คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : รักระหว่างภพ ตอนที่ 2
บทที่ 2
กับข้าวที่คนรับใช้ของจ้าวต่วนเอามาให้นั้น เป็นอาหารเหนือที่คุ้นตาของคล้ายจันทร์ ประดิษฐ์ประดอยคล้ายกับสั่งมาจากร้านอาหารพื้นเมืองของเชียงใหม่ เพียงแต่ไม่มีส่วนที่เป็นมะเขือเทศกับแครอท เหมือนที่หล่อนเคยคุ้นตา ส่วนมากจะเป็นผักในท้องถิ่นของเชียงใหม่ จ้าวต่วนเชิญชวนให้หล่อนทานข้าวด้วยกัน หล่อนก็หยิบนี่ทานนั่นนิด ๆ หน่อย ๆ พอรู้รส เนื่องจากหล่อนทานมื้อหนักหนึ่งมื้อแล้วในตอนเช้ากับมารดา เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วจ้าวต่วนก็ขนสำรับกับข้าวออกไปไว้นอกห้องโดยไม่ยอมให้ สองหนุ่มนั้นย่างกรายเข้ามาในห้องเลย เป็นที่ติดใจสงสัยของสองหนุ่มยิ่งนัก เมื่อกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง จ้าวต่วนเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
“ สูนี่เป็นแม่หญิงที่แปลก ธรรมดาถ้าเป็นสาวจะกินข้าวกับบ่าว มักจะอายม้วนไปม้วนมา แต่นี่สูกินเอากินเอา ต่อหน้าเฮาอย่างกะว่าคุ้นเคยกันมาเป็นปี”
“ สังคมที่ฉัน เอ่อข้าเจ้าอยู่มาน่ะ ผู้หญิงเขาไม่ค่อยอายกันแล้ว แค่ไปเรียนหนังสือก็เจอกันทุกวี่ทุกวัน มามัวแต่อายกันไม่ต้องทำอะไรแล้ว”
“ อะหยังก๊อ...แม่หญิงไปเฮือนหนังสือ บ่มี...บ่มี..เฮาบ่เชื่อ แม่หญิงที่ไหนจะไปเฮือนหนังสือ มีแต่ป้อชายเท่านั้นตี้เฮือน แล้วก่บ่ใช่ทุกคนด้วย มีแต่พระสงฆ์กับเจ้านายเท่านั้นตี้เฮือนได้”
คล้ายจันทร์เริ่มคิดว่านี่หล่อนหลุดไปอยู่ยุคไหนกันนี่ เหมือนที่หล่อนเคยอ่านหนังสือนิยายอย่างนั้นหรือ ทำไมผู้ชายคนนี้ ยิ่งได้คุยกันยิ่งรู้ว่าสังคมของหล่อนกับเขาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันไม่อยากเถียงกับคุณแล้ว พาฉันออกไปข้างนอกได้หรือยัง”
ตอนแรกหล่อนกะจะเปลี่ยนสรรพนามตัวเองเป็น “ข้าเจ้า” บ้างจะได้เข้ากับบรรยากาศหน่อย แต่ก็ไม่ถนัดปากจึงกลับมาใช้ภาษาเดิมของตัวเองดีกว่า
“ ยังไปบ่ได้ ยังเช้าอยู่ คนเห็นมาก ถ้ามีคนเห็นเฮาอยู่กับสู เฮาบ่ฮู้จะบอกเปิ้นว่าใด”
“ ก็บอกไปว่าญาติซิ มาจากอยุธยา”
“ เอ่อ...แต่ว่า จ้าวพ่อก็บ่อยู่ คนอื่น ๆ ก็บ่ค่อยสนใจเฮาอยู่แล้ว สูก็แต่งตัวเข้าท่า เหมือนจ้าวอยู่บ้าง....เอาล่ะเฮาไปกันเตอะ”
ชายหนุ่มกึ่งลังเล กึ่งมั่นใจ จริงอยู่วันนี้บิดาของเขาซึ่งมีศักดิ์เป็นจ้าวเชียงใหม่ชั้นปลายแถวไม่อยู่ ไปธุระที่ลำพูน อีกเป็นอาทิตย์กว่าจะกลับ ส่วนมารดาซึ่งมีตำแหน่งเพียงอนุภรรยาคนหนึ่งเท่านั้น แต่ก็นับได้ว่าเป็นคนโปรดคนหนึ่งของสามีแต่โชคร้ายเสียชีวิตหลังจากเขาเกิดได้5-6 ขวบ จึงเหลือแต่เขาซึ่งเป็นลูกผู้ชาย 1 ใน 2 ของตระกูล เขาจึงค่อนข้างมีความสำคัญสำหรับบิดารองจากจ้าวตุ๋ยหรือจ้าวคำยวงผู้เป็นพี่ชายต่างมารดา จ้าวพ่อสร้างเรือนหลังนี้ให้เขาและมารดาอยู่ เป็นบ้านหนึ่งในบริวารของบ้านใหญ่ที่บิดาอยู่ร่วมกับภรรยาหลวง และลูกที่เกิดจากภรรยาหลวง
11
และมีบ้านของอนุภรรยาที่อยู่รอบล้อมบ้านหลวงอีก 4-5 หลัง แต่หลังที่เขาอยู่นับว่าอยู่ในฐานะดีรองลงมาจากบ้านหลวง
ชายหนุ่มบอกให้หญิงสาวรออยู่ข้างใน ส่วนตัวเขาย่องไปเปิดประตูเพื่อสำรวจความเรียบร้อย ก่อนจะกวักมือเรียกหญิงสาวให้ตามออกไป
“ ค่อย...ค่อย...หน่อยนาสู เดียวพวกคนรับใช้ได้ยินมันจะเป็นเรื่องใหญ่ เฮาขี้คร้านอธิบายหื้อหมู่มันฟัง”
หญิงสาวไม่ตอบโต้คำพูดของชายหนุ่ม แต่ปฏิบัติตามคำเตือนนั้นโดยลดฝีเท้าลงจากเดินหนัก ๆ เป็นย่องอย่างพยายามให้เงียบที่สุด เผอิญว่าเป็นช่วงบ่ายแก่ ๆ พวกข้ารับใช้มักจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน ก่อนจะเริ่มงานเตรียมตอนเย็นอีกที ในความคิดของคล้ายจันทร์เชียงใหม่ยามนี้มันช่างดูรื่นรมย์เต็มไปด้วยธรรมชาติ มีบรรยากาศอย่างล้านนาจริง ๆ อย่างที่คนในยุคของหล่อนเคยจำลองไว้ในงานแสดงต่าง ๆ คล้ายจันทร์มัวแต่มองสิ่งแวดล้อมของตนเองในยามนี้ ที่ถึงแม้จะเป็นบริเวณบ้านเดิมที่ตนเองเคยอยู่ แต่บรรยากาศเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หล่อนคิดว่าตัวเองกำลังฝันไปเหมือนทุกครั้ง เพื่อยืนยันความคิด หล่อนใช้มือบิดแขนตัวเอง แล้วก็รีบกัดริมฝีปากเพราะมันเจ็บจริง ๆ ไม่ใช่ความฝัน
ชายหนุ่มหันมาเห็นคล้ายจันทร์มัวแต่มองสังเกตสิ่งแวดล้อมตัว ไม่ค่อยจะสนใจเดินตามเขานัก และเพราะกลัวคนอื่นจะมาเห็นก่อนจะทันออกประตูรั้วบ้านไป เขาตัดสินใจคว้ามือหล่อน พร้อมกับวิ่งนำออกไปเพื่อให้พ้นประตูรั้วบ้านเร็ว ๆ อารามตกใจคล้ายจันทร์ได้แต่วิ่งตามแรงฉุดของเขาออกไป เมื่อหยุดยืนใต้ร่มไม้ใหญ่ที่ห่างประตูมาเล็กน้อย หล่อนสะบัดมือให้พ้นจากการเกาะกุมของเขา
“ เอ่อ ! ฮู้แล้วล่ะว่าทำแบบนี้มันผิดผี แต่มันบ่มีทางอื่นแหมนี่นา เฮาก่เลยตัดสินใจทำจาอี้ แต่เฮากับสูก่ผิดผีหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่อยู่ในห้องโตยกันแล้ว สูว่าแท้ก่”
ชายหนุ่มพูดขึ้นหลังจากหายใจหายคอดีขึ้นแล้ว จากการวิ่งเมื่อสักครู่ คล้ายจันทร์ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับชายหนุ่ม หล่อนค้อนให้เขาวงใหญ่ และหันไปสนใจคนที่เดินไปเดินมาแถวนั้น แต่เอะนี่มันถนนหรือนี่ ทำไมมันไม่เหมือนเดิม มันไม่ใช่ถนนบ้านหล่อนแน่ๆ รถราที่เคยวิ่งอยู่อย่างสับสนตลอดเวลาหายไปไหน ทำไมมันเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวครื้มไปหมด ถนนเป็นดินอัดแน่นที่ใช้แรงงานคนทำ มีแต่ผู้คนที่เดินถือกระบุ้ง ตะกร้า บ้างก็หาบคอน อุ้มลูกจูงหลานพูดคุยกันด้วยภาษาคำเมืองที่เพราะหู ผู้คนไม่มีท่าทีรีบร้อนไปไหนเดินสบาย ๆ หยุดทักทายปราศรัยกันบ้างตามประสาคนรู้จักกัน มีบางคนทักจ้าวต่วนตามรายทางบ้าง
“ โอ๊ะ! วันนี้จ้าวต่วนพาสาวตี้ไหนมาแอ่วโตยน่ะ จะไปไหนกันหรือขอรับจ้าว”
12
“ บ่ใช่สาวตี้ไหนหรอก พี่น้องกันนี่แหละ เปิ้นมาจากกรุงศรีอยุธยา ใคร่ไปแอ่วกาด เฮาเลยอาสาพาไปแอ่ว แล้วอ้ายใจจะไปไหนกา”
“ว่าจะไปใส่ไซสักหน่อยนา เมื่อคืนฝนตกปลาท่าจะมี ถ้างั้นเชิญจ้าวตามสบายเน้อ”
ชาววัยกลางคนทักทายจ้าวต่วน ก่อนขอตัวไปหาปลาต่อ ชายสองคนยกมือให้กัน คล้ายจะบ๊ายบายก่อนจะเดินแยกกันไปคนละทิศ
“ เมื่อกี้จ้าวบอกผู้ชายคนนั้นว่าจะพาฉันไปไหนนะ ตลาดใช่ไหม”
“ เอ่อ! แม่นแล้วสูใคร่เห็นอะหยังทางนอกบ่ใช่กา กาดนี้ล่ะเหมาะสุด ไผ ๆ ก็มากาดกันทั้งนั้น ของกินก่นัก แม่หญิงชอบกันบ่ใช่กา”
ประโยคหลังเขาตั้งคำถามเอากับคล้ายจันทร์ หล่อนได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย เพราะไม่มีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียง ด้วยตื่นเต้นกับถนนหนทาง บ้านเรือน ผู้คนที่หล่อนได้พบเห็นมากมาย ยิ่งพิจารณาคล้ายจันทร์ก็เริ่มแน่ใจว่าหล่อนกำลังหลงมาแน่ๆ แต่มันยุคไหนกันหนอ หรือจ้าวต่วนจะบอกหล่อนได้เกี่ยวกับเรื่องนี้
“ นี่จ้าวปีนี้พ.ศ เอ่อ พุทธศักราชที่เท่าไร จ้าวรู้ไหม”
“ เฮาบ่ฮู้ว่าพุทธศักราชตี้เท่าใด ถ้าใคร่ฮู้ต้องไปถามพระสงฆ์ตี้วัด เฮาฮู้แต่ว่าปีนี้ปีเส็จ นาคพ่นน้ำเจ็ดตัว จะมีฝนตกนักทั้งปี บ่กั่นบ่อยาก ดอกมะโอเป็นพญาแห่งดอกทั้งหลาย สระผมหื้อสระวันศุกร์ผินหน้าไปทางใต้ ตัดเล็บวันพุธดี ตัดผมวันเสาร์ดี ปีนี้เสียอังคารกับอาทิตย์ คนเกิดวันจันทร์มีเคราะห์”
คล้ายจันทร์ตะลึงงันกับคำตอบที่ยืดยาวของเขา แอบนึกในใจ อีตาบ้านี่ถามคำเดียวดันตอบซะยืดยาว อย่างกะบุญชูกลับชาติมาเกิดอย่างนั้นล่ะ
“ หลีกหน่อย....หลีกหน่อย.....หลีกหน่อย....ปี่น้องทั้งหลาย ....จ้าวหน้อยเสด็จ” เสียงทหารเอะอะเอากับคนที่เดินไปมาสองข้างทาง ก่อนจะปรากฏรูปขบวนเสด็จ พลทหารจำนวนหลายสิบคนเดินนำมาก่อนเป็นขบวน ตามด้วยขบวนสัตว์ต่าง ( สัตว์บรรทุกของบนหลังชนิดต่าง ๆ เช่น ม้า วัวที่บรรทุกสิ่งของไว้เพื่อการเดินทางไกลในสมัยโบราณ ) ตรงกลางขบวนมีช้างตัวใหญ่ท่าทางแข็งแรงที่สุดมีครอบพร้อมหลังคาทำด้วยไม้ไผ่สานอย่างประณีตตกแต่งด้วยผ้าจีบสีเหลืองดิ้นเงิน มีช่องหน้าต่างสำหรับคนที่นั่งข้างในจะชะโงกมองออกมาได้ คล้ายจันทร์มั่นใจว่าผู้ที่นั่งอยู่บนหลังช้างนี้จะต้องเป็น “จ้าวหน้อย” อย่างไม่ต้องสงสัย หล่อนจ้องเขม็งไปที่ช่องหน้าต่างในใจนึกภาวนาให้ผู้ที่นั่งอยู่ข้างในชะโงกหน้าออกมาให้หล่อนได้เห็นสักครั้ง ดูเหมือนว่าคำภาวนาของเธอจะได้ผล สักครู่หนึ่งก่อนที่ขบวนจะผ่านไปมีมือหนึ่งค่อย ๆ รั้งผ้าม่านที่ปิดกั้นหน้าต่างออกเผยให้เห็นใบหน้าผู้ที่นั่งอยู่ข้างใน ปรากฏใบหน้าชายหนุ่มรูปงามแต่งกายด้วยชุดสีแดงโพกศรีษะด้วยผ้าสีขาวเหลือบเงิน มองมายังผู้คนสองข้างทางอย่างสนใจใคร่รู้ ระหว่างที่
13
ขบวนผ่านไป ณ จุดใดประชาชนของพระองค์ต่างก็ล้มตัวลงนั่งเพื่อหมอบกราบกันสลอน จนกระทั่งผ่านมาตรงจุดที่หล่อนและจ้าวต่วนยืนอยู่ หล่อนมองสบตาเข้ากับจ้าวหน้อยแวบหนึ่ง เขาเป็นผู้ชายที่มีดวงตาคมเข้มแต่แฝงแววโศก คล้ายจันทร์ไม่รู้สึกตัวว่าตนเองมัวตะลึงมองอยู่นานเท่าไร จนรู้สึกว่าถูกดึงมือให้นั่งลง หล่อนจึงได้ทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงตวาดจากทหารรับใช้ข้างหน้าสุด และมีดาบมาจี้ลงที่ต้นคอของหล่อน พร้อมกับออกคำสั่ง
“ หมอบ....หมอบลงบ่าเดียวนี้ สูเป็นไผบ่ฮู้ทำเนียมกา สูใคร่ใส่ตรวนกา”
คล้ายจันทร์ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝันมาก่อน หล่อนก้มหน้าลงกับพื้น ทำท่าหมอบตามคนอื่นอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
“ บ่ควรตะคอกเปิ้นนักเตอะทหาร เปิ้นเป็นคนกรุงศรีอยุธยา บ่ค่อยฮู้ทำเนียมบ้านเฮา เฮารับประกันได้” เสียงทุ่ม ๆ อย่างไว้เชิงของจ้าวต่วนดังขึ้นข้าง ๆ ตัวหล่อน คล้ายจันทร์รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง เมื่อมีคนช่วยเหลือแม้จะเป็นเพียงคำพูดก็ตาม
“ ขอสูมาเตอะ... จ้าวต่วน กระผมบ่ฮู้ว่าเป็นคนของจ้าว แต่จาใดก่บอกเปิ้นหื้อก้มค้อมตัวลงบ่ใช่เอาแต่จ้องหน้าจ้าวหน้อย จ้องเอา จ้องเอา มันบ่ดีผิดฮีต ถึงจะเป็นแม่หญิงก่เตอะ”
เป็นจังหวะที่ขบวนเสด็จผ่านมาตรงหน้าจ้าวต่วนและคล้ายจันทร์พอดี ชายหนุ่มสูงศักดิ์ทั้งสองสบตากัน จ้าวต่วนยกมือไหว้อีกฝ่ายเพียงแต่พยักหน้ารับและโบกมือมาให้ อย่างคนรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี อาจเป็นเพราะอยู่ต่อหน้าสาธารณชนด้วย ถึงแม้จะถูกห้ามไม่ให้มองหน้าจ้าวหน้อยแต่ความสงสัยใคร่รู้ในตัวคล้ายจันทร์ยังไม่หมดไป หล่อนยังคงเหลือบชำเลืองดูทุกอิริยาบถของจ้าวหน้อยอย่างพิศวงงงงวย จนกระทั่งขบวนเสด็จได้ผ่านไปจนลับตา
“ พอใจหรือยัง จ้องแต้จ้องว่า อย่างคนบ่เคยพบเคยเห็น แปลกแต้ ๆ”
หญิงสาวไม่ได้สนใจคำพูด แกมประชดของชายหนุ่มแต่อย่างใด ยังคงยืนใจลอยมองตามขบวนช้างนั้นอย่างครุ่นคิด
“ คนนี้ใช่จ้าวหน้อยที่เป็นคู่รักของมะเมี๊ยะหรือเปล่า”
ชายหนุ่มยกนิ้วชี้ขึ้นจุริมฝีปาก เป็นสัญญาณให้หยุดพูด ก่อนลดเสียงลงเป็นกระซิบกระซาบเอากับหล่อน
“ อย่าดังไป สูฮู้ก่เรื่องนี้เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย สูจะโดนจับบเข้าตาราง เฮาก่ช่วยบ่ได้เน้อ...ปะ...ปะ...กลับเตอะ เฮาว่าอยู่นานเห็นท่าบ่ดี สูใคร่ฮู้อะหยังสูก่ถามเฮา”
หญิงสาวทำท่าละล้าละลัง เหมือนจะไม่ยอมกลับง่าย ๆ หล่อนยังอยากดูอะไร ต่อมิอะไรอีกเยอะแยะ มันแปลกหูแปลกตาไปหมด ชายหนุ่มเห็นท่าจะไม่ดีรีบลุนหลังหล่อนให้ออกเดินกลับทางเดียวกับที่มาเมื่อกี้ เขาพาหล่อนลัดเลาะไปตามขือเมืองหรือคันดินที่ติดกับร่องน้ำขนาดใหญ่ที่ใช้แรงคนขุดเป็นรูปสี่เหลี่ยมรอบเมืองหลวง ซึ่งมีกำแพงก่อด้วยอิฐมอญสร้างอย่างแข็งแรง
14
สูงใหญ่อยู่รอบด้านในอีกทีหนึ่ง นัยว่ากันข้าศึกบุกเข้ายึดเมืองจะได้ มีความยากลำบากในการบุกเข้ายึด
“ น้ำนี่ลึกขนาดไหนค่ะ จ้าวต่วน”
“ ก่มากอยู่...สักสามท่วมท่าจะได้”
“ สามท่วม ก็เท่ากับเอาคนสามคนมายืนต่อกันนะหรือค่ะ”
“ อันนี้ขนาดตื้นที่สุดแล้ว บางตี้ 4-5 ท่วมก่มี”
“ อย่างนี้ข้าศึกก็ต้องเข้าเมืองเชียงใหม่ได้ยากแน่ ๆ เลยซิคะ ใครว่ายน้ำไม่เป็นก็หมดสิทธิ์เข้าเมือง คุณรู้ไหมว่าในยุคของฉันขือเมืองตื้นเขินมาก ขาดคนสนใจชนิดว่า น้ำตื้นแค่หน้าแข้งหัวเข่า จนถึงยุคของท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร จึงมีการบูรณะครั้งใหญ่ ขือเมืองจึงลึกบ้างบางตอน แต่ก็ไม่ลึกเท่าที่เห็นในขณะนี้ ประโยชน์ของมันก็คือเป็นสถานที่ท่องเที่ยว และเอาไว้เล่นน้ำสงกรานต์ในเทศกาลปี๋ใหม่เมือง ผู้คนส่วนใหญ่จะนั่งรถกระบะหรือรถมอเตอร์ไซด์ผ่าน โดยมีคนคอยตักน้ำรดรอบขือเมืองอย่างสนุกสนานเท่านั้นเอง”
“ อะหยังก่ ....นายกทักษิณ ชื่อของเจ้าหลวงของหมู่สูกา”
“ จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่เขาไม่มีอำนาจสั่งฆ่าใครได้เหมือนเจ้าหลวง ไม่ได้สืบต่ออำนาจกันเป็นทอด ๆ เหมือนเจ้าหลวง แต่เป็นได้เพราะประชาชนช่วยกันเลือกให้เขาเป็น”
“ ประชาชน นี่มันอะหยังกา”
“ ก็คนธรรมดาสามัญอย่างฉัน หรืออย่างอ้ายคำ อ้ายสมของจ้าว ยังไงล่ะ”
“ เฮ่อ! ฟ้าจะผ่า... อ้ายคำกับอ้ายสมเลือกเจ้าหลวง” ชายหนุ่มยักไหล่เผยมือเหมือนเห็นเป็นขบขัน มากกว่าจะเห็นเป็นจริงเป็นจังตามที่หล่อนพูด
“ เอาล่ะ.....เอาล่ะ....จ้าวไม่เชื่อก็อย่าเชื่อมันมีหลายเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่คนยุคจ้าวไม่มีวันเข้าได้หรอก”
สองหนุ่มสาวมัวแต่เถียงกันจนเดินมาถึงประตูรั้วบ้านในเวลาอันรวดเร็ว
“ เอ่อ...สู...สู.”
“ เอะ...ฉันมีชื่อนะ อย่าเรียกฉันอย่างนั้นฉันไม่ชอบ”
“ ชื่ออะหยังกา.....คล้ายจัง..........คล้ายจันทร์อะหยังก่บ่ฮู้ ฮ้องก่ยาก..แปลกแต้ ๆ ไผเป็นคนตั้ง วันหน้าเฮาขอเรียกชื่อใหม่เน้อ เฮาเรียกบ่เป็นชื่อนี้”
“ ก็ใบหน้าฉันสวยเหมือนพระจันทร์ยังไงล่ะ ไม่เข้าใจอีก คนอะไรเข้าใจยากจัง”
“ เอ่อ!..เดียวก่อน เฮามาเตี้ยมกันก่อน.. เอาอย่างงี้ไหมเฮาจะบอกคนในบ้านว่าสูเป็นญาติเฮา ลุกกรุงศรีอยุธยามา เหมือนบอกคนนอกบ้าน ดีไหมสูว่าจาใด”
“ เอายังไงก็เอา ลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่ ว่าอะไรว่าตามกัน”
15
พอเดินเข้าไปในบ้านได้สักครู่ก็เจอป้าจันเป็งกับป้าชุ่มใจ คนรับใช้เก่าแก่ของบ้านเดินผ่านมา จ้าวต่วนทำเป็นเดินพาคล้ายจันทร์ผ่านไปอย่างไม่สะทกสะท้าน สองสาวใช้สูงวัยเห็นผิดสังเกตรีบวิ่งตามหลังคนทั้งสอง วกมาข้างหน้ายืนหอบแฮก ๆ
“ เดียว.....เดียว....หยุดก่อนเจ้าจ้าวต่วน จ้าวพาไผมาโตยน่ะ ขออนุญาตจ้าวพ่อละกา”
ชายหนุ่มหยุดเดินในทันที ทำท่าทีจริงจังอย่างต้องการให้หญิงวัยกลางคนทั้งสองเชื่อตนเองเป็นอย่างยิ่ง
“ จาใดบ่บอก จ้าวพ่อเป็นคนอนุญาตหื้อเฮาพาแม่หญิงคนนี้เข้ามาบ้านเฮาแต้ ๆ เฮาเพิ่งไปรับเปิ้นมาจากกาดบ่าเดียวนี้ เปิ้นเป็นญาติเฮามาจากกรุงศรีอยุธยาชื่อ.....................”
ชายหนุ่มหยุดคิด ก่อนจะบอกชื่อจริงของหล่อนดีหรือไม่หนอ แวบหนึ่งของความคิด เอาอย่างนี้ท่าจะดี”
“ตี้จริงเปิ้นชื่อ “ คล้ายจันทร์” แต่เฮาบ่คุ้นชื่อนี้ เฮาจะเรียกเปิ้นว่า “ เอื้องคำ” ก็แล้วกัน ฟังเหมือนคนบ้านเฮาดี”
หญิงทั้งสองมองคล้ายจันทร์ อย่างไม่หมดความสงสัย มองสำรวจอย่างพินิจพิจารณา ป้าจันเป็งคงสงสัยหนักจึงเผลอพูดออกมา
“ มองจาใด จาใด ก็บ่เหมือนคนทางใต้ ผิวก็บ่ดำ หุ่นร่างอย่างคนเหนือ”
ป้าชุ่มใจยืนฟังอยู่ พยักหน้าตามอย่างเห็นด้วยเต็มที่
“ เฮาก็ว่าจาอั้น บ่เหมือนคนใต้เลย อย่างกับคนเหนือแต้ ๆ “
“ ก็นั่นละกา พ่อก็เหนือแม่ก็เหนือ แต่พากันไปอยู่กรุงศรีอยุธยานานแล้ว เอื้องคำเกิดกรุงศรีอยุธยาก็เลยอู้คำเมืองบ่ได้ แต่ฟังรู้เรื่องเน้อ”
ชายหนุ่มรีบกลบเกลื่อน เพื่อพยายามซ่อนพิรุธไว้อย่างแนบเนียน ป้าชุ่มใจ เริ่มเห็นคล้อยตาม
“ ท่าจะแต้ อย่างจ้าวต่วนว่าเหมือนกัน ว่าจาใดจันเป็ง”
ป้าจันเป็งยังไม่คลายสงสัยอยู่ดี
“ แล้วเปิ้นเป็นญาติทางใดของจ้าวพ่อ ป้าก็รู้จักลูกหลานจ้าวพ่อเปิ้นทุกคน จาใดป้าบ่รู้ว่ามีญาติเปิ้นไปอยู่กรุงศรีอยุธยา”
“ เอะป้าจันเป็งกับป้าชุ่มใจนี่จาใด ก็ทวดเฮาเปิ้นมีเมียหลายคน เมียชั้นปลายแถวแล้ว ที่เขาสีออนน่ะ ป้าสองคนบ่รู้จักหรอก ขนาดเฮายังบ่เคยหันหน้าเปิ้นเลย พอล่ะบ่ต้องมาถามเฮา เฮาไปข้างนอกมาเหนื่อย ๆ ญาติเฮาก็เดินทางมาไกล อยากพักให้สบายสักหน่อย สูบ่ต้องมาถามละ ไปทำงานสูเตอะ”
ชายหนุ่มตัดบท อย่างพยายามให้สองหญิงรับใช้เห็นคล้อยตามตนที่สุด และไปเสียให้พ้น ๆ ก่อนจะค้นพบคำตอบที่แท้จริง ที่แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าหล่อนมาจากไหนกัน
16
แน่ จะว่าเป็นผีสางนางไม้ ก็ไม่ใช่เดินออกไปตลาดกับเขาได้สบาย ๆ กลางวันแสก ๆ กลางแดดร้อนเปรี้ยง ๆ สัมผัสดูเนื้อตัวก็อุ่น ๆ เหมือนกับตัวเขาเองและคนอื่น ๆ เอะหล่อนเป็นใครมาจากไหนกันแน่หนอ ชายหนุ่มครุ่นคิด
“ จ้าวต่วนเจ้า....จ้าวต่วน...แล้วจ้าวจะให้เปิ้นอยู่ที่ไหนเจ้า ให้จันเป็งกับชุ่มใจจัดห้องให้ดีไหมเจ้า”
“ บ่ต้องไปจัดที่ไหนละ ให้เปิ้นอยู่เฮือนเดียวกับเฮาแต่อยู่อีกห้องก็แล้วกัน เรือนเฮาออกกว้างอยู่คงไม่เป็นไรมัง หรือว่าป้าจันเป็งกับป้าชุ่มใจบ่เห็นดีด้วยเฮา”
“ ข้าเจ้าเห็นด้วยอยู่เจ้า แต่ว่าเปิ้นเป็นแม่หญิงจะเหมาะกาเจ้า”
“ แม่นละเปิ้นเป็นแม่หญิง แต่เปิ้นเป็นน้องเฮานา บ่ดีลืม”
ชายหนุ่มทำสุ่มเสียงเข้มขึ้นอย่างให้เห็นว่าเริ่มโกรธ เพื่อจะทำให้หญิงทั้งสองทำตามอย่างที่เขาต้องการให้ได้ คล้ายจันทร์ยืนฟังบทสนทนาของคนทั้งสามอย่างใจจดใจจ่อ แต่กริยาอาการที่แสดงออกภายนอกนั้น ทำเป็นไม่ค่อยสนใจฟังเท่าไร จนกระทั่งชายหนุ่มคว้าแขนหล่อนให้เดินขึ้นเรือนไปพร้อม ๆ กับเขา ต่อหน้าต่อตาของหญิงรับใช้ทั้งสอง หญิงสูงวัยทั้งสองอ้าปากค้างโดยไม่รู้จะทำอย่างไรดีต่อสถานการณ์ที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่
“ นี่จ้าว...ปล่อยมือฉันได้แล้ว แล้วจ้าวก็พูดผิดด้วยตอนนี้ฉันอายุ 26 ปีแล้วนะ ฉันควรจะเป็นพี่จ้าวไม่ใช่น้องสาวอย่างที่จ้าวบอกสองคนนั่น เดี๋ยวคนเขาจะไม่เชื่อถือหน้าฉันก็ดูแก่กว่าจ้าวจริง ๆ เสียด้วยซิ”
หญิงสาวสะบัดมือจากชายหนุ่ม เขายอมปล่อยแต่โดยดีแต่ก็คัดค้านด้วยคำพูด
“ เอาเตอะ! จาใด จาใด สูก็ตัวหน้อยกว่าเฮา ปีนี้เฮาซาวเอ็ด ( 21 ปี ) ห่างกัน 5 ปี ที่นี้นี้เฮาจะเรียกสูว่า เอื้องคำ เน้อเฮาบอกคนอื่นไปแล้วด้วย เฮาพอใจแต้ ๆ ชื่อนี้เหมาะกับสูมาก”
หญิงสาวไม่ตอบ หากแต่เดินนำเข้าไปในห้องนอนด้วยความเคยชินว่าเป็นห้องของหล่อนเอง พอเปิดประตูห้องเข้าไปเจอสภาพภายในห้อง ถึงรู้สึกว่าไม่ใช่ห้องของตัวเองเหมือนเดิม แต่หล่อนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อจึงตัดสินใจนั่งลงบนเตียง โดยใช้มือทั้งสองยันกับที่นอนไว้ ใจจริงแล้วคล้ายจันทร์อยากล้มตัวลงนอนเกลือกกลิ้งกับที่นอนเหมือนหล่อนเคยปฏิบัติบ่อย ๆ ยามอยู่คนเดียว ในที่สุดหล่อนก็ห้ามใจตนเองไม่ได้ล้มตัวลงนอนตะแคงดึงผ้าห่มผืนบางที่พับไว้ปลายเตียงมาคลี่คลุมร่างไว้ครึ่งล่าง หันหลังให้ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องอย่างไม่ให้ความสำคัญอีกต่อไป
จ้าวต่วนรู้สึกแปลกใจกับการกระทำของหญิงสาวเป็นอย่างมาก หล่อนมีวิธีประพฤติปฏิบัติแตกต่างไปจากหญิงสาวที่เขาเคยพบเห็นโดยทั่วไปเสียเหลือเกิน หล่อนไม่ค่อยเขินอายยามเมื่ออยู่กับเขาตามลำพัง ทำอะไรที่เรียกว่าเป็นความอาจหาญเป็นอย่างยิ่ง ดูหล่อนทำซิจะมีหญิงใน
17
ล้านนาคนไหนกล้าทำอย่างนี้ เดินนำเข้ามาในห้อง ล้มตัวลงนอนต่อหน้าต่อตาเขาจะว่าหล่อนให้ท่าเขาก็ไม่ใช่ เพราะไม่มีท่าทีเชิญชวนเลยสักนิด หรือเป็นเพราะหล่อนถือว่าหล่อนอายุมากกว่าเขาเป็นพี่ หรือว่าหล่อนมาจากภพอื่นจริง ๆ อย่างที่หล่อนบอก เขายืนมองร่างของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างครุ่นคิด
“ ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! “
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเกือบจะพร้อมกับเสียงเรียกของป้าจันเป็ง และป้าชุ่มใจ
“ จ้าวต่วนเจ้า....จ้าวต่วน ข้าเจ้าสองคนจัดห้องทางโน้นให้แล้วเน้อเจ้า อยากได้อะหยังก็บอกนาเจ้า”
“ เอาสิเอา ป้าจันเป็งกับป้าชุ่มใจ จัดเสื้อผ้าใหม่ไว้ให้เอื้องคำเปลี่ยน ด้วยเน้อสัก 4-5 ชุดก่อนก็ได้ ถ้าเสาะบ่ได้ให้ไปซื้อที่กาด มาเอาสตางค์ที่เฮาก่อนก็ได้”
สองหญิงรับใช้หันมามองหน้ากัน ไหนบอกว่าเป็นญาติเดินทางมาจากกรุงศรีอยุธยาไฉนจึงไม่มีสมบัติอะไรติดตัวมาเลยสักชิ้น เพียงแค่เสื้อผ้าจะใส่ก็มาหาเอาข้างหน้า มันน่าสงสัยจริง ๆ แต่สิ่งที่ปฏิบัติออกมาคือกล่าวรับคำจ้าวต่วน
“ ไม่เป็นไรเจ้า พอดีมีผ้าใหม่อยู่ 4-5 ชุดพอดี ข้าเจ้าสองคนก็เลยเอามาเตรียมไว้ให้แล้ว จ้าวจะไปดูห้องก่อนไหมเจ้า ”
ชายหนุ่มเริ่มสงสัยในพฤติกรรมของสองหญิงรับใช้ว่าต้องการให้เขาพาคล้ายจันทร์ ออกไปให้เห็นหน้าค่าตากันก่อนแน่ ๆ คงไม่อยากให้เขาอยู่กันตามลำพังกับหญิงสาวเพราะผิดประเพณีทางเหนือ ก็เลยทำเป็นรี่ ๆ รอ ๆ ไม่ยอมไปไหนสักที จึงหันมาเรียกหญิงสาวให้ลุกจากเตียงไปสำรวจห้องใหม่ด้วยกัน
“ เอื้องคำ ปะเฮาไปดูห้องใหม่ของสูกัน ไปดูสิว่าถูกใจไหม เสื้อผ้าที่เขาจัดให้ใส่ได้หรือเปล่า ”
พูดเสร็จชายหนุ่มเดินไปเปิดประตู เดินนำออกไปก่อนปล่อยให้หญิงสาวลุกตามออกมาที่หลัง ห้องที่อยู่ใหม่ของคล้ายจันทร์คือห้องตรงข้ามกับห้องจ้าวต่วน มีขนาดเล็กกว่าห้องใหญ่เล็กน้อยอยู่ฟากตะวันตกของตัวบ้าน ของใช้ในห้องนี้แตกต่างจากห้องจ้าวต่วนอยู่บ้าง ตรงความหรูหราน้อยกว่า ลวดลายของไม้ก็แปลกไปจากห้องใหญ่ เตียงขนาดเล็กกว่าสัก 5 ฟุตได้ มีเสื้อผ้าของผู้หญิงพับวางซ้อนกันอยู่ในตะกร้าหวาย คล้ายจันทร์หยิบขึ้นมาดู และลองทาบกับตัวเองเข้าใจว่าใส่ได้เพราะเป็นเสื้อกับผ้าซิ่นทำจากผ้าฝ้ายทอมือ ยังใหม่เอี่ยมอยู่เลยท่าทางจะใส่สบาย หล่อนยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นข้าวของทุกชิ้นแล้ว
“ ขอบใจป้าจันเป็งและป้าชุ่มใจมากนะจ๊ะ ที่เป็นธุระจัดหาสิ่งของเครื่องใช้ให้ฉันทุกอย่าง”
18
“ ไม่เป็นไรเจ้า ข้าเจ้าสองคนยินดีทำทุกอย่าง ถ้าเป็นไปตามความต้องการของจ้าวต่วน และนายทุกคนในบ้านเจ้า”
“ อย่างนั้นก็ยินดีกับป้าสองคนด้วย มีอะไรก็ไปทำเตอะ เอื้องคำจะได้พักผ่อน เดินทางมาไกลเหนื่อยทั้งวันแล้ว “
ชายหนุ่มกล่าวเพื่อเร่งให้สองหญิงรับใช้กลับออกไป เพื่อคล้ายจันทร์จะได้พักผ่อนจริง ๆ ตามที่เขาได้บอกไป แต่ก็คิดอะไรได้จึงพูดขึ้นว่า
“ เอ่อ! ลืมไปอย่าลืมเตรียมเครื่องอาบน้ำของเอื้องคำด้วยเน้อ แล้วก็ตอนบ่ายคล้อยค่อยมาพาเปิ้นไปอาบน้ำด้วย “
เมื่อสองหญิงรับใช้กลับออกไปแล้วคล้ายจันทร์ เหมือนจะรอจังหวะอยู่แล้ว จะได้ซักถามเรื่องที่ตนเองสงสัยซะที
“ ที่นี่เขาไม่นิยมอาบน้ำกลางวันกันหรอกหรือค่ะ ฉันเหนียวตัวจัง อยากอาบน้ำ”
“สูนี่เป็นคนแปลก บ้านเฮาต้นไม้มากหนาวเกือบทั้งปี ถ้าไม่ใช่ปีใหม่จะบ่ร้อนเลย สูท่าจะเคยอาบน้ำบ่อยที่บ้าน เลยขี้ร้อน”
“ อย่าพูดมากน่า คุณไม่อยากอาบก็เรื่องของคุณ แต่ฉันอยากอาบนี่ แล้วไหนล่ะห้องน้ำ คุณบอกฉันหน่อยซิฉันจะไปอาบเองไม่รบกวนคุณหรอก ”
คล้ายจันทร์พูดขึ้นอย่างมีอารมณ์โกรธ กับคำพูดยอกย้อนของเขาตามความคิดของหล่อน
“ โน้นถ้าอยากอาบน้ำลงไปอาบที่ต้อบ( ห้องอาบน้ำสมัยโบราณของเชียงใหม่)ประเดียวเฮาจะให้ป้าจันเป็งกับป้าชุ่มใจพาไป”
*****************************************
ความคิดเห็น