คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : รักระหว่างภพ ตอนที่ 3
บทที่ 3
เมื่อสองสาวใช้พาคล้ายจันทร์ไปอาบน้ำจริง ๆ หล่อนถึงได้รู้สึกว่าทำไมคนเหนือไม่ยอมอาบน้ำกลางวันกันโดยเฉพาะสาว ๆ ป้าจันเป็งให้หล่อนนุ่มผ้าซิ่นกระโจมอก มีผ้าคลุมไหล่ผืนหนึ่งที่ไม่ใช่ผ้าขนหนู หล่อนเข้าใจว่าผ้าขนหนูคงยังไม่มีใช้ หรือยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายจึงไม่ได้ถามหา เดี๋ยวจะพากันตกอกตกใจกันใหญ่ น่ารำคาญในบางครั้ง บางครั้งก็ดูตลกขบขัน ที่อาบน้ำทำด้วยไม้ทั้งหลัง หลังคามุงด้วยใบหญ้าคาตากแห้งถักติดกันเป็นแผง พื้นทำด้วยไม้อีกเช่นกัน ไม้เป็นแผ่นใหญ่ ๆ อย่างที่คนในยุคของหล่อนเห็นเข้าคงรู้สึกเสียดายน่าจะนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นมากกว่านำมาทำเป็นพื้นห้องน้ำ โอ่งใส่น้ำดูจะเหมือนกับสมัยของหล่อนมากที่สุดคือเป็นดินเผาลายมังกรสีน้ำตาล แต่ดูหนากว่าเป็นพิเศษ น้ำในโอ่งเย็นจนรู้สึกเหมือนจะแช่ด้วยน้ำแข็ง หล่อนใช้มือแตะน้ำรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก หลังจากอาบน้ำเสร็จหล่อนถึงกับสั่นจนฟันกระทบกันดังกึก ๆ ที่อาบน้ำก็อยู่ค่อนข้างห่างจากบ้านพอสมควร แยกกันต่างหากกับห้องส้วม ซึ่งคล้ายจันทร์เห็นสภาพแล้วอยากร้องไห้ ห้องส้วมทำเป็นกระต๊อบคล้าย ๆ ที่อาบน้ำแต่จะต่างกันตรงที่มีหลุมขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางกั้นด้วยไม้ กระดานอย่างหนาสองแผ่นมีช่องสำหรับใส่ของเสีย ตรงฝาห้องมีไม้ขนาดเล็กเท่าแขนงไผ่ใส่กระบอกไม้ไว้สำหรับทำความสะอาดเมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จ กลิ่นของเสียฟุ้งตลบอบอวลอยู่ในนั้น ยังดีอยู่บ้างที่ด้านนอกปลูกดอกดาวเรืองไว้โดยรอบ พอจะกลบกลิ่นภายในได้บ้าง นี่ขนาดห้องน้ำชั้นจ้าวน่ะเนี่ยถ้าของสามัญชนจะขนาดไหนคล้ายจันทร์ไม่อยากคิดถึงเลยจริง ๆ แรก ๆ คล้ายจันทร์รู้สึกทรมานมากที่จะเข้าห้องน้ำแต่พอถึงเวลาจริง ๆ ทุก ๆ เช้าหล่อนต้องใช้ห้องน้ำประจำครั้งละนาน ๆ เสียด้วย หล่อนให้ป้าจันเป็งและป้าชุ่มใจไปสรรหาดอกไม้มีกลิ่นหอมพันธุ์พื้นเมืองต่าง ๆ เช่น มะลิ จำปี จำปา ดอกแก้ว กุหลาบมอญ ฯลฯ เก็บใส่ขันน้ำเอาไปวางไว้ในห้องน้ำค่อยกลบกลิ่นได้อีกทาง โดยหมุนเวียนกันเอามาใส่ตามแต่จะเก็บดอกอะไรได้ คล้ายจันทร์เป็นนักแก้ปัญหาอยู่แล้ว ในความคิดของหล่อนปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไขได้เสมอ ถ้าเราตั้งใจที่แก้ไขมันจริง ด้วยใจจริงของเรา ยังเรื่องแปรงสีฟันอีก คล้ายจันทร์รู้สึกมานานแล้วเกี่ยวกับภูมิปัญญาไทยที่แทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิตของคนไทยโบราณมานานนักหนา เขาใช้กิ่งข่อยทุบสีฟันผสมกับเกลือได้รสชาติปะแล่ม ๆ ดี แถมยังช่วยรักษาเหงือกและฟันอีกด้วย
แรก ๆ ดูทุกสิ่งทุกอย่างติดขัดไปหมด แต่พอปรับตัวได้ก็รู้สึกดีเหมือนกับได้ทำสปาไปในตัว อาบน้ำก็ใช้ทั้งมะกรูดและมะขามขัดผิว วันดีคืนดีก็ขัดด้วยขมิ้นอีกที ใบหน้าขัดด้วยมะนาวกับน้ำผึ้ง ผมสระด้วยมะกรูดปิ้งไฟ ทุกสิ่งทุกอย่างมีคนจัดเตรียมให้ อาหารก็ปลอดสารพิษเป็นผักพื้นบ้านซะส่วนใหญ่ อยู่ ๆ ไปคล้ายจันทร์ชักเริ่มชินกับความสบายกายสบายใจ อากาศที่บริสุทธิ์ อุดมด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ที่มีอย่างสมบูรณ์ ผู้คนก็งามทั้งใบหน้าและจิตใจ คล้ายจันทร์รู้สึกเหมือนตนเองได้มาพักผ่อนตากอากาศ ตอนซัมเมอร์ยังไงอย่างงั้นเลย
20
คล้ายจันทร์มาอยู่ที่นี่เกือบอาทิตย์แล้วเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน หลังจากทานอาหารค่ำเสร็จแล้ว หล่อนนึกถึงเรื่องจ้าวน้อยราชบุตรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยปากถามเรื่องนี้กับจ้าวต่วน
“ จ้าวค่ะ จ้าวหน้อยที่เราเห็นวันนั้น เขามีคู่รักชื่อว่า มะเมียะ ใช่ไหมค่ะ “
“ ทำไมสูถึงรู้ว่าจ้าวหน้อยมีคู่รักชื่ออ มะเมี๊ยะ เปิ้นปิดกันจะตาย มีไผบ่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ เรื่องนี้พูดต่อหน้าคนหลายบ่ได้เน้อ สูจะถูกจับขังคอกเฮาก็ช่วยสูบ่ได้เน้อ”
“ รู้แล้วน่าไม่ต้องมาขู่หรอก “ คล้ายจันทร์ค้อนให้กับชายหนุ่มวงใหญ่ เธอตั้งหน้าตั้งตาพูดต่อไปโดยไม่กลัวเกรงต่อคำห้ามปรามของจ้าวต่วนแต่อย่างใด
“ ในยุคของฉันความรักของคนทั้งสองกลายเป็นตำนานรักอันยิ่งใหญ่ ที่ผู้คนกล่าวขวัญถึงกันทั้งเมือง ถึงขนาดมีคนนำไปแต่งเป็นเพลงดังไปทั้งประเทศเลยล่ะ คุณเชื่อไหม”
“ ไผเป็นคนเอาไปร้องเป็นเพลง ถึงขนาดนั้นเลยกา”
“ ก็ขนาดนั้นนะซิ คนที่เขาเอาไปร้องเป็นศิลปินนักร้องอมตะของล้านนาชื่อคุณสุนทรี เวชานนท์ที่ชอบร้องเพลงคู่กับคุณจรัล มโนเพชร ซึ่งตอนนี้ฝ่ายชายเสียชีวิตไปแล้ว สงสัยพวกคนดังนี่จะมีอาถรรพณ์กันนะ มักจะจบชีวิตลงตอนที่มีชื่อเสียงโด่งดังทำให้เป็นอมตะ ผู้คนยังคงชื่นชอบผลงานของเขาอยู่และระลึกถึงอยู่เสมอเมื่อครบรอบวันตายของเขาเหล่านั้นก็จะมีคนมาชุมนุมกันเพื่อระลึกถึงผลงานของเขาเสมอ”
“ เรื่องนั้นเฮาบ่สนใจหรอก บ่ค่อยเข้าใจที่สูพูดมา เฮาสนใจว่าเรื่องราวของเจ้าน้อยกับมะเมียะจะเป็นอย่างใดต่อไปเท่านั้น”
“ เอาอย่างนี้ไหมฉันพอจะจำเพลงของเขาได้บ้างจะลองร้องให้จ้าวฟัง พอเข้าใจแล้วกัน มันอาจไม่ครบถ้วนนะแต่อาจจะพอเข้าใจเรื่องราวบ้าง “
แล้วคล้ายจันทร์ก็เริ่มต้นร้องเพลงนั้นอย่างช้า ๆ เท่าที่เธอจะนึกได้ พร้อม ๆ กับนึกถึงบรรยากาศ เวลาที่เธอไปนั่งรับประทานอาหารที่ร้านคนเมืองแถวเชียงใหม่ เขามักจะเปิดเพลงเบา ๆ แบบล้านนาให้ลูกค้าฟังเสมอ เพลงนี้ก็เป็นหนึ่งในเพลงที่เขาชอบเปิดกัน
มะเมียะเป็นสาวแม่ค้าคนพม่าเมืองมะละแหม่ง
งามล้ำเหมือนเดือนส่องแสง คนมาแย่งหลงรักสาว
มะเมียะบ่ยอมรักไผ มอบหัวใจหื้อหนุ่มเชื้อจ้าว
เป็นลูกอุปราชท้าวเจียงใหม่
.
**** ต่อเมื่อจ้าวชายจบการศึกษา จำต้องลาจากมะเมียะไป
เหมือนโดนมีดสับดาบฟันหัวใจ ปลอมเป็นพ่อชายหนีตามมา
เจ้าชายเป็นราชบุตรแต่สุดที่ฮักเป็นพม่า
.
ผิดประเพณีสืบมาต้องร้างลาแยกทาง
**** โอโอ้ ก็เมื่อวันนั้น วันที่ต้องส่งคืนบ้านนาง
..
21
ต่อจากนั้นจำไม่ได้ ที่ร้องมานี่ก็เพี้ยนไปบ้างไม่มากก็น้อย แต่โดยรวมก็ประมาณนี้ ต่อด้วยตอนท้าย เล่ากันว่ามะเมียะแอบปลอมเป็นชายตามขบวนเสด็จของจ้าวหน้อยมาด้วย จนกระทั่งตอนหลังมาจ้าวพ่อของจ้าวหน้อยจับได้ บังคับให้จ้าวหน้อยแต่งงานกับผู้หญิงที่ท่านเตรียมไว้ให้ มะเมียะจึงต้องจำใจลาจาก แต่ก่อนไป เพลงบทสุดท้ายเขายังต่อว่า
****เจ้าชายก็จัดขบวนช้าง ให้ไปส่งนางคืนทั้งน้ำตา
มะเมียะตรอมใจอาลัยขื่นขม ถวายบังคมทูลลา
สยายผมลงเช็ดบาทบาทา ขอลาไปก่อนแล้วชาตินี้
เจ้าชายก็ตรอมใจตาย มะเมียะเลยไปบวชชี ความรักมักเป็นเช่นนี้แลเฮย***
“ คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่ามะเมียะไปบวชชีอยู่ที่เมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ไกลจากชายแดนไทยเท่าไร มีคนไทยหลายคนเคยไปเที่ยววัดนั้นกันมาแล้ว แต่ฉันยังไม่เคยไปสักที ดูความมั่นคงปลอดภัยยังไม่มีเท่าบ้านเรา”
“ สูก็พูดไปพม่าเปิ้นเจริญกว่าเจียงใหม่ด้วยซ้ำ เมืองเปิ้นก็ใหญ่กว่า น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ เครื่องประดับอัญมณีก็นักหลาย”
“ ก็จริงอยู่เรื่องนั้นฉันไม่เถียง แต่ในยุคของฉันเขาปิดประเทศไม่ค่อยติดต่อกับคนภายนอก ทรัพยากรเขายังมีอยู่ล้นหลามแต่ยังไม่มีการพัฒนาด้านอื่น ก็เลยล้าหลังกว่าประเทศอื่นโดยเฉพาะประเทศไทย”
“ อะหยังเป็นไทย คนเมืองเฮาอย่างใดไปเกี่ยวกับคนไทยได้”
“ จ้าวไม่เชื่อฉันหรือ อีกหน่อยจะถูกรวมเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจ้าวจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม มันเป็นไปแล้ว ตอนนี้ก็เกือบจะรวมแล้วไม่ใช่หรือ อิทธิพลของคนไทยที่มีต่อคนเมืองก็มากขึ้นทุกวัน เรื่องของจ้าวหน้อยกับมะเมียะก็มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนิดหน่อย พวกอังกฤษคงไม่เห็นด้วย หากว่าเจ้าชายล้านนาจะแต่งงานกับสาวพม่า เชียงใหม่ก็จะปัญหากับพวกอังกฤษดีไม่ดีเขาบีบบังคับเอา จ้าวหลวงจะลำบากใจมากที่สุด”
“ เอาละ เอาละ เฮาบ่ฮู้ว่าควรจะเชื่อสูดีก่ แต่เฮาจะรอดูต่อไปก็แล้วกัน อนาคตเป็นสิ่งบ่แน่นอน คนเฒ่าเปิ้นว่า ตามีหน้า ผ่อหน้าบ่หัน(อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอนไม่มีใครล่วงรู้ได้) ว่าแต่ว่าวันนี้เปิ้นชวนกันเก็บดอก เตรียมตัวไปใส่ขันดอกอินทขิลที่วัดเจดีย์หลวง สูจะไปก็เตรียมตัว หรือว่าจะไปช่วยป้าชุ่มใจกับป้าจันเป็งเก็บดอกเตรียมดอกก็ได้ ได้กุศลแรงเน้อ เสาอินทขิลเป็นเสาหลักเมืองของเจียงใหม่ เปิ้นจะจัดงานสัก 7 วัน วันนี้เป็นวันแรก คนน่าจะมากันหลายอยู่ แต่ก็สนุกดี บ่าวสาวจะได้เจอกันก็วันนี้หละ”
22
“ หนุ่มสาวยุคจ้าวนี้น่ารักกันจังเลยเนอะจะเจอกันได้ต่อเมื่อมีเทศกาลสำคัญ ๆ เท่านั้น หนุ่มสาวสมัยฉันเขาโทรศัพท์หากัน อีเมล์หากัน รวดเร็วทันใจดี แต่บางทีก็แฝงอันตรายด้วย”
“ อะหยังเป็นไอ้โท ไอ้สับ อีเหมียว มันเป็นไผเกี่ยวอะหยังกับการเจอกันของบ่าวสาวด้วย”
“ โอ๊ย ! ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไงให้จ้าวเข้าใจได้หรอก ยุคของจ้าวมันไม่มี ไม่เอาล่ะง่วงนอนฉันไปนอนดีกว่า”
“ โฮะ แล้วบ่ไปจัดดอกช่วยป้าชุ่มใจกับป้าจันเป็งกา”
“ ไม่เอาล่ะฝนตกปรอย ๆ แบบนี้ต้องเข้านอนคลุมโปงมันถึงจะวอร์ค”
หล่อนสาวค้อนให้จ้าวต่วนวงใหญ่ อย่างรู้สึกหมั่นไส้เสียเต็มประดา ก่อนจะหันหลังก้าวเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามองอีกเลย จ้าวต่วนยืนงงกับกริยาท่าทางของหญิงสาวสักครู่ ก่อนจะจุดรอยยิ้มที่ริมฝีปาก ดู ๆ ไปหล่อนก็น่ารักดี กล้าพูด กล้าเจรจา กล้าต่อล้อต่อเถียงอย่างที่หญิงสาวคนอื่น ๆ ในเมืองเชียงใหม่ไม่มีใครเป็นอย่างนี้เลยสักคน
*****************
คืนนั้นจ้าวต่วน คล้ายจันทร์พร้อมด้วยป้าจันเป็งป้าชุ่มใจ อ้ายคำอ้ายมา พากันไปใส่ขันดอกที่วัดเจดีย์หลวง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของล้านนาเลยทีเดียว ในงานนั้นมีผู้คนมากมายที่มากด้วยศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เกือบแทบทุกคนถือขันดอกทำจากไม้หลากหลายชนิดที่มีรูปร่างสวยงามเท่าที่เจ้าตัวจะสามารถจัดหาได้มาพร้อมดอกไม้สด ธูปเทียน ข้าวตอก และเหรียญสตางค์เพื่อร่วมทำบุญ ทุกคนแต่งตัวสวยงามตามแบบอย่างชาวล้านนา มีหลากหลายวัยด้วยกันมีทั้งคนแก่ เด็ก บ้างก็มากันเป็นครอบครัว บ้างก็มากับเพื่อน ๆ โดยเฉพาะหนุ่ม ๆ สาว ๆ มากันเป็นกลุ่ม ๆ ตามกันมา ได้ยินเสียงยอกล้อเกี้ยวพาราสีกันอยู่ทั่วไปเป็นที่สนุกสนาน
จ้าวต่วนเดินมาคู่กับคล้ายจันทร์ มีป้าจันเป็งป้าชุ่มใจ อ้ายคำอ้ายมาถือขันดอกตามหลังมาทุกคนไปกราบพระประธานของวัดก่อน โดยกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ 3 ครั้ง ต้องหาที่สำหรับจะกราบนานพอสมควรเพราะที่ว่างสำหรับให้กราบแทบไม่ มีเพราะคลาคล่ำไปด้วยผู้คน จ้าวต่วนดูมีความสุขมากเมื่อได้เดินอยู่เคียงข้างคล้ายจันทร์เขาเดินนำไปใส่ขันดอกตามขันแก้ว ( ขันดอกขนาดใหญ่ส่วนมากทำเป็นรูปสามเหลี่ยมใช้สำหรับให้พุทธศาสนิกชนนำดอกไม้มาใส่รวมกันเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ) แล้วจึงให้คนอื่น ๆ ใส่ตามกันมาเป็นทิวแถวโดยเริ่มจากคล้ายจันทร์ก่อน ความจริงจ้าวต่วนมีอาการเหมือนอยากจะจับมือคล้ายจันทร์ใส่ขันดอกร่วมกันเหมือน
23
สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่คู่อื่น ๆ ทำกันแต่ก็เกรงใจคล้ายจันทร์อยู่ในทีเนื่องเพราะไม่ใช่คู่แต่งงานกันจริง ๆ จ้าวต่วนเป็นที่รู้จักของคนในเชียงใหม่เป็นจำนวนมากประเดี๋ยวคล้ายจันทร์จะเสียหาย ชายหนุ่มจึงได้พยายามยับยั้งชั่งใจไม่ทำอะไรตามอำเภอใจของตนเอง
คล้ายจันทร์รู้สึกแปลกตากับบรรยากาศที่หล่อนอยู่ในขณะนี้หล่อนเคยไปใส่ขันดอกที่วัดเจดีย์หลวงเหมือนกันแต่มันตอนนั้นหล่อนยังเป็นเด็กอยู่ ความรู้สึกมันลางเลือนจนแทบจะจำอะไรไม่ได้เลยทีเดียว ไม่นึกเลยว่าวันนี้หล่อนจะได้มีโอกาสมาใส่ขันดอกอีกครั้ง หล่อนพึงรู้ซึ้งในความศรัทธาที่ชาวล้านนามีต่อพระพุทธศาสนาอย่างท่วมท้นก็วันนี้เอง
พอเดินไปได้สักพักคล้ายจันทร์รู้สึกเหมือนมีสายตาของใครจ้องมองอยู่ หล่อนไปมองตามความรู้สึก เจอเจ้าของดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองหล่อนอยู่อย่างสงสัยแถมพึงใจ พร้อมกันนั้นเขาได้ก้าวเข้ามาหาจ้าวต่วน
“ จ้าวปี่มากับไผกา มาหลายคนก่”
“ มากันสามสี่คน แล้วสูมากับไผ”
“ ไปรวมกลุ่มกับหมู่เฮา ทางปู้นบ่จะได้ม่วน ๆ”
“ วันนี้คงบ่ได้ละมัง เฮาพาคนที่บ้านมาด้วยไม่สะดวก”
จ้าวต่วนทักทายตอบชายหนุ่ม ที่มาทักและชายตามองไปยังกลุ่มหนุ่มสาวที่ชายหนุ่มแยกมา พอดีมีเสียงเรียกเหมือนส่งสัญญาณให้ชายหนุ่มกลับเข้ากลุ่ม ชายหนุ่มจึงกล่าวลา
“ จ้าวปี่.......หมู่เฮาเรียกล่ะเฮาไปก่อนเน้อ เอาไว้เฮาจะไปเยี่ยมจ้าวปี่ที่บ้าน”
ชายหนุ่มรีบร้อนจากไปกึ่งเสียดายชายตามาทางคล้ายจันทร์อีกครั้งในที ก่อนจะเดินอย่างเร็วไปเข้ากลุ่มกับเพื่อน ๆ พร้อมกับปะปนกับผู้คนในงานกลืนหายไป
หลังจากนั้นจ้าวต่วนดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนิดหน่อยพาลชวนกลับเอาดื้อ ๆ
“ กลับกันเถอะป้าจันเป็ง ป้าชุ่มใจ อ้ายคำอ้ายมา บ่มีอะหยังแล้วดึกแล้วด้วย”
“ จ้าวอยู่ต่ออีกหน่อยบ่ เฮายังม่วนอยู่เลย”
อ้ายคำกล่าวทักท้วงขึ้นเพื่อชะลอเวลากลับบ้าน และหันไปมองหน้าคนอื่น ๆ อย่างขอความเห็น ยังมิทันที่ใครจะเอ่ยอะไรจ้าวต่วนชิงพูดขึ้นก่อน
“ ไผบ่กลับบ่ต้องกลับ เฮาจะกลับละ”
เขาพูดจบคว้ามือคล้ายจันทร์ให้เดินไปตามแรงฉุด หญิงสาวไม่ทันตั้งตัวก็จำต้องเดินไปตามแรงนั้น โดยมีป้าจันเป็งป้าชุ่มใจ อ้ายมาและอ้ายคำคนต้นคิดวิ่งตามหลังมา ก่อนจะพากันมาหยุดตรงหน้าบริเวณทางเข้าวัด จ้าวต่วนซื้ออ้อยค่วนเสียบไม้ติดกันเป็นแพที่แม่ค้าโรยด้วยดอกมะลิหอมกลิ่นไว้ยื่นให้คล้ายจันทร์ไม้หนึ่ง และตนเองก็หยิบชิ้นหนึ่งใส่ปากเคี้ยว และมายืนรอป้าจันเป็งป้าชุ่มใจที่พากันไปซื้อถั่วต้ม อ้ายคำอ้ายมาได้รับแจกอ้อยค่วนจากจ้าวต่วนคนละไม้หลังจากนั้นก็พากันเดินกลับกากของถั่วต้มกับอ้อยก็ทิ้งเรี่ยราดไปตามทางที่เดิน คนยุคนี้เขากินอยู่
24
กันแบบง่าย ๆ ขยะก็ย่อยสลายได้ง่ายไม่ต้องเปลืองแรงคนและเครื่องจักรในการจัดเก็บเหมือนคนยุคหล่อน ถึงจะขาดระเบียบวินัยไปบ้างแต่ก็ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม คืนนั้นคล้ายจันทร์นอนหลับอย่างเป็นสุข นี่แหละหนาอาการอย่างนี้หรือเปล่าที่เขาเรียกว่า “อิ่มบุญ”
******************************************
“ จ้าวปี่ต่วนขอรับ กระผมมาแอ่วหาจ้าวปี่ขอรับ”
ชายหนุ่มหน้าตาดี ขาวหล่อแบบหนุ่มเหนือโดยกำเนิด สูงไล่ๆ กับจ้าวต่วน แต่ฝ่ายหลังดูจะผิวคล้ำกว่าสูงกว่าชายหนุ่มผู้มาใหม่เล็กน้อย เสียงมาก่อนตัวและเยี่ยมหน้ามามองพร้อมกับรอยยิ้มที่ระบายอยู่เต็มวงหน้า
“ กระผมได้ยินมาว่า จ้าวปี่มีญาติมาจากกรุงศรีอยุธยา เปิ้นว่างามขนาด แท้หรือจ้าวปี่ ทำอย่างใดจะได้เห็นหน้าเปิ้นสักครั้งหา”
จ้าวต่วนระบายยิ้มอยู่ในหน้า อย่างรู้เท่าทันการมาของญาติหนุ่ม “ อินหวัน” ผู้น้องชาย ถึงใบหน้ายิ้มละไม แต่ภายในใจชายหนุ่มไม่แน่ใจตนเองว่ายินดีเหมือนที่แสดงออกทางสีหน้าหรือไม่ ขณะที่ปากยิ้มเยือนพร้อมกับเอ่ยตอบอย่างยินดี
“ ได้อยู่แล้ว ประเดี๋ยวเฮาจะพาไปรู้จัก จะได้รู้ว่างามเหมือนกำเปิ้นลือไหม”
ยังไม่ทันที่สองหนุ่มจะพากันไปไหน พอดีได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินย้ำเรือนขึ้นมา ใกล้เข้ามาจนเห็นเจ้าของฝีเท้านั้น หล่อนมีใบหน้างามแฉล้ม ผิวแก้มสีชมพูระเรื่อผุดผาดด้วยวัยสาวสะคราญ ผมตรงยาวปะบ่า แต่งกายด้วยชุดล้านนาโทนสีชมพู มองผาด ๆ ก็เหมือนหญิงสาวชาวล้านนาทั่วไป หากจะมีผู้สังเกตก็จะดูได้จากกริยาท่าทางเท่านั้นที่ดูแปลกไป ดูไม่เคอะเขิน
เป็นตัวของตัวเอง ชวนมองไปอีกแบบหนึ่ง หล่อนหยุดเดินมองมายังจ้าวต่วนก่อนจะชำเลืองแลไปทางแขกหนุ่มผู้มาเยือน ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จ้าวต่วน ดูท่าทางเขามองมายังหล่อนด้วยสายตามีไมตรี
“ มาก็ดีล่ะ เฮาอยากให้สูรู้จักกับจ้าวอินหวันน้องเฮาเอาไว้ ต่อไปภายหน้าจะได้ช่วยเหลือกันได้บ้าง ”
จ้าวต่วนเอ่ยกับคล้ายจันทร์ก่อนจะหันไปทางญาติหนุ่ม
“ นี่แหละญาติเฮาที่ลุกกรุงศรีอยุธยามา รู้จักกันเอาไว้เสียชื่ออ.............ชายหนุ่มดูจะเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อชื่อ...คล้ายจันทร์ “
จ้าวอินหวันดูจะไม่ค่อยสนใจอะไร มากกว่าจะยืนมองหญิงสาว อย่างชนิดจ้องตาไม่กระพริบ
“ คล้ายจันทร์.....นี่จ้าวอินหวันมีศักดิ์เป็นน้องเฮา จ้าวแสงเดือนแม่จ้าวอินหวันเป็นน้องแม่เฮา “ จ้าวต่วนแนะนำคล้ายรอดูท่าทีของหญิงสาว
25
คล้ายจันทร์ยกมือไหว้ชายหนุ่มอย่างงดงาม ถึงแม้ถ้านับตามอายุปัจจุบันหล่อนอาจจะอาวุโสกว่า แต่ถ้านับตามอายุของยุคแล้วหล่อนต้องมีอายุน้อยกว่าทุกคนในยุคนี้อยู่แล้ว อย่างไม่ต้องสงสัย
ชายหนุ่มนามว่าเจ้าอินหวันรับไหว้หล่อนอย่างพอใจในท่าทีของหล่อน แสดงออกอย่างกระตื้อรือร้นที่จะพูดคุยด้วยอย่างเอาใจ ในลักษณะชายหนุ่มพอใจหญิงงามอย่างเปิดเผย
“ ตั้งแต่มาอยู่เจียงใหม่ จ้าวปี่ต่วนพาสูไปแอ่วไหนมาบ้างละ นอกจากไปใส่ขันดอก ที่ไหนสูยังบ่เคยไปหรือใคร่อยากไปบอกเฮาเน้อ เฮาจะพาไป เฮารู้จักที่งาม ๆ ม่วน ๆ หลายที่”
หญิงสาวเอาแต่ยิ้ม เมื่อชายหนุ่มชวนคุย ด้วยไม่รู้จะพูดอะไรดี เพิ่งเคยเห็นหน้า เพิ่งรู้จักกันเป็นครั้งแรก ถึงแม้จะเห็นกันบ้างแวบ ๆ เมื่อคืนที่ผ่านมานี้ก็ตาม ดูชายหนุ่มจะไม่ละความพยายามเอาง่าย ๆ พยายามชวนคุย คล้ายจันทร์เป็นฝ่ายฟังเสียมากกว่า ผงกศีรษะและยิ้มเสียเป็นส่วนใหญ่ จ้าวต่วนรู้สึกขัดลูกตาเสียเป็นกำลัง ดูมันอึดอัดไปหมดพูดไม่ออกบอกไม่ถูก อีกคนมีศักดิ์เป็นน้อง อีกคนหมายใจ จ้าวต่วนตกใจกับคำหลัง หมายใจ เราหมายใจเอื้องคำแล้วหรือนี่ อดรนทนไม่ได้ จำต้องจากภาพนั้นไปเงียบ ๆ มาหยุดยืนอยู่ใต้ต้นจำปาต้นใหญ่ หลังเรือน จำปาต้นใหญ่ออกดอกบานสะพรั่งเต็มต้น ส่งกลิ่นหอมอบอวลให้กับคนที่ผ่านไปมา บางคนอดไม่ได้ที่จะหาไม้มาสอย ยิ่งเป็นพวกผู้หญิงยิ่งแล้วมักจะสอยแล้วเหน็บบนมวยผมของตนเอง แต่อารมณ์ของชายหนุ่มในยามนี้ไม่สามารถสุนทรีรมย์กับกลิ่นของมันได้ เขาระงับอารมณ์ที่พุ่งพวยออกมาด้วยการยืนนิ่ง ๆ ปล่อยสายตาให้มองทอดออกไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
“ จ้าวปี่ต่วนขอรับ เฮาใคร่อยากพาคล้ายจันทร์เปิ้นไปแอ่วทางนอกเมือง บ่ายสักหน่อยเฮาจะพามาส่งจะได้ไหมจ้าวปี่”
จ้าวอินหวันตามมาตอแยกับชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นพี่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลา อย่างที่คนเหนือมักจะล้อกันว่า “ หน้าไน้” กับอาการของชายหนุ่มที่พอใจหญิงสาวจนออกนอกหน้าหุบยิ้มไม่ลง จ้าวต่วนอยากออกปากปฏิเสธตามหัวใจที่เรียกร้องของตนเอง แต่พอเหลือบมองไปที่หญิงสาวผู้ตามมาทีหลัง กับใบหน้าที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว มองจ้องมาอย่างตั้งใจฟังคำตอบ ชายหนุ่มรู้สึกหมั่นไส้เป็นยิ่งนัก
“ พากันไปเตอะ เฮาบ่ห้ามหรอก แต่ก็อย่ากลับค่ำนักเน้อ บ้านเฮากินข้าวแลงเช้า สูก็รู้ดีไม่ใช่หรืออินหวัน “
“ ไปบ่นานจ้าวปี่ เฮารับรอง อย่างใดจะพาคล้ายจันทร์มาส่งก่อนกินข้าวแลงแน่ ๆ “
ชายหนุ่มรองรับการพากลับมาส่งบ้านให้ทันอาหารเย็น ก่อนหันมาทางหญิงสาว เชื้อเชิญให้ออกเดินนำกันออกไป คล้ายจันทร์อดไม่ได้ที่จะหันไปมองหน้าผู้อนุญาตให้ไปเที่ยวได้ แวบแรกที่เห็นดูเขามีสีหน้าง้ำงออย่างไม่พอใจ หะแรกหญิงสาวรู้สึกงงกับท่าทีของจ้าวต่วน ทำไมทำหน้าเหมือนโกรธเรา แต่พอคิดหาเหตุผล ไม่พอใจเรื่องอะไรหนา ไม่พอใจที่เรามาพบ
26
จ้าวอินหวันอย่างนั้นหรือ หรือจ้าวต่วนมีใจให้เรา คิดอะไรบ้า ๆ น่าคล้ายจันทร์ หญิงสาวรำพึงกับตัวเอง
“ เฮาออกไปแอ่วทางท่าแพดีไหม สูจะได้เห็นช้างลากซุงที่เปิ้นมาขึ้นไม้กันที่นี่ จะเห็นหมู่ฝรั่งด้วย สูรู้จักฝรั่งหรือเปล่า บ้านสูมีฝรั่งไหม”
ชายหนุ่มหยุดเดินหันมาคุยกับหล่อนด้วยเป็นเชิงปรึกษาหารือ
“ บ้านข้าเจ้ามีฝรั่ง ข้าเจ้าเห็นบ่อย ๆ แต่ช้างลากซุงแบบเดิม ๆ อย่างนี้ข้าเจ้าไม่เคยเห็น”
“ ดีล่ะ ที่สูบ่เคยเห็น เฮาจะได้พาไปแอ่วดูบัดเดียวนี้ละ เฮารีบเดินหน่อยเถอะจะได้กลับมาให้ทันข้าวแลง เฮากลัววจ้าวปี่ต่วนโกรธ ประเดี๋ยววันหน้าจะบ่ให้เฮาไปแอ่วด้วยกันอีกแหม”
“ ก็ดีเหมือนกัน ข้าเจ้าอยากเห็นช้างเร็ว ๆ มันอยู่แถวติดแม่น้ำปิงใช่ไหม”
“ แม่นละ รีบ ๆ เดินเตอะ อีกบ่ไกลจะถึงละ”
เมื่อมาถึงตรงตลิ่งก่อนถึงแม่น้ำปิงตรงนี้ที่เรียกว่าท่าแพ ช้างเป็นจำนวนหลายเชือกกำลังลากซุงกันอย่างแข็งขัน แต่บางเชือกก็หยุดพักลงอาบน้ำ พ่นน้ำจากงวงใส่ช้างด้วยกันเอง และครวญช้างที่ลงไปเล่นน้ำกับช้างของตนเองด้วย ช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่งในยุคสมัยของหล่อนเสียจริง ๆ คล้ายจันทร์คิดคำนึงพลางอมยิ้มน้อย ๆ ที่ได้เห็นภาพนี้ อยากจะเก็บมันไว้ในความทรงจำที่ดีของหล่อนตลอดไป จ้าวอินหวันตามมาทันเขามองดูหล่อนให้ความสนใจกับกลุ่มช้างลากซุงอย่างพึงพอใจ
มีฝรั่งพุงพุ้ยคนหนึ่งยืนสั่งการเป็นภาษาล้านนาแปร่ง ๆ อยู่ไม่ห่างนักจากจุดที่ช้างลากซุง คล้ายจันทร์เพ่งตามองไปยังฝรั่งคนนั้นอย่างสนใจใคร่รู้ จ้าวอินหวันมองตามสายตาของหล่อน
“ ใคร่อยากรู้จักเปิ้นกา ฝรั่งนั่นน่ะเจ้าชู้เน้อเมียก็นัก เปิ้นเป็นเจ้าของบริษัทค้าไม้ส่งไปขายเมืองฝรั่งด้วยกันปู้น”
“ ใช่แล้ว ข้าเจ้าใคร่อยากรู้จักเปิ้น จ้าวปี่อินหวันพอจะแนะนำ ข้าเจ้าให้รู้จักกับเปิ้นได้ไหมเจ้า”
“ อะหยังน้องคล้ายจันทร์ถึงใคร่รู้จักเปิ้น บ่หันจะหล่อเลย หัวก่อล้าน พุงก่อนัก เฮาบ่เข้าใจ ”
“ จ้าวปี่ไม่จำเป็นต้องเข้าใจข้าเจ้า ข้าเจ้าบ่สนใจรูปร่างของเปิ้นหรอก ข้าเจ้าสนใจใคร่รู้ว่าเปิ้นเป็นใคร ใคร่รู้ความเป็นมาของเขา ว่าเป็นคนมาจากประเทศอะไร มีความประสงค์สิ่งใด ถึงมาไกลถึงเชียงใหม่อย่างนี้ได้”
27
คล้ายจันทร์เริ่มอินกับการเข้ามาอยู่ในเจียงใหม่ยุคโบราณ หล่อนอยากมีส่วนเป็นคนที่นี่บ้างจึงหัดพูดภาษาท้องถิ่น โดยเริ่มจากคำแทนตัวเองเป็น “ ข้าเจ้า” ก่อนอย่างอื่น
“ ถ้าอย่างงั้นนก็แล้วไป เฮากลัวสูจะไปหลงเสน่ห์เปิ้น เหมือนสาวเจียงใหม่หลายคนที่ล้อมหน้าล้อมหลังเปิ้นอยู่เป็นหลายคน บ้างก็มีลูกหน้อยหัวแดงแนบข้าง แต่เฮาเชื่อเปิ้นอยู่อย่างว่าเปิ้นเสาะสตางค์เก่ง มีเมียกี่คนกี่คนก็เลี้ยงได้”
พอดีฝรั่งหัวแดงหันมาเห็นจ้าวอินหวัน แก่ส่งยิ้มอย่างเปิดเผย พร้อมกับเดินมาหาสองหนุ่มสาวอย่างดีใจ ก่อนจะส่งมือสัมผัสกันกับจ้าวอินหวัน
“ จ้าวอินหวัน ดีใจแต้ ๆ ที่ปะจ้าว สาวงามที่มาด้วยนี้เปิ้นเป็นไผหา พอจะแนะนำให้เฮารู้จักได้ไหม”
ด้วยคุ้นเคยกับมารยาทชาวต่างประเทศเป็นอย่างดี คล้ายจันทร์ส่งมือไปสัมผัสให้กับฝรั่งวัยเลยสี่สิบปีอย่างไม่เคอะเขิน
“ ยินดีที่ได้รู้จักเจ้า มิสเตอร์.........................” หล่อนละคำเรียกชื่อ ก่อนจะแนะนำตัวเองอย่างเป็นกันเอง
“ ข้าเจ้าชื่อคล้ายจันทร์ มาจากอยุธยาเจ้า”
ชายฝรั่งตาน้ำข้าวยืนงงดูท่าทางของหญิงสาวครู่หนึ่ง กับท่าทางคล่องแคล่วไม่เหมือนหญิงสาวชาวเมืองโดยทั่วไปของคล้ายจันทร์ ก่อนจะได้สติยิ้มก่อนยื่นมือมาสัมผัสกับหญิงสาวพร้อมกับแนะนำตัวเอง
“ กระผมชื่อจอห์นสัน ปาร์คเกอร์ มาจากประเทศอังกฤษขอรับ แต่คนอื่นเรียกผมว่า “ อ้ายจอน” ถ้าบ่รังเกียจจะเรียกเหมือนคนอี่นก็ได้”
คล้ายจันทร์ดูจะสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับกิจการป่าไม้ที่อ้ายจอนทำเสียเหลือเกิน หล่อนคุยกับเขาอย่างออกรส นายจอนนี่ก็ดูจะสนใจในความงาม และบุคลิกอันไม่เหมือนสาวยุคนี้ของหล่อน ท่าทางเปิดเผย มั่นใจในตนเอง กล้าพูดกล้าถาม มีความรู้เกี่ยวกับงานของเขาดีพอสมควร คุยกันได้ทุกเรื่อง แม้แต่ภาษาอังกฤษบางคำที่เขาหลุดปากพูดออกมา ถ้าเป็นคนอื่นจะสงสัยไม่เข้าใจ ดูเหมือนหล่อนจะเข้าใจที่เขาพูดโดยตลอด จนทำให้เขาเข้าใจว่าหล่อนมีความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี ในตอนท้ายของบทสนทนา เขาจึงออกปากเชื้อเชิญหล่อนให้ไปเที่ยวที่บ้านของเขาบ้าง
“ ถ้าว่างก็ไปแอ่วบ้านผมบ้างเน้อ ขอประทานโทษน้องคล้ายจันทร์ อ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ไหม ที่บ้านอ้ายมีนักขนาด จะได้เลือกไปอ่านบ้างไหม”
“ ข้าเจ้าสนใจหนังสือนักอยู่ เอาไว้ว่าง ๆ ข้าเจ้าจะไปแอ่วเน้อ แต่คงไปบ้านอ้ายจอนบ่ถูก”
“ บ่เป็นไรหื้อจ้าวอินหวันพาไปก็ได้ เปิ้นรู้จักบ้านอ้ายเป็นอย่างดี”
28
ก่อนจะหันมาพยักหน้ากับจ้าวอินหวันอย่างเป็นกันเองอีกครั้ง ชายหนุ่มยิ้มรับ
“ เฮาจะพาไปแน่อ้ายจอน ว่าแต่เตรียมขนมนมเนยไว้ต้อนรับเฮาดี ๆ เตอะ”
เขาหันมาทางหญิงสาว แตะข้อศอกหล่อนอย่างแผ่วเบา
“ คล้ายจันทร์ เฮากลับก่อนเตอะ ปานนี้จ้าวปี่ต่วนท่าจะรอเฮากลับไปกินข้าวแลงแล้วละกระมัง”
คล้ายจันทร์หันมาทางอ้ายจอน ทำท่าจะยื่นมือให้เขาสัมผัสอีกครั้ง แต่ดูเหมือนหล่อนจะนึกออกเรื่องประเพณีจึงหดมือกลับ เป็นพนมมือไหว้อย่างงดงามแทนก่อนเอ่ยปาก
“ ข้าเจ้ากลับก่อนเน้อ อ้ายจอน เอาไว้จะไปเยี่ยมที่บ้าน ไปหาหนังสือมาอ่าน อยู่ที่นี่ไม่มีหนังสืออ่านเลย อยากได้หนังสือมาอ่านสักเล่ม สองเล่มเวลาว่าง ๆ จะได้ไม่เหงา “
******************************
เมื่อกลับมาถึงบ้านจ้าวต่วน พบชายหนุ่มทำหน้าหยิกรอรับอยู่ ทำท่าทางเหมือนไม่สนใจในการมาของจ้าวอินหวันและคล้ายจันทร์ แต่หูผึ่งอยู่ตลอดเวลา ทำทีเป็นชมนกชมไม้อยู่บริเวณสวนหน้าบ้าน เดินเตร่ไปเตร่มา จ้าวอินหวันเหลือบเห็นญาติผู้พี่ก่อน เขาทำท่ากุลีกุจอเข้าไปหาชายหนุ่ม เพราะกลัวชายหนุ่มจะไม่ให้พาคล้ายจันทร์ไปเที่ยวอีกในครั้งต่อไป
“ จ้าวปี่ขอรับ เฮาพน้องคล้ายจันทร์กลับมาส่งทันเวลาข้าวแลงแล้วนะขอรับ วันนี้เฮากลับก่อนเน้อ วันพรุ่งเฮามาหาใหม่” ประโยคหลังต้องการให้หญิงสาวทราบมากกว่าจะ
บอกเจ้าของบ้าน อย่างที่ไม่อยากฟังคำตอบ ชายหนุ่มเดินลงบันไดบ้านไปอย่างรวดเร็ว จ้าวต่วนมองตามร่างนั้นด้วยสายตาขุ่นมัว ก่อนจะหันมาทางหญิงสาว
“ ไปถึงไหนกันมา ท่าจะม่วนเนอะ กลับมาทำหน้าไน้ วันพรุ่งไปอีกก็ได้เพราะ อินหวันมันอู้ม่วนเสน่ห์แรง สาว ๆ หลงคำอู้มันไปหลายคนแล้ว อีกแหมบ่เมินสูก็จะหลงมันแหมอีกคน จะได้ไปอยู่เฮือนหลวงด้วยกันหลายคนม่วนดี “
“ จ้าวเป็นอะไร อย่ามาพาลเอากับข้าเจ้านะ ใครจะหลงใคร จะอยู่เรือนเล็กเรือนใหญ่ เราไม่รู้ แค่เป็นเพื่อนกันไปเที่ยวแค่นี้ ใคร ๆ เขาก็ทำกันไม่ใช่เรื่องแปลก”
“ เฮอะ! บ่ใช่เรื่องแปลก มีแม่หญิงดี ๆ ที่ไหนเปิ้นทำกันหยังนี้ เฮาเห็นมาหลายแล้ว อินหวันมันเจ้าชู้ รูปหล่อ เมียนักหลาย สูใคร่อยากเป็นเมียแหมอีกคนแม่นก่อ ถึงกล้าเถียงเฮาอย่างนี้”
“ ชักเลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว จ้าวนี่แปลกคนจริง ๆ “
หญิงสาวตอบโต้อย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะยักไหล่ด้วยความเคยชิน และหุนตัวกลับ
“ ข้าเจ้าไปอาบน้ำก่อนดีกว่า เหนียวตัวจริง ๆ “
29
ชายหนุ่มรู้สึกหน้าแดง ตัวชากับคำพูดอันยอกย้อนของหญิงสาว เขาคว้าต้นแขนของหญิงสาวเอาไว้ ก่อนจะดึงเข้ามาชิดจนหล่อนต้องเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อตาสบตา เสียงเขากระซิบรอดไรฟัน
“ สูจะไปมาลองดีกับเฮานา เฮาเตือนสูดี ๆ เดียวจะหาว่าเฮาบ่บอก เฮาเป็นห่วงสูรู้ก่”
“ ปล่อยต้นแขนข้าเจ้าเดี๋ยวนี้นะ ข้าเจ้าเจ็บ บอกให้ปล่อยไงล่ะ จ้าวไม่มีสิทธิ์มาทำอย่างนี้กับข้าเจ้า”
“ อะหยังเฮาบ่มีสิทธิ์ ทำนักกว่านี้ยังได้เลย”
ชายหนุ่มก้มตัวลงช้อนร่างของหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน ท่ามกลางการผลักไส หยิกข่วน และทุบจากหญิงสาว เขาไม่นำพากับการตอบโต้นั้น พาหล่อนไปถึงที่หมายจนได้ ณ จุดแรกของการพบกัน ห้องนอนของชายหนุ่มนั่นเอง เขาโยนร่างนั้นลงบนเตียงนอนค่อนข้างแรง ตามอารมณ์ของคนอุ้ม และโถมตัวลงทับร่างนั้นไว้ ก่อนจะจูบพรมไปตามใบหน้า และซอกคออย่างฮึกเหิม ทุกอย่างดูเหมือนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนคล้ายจันทร์ตั้งตัวไม่ติด หล่อนดิ้นรนอยู่ในกรงเหล็กอันแข็งแรงจนเหนื่อยอ่อน ประกอบกับแรงปลุกเร้าของฝ่ายตรงข้าม เมื่อรู้ตัวอีกที ลมหายใจอุ่น ๆ ก็มารออยู่ตรงปลายจมูกเธอ ริมฝีปากแนบชิดกัน ความร้อนแรงเริ่มลดลงเหลือเพียงความอบอุ่นผ่านแทรกสู่ปลายลิ้นซึ่งกันและกัน คล้ายจันทร์รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นนั้นเริ่มแทรกซึมเข้าไปในใจเธอ ทำให้ความรู้สนองตอบเป็นไปในลักษณะโอนอ่อนตาม จนกระทั่งกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายถูกปลดออกหล่อนเกือบเคลิ้มไปแล้ว หากจ้าวต่วนจะชะงักการกระทำอย่างอ้อยอิ่ง
คล้ายจันทร์พยายามดันตัวจ้าวต่วนออกห่างด้วยความยากเย็น จ้าวต่วนยอมผละจากร่างหล่อนนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงอย่างสกัดกั้นอารมณ์ คล้ายจันทร์ติดกระดุมเสื้ออย่างเร่งรีบ ก่อนจะวิ่งกลับห้องของตนเอง
**************************
ความคิดเห็น