช้  หรือยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายจึงไม่ได้ถามหา  เดี๋ยวจะพากันตกอกตกใจกันใหญ่  น่ารำคาญในบางครั้ง  บางครั้งก็ดูตลกขบขัน  ที่อาบน้ำทำด้วยไม้ทั้งหลัง  หลังคามุงด้วยใบหญ้าคาตากแห้งถักติดกันเป็นแผง  พื้นทำด้วยไม้อีกเช่นกัน  ไม้เป็นแผ่นใหญ่ ๆ อย่างที่คนในยุคของหล่อนเห็นเข้าคงรู้สึกเสียดายน่าจะนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นมากกว่านำมาทำเป็นพื้นห้องน้ำ  โอ่งใส่น้ำดูจะเหมือนกับสมัยของหล่อนมากที่สุดคือเป็นดินเผาลายมังกรสีน้ำตาล  แต่ดูหนากว่าเป็นพิเศษ  น้ำในโอ่งเย็นจนรู้สึกเหมือนจะแช่ด้วยน้ำแข็ง  หล่อนใช้มือแตะน้ำรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก  หลังจากอาบน้ำเสร็จหล่อนถึงกับสั่นจนฟันกระทบกันดังกึก ๆ ที่อาบน้ำก็อยู่ค่อนข้างห่างจากบ้านพอสมควร  แยกกันต่างหากกับห้องส้วม  ซึ่งคล้ายจันทร์เห็นสภาพแล้วอยากร้องไห้  ห้องส้วมทำเป็นกระต๊อบคล้าย ๆ ที่อาบน้ำแต่จะต่างกันตรงที่มีหลุมขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางกั้นด้วยไม้  กระดานอย่างหนาสองแผ่นมีช่องสำหรับใส่ของเสีย  ตรงฝาห้องมีไม้ขนาดเล็กเท่าแขนงไผ่ใส่กระบอกไม้ไว้สำหรับทำความสะอาดเมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จ  กลิ่นของเสียฟุ้งตลบอบอวลอยู่ในนั้น  ยังดีอยู่บ้างที่ด้านนอกปลูกดอกดาวเรืองไว้โดยรอบ  พอจะกลบกลิ่นภายในได้บ้าง  นี่ขนาดห้องน้ำชั้นจ้าวน่ะเนี่ยถ้าของสามัญชนจะขนาดไหนคล้ายจันทร์ไม่อยากคิดถึงเลยจริง ๆ    แรก ๆ คล้ายจันทร์รู้สึกทรมานมากที่จะเข้าห้องน้ำแต่พอถึงเวลาจริง ๆ ทุก ๆ เช้าหล่อนต้องใช้ห้องน้ำประจำครั้งละนาน ๆ เสียด้วย  หล่อนให้ป้าจันเป็งและป้าชุ่มใจไปสรรหาดอกไม้มีกลิ่นหอมพันธุ์พื้นเมืองต่าง ๆ เช่น มะลิ  จำปี  จำปา  ดอกแก้ว  กุหลาบมอญ ฯลฯ  เก็บใส่ขันน้ำเอาไปวางไว้ในห้องน้ำค่อยกลบกลิ่นได้อีกทาง  โดยหมุนเวียนกันเอามาใส่ตามแต่จะเก็บดอกอะไรได้   คล้ายจันทร์เป็นนักแก้ปัญหาอยู่แล้ว  ในความคิดของหล่อนปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไขได้เสมอ  ถ้าเราตั้งใจที่แก้ไขมันจริง ด้วยใจจริงของเรา  ยังเรื่องแปรงสีฟันอีก  คล้ายจันทร์รู้สึกมานานแล้วเกี่ยวกับภูมิปัญญาไทยที่แทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิตของคนไทยโบราณมานานนักหนา  เขาใช้กิ่งข่อยทุบสีฟันผสมกับเกลือได้รสชาติปะแล่ม ๆ ดี  แถมยังช่วยรักษาเหงือกและฟันอีกด้วย

                        แรก ๆ ดูทุกสิ่งทุกอย่างติดขัดไปหมด  แต่พอปรับตัวได้ก็รู้สึกดีเหมือนกับได้ทำสปาไปในตัว  อาบน้ำก็ใช้ทั้งมะกรูดและมะขามขัดผิว  วันดีคืนดีก็ขัดด้วยขมิ้นอีกที  ใบหน้าขัดด้วยมะนาวกับน้ำผึ้ง  ผมสระด้วยมะกรูดปิ้งไฟ  ทุกสิ่งทุกอย่างมีคนจัดเตรียมให้  อาหารก็ปลอดสารพิษเป็นผักพื้นบ้านซะส่วนใหญ่  อยู่ ๆ ไปคล้ายจันทร์ชักเริ่มชินกับความสบายกายสบายใจ  อากาศที่บริสุทธิ์  อุดมด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ที่มีอย่างสมบูรณ์  ผู้คนก็งามทั้งใบหน้าและจิตใจ  คล้ายจันทร์รู้สึกเหมือนตนเองได้มาพักผ่อนตากอากาศ  ตอนซัมเมอร์ยังไงอย่างงั้นเลย

    20

                         คล้ายจันทร์มาอยู่ที่นี่เกือบอาทิตย์แล้วเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน  หลังจากทานอาหารค่ำเสร็จแล้ว    หล่อนนึกถึงเรื่องจ้าวน้อยราชบุตรขึ้นมาได้  จึงเอ่ยปากถามเรื่องนี้กับจ้าวต่วน

                         จ้าวค่ะ  จ้าวหน้อยที่เราเห็นวันนั้น  เขามีคู่รักชื่อว่า  มะเมียะ  ใช่ไหมค่ะ

                         ทำไมสูถึงรู้ว่าจ้าวหน้อยมีคู่รักชื่ออ  มะเมี๊ยะ  เปิ้นปิดกันจะตาย  มีไผบ่กี่คนที่รู้เรื่องนี้  เรื่องนี้พูดต่อหน้าคนหลายบ่ได้เน้อ  สูจะถูกจับขังคอกเฮาก็ช่วยสูบ่ได้เน้อ

                          รู้แล้วน่าไม่ต้องมาขู่หรอก   คล้ายจันทร์ค้อนให้กับชายหนุ่มวงใหญ่  เธอตั้งหน้าตั้งตาพูดต่อไปโดยไม่กลัวเกรงต่อคำห้ามปรามของจ้าวต่วนแต่อย่างใด

                           ในยุคของฉันความรักของคนทั้งสองกลายเป็นตำนานรักอันยิ่งใหญ่  ที่ผู้คนกล่าวขวัญถึงกันทั้งเมือง  ถึงขนาดมีคนนำไปแต่งเป็นเพลงดังไปทั้งประเทศเลยล่ะ  คุณเชื่อไหม

                           ไผเป็นคนเอาไปร้องเป็นเพลง  ถึงขนาดนั้นเลยกา

                           ก็ขนาดนั้นนะซิ  คนที่เขาเอาไปร้องเป็นศิลปินนักร้องอมตะของล้านนาชื่อคุณสุนทรี  เวชานนท์ที่ชอบร้องเพลงคู่กับคุณจรัล  มโนเพชร  ซึ่งตอนนี้ฝ่ายชายเสียชีวิตไปแล้ว  สงสัยพวกคนดังนี่จะมีอาถรรพณ์กันนะ  มักจะจบชีวิตลงตอนที่มีชื่อเสียงโด่งดังทำให้เป็นอมตะ  ผู้คนยังคงชื่นชอบผลงานของเขาอยู่และระลึกถึงอยู่เสมอเมื่อครบรอบวันตายของเขาเหล่านั้นก็จะมีคนมาชุมนุมกันเพื่อระลึกถึงผลงานของเขาเสมอ

                           เรื่องนั้นเฮาบ่สนใจหรอก  บ่ค่อยเข้าใจที่สูพูดมา  เฮาสนใจว่าเรื่องราวของเจ้าน้อยกับมะเมียะจะเป็นอย่างใดต่อไปเท่านั้น

                           เอาอย่างนี้ไหมฉันพอจะจำเพลงของเขาได้บ้างจะลองร้องให้จ้าวฟัง  พอเข้าใจแล้วกัน  มันอาจไม่ครบถ้วนนะแต่อาจจะพอเข้าใจเรื่องราวบ้าง

                           แล้วคล้ายจันทร์ก็เริ่มต้นร้องเพลงนั้นอย่างช้า ๆ  เท่าที่เธอจะนึกได้  พร้อม ๆ กับนึกถึงบรรยากาศ  เวลาที่เธอไปนั่งรับประทานอาหารที่ร้านคนเมืองแถวเชียงใหม่  เขามักจะเปิดเพลงเบา ๆ แบบล้านนาให้ลูกค้าฟังเสมอ  เพลงนี้ก็เป็นหนึ่งในเพลงที่เขาชอบเปิดกัน

                           มะเมียะเป็นสาวแม่ค้าคนพม่าเมืองมะละแหม่ง

                           งามล้ำเหมือนเดือนส่องแสง  คนมาแย่งหลงรักสาว

                           มะเมียะบ่ยอมรักไผ  มอบหัวใจหื้อหนุ่มเชื้อจ้าว

                           เป็นลูกอุปราชท้าวเจียงใหม่…………….

                   ****   ต่อเมื่อจ้าวชายจบการศึกษา     จำต้องลาจากมะเมียะไป

                                            เหมือนโดนมีดสับดาบฟันหัวใจ  ปลอมเป็นพ่อชายหนีตามมา

                                           เจ้าชายเป็นราชบุตรแต่สุดที่ฮักเป็นพม่า ….

                              ผิดประเพณีสืบมาต้องร้างลาแยกทาง

                                            ****  โอโอ้  ก็เมื่อวันนั้น           วันที่ต้องส่งคืนบ้านนาง…..

     

    21

                              ต่อจากนั้นจำไม่ได้  ที่ร้องมานี่ก็เพี้ยนไปบ้างไม่มากก็น้อย  แต่โดยรวมก็ประมาณนี้  ต่อด้วยตอนท้าย  เล่ากันว่ามะเมียะแอบปลอมเป็นชายตามขบวนเสด็จของจ้าวหน้อยมาด้วย  จนกระทั่งตอนหลังมาจ้าวพ่อของจ้าวหน้อยจับได้  บังคับให้จ้าวหน้อยแต่งงานกับผู้หญิงที่ท่านเตรียมไว้ให้  มะเมียะจึงต้องจำใจลาจาก  แต่ก่อนไป  เพลงบทสุดท้ายเขายังต่อว่า

                       ****เจ้าชายก็จัดขบวนช้าง               ให้ไปส่งนางคืนทั้งน้ำตา

                      มะเมียะตรอมใจอาลัยขื่นขม     ถวายบังคมทูลลา

                               สยายผมลงเช็ดบาทบาทา          ขอลาไปก่อนแล้วชาตินี้

                                เจ้าชายก็ตรอมใจตาย           มะเมียะเลยไปบวชชี ความรักมักเป็นเช่นนี้แลเฮย***

                    คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่ามะเมียะไปบวชชีอยู่ที่เมืองแห่งหนึ่ง  ซึ่งไม่ไกลจากชายแดนไทยเท่าไร  มีคนไทยหลายคนเคยไปเที่ยววัดนั้นกันมาแล้ว  แต่ฉันยังไม่เคยไปสักที  ดูความมั่นคงปลอดภัยยังไม่มีเท่าบ้านเรา

                             สูก็พูดไปพม่าเปิ้นเจริญกว่าเจียงใหม่ด้วยซ้ำ  เมืองเปิ้นก็ใหญ่กว่า  น้ำท่าอุดมสมบูรณ์  เครื่องประดับอัญมณีก็นักหลาย

                            ก็จริงอยู่เรื่องนั้นฉันไม่เถียง  แต่ในยุคของฉันเขาปิดประเทศไม่ค่อยติดต่อกับคนภายนอก  ทรัพยากรเขายังมีอยู่ล้นหลามแต่ยังไม่มีการพัฒนาด้านอื่น  ก็เลยล้าหลังกว่าประเทศอื่นโดยเฉพาะประเทศไทย

                            อะหยังเป็นไทย  คนเมืองเฮาอย่างใดไปเกี่ยวกับคนไทยได้

                            จ้าวไม่เชื่อฉันหรือ  อีกหน่อยจะถูกรวมเข้าด้วยกัน  ไม่ว่าจ้าวจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม  มันเป็นไปแล้ว  ตอนนี้ก็เกือบจะรวมแล้วไม่ใช่หรือ  อิทธิพลของคนไทยที่มีต่อคนเมืองก็มากขึ้นทุกวัน  เรื่องของจ้าวหน้อยกับมะเมียะก็มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนิดหน่อย  พวกอังกฤษคงไม่เห็นด้วย  หากว่าเจ้าชายล้านนาจะแต่งงานกับสาวพม่า  เชียงใหม่ก็จะปัญหากับพวกอังกฤษดีไม่ดีเขาบีบบังคับเอา  จ้าวหลวงจะลำบากใจมากที่สุด

                            เอาละ  เอาละ  เฮาบ่ฮู้ว่าควรจะเชื่อสูดีก่  แต่เฮาจะรอดูต่อไปก็แล้วกัน  อนาคตเป็นสิ่งบ่แน่นอน  คนเฒ่าเปิ้นว่า  ตามีหน้า  ผ่อหน้าบ่หัน(อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอนไม่มีใครล่วงรู้ได้)  ว่าแต่ว่าวันนี้เปิ้นชวนกันเก็บดอก  เตรียมตัวไปใส่ขันดอกอินทขิลที่วัดเจดีย์หลวง  สูจะไปก็เตรียมตัว  หรือว่าจะไปช่วยป้าชุ่มใจกับป้าจันเป็งเก็บดอกเตรียมดอกก็ได้    ได้กุศลแรงเน้อ  เสาอินทขิลเป็นเสาหลักเมืองของเจียงใหม่  เปิ้นจะจัดงานสัก  7 วัน  วันนี้เป็นวันแรก  คนน่าจะมากันหลายอยู่  แต่ก็สนุกดี  บ่าวสาวจะได้เจอกันก็วันนี้หละ

     

     

    22

                             หนุ่มสาวยุคจ้าวนี้น่ารักกันจังเลยเนอะจะเจอกันได้ต่อเมื่อมีเทศกาลสำคัญ ๆ เท่านั้น  หนุ่มสาวสมัยฉันเขาโทรศัพท์หากัน  อีเมล์หากัน  รวดเร็วทันใจดี  แต่บางทีก็แฝงอันตรายด้วย

                              อะหยังเป็นไอ้โท  ไอ้สับ  อีเหมียว  มันเป็นไผเกี่ยวอะหยังกับการเจอกันของบ่าวสาวด้วย

                     โอ๊ย !  ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไงให้จ้าวเข้าใจได้หรอก  ยุคของจ้าวมันไม่มี  ไม่เอาล่ะง่วงนอนฉันไปนอนดีกว่า

                             โฮะ   แล้วบ่ไปจัดดอกช่วยป้าชุ่มใจกับป้าจันเป็งกา

                             ไม่เอาล่ะฝนตกปรอย  ๆ แบบนี้ต้องเข้านอนคลุมโปงมันถึงจะวอร์ค

                             หล่อนสาวค้อนให้จ้าวต่วนวงใหญ่  อย่างรู้สึกหมั่นไส้เสียเต็มประดา  ก่อนจะหันหลังก้าวเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามองอีกเลย  จ้าวต่วนยืนงงกับกริยาท่าทางของหญิงสาวสักครู่  ก่อนจะจุดรอยยิ้มที่ริมฝีปาก  ดู ๆ ไปหล่อนก็น่ารักดี  กล้าพูด  กล้าเจรจา  กล้าต่อล้อต่อเถียงอย่างที่หญิงสาวคนอื่น ๆ ในเมืองเชียงใหม่ไม่มีใครเป็นอย่างนี้เลยสักคน

     

    *****************

     

                                    คืนนั้นจ้าวต่วน  คล้ายจันทร์พร้อมด้วยป้าจันเป็งป้าชุ่มใจ  อ้ายคำอ้ายมา  พากันไปใส่ขันดอกที่วัดเจดีย์หลวง  สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของล้านนาเลยทีเดียว  ในงานนั้นมีผู้คนมากมายที่มากด้วยศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง  เกือบแทบทุกคนถือขันดอกทำจากไม้หลากหลายชนิดที่มีรูปร่างสวยงามเท่าที่เจ้าตัวจะสามารถจัดหาได้มาพร้อมดอกไม้สด  ธูปเทียน  ข้าวตอก  และเหรียญสตางค์เพื่อร่วมทำบุญ  ทุกคนแต่งตัวสวยงามตามแบบอย่างชาวล้านนา  มีหลากหลายวัยด้วยกันมีทั้งคนแก่ เด็ก  บ้างก็มากันเป็นครอบครัว  บ้างก็มากับเพื่อน ๆ  โดยเฉพาะหนุ่ม ๆ สาว ๆ มากันเป็นกลุ่ม ๆ ตามกันมา ได้ยินเสียงยอกล้อเกี้ยวพาราสีกันอยู่ทั่วไปเป็นที่สนุกสนาน

                                    จ้าวต่วนเดินมาคู่กับคล้ายจันทร์ มีป้าจันเป็งป้าชุ่มใจ  อ้ายคำอ้ายมาถือขันดอกตามหลังมาทุกคนไปกราบพระประธานของวัดก่อน  โดยกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ 3 ครั้ง  ต้องหาที่สำหรับจะกราบนานพอสมควรเพราะที่ว่างสำหรับให้กราบแทบไม่  มีเพราะคลาคล่ำไปด้วยผู้คน  จ้าวต่วนดูมีความสุขมากเมื่อได้เดินอยู่เคียงข้างคล้ายจันทร์เขาเดินนำไปใส่ขันดอกตามขันแก้ว ( ขันดอกขนาดใหญ่ส่วนมากทำเป็นรูปสามเหลี่ยมใช้สำหรับให้พุทธศาสนิกชนนำดอกไม้มาใส่รวมกันเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ) แล้วจึงให้คนอื่น ๆ ใส่ตามกันมาเป็นทิวแถวโดยเริ่มจากคล้ายจันทร์ก่อน ความจริงจ้าวต่วนมีอาการเหมือนอยากจะจับมือคล้ายจันทร์ใส่ขันดอกร่วมกันเหมือน

    23

    สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่คู่อื่น ๆ ทำกันแต่ก็เกรงใจคล้ายจันทร์อยู่ในทีเนื่องเพราะไม่ใช่คู่แต่งงานกันจริง ๆ จ้าวต่วนเป็นที่รู้จักของคนในเชียงใหม่เป็นจำนวนมากประเดี๋ยวคล้ายจันทร์จะเสียหาย  ชายหนุ่มจึงได้พยายามยับยั้งชั่งใจไม่ทำอะไรตามอำเภอใจของตนเอง

                                    คล้ายจันทร์รู้สึกแปลกตากับบรรยากาศที่หล่อนอยู่ในขณะนี้หล่อนเคยไปใส่ขันดอกที่วัดเจดีย์หลวงเหมือนกันแต่มันตอนนั้นหล่อนยังเป็นเด็กอยู่  ความรู้สึกมันลางเลือนจนแทบจะจำอะไรไม่ได้เลยทีเดียว  ไม่นึกเลยว่าวันนี้หล่อนจะได้มีโอกาสมาใส่ขันดอกอีกครั้ง  หล่อนพึงรู้ซึ้งในความศรัทธาที่ชาวล้านนามีต่อพระพุทธศาสนาอย่างท่วมท้นก็วันนี้เอง

                                    พอเดินไปได้สักพักคล้ายจันทร์รู้สึกเหมือนมีสายตาของใครจ้องมองอยู่  หล่อนไปมองตามความรู้สึก  เจอเจ้าของดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองหล่อนอยู่อย่างสงสัยแถมพึงใจ  พร้อมกันนั้นเขาได้ก้าวเข้ามาหาจ้าวต่วน

                                      จ้าวปี่มากับไผกา    มาหลายคนก่

                                      มากันสามสี่คน   แล้วสูมากับไผ

                                    ไปรวมกลุ่มกับหมู่เฮา  ทางปู้นบ่จะได้ม่วน ๆ

                                    วันนี้คงบ่ได้ละมัง  เฮาพาคนที่บ้านมาด้วยไม่สะดวก

                                    จ้าวต่วนทักทายตอบชายหนุ่ม    ที่มาทักและชายตามองไปยังกลุ่มหนุ่มสาวที่ชายหนุ่มแยกมา  พอดีมีเสียงเรียกเหมือนส่งสัญญาณให้ชายหนุ่มกลับเข้ากลุ่ม  ชายหนุ่มจึงกล่าวลา

                                    จ้าวปี่.......หมู่เฮาเรียกล่ะเฮาไปก่อนเน้อ  เอาไว้เฮาจะไปเยี่ยมจ้าวปี่ที่บ้าน

                                    ชายหนุ่มรีบร้อนจากไปกึ่งเสียดายชายตามาทางคล้ายจันทร์อีกครั้งในที  ก่อนจะเดินอย่างเร็วไปเข้ากลุ่มกับเพื่อน ๆ พร้อมกับปะปนกับผู้คนในงานกลืนหายไป

                                    หลังจากนั้นจ้าวต่วนดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนิดหน่อยพาลชวนกลับเอาดื้อ ๆ

                                    กลับกันเถอะป้าจันเป็ง  ป้าชุ่มใจ  อ้ายคำอ้ายมา  บ่มีอะหยังแล้วดึกแล้วด้วย

                                    จ้าวอยู่ต่ออีกหน่อยบ่   เฮายังม่วนอยู่เลย

                                    อ้ายคำกล่าวทักท้วงขึ้นเพื่อชะลอเวลากลับบ้าน  และหันไปมองหน้าคนอื่น ๆ อย่างขอความเห็น  ยังมิทันที่ใครจะเอ่ยอะไรจ้าวต่วนชิงพูดขึ้นก่อน

                                    ไผบ่กลับบ่ต้องกลับ  เฮาจะกลับละ

                                    เขาพูดจบคว้ามือคล้ายจันทร์ให้เดินไปตามแรงฉุด  หญิงสาวไม่ทันตั้งตัวก็จำต้องเดินไปตามแรงนั้น  โดยมีป้าจันเป็งป้าชุ่มใจ  อ้ายมาและอ้ายคำคนต้นคิดวิ่งตามหลังมา  ก่อนจะพากันมาหยุดตรงหน้าบริเวณทางเข้าวัด  จ้าวต่วนซื้ออ้อยค่วนเสียบไม้ติดกันเป็นแพที่แม่ค้าโรยด้วยดอกมะลิหอมกลิ่นไว้ยื่นให้คล้ายจันทร์ไม้หนึ่ง  และตนเองก็หยิบชิ้นหนึ่งใส่ปากเคี้ยว   และมายืนรอป้าจันเป็งป้าชุ่มใจที่พากันไปซื้อถั่วต้ม     อ้ายคำอ้ายมาได้รับแจกอ้อยค่วนจากจ้าวต่วนคนละไม้หลังจากนั้นก็พากันเดินกลับกากของถั่วต้มกับอ้อยก็ทิ้งเรี่ยราดไปตามทางที่เดิน  คนยุคนี้เขากินอยู่

    24

    กันแบบง่าย ๆ ขยะก็ย่อยสลายได้ง่ายไม่ต้องเปลืองแรงคนและเครื่องจักรในการจัดเก็บเหมือนคนยุคหล่อน  ถึงจะขาดระเบียบวินัยไปบ้างแต่ก็ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม     คืนนั้นคล้ายจันทร์นอนหลับอย่างเป็นสุข  นี่แหละหนาอาการอย่างนี้หรือเปล่าที่เขาเรียกว่า อิ่มบุญ 

     

    ******************************************

     

                     จ้าวปี่ต่วนขอรับ  กระผมมาแอ่วหาจ้าวปี่ขอรับ

                             ชายหนุ่มหน้าตาดี  ขาวหล่อแบบหนุ่มเหนือโดยกำเนิด  สูงไล่ๆ กับจ้าวต่วน  แต่ฝ่ายหลังดูจะผิวคล้ำกว่าสูงกว่าชายหนุ่มผู้มาใหม่เล็กน้อย  เสียงมาก่อนตัวและเยี่ยมหน้ามามองพร้อมกับรอยยิ้มที่ระบายอยู่เต็มวงหน้า

                              กระผมได้ยินมาว่า  จ้าวปี่มีญาติมาจากกรุงศรีอยุธยา  เปิ้นว่างามขนาด  แท้หรือจ้าวปี่  ทำอย่างใดจะได้เห็นหน้าเปิ้นสักครั้งหา

                             จ้าวต่วนระบายยิ้มอยู่ในหน้า  อย่างรู้เท่าทันการมาของญาติหนุ่ม อินหวัน  ผู้น้องชาย  ถึงใบหน้ายิ้มละไม  แต่ภายในใจชายหนุ่มไม่แน่ใจตนเองว่ายินดีเหมือนที่แสดงออกทางสีหน้าหรือไม่  ขณะที่ปากยิ้มเยือนพร้อมกับเอ่ยตอบอย่างยินดี

                           ได้อยู่แล้ว  ประเดี๋ยวเฮาจะพาไปรู้จัก  จะได้รู้ว่างามเหมือนกำเปิ้นลือไหม

                           ยังไม่ทันที่สองหนุ่มจะพากันไปไหน  พอดีได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินย้ำเรือนขึ้นมา  ใกล้เข้ามาจนเห็นเจ้าของฝีเท้านั้น    หล่อนมีใบหน้างามแฉล้ม  ผิวแก้มสีชมพูระเรื่อผุดผาดด้วยวัยสาวสะคราญ  ผมตรงยาวปะบ่า  แต่งกายด้วยชุดล้านนาโทนสีชมพู  มองผาด ๆ ก็เหมือนหญิงสาวชาวล้านนาทั่วไป  หากจะมีผู้สังเกตก็จะดูได้จากกริยาท่าทางเท่านั้นที่ดูแปลกไป  ดูไม่เคอะเขิน

      เป็นตัวของตัวเอง  ชวนมองไปอีกแบบหนึ่ง   หล่อนหยุดเดินมองมายังจ้าวต่วนก่อนจะชำเลืองแลไปทางแขกหนุ่มผู้มาเยือน  ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จ้าวต่วน  ดูท่าทางเขามองมายังหล่อนด้วยสายตามีไมตรี

                            มาก็ดีล่ะ  เฮาอยากให้สูรู้จักกับจ้าวอินหวันน้องเฮาเอาไว้  ต่อไปภายหน้าจะได้ช่วยเหลือกันได้บ้าง

                            จ้าวต่วนเอ่ยกับคล้ายจันทร์ก่อนจะหันไปทางญาติหนุ่ม

                            นี่แหละญาติเฮาที่ลุกกรุงศรีอยุธยามา  รู้จักกันเอาไว้เสียชื่ออ.............ชายหนุ่มดูจะเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อชื่อ...คล้ายจันทร์

                            จ้าวอินหวันดูจะไม่ค่อยสนใจอะไร  มากกว่าจะยืนมองหญิงสาว   อย่างชนิดจ้องตาไม่กระพริบ

                           คล้ายจันทร์.....นี่จ้าวอินหวันมีศักดิ์เป็นน้องเฮา  จ้าวแสงเดือนแม่จ้าวอินหวันเป็นน้องแม่เฮา   จ้าวต่วนแนะนำคล้ายรอดูท่าทีของหญิงสาว

    25

                          คล้ายจันทร์ยกมือไหว้ชายหนุ่มอย่างงดงาม  ถึงแม้ถ้านับตามอายุปัจจุบันหล่อนอาจจะอาวุโสกว่า  แต่ถ้านับตามอายุของยุคแล้วหล่อนต้องมีอายุน้อยกว่าทุกคนในยุคนี้อยู่แล้ว  อย่างไม่ต้องสงสัย

                         ชายหนุ่มนามว่าเจ้าอินหวันรับไหว้หล่อนอย่างพอใจในท่าทีของหล่อน  แสดงออกอย่างกระตื้อรือร้นที่จะพูดคุยด้วยอย่างเอาใจ  ในลักษณะชายหนุ่มพอใจหญิงงามอย่างเปิดเผย

                          ตั้งแต่มาอยู่เจียงใหม่  จ้าวปี่ต่วนพาสูไปแอ่วไหนมาบ้างละ  นอกจากไปใส่ขันดอก   ที่ไหนสูยังบ่เคยไปหรือใคร่อยากไปบอกเฮาเน้อ  เฮาจะพาไป  เฮารู้จักที่งาม ๆ ม่วน ๆ หลายที่

                  หญิงสาวเอาแต่ยิ้ม  เมื่อชายหนุ่มชวนคุย  ด้วยไม่รู้จะพูดอะไรดี  เพิ่งเคยเห็นหน้า  เพิ่งรู้จักกันเป็นครั้งแรก ถึงแม้จะเห็นกันบ้างแวบ ๆ เมื่อคืนที่ผ่านมานี้ก็ตาม ดูชายหนุ่มจะไม่ละความพยายามเอาง่าย ๆ พยายามชวนคุย  คล้ายจันทร์เป็นฝ่ายฟังเสียมากกว่า  ผงกศีรษะและยิ้มเสียเป็นส่วนใหญ่  จ้าวต่วนรู้สึกขัดลูกตาเสียเป็นกำลัง  ดูมันอึดอัดไปหมดพูดไม่ออกบอกไม่ถูก  อีกคนมีศักดิ์เป็นน้อง  อีกคนหมายใจ  จ้าวต่วนตกใจกับคำหลัง  หมายใจ  เราหมายใจเอื้องคำแล้วหรือนี่  อดรนทนไม่ได้  จำต้องจากภาพนั้นไปเงียบ ๆ  มาหยุดยืนอยู่ใต้ต้นจำปาต้นใหญ่  หลังเรือน  จำปาต้นใหญ่ออกดอกบานสะพรั่งเต็มต้น  ส่งกลิ่นหอมอบอวลให้กับคนที่ผ่านไปมา  บางคนอดไม่ได้ที่จะหาไม้มาสอย  ยิ่งเป็นพวกผู้หญิงยิ่งแล้วมักจะสอยแล้วเหน็บบนมวยผมของตนเอง  แต่อารมณ์ของชายหนุ่มในยามนี้ไม่สามารถสุนทรีรมย์กับกลิ่นของมันได้  เขาระงับอารมณ์ที่พุ่งพวยออกมาด้วยการยืนนิ่ง ๆ ปล่อยสายตาให้มองทอดออกไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย

                             จ้าวปี่ต่วนขอรับ  เฮาใคร่อยากพาคล้ายจันทร์เปิ้นไปแอ่วทางนอกเมือง  บ่ายสักหน่อยเฮาจะพามาส่งจะได้ไหมจ้าวปี่

                             จ้าวอินหวันตามมาตอแยกับชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นพี่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลา  อย่างที่คนเหนือมักจะล้อกันว่า  หน้าไน้  กับอาการของชายหนุ่มที่พอใจหญิงสาวจนออกนอกหน้าหุบยิ้มไม่ลง  จ้าวต่วนอยากออกปากปฏิเสธตามหัวใจที่เรียกร้องของตนเอง  แต่พอเหลือบมองไปที่หญิงสาวผู้ตามมาทีหลัง  กับใบหน้าที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว  มองจ้องมาอย่างตั้งใจฟังคำตอบ  ชายหนุ่มรู้สึกหมั่นไส้เป็นยิ่งนัก

                             พากันไปเตอะ  เฮาบ่ห้ามหรอก  แต่ก็อย่ากลับค่ำนักเน้อ  บ้านเฮากินข้าวแลงเช้า  สูก็รู้ดีไม่ใช่หรืออินหวัน         

                            ไปบ่นานจ้าวปี่  เฮารับรอง อย่างใดจะพาคล้ายจันทร์มาส่งก่อนกินข้าวแลงแน่ ๆ

                            ชายหนุ่มรองรับการพากลับมาส่งบ้านให้ทันอาหารเย็น  ก่อนหันมาทางหญิงสาว  เชื้อเชิญให้ออกเดินนำกันออกไป  คล้ายจันทร์อดไม่ได้ที่จะหันไปมองหน้าผู้อนุญาตให้ไปเที่ยวได้  แวบแรกที่เห็นดูเขามีสีหน้าง้ำงออย่างไม่พอใจ  หะแรกหญิงสาวรู้สึกงงกับท่าทีของจ้าวต่วน  ทำไมทำหน้าเหมือนโกรธเรา  แต่พอคิดหาเหตุผล  ไม่พอใจเรื่องอะไรหนา             ไม่พอใจที่เรามาพบ

    26

    จ้าวอินหวันอย่างนั้นหรือ  หรือจ้าวต่วนมีใจให้เรา  คิดอะไรบ้า ๆ น่าคล้ายจันทร์  หญิงสาวรำพึงกับตัวเอง

                             เฮาออกไปแอ่วทางท่าแพดีไหม  สูจะได้เห็นช้างลากซุงที่เปิ้นมาขึ้นไม้กันที่นี่  จะเห็นหมู่ฝรั่งด้วย  สูรู้จักฝรั่งหรือเปล่า  บ้านสูมีฝรั่งไหม

                            ชายหนุ่มหยุดเดินหันมาคุยกับหล่อนด้วยเป็นเชิงปรึกษาหารือ

                             บ้านข้าเจ้ามีฝรั่ง  ข้าเจ้าเห็นบ่อย ๆ แต่ช้างลากซุงแบบเดิม ๆ อย่างนี้ข้าเจ้าไม่เคยเห็น

                            ดีล่ะ  ที่สูบ่เคยเห็น  เฮาจะได้พาไปแอ่วดูบัดเดียวนี้ละ  เฮารีบเดินหน่อยเถอะจะได้กลับมาให้ทันข้าวแลง  เฮากลัววจ้าวปี่ต่วนโกรธ   ประเดี๋ยววันหน้าจะบ่ให้เฮาไปแอ่วด้วยกันอีกแหม

                             ก็ดีเหมือนกัน  ข้าเจ้าอยากเห็นช้างเร็ว ๆ มันอยู่แถวติดแม่น้ำปิงใช่ไหม

                             แม่นละ  รีบ ๆ เดินเตอะ   อีกบ่ไกลจะถึงละ

                            เมื่อมาถึงตรงตลิ่งก่อนถึงแม่น้ำปิงตรงนี้ที่เรียกว่าท่าแพ  ช้างเป็นจำนวนหลายเชือกกำลังลากซุงกันอย่างแข็งขัน  แต่บางเชือกก็หยุดพักลงอาบน้ำ  พ่นน้ำจากงวงใส่ช้างด้วยกันเอง  และครวญช้างที่ลงไปเล่นน้ำกับช้างของตนเองด้วย  ช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่งในยุคสมัยของหล่อนเสียจริง ๆ คล้ายจันทร์คิดคำนึงพลางอมยิ้มน้อย ๆ ที่ได้เห็นภาพนี้  อยากจะเก็บมันไว้ในความทรงจำที่ดีของหล่อนตลอดไป  จ้าวอินหวันตามมาทันเขามองดูหล่อนให้ความสนใจกับกลุ่มช้างลากซุงอย่างพึงพอใจ

                            มีฝรั่งพุงพุ้ยคนหนึ่งยืนสั่งการเป็นภาษาล้านนาแปร่ง ๆ อยู่ไม่ห่างนักจากจุดที่ช้างลากซุง  คล้ายจันทร์เพ่งตามองไปยังฝรั่งคนนั้นอย่างสนใจใคร่รู้  จ้าวอินหวันมองตามสายตาของหล่อน

                            ใคร่อยากรู้จักเปิ้นกา   ฝรั่งนั่นน่ะเจ้าชู้เน้อเมียก็นัก  เปิ้นเป็นเจ้าของบริษัทค้าไม้ส่งไปขายเมืองฝรั่งด้วยกันปู้น 

                             ใช่แล้ว  ข้าเจ้าใคร่อยากรู้จักเปิ้น  จ้าวปี่อินหวันพอจะแนะนำ  ข้าเจ้าให้รู้จักกับเปิ้นได้ไหมเจ้า

                            อะหยังน้องคล้ายจันทร์ถึงใคร่รู้จักเปิ้น  บ่หันจะหล่อเลย  หัวก่อล้าน  พุงก่อนัก  เฮาบ่เข้าใจ      

                           จ้าวปี่ไม่จำเป็นต้องเข้าใจข้าเจ้า  ข้าเจ้าบ่สนใจรูปร่างของเปิ้นหรอก  ข้าเจ้าสนใจใคร่รู้ว่าเปิ้นเป็นใคร    ใคร่รู้ความเป็นมาของเขา  ว่าเป็นคนมาจากประเทศอะไร  มีความประสงค์สิ่งใด  ถึงมาไกลถึงเชียงใหม่อย่างนี้ได้

     

    27

                          คล้ายจันทร์เริ่มอินกับการเข้ามาอยู่ในเจียงใหม่ยุคโบราณ  หล่อนอยากมีส่วนเป็นคนที่นี่บ้างจึงหัดพูดภาษาท้องถิ่น  โดยเริ่มจากคำแทนตัวเองเป็น ข้าเจ้า ก่อนอย่างอื่น

                         ถ้าอย่างงั้นนก็แล้วไป  เฮากลัวสูจะไปหลงเสน่ห์เปิ้น  เหมือนสาวเจียงใหม่หลายคนที่ล้อมหน้าล้อมหลังเปิ้นอยู่เป็นหลายคน  บ้างก็มีลูกหน้อยหัวแดงแนบข้าง  แต่เฮาเชื่อเปิ้นอยู่อย่างว่าเปิ้นเสาะสตางค์เก่ง  มีเมียกี่คนกี่คนก็เลี้ยงได้

                         พอดีฝรั่งหัวแดงหันมาเห็นจ้าวอินหวัน  แก่ส่งยิ้มอย่างเปิดเผย  พร้อมกับเดินมาหาสองหนุ่มสาวอย่างดีใจ  ก่อนจะส่งมือสัมผัสกันกับจ้าวอินหวัน

                        จ้าวอินหวัน  ดีใจแต้ ๆ ที่ปะจ้าว  สาวงามที่มาด้วยนี้เปิ้นเป็นไผหา  พอจะแนะนำให้เฮารู้จักได้ไหม

                         ด้วยคุ้นเคยกับมารยาทชาวต่างประเทศเป็นอย่างดี  คล้ายจันทร์ส่งมือไปสัมผัสให้กับฝรั่งวัยเลยสี่สิบปีอย่างไม่เคอะเขิน

                        ยินดีที่ได้รู้จักเจ้า  มิสเตอร์.........................  หล่อนละคำเรียกชื่อ  ก่อนจะแนะนำตัวเองอย่างเป็นกันเอง

                        ข้าเจ้าชื่อคล้ายจันทร์  มาจากอยุธยาเจ้า

                       ชายฝรั่งตาน้ำข้าวยืนงงดูท่าทางของหญิงสาวครู่หนึ่ง  กับท่าทางคล่องแคล่วไม่เหมือนหญิงสาวชาวเมืองโดยทั่วไปของคล้ายจันทร์  ก่อนจะได้สติยิ้มก่อนยื่นมือมาสัมผัสกับหญิงสาวพร้อมกับแนะนำตัวเอง

                        กระผมชื่อจอห์นสัน  ปาร์คเกอร์  มาจากประเทศอังกฤษขอรับ  แต่คนอื่นเรียกผมว่า  อ้ายจอน ถ้าบ่รังเกียจจะเรียกเหมือนคนอี่นก็ได้

                       คล้ายจันทร์ดูจะสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับกิจการป่าไม้ที่อ้ายจอนทำเสียเหลือเกิน  หล่อนคุยกับเขาอย่างออกรส  นายจอนนี่ก็ดูจะสนใจในความงาม  และบุคลิกอันไม่เหมือนสาวยุคนี้ของหล่อน  ท่าทางเปิดเผย  มั่นใจในตนเอง  กล้าพูดกล้าถาม  มีความรู้เกี่ยวกับงานของเขาดีพอสมควร  คุยกันได้ทุกเรื่อง  แม้แต่ภาษาอังกฤษบางคำที่เขาหลุดปากพูดออกมา  ถ้าเป็นคนอื่นจะสงสัยไม่เข้าใจ  ดูเหมือนหล่อนจะเข้าใจที่เขาพูดโดยตลอด  จนทำให้เขาเข้าใจว่าหล่อนมีความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี  ในตอนท้ายของบทสนทนา  เขาจึงออกปากเชื้อเชิญหล่อนให้ไปเที่ยวที่บ้านของเขาบ้าง

                  ถ้าว่างก็ไปแอ่วบ้านผมบ้างเน้อ  ขอประทานโทษน้องคล้ายจันทร์  อ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ไหม  ที่บ้านอ้ายมีนักขนาด จะได้เลือกไปอ่านบ้างไหม

                      ข้าเจ้าสนใจหนังสือนักอยู่   เอาไว้ว่าง ๆ ข้าเจ้าจะไปแอ่วเน้อ  แต่คงไปบ้านอ้ายจอนบ่ถูก

                              บ่เป็นไรหื้อจ้าวอินหวันพาไปก็ได้    เปิ้นรู้จักบ้านอ้ายเป็นอย่างดี

    28

    ก่อนจะหันมาพยักหน้ากับจ้าวอินหวันอย่างเป็นกันเองอีกครั้ง  ชายหนุ่มยิ้มรับ

                              เฮาจะพาไปแน่อ้ายจอน  ว่าแต่เตรียมขนมนมเนยไว้ต้อนรับเฮาดี ๆ เตอะ

                              เขาหันมาทางหญิงสาว  แตะข้อศอกหล่อนอย่างแผ่วเบา

                              คล้ายจันทร์  เฮากลับก่อนเตอะ  ปานนี้จ้าวปี่ต่วนท่าจะรอเฮากลับไปกินข้าวแลงแล้วละกระมัง

                               คล้ายจันทร์หันมาทางอ้ายจอน  ทำท่าจะยื่นมือให้เขาสัมผัสอีกครั้ง  แต่ดูเหมือนหล่อนจะนึกออกเรื่องประเพณีจึงหดมือกลับ  เป็นพนมมือไหว้อย่างงดงามแทนก่อนเอ่ยปาก

                               ข้าเจ้ากลับก่อนเน้อ  อ้ายจอน  เอาไว้จะไปเยี่ยมที่บ้าน  ไปหาหนังสือมาอ่าน  อยู่ที่นี่ไม่มีหนังสืออ่านเลย  อยากได้หนังสือมาอ่านสักเล่ม  สองเล่มเวลาว่าง ๆ จะได้ไม่เหงา

     

    ******************************

     

                               เมื่อกลับมาถึงบ้านจ้าวต่วน  พบชายหนุ่มทำหน้าหยิกรอรับอยู่  ทำท่าทางเหมือนไม่สนใจในการมาของจ้าวอินหวันและคล้ายจันทร์  แต่หูผึ่งอยู่ตลอดเวลา  ทำทีเป็นชมนกชมไม้อยู่บริเวณสวนหน้าบ้าน  เดินเตร่ไปเตร่มา  จ้าวอินหวันเหลือบเห็นญาติผู้พี่ก่อน  เขาทำท่ากุลีกุจอเข้าไปหาชายหนุ่ม  เพราะกลัวชายหนุ่มจะไม่ให้พาคล้ายจันทร์ไปเที่ยวอีกในครั้งต่อไป

                              จ้าวปี่ขอรับ  เฮาพน้องคล้ายจันทร์กลับมาส่งทันเวลาข้าวแลงแล้วนะขอรับ  วันนี้เฮากลับก่อนเน้อ  วันพรุ่งเฮามาหาใหม่  ประโยคหลังต้องการให้หญิงสาวทราบมากกว่าจะ

    บอกเจ้าของบ้าน  อย่างที่ไม่อยากฟังคำตอบ  ชายหนุ่มเดินลงบันไดบ้านไปอย่างรวดเร็ว  จ้าวต่วนมองตามร่างนั้นด้วยสายตาขุ่นมัว  ก่อนจะหันมาทางหญิงสาว

                               ไปถึงไหนกันมา  ท่าจะม่วนเนอะ  กลับมาทำหน้าไน้  วันพรุ่งไปอีกก็ได้เพราะ  อินหวันมันอู้ม่วนเสน่ห์แรง  สาว ๆ หลงคำอู้มันไปหลายคนแล้ว   อีกแหมบ่เมินสูก็จะหลงมันแหมอีกคน  จะได้ไปอยู่เฮือนหลวงด้วยกันหลายคนม่วนดี

                               จ้าวเป็นอะไร  อย่ามาพาลเอากับข้าเจ้านะ  ใครจะหลงใคร  จะอยู่เรือนเล็กเรือนใหญ่  เราไม่รู้  แค่เป็นเพื่อนกันไปเที่ยวแค่นี้  ใคร ๆ เขาก็ทำกันไม่ใช่เรื่องแปลก

                               เฮอะ!  บ่ใช่เรื่องแปลก  มีแม่หญิงดี ๆ ที่ไหนเปิ้นทำกันหยังนี้  เฮาเห็นมาหลายแล้ว  อินหวันมันเจ้าชู้  รูปหล่อ  เมียนักหลาย  สูใคร่อยากเป็นเมียแหมอีกคนแม่นก่อ    ถึงกล้าเถียงเฮาอย่างนี้

                               ชักเลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว  จ้าวนี่แปลกคนจริง ๆ

                                หญิงสาวตอบโต้อย่างไม่ยี่หระ  ก่อนจะยักไหล่ด้วยความเคยชิน  และหุนตัวกลับ

                               ข้าเจ้าไปอาบน้ำก่อนดีกว่า  เหนียวตัวจริง ๆ

    29

                               ชายหนุ่มรู้สึกหน้าแดง  ตัวชากับคำพูดอันยอกย้อนของหญิงสาว  เขาคว้าต้นแขนของหญิงสาวเอาไว้  ก่อนจะดึงเข้ามาชิดจนหล่อนต้องเงยหน้าขึ้นมอง  เมื่อตาสบตา  เสียงเขากระซิบรอดไรฟัน

                               สูจะไปมาลองดีกับเฮานา    เฮาเตือนสูดี ๆ เดียวจะหาว่าเฮาบ่บอก  เฮาเป็นห่วงสูรู้ก่

                               ปล่อยต้นแขนข้าเจ้าเดี๋ยวนี้นะ   ข้าเจ้าเจ็บ  บอกให้ปล่อยไงล่ะ  จ้าวไม่มีสิทธิ์มาทำอย่างนี้กับข้าเจ้า

                               อะหยังเฮาบ่มีสิทธิ์    ทำนักกว่านี้ยังได้เลย

                              ชายหนุ่มก้มตัวลงช้อนร่างของหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน  ท่ามกลางการผลักไส  หยิกข่วน  และทุบจากหญิงสาว  เขาไม่นำพากับการตอบโต้นั้น  พาหล่อนไปถึงที่หมายจนได้ ณ จุดแรกของการพบกัน  ห้องนอนของชายหนุ่มนั่นเอง    เขาโยนร่างนั้นลงบนเตียงนอนค่อนข้างแรง  ตามอารมณ์ของคนอุ้ม  และโถมตัวลงทับร่างนั้นไว้  ก่อนจะจูบพรมไปตามใบหน้า  และซอกคออย่างฮึกเหิม  ทุกอย่างดูเหมือนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนคล้ายจันทร์ตั้งตัวไม่ติด  หล่อนดิ้นรนอยู่ในกรงเหล็กอันแข็งแรงจนเหนื่อยอ่อน  ประกอบกับแรงปลุกเร้าของฝ่ายตรงข้าม  เมื่อรู้ตัวอีกที  ลมหายใจอุ่น ๆ ก็มารออยู่ตรงปลายจมูกเธอ  ริมฝีปากแนบชิดกัน  ความร้อนแรงเริ่มลดลงเหลือเพียงความอบอุ่นผ่านแทรกสู่ปลายลิ้นซึ่งกันและกัน  คล้ายจันทร์รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นนั้นเริ่มแทรกซึมเข้าไปในใจเธอ   ทำให้ความรู้สนองตอบเป็นไปในลักษณะโอนอ่อนตาม  จนกระทั่งกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายถูกปลดออกหล่อนเกือบเคลิ้มไปแล้ว  หากจ้าวต่วนจะชะงักการกระทำอย่างอ้อยอิ่ง 

    คล้ายจันทร์พยายามดันตัวจ้าวต่วนออกห่างด้วยความยากเย็น  จ้าวต่วนยอมผละจากร่างหล่อนนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงอย่างสกัดกั้นอารมณ์  คล้ายจันทร์ติดกระดุมเสื้ออย่างเร่งรีบ  ก่อนจะวิ่งกลับห้องของตนเอง

     

    **************************

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×