ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักระหว่างภพ

    ลำดับตอนที่ #1 : รักระหว่างภพ ตอนที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ย. 49


    อารัมภบท

              หากจะมีใครสักคนที่อยู่ในโลกปัจจุบันพูดถึงเรื่องอดีตคงเป็นได้แต่เพียงประวัติศาสตร์หรือเป็นเพียงการถวิลหาเวลาที่ได้ผ่านล่วงเลยมา   นักวิทยาศาสตร์บางท่านเคยอ้างอิงถึงทฤษฏีการเลื่อมล้ำของกาลเวลาแต่ก็ไม่เคยมีใครสามารถพิสูจน์ได้  แต่ทว่าสำหรับคล้ายจันทร์สาวนักเรียนนอกผู้ล้ำสมัยเธอไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย  แต่แล้ววันหนึ่งเธอได้พบเจอกับตัวเอง   โดยผ่านสื่อชิ้นสำคัญคือชุดโบราณล้ำค่ามรดกตกทอดซึ่งสามารถนำเธอเดินทางย้อนเวลาไปในอดีตได้  และที่นั่นเธอได้พบเจอประเพณีโบราณที่น่าจดจำ  ประวัติบางช่วงที่รอเวลาพิสูจน์  และเหมือนจะมีใครบางคนรอคอยเพื่อมอบความรักแด่เธอคนเดียวสุดหัวใจ    ดุจจะเติมเต็มหัวใจรักที่ขาดหายของเธอตลอดไป.....



    บทที่ 1

              " ....เตมเค้าเนิ้งกิ่งมันบ่ถอน                              บ่ไหวเฟือนคลอน  กิ่งไบไหวเล้า

                    ตามกำลม  ที่ปัดออกเข้า                                      มีแต่เค้าไหวหวั่นคลอนเฟือน

                    กิ่งมันแท้  บ่แส่เสลือน                                        บ่เหมือนลมเชย........คำเพยก็ชานั้น

              ใจคำยิง  น้องหนิมเที่ยงหมั้น                            บ่เป็นของเปิ้นคนใด

                    ยังเป็นกระจก  แว่นแก้วเงาใส                          บ่ไหวข้อนเหงี่ยงซ้ายเนอ

    (ดนตรี)    นอย....หน่อย...นอย....น่อย.....นอย....น่อย.....นอย.....น่อย......

                   

                    เสียงเพลง  " น้อยไชยากับแว่นแก้ว"  คู่รักอมตะของชาวล้านนาดังเจื้อยแจ้วมาแต่ไกล   ใครคงเปิดวิทยุใกล้บ้านของเธอเป็นแน่แท้     คล้ายจันทร์คิดในใจ  ขณะที่ขยับผ้าห่มแพรที่เลื่อนลงไปให้คลุมขึ้นมาถึงหน้าอกอีกครั้ง  พลางเงี่ยหูฟังเสียงเพลงอย่างเคลิบเคลิ้มหลงใหล  ใครหนอเป็นคนแต่งเพลงนี้  ช่างไพเราะจับใจจริง ๆ ทั้งเนื้อร้องและทำนอง  เครื่องดนตรีที่บรรเลง  ดูทุกอย่างลงตัวไปหมด  หวนประหยัดถึงความฝันของตนเอง  หล่อนมีความฝันซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทั้งที่ตอนเรียนหนังสืออยู่ที่อังกฤษ  และตอนกลับมาแล้ว  เมื่อคืนนี้หล่อนก็ฝันอีก  หล่อนฝันถึงตนเองในชุดพื้นเมืองแบบชาวเหนือโบราณ  นุ่งผ้าซิ่นมีเชิงที่ชาวเหนือเรียกว่าตีนจก  เกล้าผมมวยมีดอกเอื้องคำเสียบผม  ใส่เสื้อคอจีนแขนยาวทรงกระบอกแบบเข้ารูป  ห่มทับด้วยสไปทอมืออีกผืน  หล่อนกำลังเดินเล่นในสวนที่ไหนสักแห่งหนึ่ง  ซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้พันธุ์พื้นเมือง  มีกลิ่นหอม เช่น มะลิซ้อน  กุหลาบมอญ  จำปี  จำปา  ร้านดอกสลิด  ดอกเก็จตะหว้า(พุดซ้อน)   ปลูกปนกันโดยไม่จัดหมวดหมู่ตามความนิยมของชาวเชียงใหม่ในยุคนั้น

                    " เอื้องคำ.......เอื้องคำ.....น้องอยู่ตี้ไหนปี่มาหา"

                    เสียงเรียกเป็นเสียงของผู้ชายที่ยังอยู่ในวัยหนุ่ม   เรียกเป็นภาษาพื้นเมืองอย่างชัดถ้อยชัดคำ  เจ้าของเสียงมีกังวานทุ่มนุ่มนวล  ทอดเสียงอ่อนโยน      คล้ายจันทร์มีความรู้สึกว่าในฝันตนเองชื่อ " เอื้องคำ"    หล่อนหันรีหันขวางเมื่อถูกเรียก  หล่อนพยายามเพ่งมองเจ้าของเสียงอยู่หลายครั้ง  แต่มักจะตกใจตื่นก่อนเห็นหน้าทุกครั้งไป  เมื่อครู่นี้ก็เหมือนกันหล่อนเกือบเห็นหน้าผู้เรียกอยู่แล้วเชียวดันมาได้ยินเสียงเพลงเสียก่อนทำให้สะดุ้งตื่นจากฝัน

                    คล้ายจันทร์จะเรียกว่าตนเองโชคดีก็โชคดี  หรือจะเรียกว่าโชคร้ายก็โชคร้าย  หล่อนเป็นบุตรสาวคนเดียวของนักธุรกิจชื่อดังของเชียงใหม่  พ่อของหล่อนทำธุรกิจส่งออกสินค้าเกี่ยวกับงานหัตถกรรมที่ขึ้นชื่อลือชาของเชียงใหม่หลายชนิดด้วยกัน  และลูกค้าก็มาจากหลากหลายประเทศเช่นกัน  พ่อของหล่อนแต่งงานกับแม่ของหล่อนซึ่งเป็นเชื้อจ้าวเชียงใหม่สืบทอดมาแต่โบราณ  แม่ของหล่อนยังชอบอนุรักษ์ประเพณีโบราณของชาวล้านนาไว้อย่างครบถ้วน  เช่นชอบนุ่งผ้าซิ่น  แต่งกายแบบชาวล้านนาออกงานสังคมอยู่เสมอ  พ่อกับแม่จึงเหมือนอยู่กันคนละขั้วโลก  จำเป็นต้องมา

    2

    อยู่ด้วยกันเพื่อหวังผลทางธุรกิจร่วมกัน  และในที่สุดก็ต้องแยกทางกัน  พ่อไม่ได้แต่งงานใหม่กับใครอย่างจริงจัง  แต่มีผู้หญิงมากหน้าหลายตาผ่านมาเข้ามาในชีวิต  แม่กลับไปแต่งงานกับญาติห่าง ๆ ที่เคยเป็นคู่รักกันแต่สาว ๆ มีชีวิตร่วมกันอย่างเรียบง่าย   มีลูกใหม่ซึ่งเป็นน้องสาวของคล้ายจันทร์ชื่อ" เหมือนฝัน"  อีกหนึ่งคน

                    หล่อนเป็นสาวสมัยใหม่จึงสามารถปรับตัวเข้ากับทั้งสองฝ่ายได้  แต่หล่อนจะสนิทกับพ่อมากกว่าแม่  เพราะหล่อนถูกส่งไปเรียนอังกฤษตอนอายุ  8  ขวบ  พ่อมักจะแวะเวียนไปหาบ่อยครั้ง  ในขณะที่กับแม่จะนาน ๆ เจอกันครั้งหนึ่ง  เมื่อหล่อนกลับมาเมืองไทยปีละ 1 ครั้ง  ด้วยเงินของพ่อ  หล่อนใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนประจำ  และเมื่ออยู่มหาวิทยาลัยก็อยู่หอของมหาวิทยาลัยช่วยเหลือตนเอง  เคยชินอยู่กับการอยู่คนเดียว    จนไม่รู้สึกเดือดร้อนนักกับการแยกทางกันของพ่อแม่

                    ถึงกระนั้นแม่ก็ยังเป็นแม่อยู่ดี  เมื่อทราบข่าวว่าคล้ายจันทร์จบการศึกษาแล้วจะกลับมาเมืองไทย  แม่ก็จัดเตรียมต้อนรับหล่อนเป็นอย่างดี  แม่ยังอยู่บ้านเดิมที่หล่อนเคยเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย  " คุ้มจ้าวเดิม"  ที่เปลี่ยนสภาพเป็นบ้านใจกลางเมืองเชียงใหม่  สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร  แต่ภายในบริเวณบ้านที่ล้อมด้วยกำแพงอิฐถือปูน  ทาสีเหลืองมอ ๆ  ที่เก่าไปตามกาลเวลาก็ยังคงเป็นบรรยากาศเดิม  บ้านไม้ทรงล้านนาหลังใหญ่ตรงอยู่เด่นเป็นสง่า  และมีบ้านเดี่ยวเล็ก ๆ อยู่ในบริเวณเดียวกันอีกสี่ห้าหลัง  ท่ามกลางสวนดอกไม้พันธุ์พื้นเมืองนานาชนิดส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ฟุ้งกระจาย  มีการบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพเดิมเป็นอย่างดี  ถ้าหากจะมีใครที่ไม่คุ้นเคยกับสถานที่นี้มาก่อนหลุดเขาไปล่ะก็  เขาคงคิดว่าไปหลุดเข้าไปในเมืองโบราณหยังไงอย่างงันเลยที่เดียว  ในวัยเด็กหล่อนมักจะถูกแย่งชิงกันระหว่างพ่อกับแม่เสมอ  พ่อไม่ชอบให้หล่อนมาอยู่ที่บ้านนี้นัก  พ่อค่อนขอดแม่ว่าหัวโบราณคร่ำครึ  เขาไปถึงดาวอังคารกันแล้ว  แม่ยังย่ำเท้าอยู่กับที่  ความแตกต่างทางรสนิยมนี่เองเป็นตัวการทำลายครอบครัวเธอ  จนในที่สุดพ่อและแม่ก็ทนกันและกันไม่ได้อีกต่อไป  พ่อเป็นฝ่ายชนะเรื่องหวังผลความเจริญก้าวหน้าในชีวิตของคล้ายจันทร์  จนสามารถส่งเธอไปเรียนเมืองนอกได้สำเร็จ

                    การกลับมาของเธอครั้งนี้  หลังจากเรียนจบปริญญาโทด้านการบริหารธุรกิจ    ตามความหวังเพื่อสืบทอดกิจการของบิดาแล้ว  เธอหวังมาหาประสบการณ์ในการทำงาน  ถือเป็นการพักผ่อนไปด้วย  พักสมองที่คร่ำเครียดกับการเรียนมานาน  เธอเลือกช่วงเวลาที่บิดาไม่อยู่เมืองไทย  ไปติดต่อธุรกิจที่อเมริกา  เพราะเธอรู้ดีว่าชีวิตนักธุรกิจอย่างพ่อเธอวุ่นวายมากมายเพียงใด  ถ้าอยากพักผ่อนจริง ๆ ต้องกลับมาหาแม่ผู้มีชีวิตเรียบง่าย  จึงจะสุขสงบกว่า  กาลก็เป็นจริงดังที่เธอคาดหวัง  แม่จัดห้องนี้ให้เธอ  ห้องซึ่งอยู่ในเรือนหลังเล็กด้านหลังของบ้านใหญ่    ตัวบ้านเป็นไม้สักทั้งหลังหลังคามุงด้วยกระเบื้องโบราณอย่างที่ทางเหนือเรียกวา " ดินขอ"  เป็นการออกแบบอย่างชาญฉลาดของคนโบราณ  ไม่ใช้ตะปูสักตัว  หน้าต่างหลายจุดเป็นกระดานเลื่อน  บางจุดบานหน้าต่างและประตูทำจากไม้สักทองแผ่นใหญ่แผ่นเดียวแกะสลักด้วยลวดลายโบราณต่าง ๆ ประณีตงดงาม 

    3

    ทั้งบ้านมีห้องนอน 2 ห้อง  ห้องที่มีขนาดใหญ่เป็นห้องที่หล่อนนอน  ห้องเล็กอีกห้องหนึ่งอยู่ตรงกันข้าม  ข้างนอกเป็นชานยกพื้นต่างระดับ  ขัดมันวับเพราะผ่านกาลเวลานานไม่ใช่เพราะการลงสีไม้ไว้   ตอนเป็นเด็กนั้นหล่อนไม่เคยได้ย่างกรายมาแถวนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่แม่พาหล่อนมาที่ห้องนี้  หล่อนถึงกับตื่นตะลึงในความงามที่แฝงมนต์ขลังเสน่ห์แบบล้านนาโบราณไว้อย่างครบถ้วน  เตียงไม้โบราณตั้งกลางห้อง  มีมุ้งคลุมไว้อย่างหรู  เมื่อหล่อนลงนอนบนเตียงครั้งใดรู้สึกตัวเองใกล้ ๆ จะเป็นเจ้าหญิงโบราณไปทุกที  เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็พบเข้ากับสวนดอกไม้  บางคืนกลิ่นของมันจะหอมตลบอบอวลเข้ามาถึงในห้องเธอเลยทีเดียว  แปลกที่เรือนหลังใหญ่มีไฟฟ้าใช้แล้ว  แต่เรือนหลังเล็กที่เป็นบริวารมักจะใช้ตะเกียงเจ้าพายุแบบเก่า  อาจเป็นเพราะบ้านเล็กไม่ค่อยมีคนอยู่ประจำ  นอกจากมีแขกมาเยี่ยมเยือนในบางครั้ง  ตัวหล่อนเองก็นับว่าเป็นหนึ่งในจำนวนแขกด้วยเพราะนาน ๆ มาที  คล้ายจันทร์มาพักอยู่ที่นี่เกือบหนึ่งอาทิตย์แล้ว  หล่อนชอบเดินออกไปเที่ยวรอบ ๆ เมืองเชียงใหม่  เช่นไปถนนคนเดินบ้าง  ไปไนท์บาซ่า  หรือไปร่วมดูโชว์ที่ทางจังหวัดจัดขึ้นบางโอกาสที่ข่วงประตูท่าแพ  หรือลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์  มักจะเป็นประเภทซอพื้นเมือง  วงดนตรีคำเมือง  และการละเล่นแบบล้านนา  ตีกลองสะบัดชัย  ฟ้อนเชิง  ฟ้อนเล็บ  สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นของสืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ  ที่ไม่ว่าหล่อนจะอยู่ที่ไหนก็ยังรู้สึกผูกพัน  อยากกลับมาเยี่ยมบ้านเสมอ  บางคืนหล่อนนอนอ่านหนังสือภายใต้แสงตะเกียงจ้าวพายุ

                    วันนี้เป็นเช้าวันจันทร์ที่สดใส  แม่ให้สาวใช้มาปลุกหล่อนแต่เช้า  เพื่อไปทานข้าวเช้าด้วยกัน  ตอนแรกหล่อนไม่อยากลุกจากที่นอนเลย  แต่มาคิด ๆ ดูหล่อนมาอยู่ตั้งหลายวันยังไม่เคยกินข้าวเช้าร่วมกับแม่เลยซักครั้ง  แม่ก็คงเกรงใจหล่อนไม่เคยมาปลุกหล่อนเลย  ครั้งนี้เป็นครั้งแรก

                    " คุณจันทร์เจ้า  นายแม่ให้มาเรียก เจ้า...  คุณจันทร์"

                    เสียงสาวใช้เรียกชื่อหล่อนอยู่ที่ประตูห้องนอน  เมื่อไม่มีเสียงขานรับจากหล่อน  สาวใช้ก็เพิ่มน้ำเสียงหนักแน่นเข้าไปอีกเพื่อจะมีน้ำหนักพอให้หล่อนลุกจากเตียง

                    " คุณจันทร์เจ้า......นายแม่บอกว่าหื้อไปกินข้าวเจ้า"

                    คล้ายจันทร์กลัวจะได้ยินเสียงสาวใช้อีกนาน  จึงรีบตกปากรับคำ

                    " จ๊ะ...จ๊ะ...เดี๋ยวฉันออกไป"

                    สาวใช้คงพอใจกับเสียงตอบรับของหล่อน  จึงได้ยินเสียงฝีเท้าเดินย่ำลงเรือนไป

                    คล้ายจันทร์รีบอาบน้ำแต่งตัว  เพื่อเร่งให้ทันอาหารเช้า  ทุกคนมาพร้อมกันที่โต๊ะอาหารแล้วเมื่อหล่อนไปถึง

                    " วันนี้มี  น้ำพริกหนุ่ม  เนื้อควายนึ่ง  แกงขนุน  แกงฮังเล  ที่ลูกเคยชอบทั้งนั้นเลยจันทร์"

                    แม่ยังคงพูดกับหล่อนเป็นภาษาเหนือเหมือนเดิม  รีบพูดขึ้นอย่างเอาใจ  จริง ๆ แล้วคล้ายจันทร์ฟังภาษาเหนือออกเกือบทั้งหมด  ถ้าบางคำจะไปไม่เป็นคำที่เก่าแก่เกินไปที่นาน ๆ จะได้ยิน

    4

    สักครั้ง  แต่หล่อนพูดไม่ค่อยเป็นแล้วเนื่องจากไปอยู่เมืองนอกเสียนาน  เจอคนไทยที่โน้นก็มักจะพูดแต่ภาษาไทยกลาง

                    พ่อเลี้ยงหล่อนเป็นคนค่อนข้างใจดี  ไม่ค่อยพูดมักจะยิ้มน้อย ๆ เมื่อเจอหล่อน  เหมือนฝันก็ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับหล่อนเท่าใดนัก  จะพูดจะจากับหล่อนก็เต็มไปด้วยความเกรงใจ  เพราะไม่เคยถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันมาก่อนเลย  และอายุอานามก็ห่างกันตั้ง 12-13 ปี  หล่อนอายุ  25-26 แล้วแต่เหมือนฝันยังอายุ 13 ปีอยู่เลย  กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง  ยังคงถักเปียสองข้างไปโรงเรียนแต่งชุดนักเรียนด้วยกระโปรงสีแดง  หล่อนทานข้าวเช้าอย่างรีบเร่ง  และรีบลุกขึ้นทันทีที่รถมาจอดรอหน้าบ้าน  ยกมือไหว้พ่อ  แม่  และพี่สาวก่อนจะวิ่งลงไปที่รถขึ้นรถหายไป

                    สมบูรณ์พ่อเลี้ยงของคล้ายจันทร์ก็เหมือนกันพอทานข้าวอิ่มก็ลุกขึ้นทันที

                    " เครือวัลย์ ...อ้ายไปทำงานก่อนเน้อ "

                    แม่พยักหน้ารับและมองดูพ่อเลี้ยงอย่างรักใคร่  เขาหันมาทางคล้ายจันทร์  ยิ้มให้หล่อนก่อนเดินลงบ้านไปอีกคน  สมบูรณ์ทำงานอยู่ที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของเชียงใหม่แห่งหนึ่งแถวท่าแพ  ในตำแหน่งผู้จัดการ  เขาเป็นคนรักงานและขยันขันแข็ง

                    เมื่อโต๊ะกินข้าวเหลือเพียงแม่กับหล่อนสองคนบรรยากาศก็ดูอบอุ่นขึ้น

                    " เป็นอย่างไรจาใด  กับข้าวถูกใจ๋ก่อ"

                    " อร่อยที่สุดในโลกเลยค่ะ  จันทร์ไม่ได้กินอาหารอร่อยแบบนี้มาหลายปีแล้ว"

                    " แต่แม่เคยแพคใส่กล่อง  ส่งหื้อจันทร์บ่อย ๆ นี่ลูก"

                    " แต่มันไม่สด ๆ ใหม่ ๆ  เหมือนกับวันนี้นี่ค่ะแม่"

                    " จันทร์...เดียวกินข้าวอิ่ม  ตามแม่ขึ้นไปบนบ้านเน้อ...แม่จะหื้อจันทร์ดูอะไรอย่างหนึ่ง  จันทร์ต้องชอบแน่ ๆ เลย"

                    แม่ยิ้มอย่างคาดหวัง  มองดูคล้ายจันทร์ทานข้าวอย่างมีความสุข  หลังจากนั้นหญิงต่างวัยก็ชวนกันเดินขึ้นไปบนเรือน  บ้านหลังนี้นับว่าค่อนข้างใหญ่มีห้องต่าง ๆ ตั้งหลายสิบห้อง  แม่เดินนำคล้ายจันทร์มาหยุดลงที่หน้าห้อง  ๆ หนึ่งอยู่ทางด้านขวาสุดของตัวบ้าน

                    " จันทร์จำได้ก่อลูก  ว่าห้องนี้เป็นห้องของไผ"

                    หล่อนหยุดคิดทบทวนความจำเมื่อครั้งเด็ก ๆ หล่อนเคยเดินขึ้นมาบนนี้นับครั้งได้  ห้องขวาสุดนี่..........ภาพหญิงชราวัยประมาณห้าสิบเศษ ๆ นั่งเคี้ยวหมาก  โดยมีสำรับหมากวางอยู่ที่ข้างหน้าตัวทุกชิ้นทำด้วยทองคำแท้  ยกเว้นที่ตะบันหมากที่ทำด้วยทองเหลือง  คุณยายเป็นคนใจดี  คุณยายเคยให้หล่อนตะบันหมากให้สัก 2-3 ครั้ง  ยิ้มแย้มพูดคุยกับหล่อนอย่างคนอารมณ์ดีเสมอ  หลังจากหล่อนไปอยู่อังกฤษได้สัก  10  ปี  คุณยายก็เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวาย  คือนอนหลับไปแล้วไม่ตื่นขึ่นมาอีกเลย

    5

                    มาวันนี้แม่พาหล่อนขึ้นมายังห้องของคุณยายที่ปิดตายไว้หลังจากคุณยายเสีย  เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาภายในห้องแสงสว่างไม่พอทำให้ห้องค่อนข้างมืด  แม่จึงเดินไปเปิดไฟที่เสาต้นหนึ่ง  ทุกอย่างจึงดูสว่างขึ้น  มีผ้าคลุมเฟอร์นิเจอร์ไว้ทุกชิ้น  แม่เปิดผ้าคลุมชิ้นที่อยู่กลางห้องออกเผยให้เห็นหีบเหล็กใบใหญ่  แม่เปิดกุญแจหีบเหล็กออก  ภายในพบชุดแต่งกายพื้นเมืองล้านนา  ชุดเดียวกับที่หล่อนใส่ในฝันทุกครั้ง  หะแรกหล่อนยังไม่แน่ใจเท่าไรนัก  ต่อเมื่อหยิบแต่ละชิ้นมาจัดเข้าชุดจึงได้แน่ใจ  จนเชื่อแน่ว่าชุดเดียวกัน

                    " ชุดนี้เป็นของทวดสืบทอดมาหื้อยาย  แล้วยายก็เอาหื้อลูกต่อ"

                    เครือวัลย์เห็นลูกสาวพินิจพิเคราะห์  ดูชุดอย่างสนใจเป็นพิเศษ  ก็พูดถึงประวัติของชุดขึ้นมา  เพิ่มความสนใจของคล้ายจันทร์ให้มากขึ้นอีก

                    " ชุดของคุณยายหรือค่ะ  ทำไมไม่มอบให้คุณแม่  แต่มามอบให้หนูแทน"

                    " ยายเปิ้นตั้งใจไว้นานแล้วว่าจะหื้อจันทร์  แต่บ่เจอกันสักที  จนเปิ้นมาตายก่อน  เลยฝากแม่ไว้หื้ออีกที  จันทร์ลองใส่ดูสิ  มีอย่างอื่นอีกนา  หีบใบจาดใหญ่"

                    คล้ายจันทร์มีความเห็นคล้อยตามมารดา  จึงรื้อของออกมาดูชิ้นต่อไป  หล่อนพบเชี่ยนหมากทองคำทั้งสำรับ  และที่ตะบันหมากทองเหลือง  เครื่องประดับ  ตุ้มหู  ดอกไม้ไหว  สร้อยคอ  สร้อยแขน  ทุกชิ้นเข้าชุดกันทำด้วยทองคำประดับทับทิมสีแดง  เป็นฝีมือช่างโบราณ  ลวดลายแบบล้านนา  แน่นอนเป็นมรดกตกทอด

                    " คุณยายให้หนูหมดนี่เลยหรือค่ะ"

                    " จ๊ะ  คุณยายตั้งใจไว้จาอั้น"

                    " แม่ค่ะหนูไม่ทราบมาก่อนเลยว่าคุณยายรักหนูมากมายถึงเพียงนี้  เหตุเพราะเราไม่ค่อยได้สนิทกันสักเท่าไร"

                    " เอาอย่างนี้  วันพรุ่งนี้ไปทานขันเข้าที่วัดกับแม่  ทานไปหายาย  เปิ้นจะได้ฮู้ว่าลูกคิดถึงหาเปิ้นดีไหม"

                    " ดีเหมือนกันค่ะแม่  จันทร์จะได้สบายใจด้วย"

                    " จะบ่ลองใส่ชุดดูก๋าลูก  ดูว่ามันพอดีก่อ"

                    " จันทร์ว่าจะไปลองใส่ที่ห้องดูเหมือนกันค่ะ"

                    " งั้นลูกรออยู่ตรงนี่เน้อ  เดี๋ยวแม่จะไปเรียกบัวเกี๋ยงหื้อมาขนของช่วยลูก"

                    คล้ายจันทร์รับคำมารดา  พร้อมกับจัดแจงเก็บข้าวของลงหีบเหมือนเดิม  ก่อนเดินนำบัวเกี๋ยงมายังห้องของตนเอง

                    เมื่อบัวเกี๋ยงกลับออกไปแล้ว  คล้ายจันทร์กลับมาเปิดหีบอีกครั้ง  หล่อนรู้สึกมือไม้สั่นเมื่อหยิบเสื้อผ้าแต่ละชิ้นขึ้นมาทาบกับตัวเอง  ก่อนบรรจงแต่งตัวจริง ๆ ที่หน้ากระจกบานใหญ่หล่อน

    6

    แต่งตัวครบทุกชิ้น  พร้อมเครื่องประดับก่อนจะเอาเชี่ยนหมากมาวาง  และพิจารณามันที่ละชิ้นอย่างพินิจพิจารณา  สุดท้ายหล่อนเอาตะบันหมากทองเหลืองมาลองเปิดดู  สักครู่หนึ่งรู้สึกเหมือนแผ่นดินไหว  มีแรงดึงดูดจากที่ใดที่หนึ่งดูดพาตัวหล่อนไป  คล้ายจันทร์รู้สึกกลัวอย่างจับใจ  อะไรกันคลื่นสึนามิเพิ่งสงบที่ภาคใต้  นี่ภาคเหนือเกิดพายุอีกแล้วหรือนี่  หล่อนได้แต่หลับหูหลับตาขดตัว  เพราะกลัวว่าพายุจะพาหล่อนไปกระทบกับอะไรสักอย่างเข้า  ร่างกายหล่อนคงจะบาดเจ็บมิใช่น้อยหากพายุสงบ  คล้ายจันทร์คิดอย่างประหวั่นพรั่นพรึง  สักครู่เมื่อทุกอย่างสงบเงียบลงอีกครั้งหล่อนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองดูสภาพแวดล้อม " เอะพายุอะไร  ทำไมภายในห้องไม่มีอะไรพัดปลิวไปสักอย่าง"   หล่อนยังอยู่ในห้องเดิม  แต่สิ่งแวดล้อมภายในห้องดูแปลก ๆ แตกต่างจากเดิมไปบ้างเตียงนอนนั้นใช่อันเดิม  แต่ที่นอนและมุ้งไม่ใช่กระจกบานเดิม  แต่ข้าวของเครื่องใช้ไม่ใช่ของหล่อน  บรรดาเครื่องสำอางที่หล่อนสรรหามาหายไปไหนหมด  แต่กลับมีของโบราณ ๆ ที่คนสมัยนี้ไม่ใช้กันแล้ววางอยู่แทน  หล่อนเริ่มรู้สึกว่าห้องนี้ไม่ใช่ห้องหล่อน  เพื่อยืนยันความมั่นใจคล้ายจันทร์วิ่งไปดูที่หน้าต่าง  เห็นบ้านใหญ่หลังเดิมที่แม่อยู่ตั้งอยู่ที่เดิม  หล่อนค่อยใจชื้น  หล่อนมองลงไปสักครู่  เห็นผู้คนเดินไปมาสี่ห้าคน  แต่งกายแบบพื้นเมือง  เอะบ้านหลังต่าง ๆ ในบริเวณบ้านดูสภาพยังใหม่กว่าที่เคยเห็นทุกที  คนข้างล่างดูมากมายกว่าเดิม  มีหลายคนเดินผ่านมา  หล่อนไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน  คล้ายจันทร์ยิ่งมองดูยิ่งสงสัย  มีเสียงคนเปิดประตูเข้ามา  ด้วยสัญชาตญาณหล่อนรีบหลบข้างซอกเตียงนอน  ผู้เปิดประตูเข้ามาเป็นชายหนุ่มผอมสูงคงจะสูงสักร้อยเจ็ดสิบกว่า ๆ ในห้องค่อนข้างมืดหล่อนมองเห็นหน้าเขาไม่ถนัดนักแต่คะเน  เขาน่าจะเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งทีเดียว  เขาเดินเข้ามาราวกับว่าห้องนี้เป็นห้องของเขาเอง  เขาเดินไปที่กระจก  หยิบหวีขึ้นหวีผมตัวเองซึ่งตัดเป็นเหมือนผมรองทรงและแสกกลาง  เปิดตลับอะไรสักอย่างที่หน้ากระจก  ขยี้กับมือก่อนจะลูบลงบนผมของตัวเอง  หันซ้ายหันขวามองดูตัวเองในกระจกอย่างพึงพอใจ  ก่อนจะถอยมานั่งลงที่เตียง  ทันทีที่ก้นหย่อนลงบนเตียงเขาก็สะดุ้ง  ยกก้นขึ้นโดยอัตโนมัติ

                    " ไผเอาอะไรมาไว้นี่หนา...อะล้า"

    เขาพึมพำกับตัวเอง  ก่อนจะใช้มือลูบก้นตัวเองปอย ๆ มืออีกข้างหนึ่งก็คลวนหาสิ่งแปลกปลอมที่ตัวเองนั่งทับ  เขาเจอวัตถุเหล่านั้นจึงถือติดมือมาด้วย 2-3 ชิ้น  เพื่อความกระจ่างเขาเดินถือไปส่องดูที่หน้าต่าง  สีหน้าแสดงความแปลกใจ  ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงในส่วนที่ไม่มีเชี่ยนหมาก  คล้ายจันทร์รู้สึกใจเต้นแรง  เพราะเมื่อเขานอนลงมือข้างหนึ่งโผล่ล้ำเตียงนอนเกยมาทางหล่อน  เหลืออีกสักคืบก็จะโดนตัวหล่อนแล้ว  ในทันทีทันใดมีวัตถุหนึ่งหล่นลงข้างตัวหล่อน  ชายหนุ่มพลิกตัวเป็นท่านอนคว่ำหน้าลงใช้มือคลวนหาวัตถุชิ้นนั้น   คล้ายจันทร์ขยับตัวเพื่อไม่ให้มือนั้นมาวนเจอตัวเธออย่างสุดกำลัง  หล่อนอยากจะเขี่ยให้วัตถุนั้นถึงมือเขา  แต่ก็กลัวจะทำเสียงดัง  จนเขารู้สึกว่ามีหล่อนอยู่ในห้องนี้อีกคน

    7

                     ชายหนุ่มรู้สึกรำคาญที่คลวนหาเท่าไรก็ไม่เจอสักที  จึงพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง  ชายหนุ่มก้มลงมองในความมืดสบเข้ากับสายตาคู่หนึ่ง    เขาทำท่าตกใจผละออกห่างอย่างรวดเร็วพร้อมกับอุทานออกมาค่อนข้างดัง

                " เฮ้ย......! "

                      ก่อนตั้งสติ  ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน  เขาคงเป็นคนค่อนข้างกล้าหาญไม่ค่อยกลัวสิ่งใดง่าย ๆ

                     " ไผ....   ไผ ... อยู่ในนี่  ผีกาว่าคนบอกมา    ถ้าบ่บอกสูโดนฟันแน่...  บอกมา"  ชายหนุ่มท่าทางเอาจริง  วิ่งไปคว้าดาบมาถืออย่างทะมัดทะแมง

                     " อย่าฟันนะฉันเอง........ฉันชื่อคล้ายจันทร์...เป็นคนจ๊ะไม่ใช่ผี"

                    " ออกมานี่....ออกมาที่สว่าง ๆ  ....หื้อเฮาฝ่อชัด ๆ "

                    ชายหนุ่มใช้ดาบที่ลับไว้จนขาววับชี้มายังตัวหล่อน  ให้หล่อนปฏิบัติตามเหมือนที่เขาสั่งให้ได้  คล้ายจันทร์ค่อย ๆ เขยิบออกมาจากที่ซ่อน  ออกมายืนกลางห้องตามปลายดาบที่ชี้นำให้หล่อนปฏิบัติตาม

                    " เอ่อ!..... แต่งตัวก่อจาดดี  เข้ามาในห้องเฮายะหยัง  สูฮู้ก่อ  สูยะจาอี้มีโทษถึงตายเน้อจะบอกหื้อ"

                    คล้ายจันทร์ก้มดูสำรวจตัวเอง  หล่อนยังคงใส่ชุดที่คุณยายให้อย่างครบครัน  ดูเหมือนชุดจะใหม่กว่าตอนที่หล่อนใส่มันด้วยซ้ำ

                   " ฉัน.....ฉันมาจากเชียงใหม่  พ่อฉันเป็นนักธุรกิจ    แม่ฉันชื่อเครือวัลย์  เป็นเชื้อจ้าวของเชียงใหม่"

               " เอาหละ   เอาหละ...ก็แม่นละสูต้องมาจากเชียงใหม่แน่ ๆ   เพราะสูยืนอยู่นี่ก็เชียงใหม่  แต่สูอู้บ่ใช่กำเมือง  เป็นภาษาของหมู่คนกรุงศรีอยุธยา  สูบ่อต้องมาจุ  สูบ่ใช่คนเชียงใหม่  สูเป็นคนตี่ไหนบอกเฮามา  ถ้าสูบ่บอก....ตาย!"

                    ชายหนุ่มทำสีหน้าจริงจังตามคำที่พูด  ใช้ปลายดาบชี้มาทางหล่อนอยู่ตลอดเวลาที่พูด

                    คล้ายจันทร์ชักหมั่นไส้  ชายหนุ่มขึ้นมาเต็มแก่  ห้องก็ห้องของหล่อน  ชายหนุ่มก็บอกอยู่หยก ๆ ว่านี่ก็เชียงใหม่  มันก็ต้องเป็นบ้านแม่ของหล่อนด้วย  หล่อนไม่ได้ไปโผล่ที่ไหนยังอยู่บ้านเดิมของตนเอง  เขามีสิทธิ์อะไรมาทำกับหล่อนอย่างนี้

                    " นี่คุณ ... ปลายดาบนั่นเอาออกไปห่าง ๆ ตัวฉันหน่อยได้ไหม  เดี๋ยวมันพลาดมาโดนตัวฉันเข้า  คุณจะเดือดร้อนนะขอบอกก่อน  นี่มันห้องของฉันไม่ใช่ของคุณ  แล้วเชี่ยนหมากที่คุณเจอนั้นก็ของฉัน  คุณยายให้ฉันเป็นมรดกสืบทอด  คุณบุกรุกห้องฉัน  ไม่ใช่ฉันบุกรุกห้องคุณ  เข้าใจใหม่เสียด้วย  อีตาเปื้อก"    คล้ายจันทร์เดือดดาลอย่างเหลืออด

                     " จ้าวต่วนขอรับ .....จ้าวต่วน..เป็นอะหยังก่ขอรับ  อะหยังมาเสียงดังแต้ ๆ   อย่างกับผิดกับไผอยู่จาอั้นน่ะ"    เสียงตะโกนจากข้างนอกมาพร้อมกับเสียงเคาะประตูรัวถี่ ๆ ติดต่อกัน

    8

                       ชายหนุ่มชะงักลังเลว่าจะเอาอย่างไรดี  ก่อนจะตัดสินใจตะโกนบอกบุคคลที่อยู่ข้างนอก

                      " บ่มีอะหยังหรอก  อ้ายสม  อ้ายคำ  เฮาซ้อมร้องค่าวฮ่ำเจื่อ  จะเอาไว้ร้องเกี้ยวสาว"

                      " กระผมได้ยินเสียงแม่หญิงโตยนา   จ้าวต่วนมีอะหยังก่บอกอ้ายสม  อ้ายคำเน้อขอรับ"

                      " บ่มีอะหยังแต้ ๆ นา  อ้ายสม  อ้ายคำ  ใคร่ไปตางใดก่ไปเตอะ  เฮาจะหลับสักงีบ  ตอนบ่ายค่อยมาเน้อ"

                      เมื่อเสียงข้างนอกเงียบสงบลงแล้ว  ชายหนุ่มก็หันมาทางหญิงสาวอีกครั้งหนึ่ง

                     " ว่าจาใด   หาว่าห้องตี้เฮาอยู่นี่เป็นของสูอี้กา  หยังเป็นคนจาอี้  ขี้โลภขี้โกงเอาของเปิ้นมาเป็นของตั๋ว  หน้าบ่อาย  เฮาบ่เกยฮู้บ่เกยหัน  ตั้งแต่เฮาเกิดมาเป็นคนจนเป็นบ่าว  เฮาก่อยู่เฮือนหลังนี้มาตลอด  ไผก่ฮู้  ไผก่หัน  ตะกี้สูว่าสูเป็นลูกลุงกิจกับป้าเครือวัลย์อี้กา     เฮาบ่เคยได้ยินชื่อสองคนนี้สักครั้ง  สูมีอะหยังแก้ตัวแหมลองว่ามา"

                      คล้ายจันทร์เริ่มไม่ค่อยแน่ใจยิ่งขึ้น  ตั้งแต่ได้ยินเสียงผู้ชายข้างนอกที่เรียกตัวเองว่า  อ้ายสมกับอ้ายคำแล้ว  บ้านหล่อนไม่มีคนชื่อนี้นี่นา  มันยังไงกันแน่หนอ  มองกันไปมองกันมาครู่หนึ่ง  คล้ายจันทร์เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน

                      " เอาล่ะ....ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่  เอาอย่างนี้ดีไหม  ฉันขอออกไปข้างนอกก่อนไปดูว่าเรือนคุณแม่ฉันยังอยู่ไหม  แล้วฉันจะพาท่านมายืนยันกับคุณ  ว่าฉันเป็นคนที่นี่จริง ๆ"

                      " เฮาก่ใคร่ฮู้เหมือนกั๋นว่า  เฮากาว่าสูตี้จุกันแน่........เฮอ!  เดียวก่อน  เฮาเป็นบ่าวอยู่ถ้ามีคนหันสูออกจากห้องเฮาเปิ้นจะกึดจาใด  สูนะจะเสียหาย  ......ละสูมีผัวหรือยัง"

                      ประโยคท้ายชายหนุ่มหันมาถามหล่อน  โดยรอฟังคำตอบจ้องตาเขม็ง  อย่างจริงจัง  คล้ายจันทร์รู้สึกโกรธจนเลือดขึ้นหน้าแดงจนถึงใบหู  นึกในใจว่า  ชายคนนี้อาจหาญนัก  มาถามภาษาพ่อขุนรามซึ่งคนปัจจุบัน  อายที่จะพูดกันอย่างนี้

                       " ยังไม่มีหรอก  แฟนก็ยังไม่มีเลย  จะมีสามีได้ยังไง"  หล่อนตอบกระฟัดกระเฟียด

                       " อะหยังก๊อ...แฟนกับสามี  มันอะหยัง  เฮาบ่อฮู้จัก"

                       " ก็คู่รักกับผัวของคุณไงล่ะ"

                       " สูนี่อู้อะหยัง  ครึแต้ว่า...กำเดียวก่อนเน้อเฮาขอไปดูทางนอกก่อน  สูอย่ารีบตามหลังเฮาไปนา  ถ้าบ่เชื่อเฮาสูนะจะเดือดฮ้อน"  พูดเสร็จเขาก็ค่อย ๆ ย่องไปเปิดประตู  อย่างกับว่ากลัวใครจะมาเห็นจริง  คล้ายจันทร์รู้สึกหมั่นไส้ชายผู้นี้เสียเต็มประดา  หล่อนค้อนให้กับดินฟ้าอากาศแถวนั้น  เมื่อลับร่างของเขา

                      สักครู่หนึ่งเขาก็กลับมาใหม่  เขาเดินเข้ามาเกือบชิดหล่อน  เพื่อจะมองให้เห็นหน้าหล่อนชัด ๆ

    9

                   " เอ่อ...เพิ่งนึกออกสูกินข้าวกลางแล้วหรือยัง  เฮายังบ่ได้กิน  จะกินโตยกันก่  สูรอกำเดียวเน้อ  เฮาจะไปฮ้องอ้ายสมกับอ้ายคำมา"  โดยไม่ฟังคำตอบเขาเดินไปที่หน้าต่าง  ชะโงกตัวออกไปเล็กน้อยตะโกนเรียกเสียงดัง

                   " อ้ายสม...อ้ายคำ...มาหาเฮาหน่อย"

                          สักครู่หนึ่งมีเสียงเดินขึ้นบันไดมาหยุดลงตรงหน้าประตูห้อง

                          " ก๊อก.....ก๊อก...จ้าวต่วนขอรับอ้ายสมกับอ้ายคำมาแล้วขอรับจ้าวต่วน"

                          " อ้ายสม  อ้ายคำ  ไปเอาข้าวกลางวันมาหื้อเฮากินบนห้องนี้เลยนะ  เอามาก ๆ เลย  เอามาเท่าคนกินได้สองคน   เฮาหิวข้าวขนาด  เร็ว ๆ เน้อ"

                          " ท่าแป๊บเดียวขอรับ  อ้ายสมกับอ้ายคำจะรีบไปเอามาบ่าเดียวนี้ล่ะ"

    **********************************

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×