คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : รักระหว่างภพ ตอนที่ 1
อารัมภบท
หากจะมีใครสักคนที่อยู่ในโลกปัจจุบันพูดถึงเรื่องอดีตคงเป็นได้แต่เพียงประวัติศาสตร์หรือเป็นเพียงการถวิลหาเวลาที่ได้ผ่านล่วงเลยมา นักวิทยาศาสตร์บางท่านเคยอ้างอิงถึงทฤษฏีการเลื่อมล้ำของกาลเวลาแต่ก็ไม่เคยมีใครสามารถพิสูจน์ได้ แต่ทว่าสำหรับคล้ายจันทร์สาวนักเรียนนอกผู้ล้ำสมัยเธอไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่แล้ววันหนึ่งเธอได้พบเจอกับตัวเอง โดยผ่านสื่อชิ้นสำคัญคือชุดโบราณล้ำค่ามรดกตกทอดซึ่งสามารถนำเธอเดินทางย้อนเวลาไปในอดีตได้ และที่นั่นเธอได้พบเจอประเพณีโบราณที่น่าจดจำ ประวัติบางช่วงที่รอเวลาพิสูจน์ และเหมือนจะมีใครบางคนรอคอยเพื่อมอบความรักแด่เธอคนเดียวสุดหัวใจ ดุจจะเติมเต็มหัวใจรักที่ขาดหายของเธอตลอดไป.....
บทที่ 1
" ....เตมเค้าเนิ้งกิ่งมันบ่ถอน บ่ไหวเฟือนคลอน กิ่งไบไหวเล้า
ตามกำลม ที่ปัดออกเข้า มีแต่เค้าไหวหวั่นคลอนเฟือน
กิ่งมันแท้ บ่แส่เสลือน บ่เหมือนลมเชย........คำเพยก็ชานั้น
ใจคำยิง น้องหนิมเที่ยงหมั้น บ่เป็นของเปิ้นคนใด
ยังเป็นกระจก แว่นแก้วเงาใส บ่ไหวข้อนเหงี่ยงซ้ายเนอ
(ดนตรี) นอย....หน่อย...นอย....น่อย.....นอย....น่อย.....นอย.....น่อย......
เสียงเพลง " น้อยไชยากับแว่นแก้ว" คู่รักอมตะของชาวล้านนาดังเจื้อยแจ้วมาแต่ไกล ใครคงเปิดวิทยุใกล้บ้านของเธอเป็นแน่แท้ คล้ายจันทร์คิดในใจ ขณะที่ขยับผ้าห่มแพรที่เลื่อนลงไปให้คลุมขึ้นมาถึงหน้าอกอีกครั้ง พลางเงี่ยหูฟังเสียงเพลงอย่างเคลิบเคลิ้มหลงใหล ใครหนอเป็นคนแต่งเพลงนี้ ช่างไพเราะจับใจจริง ๆ ทั้งเนื้อร้องและทำนอง เครื่องดนตรีที่บรรเลง ดูทุกอย่างลงตัวไปหมด หวนประหยัดถึงความฝันของตนเอง หล่อนมีความฝันซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทั้งที่ตอนเรียนหนังสืออยู่ที่อังกฤษ และตอนกลับมาแล้ว เมื่อคืนนี้หล่อนก็ฝันอีก หล่อนฝันถึงตนเองในชุดพื้นเมืองแบบชาวเหนือโบราณ นุ่งผ้าซิ่นมีเชิงที่ชาวเหนือเรียกว่าตีนจก เกล้าผมมวยมีดอกเอื้องคำเสียบผม ใส่เสื้อคอจีนแขนยาวทรงกระบอกแบบเข้ารูป ห่มทับด้วยสไปทอมืออีกผืน หล่อนกำลังเดินเล่นในสวนที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้พันธุ์พื้นเมือง มีกลิ่นหอม เช่น มะลิซ้อน กุหลาบมอญ จำปี จำปา ร้านดอกสลิด ดอกเก็จตะหว้า(พุดซ้อน) ปลูกปนกันโดยไม่จัดหมวดหมู่ตามความนิยมของชาวเชียงใหม่ในยุคนั้น
" เอื้องคำ.......เอื้องคำ.....น้องอยู่ตี้ไหนปี่มาหา"
เสียงเรียกเป็นเสียงของผู้ชายที่ยังอยู่ในวัยหนุ่ม เรียกเป็นภาษาพื้นเมืองอย่างชัดถ้อยชัดคำ เจ้าของเสียงมีกังวานทุ่มนุ่มนวล ทอดเสียงอ่อนโยน คล้ายจันทร์มีความรู้สึกว่าในฝันตนเองชื่อ " เอื้องคำ" หล่อนหันรีหันขวางเมื่อถูกเรียก หล่อนพยายามเพ่งมองเจ้าของเสียงอยู่หลายครั้ง แต่มักจะตกใจตื่นก่อนเห็นหน้าทุกครั้งไป เมื่อครู่นี้ก็เหมือนกันหล่อนเกือบเห็นหน้าผู้เรียกอยู่แล้วเชียวดันมาได้ยินเสียงเพลงเสียก่อนทำให้สะดุ้งตื่นจากฝัน
คล้ายจันทร์จะเรียกว่าตนเองโชคดีก็โชคดี หรือจะเรียกว่าโชคร้ายก็โชคร้าย หล่อนเป็นบุตรสาวคนเดียวของนักธุรกิจชื่อดังของเชียงใหม่ พ่อของหล่อนทำธุรกิจส่งออกสินค้าเกี่ยวกับงานหัตถกรรมที่ขึ้นชื่อลือชาของเชียงใหม่หลายชนิดด้วยกัน และลูกค้าก็มาจากหลากหลายประเทศเช่นกัน พ่อของหล่อนแต่งงานกับแม่ของหล่อนซึ่งเป็นเชื้อจ้าวเชียงใหม่สืบทอดมาแต่โบราณ แม่ของหล่อนยังชอบอนุรักษ์ประเพณีโบราณของชาวล้านนาไว้อย่างครบถ้วน เช่นชอบนุ่งผ้าซิ่น แต่งกายแบบชาวล้านนาออกงานสังคมอยู่เสมอ พ่อกับแม่จึงเหมือนอยู่กันคนละขั้วโลก จำเป็นต้องมา
2
อยู่ด้วยกันเพื่อหวังผลทางธุรกิจร่วมกัน และในที่สุดก็ต้องแยกทางกัน พ่อไม่ได้แต่งงานใหม่กับใครอย่างจริงจัง แต่มีผู้หญิงมากหน้าหลายตาผ่านมาเข้ามาในชีวิต แม่กลับไปแต่งงานกับญาติห่าง ๆ ที่เคยเป็นคู่รักกันแต่สาว ๆ มีชีวิตร่วมกันอย่างเรียบง่าย มีลูกใหม่ซึ่งเป็นน้องสาวของคล้ายจันทร์ชื่อ" เหมือนฝัน" อีกหนึ่งคน
หล่อนเป็นสาวสมัยใหม่จึงสามารถปรับตัวเข้ากับทั้งสองฝ่ายได้ แต่หล่อนจะสนิทกับพ่อมากกว่าแม่ เพราะหล่อนถูกส่งไปเรียนอังกฤษตอนอายุ 8 ขวบ พ่อมักจะแวะเวียนไปหาบ่อยครั้ง ในขณะที่กับแม่จะนาน ๆ เจอกันครั้งหนึ่ง เมื่อหล่อนกลับมาเมืองไทยปีละ 1 ครั้ง ด้วยเงินของพ่อ หล่อนใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนประจำ และเมื่ออยู่มหาวิทยาลัยก็อยู่หอของมหาวิทยาลัยช่วยเหลือตนเอง เคยชินอยู่กับการอยู่คนเดียว จนไม่รู้สึกเดือดร้อนนักกับการแยกทางกันของพ่อแม่
ถึงกระนั้นแม่ก็ยังเป็นแม่อยู่ดี เมื่อทราบข่าวว่าคล้ายจันทร์จบการศึกษาแล้วจะกลับมาเมืองไทย แม่ก็จัดเตรียมต้อนรับหล่อนเป็นอย่างดี แม่ยังอยู่บ้านเดิมที่หล่อนเคยเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย " คุ้มจ้าวเดิม" ที่เปลี่ยนสภาพเป็นบ้านใจกลางเมืองเชียงใหม่ สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่ภายในบริเวณบ้านที่ล้อมด้วยกำแพงอิฐถือปูน ทาสีเหลืองมอ ๆ ที่เก่าไปตามกาลเวลาก็ยังคงเป็นบรรยากาศเดิม บ้านไม้ทรงล้านนาหลังใหญ่ตรงอยู่เด่นเป็นสง่า และมีบ้านเดี่ยวเล็ก ๆ อยู่ในบริเวณเดียวกันอีกสี่ห้าหลัง ท่ามกลางสวนดอกไม้พันธุ์พื้นเมืองนานาชนิดส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ฟุ้งกระจาย มีการบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพเดิมเป็นอย่างดี ถ้าหากจะมีใครที่ไม่คุ้นเคยกับสถานที่นี้มาก่อนหลุดเขาไปล่ะก็ เขาคงคิดว่าไปหลุดเข้าไปในเมืองโบราณหยังไงอย่างงันเลยที่เดียว ในวัยเด็กหล่อนมักจะถูกแย่งชิงกันระหว่างพ่อกับแม่เสมอ พ่อไม่ชอบให้หล่อนมาอยู่ที่บ้านนี้นัก พ่อค่อนขอดแม่ว่าหัวโบราณคร่ำครึ เขาไปถึงดาวอังคารกันแล้ว แม่ยังย่ำเท้าอยู่กับที่ ความแตกต่างทางรสนิยมนี่เองเป็นตัวการทำลายครอบครัวเธอ จนในที่สุดพ่อและแม่ก็ทนกันและกันไม่ได้อีกต่อไป พ่อเป็นฝ่ายชนะเรื่องหวังผลความเจริญก้าวหน้าในชีวิตของคล้ายจันทร์ จนสามารถส่งเธอไปเรียนเมืองนอกได้สำเร็จ
การกลับมาของเธอครั้งนี้ หลังจากเรียนจบปริญญาโทด้านการบริหารธุรกิจ ตามความหวังเพื่อสืบทอดกิจการของบิดาแล้ว เธอหวังมาหาประสบการณ์ในการทำงาน ถือเป็นการพักผ่อนไปด้วย พักสมองที่คร่ำเครียดกับการเรียนมานาน เธอเลือกช่วงเวลาที่บิดาไม่อยู่เมืองไทย ไปติดต่อธุรกิจที่อเมริกา เพราะเธอรู้ดีว่าชีวิตนักธุรกิจอย่างพ่อเธอวุ่นวายมากมายเพียงใด ถ้าอยากพักผ่อนจริง ๆ ต้องกลับมาหาแม่ผู้มีชีวิตเรียบง่าย จึงจะสุขสงบกว่า กาลก็เป็นจริงดังที่เธอคาดหวัง แม่จัดห้องนี้ให้เธอ ห้องซึ่งอยู่ในเรือนหลังเล็กด้านหลังของบ้านใหญ่ ตัวบ้านเป็นไม้สักทั้งหลังหลังคามุงด้วยกระเบื้องโบราณอย่างที่ทางเหนือเรียกวา " ดินขอ" เป็นการออกแบบอย่างชาญฉลาดของคนโบราณ ไม่ใช้ตะปูสักตัว หน้าต่างหลายจุดเป็นกระดานเลื่อน บางจุดบานหน้าต่างและประตูทำจากไม้สักทองแผ่นใหญ่แผ่นเดียวแกะสลักด้วยลวดลายโบราณต่าง ๆ ประณีตงดงาม
3
ทั้งบ้านมีห้องนอน 2 ห้อง ห้องที่มีขนาดใหญ่เป็นห้องที่หล่อนนอน ห้องเล็กอีกห้องหนึ่งอยู่ตรงกันข้าม ข้างนอกเป็นชานยกพื้นต่างระดับ ขัดมันวับเพราะผ่านกาลเวลานานไม่ใช่เพราะการลงสีไม้ไว้ ตอนเป็นเด็กนั้นหล่อนไม่เคยได้ย่างกรายมาแถวนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่แม่พาหล่อนมาที่ห้องนี้ หล่อนถึงกับตื่นตะลึงในความงามที่แฝงมนต์ขลังเสน่ห์แบบล้านนาโบราณไว้อย่างครบถ้วน เตียงไม้โบราณตั้งกลางห้อง มีมุ้งคลุมไว้อย่างหรู เมื่อหล่อนลงนอนบนเตียงครั้งใดรู้สึกตัวเองใกล้ ๆ จะเป็นเจ้าหญิงโบราณไปทุกที เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็พบเข้ากับสวนดอกไม้ บางคืนกลิ่นของมันจะหอมตลบอบอวลเข้ามาถึงในห้องเธอเลยทีเดียว แปลกที่เรือนหลังใหญ่มีไฟฟ้าใช้แล้ว แต่เรือนหลังเล็กที่เป็นบริวารมักจะใช้ตะเกียงเจ้าพายุแบบเก่า อาจเป็นเพราะบ้านเล็กไม่ค่อยมีคนอยู่ประจำ นอกจากมีแขกมาเยี่ยมเยือนในบางครั้ง ตัวหล่อนเองก็นับว่าเป็นหนึ่งในจำนวนแขกด้วยเพราะนาน ๆ มาที คล้ายจันทร์มาพักอยู่ที่นี่เกือบหนึ่งอาทิตย์แล้ว หล่อนชอบเดินออกไปเที่ยวรอบ ๆ เมืองเชียงใหม่ เช่นไปถนนคนเดินบ้าง ไปไนท์บาซ่า หรือไปร่วมดูโชว์ที่ทางจังหวัดจัดขึ้นบางโอกาสที่ข่วงประตูท่าแพ หรือลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ มักจะเป็นประเภทซอพื้นเมือง วงดนตรีคำเมือง และการละเล่นแบบล้านนา ตีกลองสะบัดชัย ฟ้อนเชิง ฟ้อนเล็บ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นของสืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ ที่ไม่ว่าหล่อนจะอยู่ที่ไหนก็ยังรู้สึกผูกพัน อยากกลับมาเยี่ยมบ้านเสมอ บางคืนหล่อนนอนอ่านหนังสือภายใต้แสงตะเกียงจ้าวพายุ
วันนี้เป็นเช้าวันจันทร์ที่สดใส แม่ให้สาวใช้มาปลุกหล่อนแต่เช้า เพื่อไปทานข้าวเช้าด้วยกัน ตอนแรกหล่อนไม่อยากลุกจากที่นอนเลย แต่มาคิด ๆ ดูหล่อนมาอยู่ตั้งหลายวันยังไม่เคยกินข้าวเช้าร่วมกับแม่เลยซักครั้ง แม่ก็คงเกรงใจหล่อนไม่เคยมาปลุกหล่อนเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรก
" คุณจันทร์เจ้า นายแม่ให้มาเรียก เจ้า... คุณจันทร์"
เสียงสาวใช้เรียกชื่อหล่อนอยู่ที่ประตูห้องนอน เมื่อไม่มีเสียงขานรับจากหล่อน สาวใช้ก็เพิ่มน้ำเสียงหนักแน่นเข้าไปอีกเพื่อจะมีน้ำหนักพอให้หล่อนลุกจากเตียง
" คุณจันทร์เจ้า......นายแม่บอกว่าหื้อไปกินข้าวเจ้า"
คล้ายจันทร์กลัวจะได้ยินเสียงสาวใช้อีกนาน จึงรีบตกปากรับคำ
" จ๊ะ...จ๊ะ...เดี๋ยวฉันออกไป"
สาวใช้คงพอใจกับเสียงตอบรับของหล่อน จึงได้ยินเสียงฝีเท้าเดินย่ำลงเรือนไป
คล้ายจันทร์รีบอาบน้ำแต่งตัว เพื่อเร่งให้ทันอาหารเช้า ทุกคนมาพร้อมกันที่โต๊ะอาหารแล้วเมื่อหล่อนไปถึง
" วันนี้มี น้ำพริกหนุ่ม เนื้อควายนึ่ง แกงขนุน แกงฮังเล ที่ลูกเคยชอบทั้งนั้นเลยจันทร์"
แม่ยังคงพูดกับหล่อนเป็นภาษาเหนือเหมือนเดิม รีบพูดขึ้นอย่างเอาใจ จริง ๆ แล้วคล้ายจันทร์ฟังภาษาเหนือออกเกือบทั้งหมด ถ้าบางคำจะไปไม่เป็นคำที่เก่าแก่เกินไปที่นาน ๆ จะได้ยิน
4
สักครั้ง แต่หล่อนพูดไม่ค่อยเป็นแล้วเนื่องจากไปอยู่เมืองนอกเสียนาน เจอคนไทยที่โน้นก็มักจะพูดแต่ภาษาไทยกลาง
พ่อเลี้ยงหล่อนเป็นคนค่อนข้างใจดี ไม่ค่อยพูดมักจะยิ้มน้อย ๆ เมื่อเจอหล่อน เหมือนฝันก็ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับหล่อนเท่าใดนัก จะพูดจะจากับหล่อนก็เต็มไปด้วยความเกรงใจ เพราะไม่เคยถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันมาก่อนเลย และอายุอานามก็ห่างกันตั้ง 12-13 ปี หล่อนอายุ 25-26 แล้วแต่เหมือนฝันยังอายุ 13 ปีอยู่เลย กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง ยังคงถักเปียสองข้างไปโรงเรียนแต่งชุดนักเรียนด้วยกระโปรงสีแดง หล่อนทานข้าวเช้าอย่างรีบเร่ง และรีบลุกขึ้นทันทีที่รถมาจอดรอหน้าบ้าน ยกมือไหว้พ่อ แม่ และพี่สาวก่อนจะวิ่งลงไปที่รถขึ้นรถหายไป
สมบูรณ์พ่อเลี้ยงของคล้ายจันทร์ก็เหมือนกันพอทานข้าวอิ่มก็ลุกขึ้นทันที
" เครือวัลย์ ...อ้ายไปทำงานก่อนเน้อ "
แม่พยักหน้ารับและมองดูพ่อเลี้ยงอย่างรักใคร่ เขาหันมาทางคล้ายจันทร์ ยิ้มให้หล่อนก่อนเดินลงบ้านไปอีกคน สมบูรณ์ทำงานอยู่ที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของเชียงใหม่แห่งหนึ่งแถวท่าแพ ในตำแหน่งผู้จัดการ เขาเป็นคนรักงานและขยันขันแข็ง
เมื่อโต๊ะกินข้าวเหลือเพียงแม่กับหล่อนสองคนบรรยากาศก็ดูอบอุ่นขึ้น
" เป็นอย่างไรจาใด กับข้าวถูกใจ๋ก่อ"
" อร่อยที่สุดในโลกเลยค่ะ จันทร์ไม่ได้กินอาหารอร่อยแบบนี้มาหลายปีแล้ว"
" แต่แม่เคยแพคใส่กล่อง ส่งหื้อจันทร์บ่อย ๆ นี่ลูก"
" แต่มันไม่สด ๆ ใหม่ ๆ เหมือนกับวันนี้นี่ค่ะแม่"
" จันทร์...เดียวกินข้าวอิ่ม ตามแม่ขึ้นไปบนบ้านเน้อ...แม่จะหื้อจันทร์ดูอะไรอย่างหนึ่ง จันทร์ต้องชอบแน่ ๆ เลย"
แม่ยิ้มอย่างคาดหวัง มองดูคล้ายจันทร์ทานข้าวอย่างมีความสุข หลังจากนั้นหญิงต่างวัยก็ชวนกันเดินขึ้นไปบนเรือน บ้านหลังนี้นับว่าค่อนข้างใหญ่มีห้องต่าง ๆ ตั้งหลายสิบห้อง แม่เดินนำคล้ายจันทร์มาหยุดลงที่หน้าห้อง ๆ หนึ่งอยู่ทางด้านขวาสุดของตัวบ้าน
" จันทร์จำได้ก่อลูก ว่าห้องนี้เป็นห้องของไผ"
หล่อนหยุดคิดทบทวนความจำเมื่อครั้งเด็ก ๆ หล่อนเคยเดินขึ้นมาบนนี้นับครั้งได้ ห้องขวาสุดนี่..........ภาพหญิงชราวัยประมาณห้าสิบเศษ ๆ นั่งเคี้ยวหมาก โดยมีสำรับหมากวางอยู่ที่ข้างหน้าตัวทุกชิ้นทำด้วยทองคำแท้ ยกเว้นที่ตะบันหมากที่ทำด้วยทองเหลือง คุณยายเป็นคนใจดี คุณยายเคยให้หล่อนตะบันหมากให้สัก 2-3 ครั้ง ยิ้มแย้มพูดคุยกับหล่อนอย่างคนอารมณ์ดีเสมอ หลังจากหล่อนไปอยู่อังกฤษได้สัก 10 ปี คุณยายก็เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวาย คือนอนหลับไปแล้วไม่ตื่นขึ่นมาอีกเลย
5
มาวันนี้แม่พาหล่อนขึ้นมายังห้องของคุณยายที่ปิดตายไว้หลังจากคุณยายเสีย เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาภายในห้องแสงสว่างไม่พอทำให้ห้องค่อนข้างมืด แม่จึงเดินไปเปิดไฟที่เสาต้นหนึ่ง ทุกอย่างจึงดูสว่างขึ้น มีผ้าคลุมเฟอร์นิเจอร์ไว้ทุกชิ้น แม่เปิดผ้าคลุมชิ้นที่อยู่กลางห้องออกเผยให้เห็นหีบเหล็กใบใหญ่ แม่เปิดกุญแจหีบเหล็กออก ภายในพบชุดแต่งกายพื้นเมืองล้านนา ชุดเดียวกับที่หล่อนใส่ในฝันทุกครั้ง หะแรกหล่อนยังไม่แน่ใจเท่าไรนัก ต่อเมื่อหยิบแต่ละชิ้นมาจัดเข้าชุดจึงได้แน่ใจ จนเชื่อแน่ว่าชุดเดียวกัน
" ชุดนี้เป็นของทวดสืบทอดมาหื้อยาย แล้วยายก็เอาหื้อลูกต่อ"
เครือวัลย์เห็นลูกสาวพินิจพิเคราะห์ ดูชุดอย่างสนใจเป็นพิเศษ ก็พูดถึงประวัติของชุดขึ้นมา เพิ่มความสนใจของคล้ายจันทร์ให้มากขึ้นอีก
" ชุดของคุณยายหรือค่ะ ทำไมไม่มอบให้คุณแม่ แต่มามอบให้หนูแทน"
" ยายเปิ้นตั้งใจไว้นานแล้วว่าจะหื้อจันทร์ แต่บ่เจอกันสักที จนเปิ้นมาตายก่อน เลยฝากแม่ไว้หื้ออีกที จันทร์ลองใส่ดูสิ มีอย่างอื่นอีกนา หีบใบจาดใหญ่"
คล้ายจันทร์มีความเห็นคล้อยตามมารดา จึงรื้อของออกมาดูชิ้นต่อไป หล่อนพบเชี่ยนหมากทองคำทั้งสำรับ และที่ตะบันหมากทองเหลือง เครื่องประดับ ตุ้มหู ดอกไม้ไหว สร้อยคอ สร้อยแขน ทุกชิ้นเข้าชุดกันทำด้วยทองคำประดับทับทิมสีแดง เป็นฝีมือช่างโบราณ ลวดลายแบบล้านนา แน่นอนเป็นมรดกตกทอด
" คุณยายให้หนูหมดนี่เลยหรือค่ะ"
" จ๊ะ คุณยายตั้งใจไว้จาอั้น"
" แม่ค่ะหนูไม่ทราบมาก่อนเลยว่าคุณยายรักหนูมากมายถึงเพียงนี้ เหตุเพราะเราไม่ค่อยได้สนิทกันสักเท่าไร"
" เอาอย่างนี้ วันพรุ่งนี้ไปทานขันเข้าที่วัดกับแม่ ทานไปหายาย เปิ้นจะได้ฮู้ว่าลูกคิดถึงหาเปิ้นดีไหม"
" ดีเหมือนกันค่ะแม่ จันทร์จะได้สบายใจด้วย"
" จะบ่ลองใส่ชุดดูก๋าลูก ดูว่ามันพอดีก่อ"
" จันทร์ว่าจะไปลองใส่ที่ห้องดูเหมือนกันค่ะ"
" งั้นลูกรออยู่ตรงนี่เน้อ เดี๋ยวแม่จะไปเรียกบัวเกี๋ยงหื้อมาขนของช่วยลูก"
คล้ายจันทร์รับคำมารดา พร้อมกับจัดแจงเก็บข้าวของลงหีบเหมือนเดิม ก่อนเดินนำบัวเกี๋ยงมายังห้องของตนเอง
เมื่อบัวเกี๋ยงกลับออกไปแล้ว คล้ายจันทร์กลับมาเปิดหีบอีกครั้ง หล่อนรู้สึกมือไม้สั่นเมื่อหยิบเสื้อผ้าแต่ละชิ้นขึ้นมาทาบกับตัวเอง ก่อนบรรจงแต่งตัวจริง ๆ ที่หน้ากระจกบานใหญ่หล่อน
6
แต่งตัวครบทุกชิ้น พร้อมเครื่องประดับก่อนจะเอาเชี่ยนหมากมาวาง และพิจารณามันที่ละชิ้นอย่างพินิจพิจารณา สุดท้ายหล่อนเอาตะบันหมากทองเหลืองมาลองเปิดดู สักครู่หนึ่งรู้สึกเหมือนแผ่นดินไหว มีแรงดึงดูดจากที่ใดที่หนึ่งดูดพาตัวหล่อนไป คล้ายจันทร์รู้สึกกลัวอย่างจับใจ อะไรกันคลื่นสึนามิเพิ่งสงบที่ภาคใต้ นี่ภาคเหนือเกิดพายุอีกแล้วหรือนี่ หล่อนได้แต่หลับหูหลับตาขดตัว เพราะกลัวว่าพายุจะพาหล่อนไปกระทบกับอะไรสักอย่างเข้า ร่างกายหล่อนคงจะบาดเจ็บมิใช่น้อยหากพายุสงบ คล้ายจันทร์คิดอย่างประหวั่นพรั่นพรึง สักครู่เมื่อทุกอย่างสงบเงียบลงอีกครั้งหล่อนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองดูสภาพแวดล้อม " เอะพายุอะไร ทำไมภายในห้องไม่มีอะไรพัดปลิวไปสักอย่าง" หล่อนยังอยู่ในห้องเดิม แต่สิ่งแวดล้อมภายในห้องดูแปลก ๆ แตกต่างจากเดิมไปบ้างเตียงนอนนั้นใช่อันเดิม แต่ที่นอนและมุ้งไม่ใช่กระจกบานเดิม แต่ข้าวของเครื่องใช้ไม่ใช่ของหล่อน บรรดาเครื่องสำอางที่หล่อนสรรหามาหายไปไหนหมด แต่กลับมีของโบราณ ๆ ที่คนสมัยนี้ไม่ใช้กันแล้ววางอยู่แทน หล่อนเริ่มรู้สึกว่าห้องนี้ไม่ใช่ห้องหล่อน เพื่อยืนยันความมั่นใจคล้ายจันทร์วิ่งไปดูที่หน้าต่าง เห็นบ้านใหญ่หลังเดิมที่แม่อยู่ตั้งอยู่ที่เดิม หล่อนค่อยใจชื้น หล่อนมองลงไปสักครู่ เห็นผู้คนเดินไปมาสี่ห้าคน แต่งกายแบบพื้นเมือง เอะบ้านหลังต่าง ๆ ในบริเวณบ้านดูสภาพยังใหม่กว่าที่เคยเห็นทุกที คนข้างล่างดูมากมายกว่าเดิม มีหลายคนเดินผ่านมา หล่อนไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน คล้ายจันทร์ยิ่งมองดูยิ่งสงสัย มีเสียงคนเปิดประตูเข้ามา ด้วยสัญชาตญาณหล่อนรีบหลบข้างซอกเตียงนอน ผู้เปิดประตูเข้ามาเป็นชายหนุ่มผอมสูงคงจะสูงสักร้อยเจ็ดสิบกว่า ๆ ในห้องค่อนข้างมืดหล่อนมองเห็นหน้าเขาไม่ถนัดนักแต่คะเน เขาน่าจะเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งทีเดียว เขาเดินเข้ามาราวกับว่าห้องนี้เป็นห้องของเขาเอง เขาเดินไปที่กระจก หยิบหวีขึ้นหวีผมตัวเองซึ่งตัดเป็นเหมือนผมรองทรงและแสกกลาง เปิดตลับอะไรสักอย่างที่หน้ากระจก ขยี้กับมือก่อนจะลูบลงบนผมของตัวเอง หันซ้ายหันขวามองดูตัวเองในกระจกอย่างพึงพอใจ ก่อนจะถอยมานั่งลงที่เตียง ทันทีที่ก้นหย่อนลงบนเตียงเขาก็สะดุ้ง ยกก้นขึ้นโดยอัตโนมัติ
" ไผเอาอะไรมาไว้นี่หนา...อะล้า"
เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะใช้มือลูบก้นตัวเองปอย ๆ มืออีกข้างหนึ่งก็คลวนหาสิ่งแปลกปลอมที่ตัวเองนั่งทับ เขาเจอวัตถุเหล่านั้นจึงถือติดมือมาด้วย 2-3 ชิ้น เพื่อความกระจ่างเขาเดินถือไปส่องดูที่หน้าต่าง สีหน้าแสดงความแปลกใจ ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงในส่วนที่ไม่มีเชี่ยนหมาก คล้ายจันทร์รู้สึกใจเต้นแรง เพราะเมื่อเขานอนลงมือข้างหนึ่งโผล่ล้ำเตียงนอนเกยมาทางหล่อน เหลืออีกสักคืบก็จะโดนตัวหล่อนแล้ว ในทันทีทันใดมีวัตถุหนึ่งหล่นลงข้างตัวหล่อน ชายหนุ่มพลิกตัวเป็นท่านอนคว่ำหน้าลงใช้มือคลวนหาวัตถุชิ้นนั้น คล้ายจันทร์ขยับตัวเพื่อไม่ให้มือนั้นมาวนเจอตัวเธออย่างสุดกำลัง หล่อนอยากจะเขี่ยให้วัตถุนั้นถึงมือเขา แต่ก็กลัวจะทำเสียงดัง จนเขารู้สึกว่ามีหล่อนอยู่ในห้องนี้อีกคน
7
ชายหนุ่มรู้สึกรำคาญที่คลวนหาเท่าไรก็ไม่เจอสักที จึงพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง ชายหนุ่มก้มลงมองในความมืดสบเข้ากับสายตาคู่หนึ่ง เขาทำท่าตกใจผละออกห่างอย่างรวดเร็วพร้อมกับอุทานออกมาค่อนข้างดัง
" เฮ้ย......! "
ก่อนตั้งสติ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน เขาคงเป็นคนค่อนข้างกล้าหาญไม่ค่อยกลัวสิ่งใดง่าย ๆ
" ไผ.... ไผ ... อยู่ในนี่ ผีกาว่าคนบอกมา ถ้าบ่บอกสูโดนฟันแน่... บอกมา" ชายหนุ่มท่าทางเอาจริง วิ่งไปคว้าดาบมาถืออย่างทะมัดทะแมง
" อย่าฟันนะฉันเอง........ฉันชื่อคล้ายจันทร์...เป็นคนจ๊ะไม่ใช่ผี"
" ออกมานี่....ออกมาที่สว่าง ๆ ....หื้อเฮาฝ่อชัด ๆ "
ชายหนุ่มใช้ดาบที่ลับไว้จนขาววับชี้มายังตัวหล่อน ให้หล่อนปฏิบัติตามเหมือนที่เขาสั่งให้ได้ คล้ายจันทร์ค่อย ๆ เขยิบออกมาจากที่ซ่อน ออกมายืนกลางห้องตามปลายดาบที่ชี้นำให้หล่อนปฏิบัติตาม
" เอ่อ!..... แต่งตัวก่อจาดดี เข้ามาในห้องเฮายะหยัง สูฮู้ก่อ สูยะจาอี้มีโทษถึงตายเน้อจะบอกหื้อ"
คล้ายจันทร์ก้มดูสำรวจตัวเอง หล่อนยังคงใส่ชุดที่คุณยายให้อย่างครบครัน ดูเหมือนชุดจะใหม่กว่าตอนที่หล่อนใส่มันด้วยซ้ำ
" ฉัน.....ฉันมาจากเชียงใหม่ พ่อฉันเป็นนักธุรกิจ แม่ฉันชื่อเครือวัลย์ เป็นเชื้อจ้าวของเชียงใหม่"
" เอาหละ เอาหละ...ก็แม่นละสูต้องมาจากเชียงใหม่แน่ ๆ เพราะสูยืนอยู่นี่ก็เชียงใหม่ แต่สูอู้บ่ใช่กำเมือง เป็นภาษาของหมู่คนกรุงศรีอยุธยา สูบ่อต้องมาจุ สูบ่ใช่คนเชียงใหม่ สูเป็นคนตี่ไหนบอกเฮามา ถ้าสูบ่บอก....ตาย!"
ชายหนุ่มทำสีหน้าจริงจังตามคำที่พูด ใช้ปลายดาบชี้มาทางหล่อนอยู่ตลอดเวลาที่พูด
คล้ายจันทร์ชักหมั่นไส้ ชายหนุ่มขึ้นมาเต็มแก่ ห้องก็ห้องของหล่อน ชายหนุ่มก็บอกอยู่หยก ๆ ว่านี่ก็เชียงใหม่ มันก็ต้องเป็นบ้านแม่ของหล่อนด้วย หล่อนไม่ได้ไปโผล่ที่ไหนยังอยู่บ้านเดิมของตนเอง เขามีสิทธิ์อะไรมาทำกับหล่อนอย่างนี้
" นี่คุณ ... ปลายดาบนั่นเอาออกไปห่าง ๆ ตัวฉันหน่อยได้ไหม เดี๋ยวมันพลาดมาโดนตัวฉันเข้า คุณจะเดือดร้อนนะขอบอกก่อน นี่มันห้องของฉันไม่ใช่ของคุณ แล้วเชี่ยนหมากที่คุณเจอนั้นก็ของฉัน คุณยายให้ฉันเป็นมรดกสืบทอด คุณบุกรุกห้องฉัน ไม่ใช่ฉันบุกรุกห้องคุณ เข้าใจใหม่เสียด้วย อีตาเปื้อก" คล้ายจันทร์เดือดดาลอย่างเหลืออด
" จ้าวต่วนขอรับ .....จ้าวต่วน..เป็นอะหยังก่ขอรับ อะหยังมาเสียงดังแต้ ๆ อย่างกับผิดกับไผอยู่จาอั้นน่ะ" เสียงตะโกนจากข้างนอกมาพร้อมกับเสียงเคาะประตูรัวถี่ ๆ ติดต่อกัน
8
ชายหนุ่มชะงักลังเลว่าจะเอาอย่างไรดี ก่อนจะตัดสินใจตะโกนบอกบุคคลที่อยู่ข้างนอก
" บ่มีอะหยังหรอก อ้ายสม อ้ายคำ เฮาซ้อมร้องค่าวฮ่ำเจื่อ จะเอาไว้ร้องเกี้ยวสาว"
" กระผมได้ยินเสียงแม่หญิงโตยนา จ้าวต่วนมีอะหยังก่บอกอ้ายสม อ้ายคำเน้อขอรับ"
" บ่มีอะหยังแต้ ๆ นา อ้ายสม อ้ายคำ ใคร่ไปตางใดก่ไปเตอะ เฮาจะหลับสักงีบ ตอนบ่ายค่อยมาเน้อ"
เมื่อเสียงข้างนอกเงียบสงบลงแล้ว ชายหนุ่มก็หันมาทางหญิงสาวอีกครั้งหนึ่ง
" ว่าจาใด หาว่าห้องตี้เฮาอยู่นี่เป็นของสูอี้กา หยังเป็นคนจาอี้ ขี้โลภขี้โกงเอาของเปิ้นมาเป็นของตั๋ว หน้าบ่อาย เฮาบ่เกยฮู้บ่เกยหัน ตั้งแต่เฮาเกิดมาเป็นคนจนเป็นบ่าว เฮาก่อยู่เฮือนหลังนี้มาตลอด ไผก่ฮู้ ไผก่หัน ตะกี้สูว่าสูเป็นลูกลุงกิจกับป้าเครือวัลย์อี้กา เฮาบ่เคยได้ยินชื่อสองคนนี้สักครั้ง สูมีอะหยังแก้ตัวแหมลองว่ามา"
คล้ายจันทร์เริ่มไม่ค่อยแน่ใจยิ่งขึ้น ตั้งแต่ได้ยินเสียงผู้ชายข้างนอกที่เรียกตัวเองว่า อ้ายสมกับอ้ายคำแล้ว บ้านหล่อนไม่มีคนชื่อนี้นี่นา มันยังไงกันแน่หนอ มองกันไปมองกันมาครู่หนึ่ง คล้ายจันทร์เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน
" เอาล่ะ....ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่ เอาอย่างนี้ดีไหม ฉันขอออกไปข้างนอกก่อนไปดูว่าเรือนคุณแม่ฉันยังอยู่ไหม แล้วฉันจะพาท่านมายืนยันกับคุณ ว่าฉันเป็นคนที่นี่จริง ๆ"
" เฮาก่ใคร่ฮู้เหมือนกั๋นว่า เฮากาว่าสูตี้จุกันแน่........เฮอ! เดียวก่อน เฮาเป็นบ่าวอยู่ถ้ามีคนหันสูออกจากห้องเฮาเปิ้นจะกึดจาใด สูนะจะเสียหาย ......ละสูมีผัวหรือยัง"
ประโยคท้ายชายหนุ่มหันมาถามหล่อน โดยรอฟังคำตอบจ้องตาเขม็ง อย่างจริงจัง คล้ายจันทร์รู้สึกโกรธจนเลือดขึ้นหน้าแดงจนถึงใบหู นึกในใจว่า ชายคนนี้อาจหาญนัก มาถามภาษาพ่อขุนรามซึ่งคนปัจจุบัน อายที่จะพูดกันอย่างนี้
" ยังไม่มีหรอก แฟนก็ยังไม่มีเลย จะมีสามีได้ยังไง" หล่อนตอบกระฟัดกระเฟียด
" อะหยังก๊อ...แฟนกับสามี มันอะหยัง เฮาบ่อฮู้จัก"
" ก็คู่รักกับผัวของคุณไงล่ะ"
" สูนี่อู้อะหยัง ครึแต้ว่า...กำเดียวก่อนเน้อเฮาขอไปดูทางนอกก่อน สูอย่ารีบตามหลังเฮาไปนา ถ้าบ่เชื่อเฮาสูนะจะเดือดฮ้อน" พูดเสร็จเขาก็ค่อย ๆ ย่องไปเปิดประตู อย่างกับว่ากลัวใครจะมาเห็นจริง คล้ายจันทร์รู้สึกหมั่นไส้ชายผู้นี้เสียเต็มประดา หล่อนค้อนให้กับดินฟ้าอากาศแถวนั้น เมื่อลับร่างของเขา
สักครู่หนึ่งเขาก็กลับมาใหม่ เขาเดินเข้ามาเกือบชิดหล่อน เพื่อจะมองให้เห็นหน้าหล่อนชัด ๆ
9
" เอ่อ...เพิ่งนึกออกสูกินข้าวกลางแล้วหรือยัง เฮายังบ่ได้กิน จะกินโตยกันก่ สูรอกำเดียวเน้อ เฮาจะไปฮ้องอ้ายสมกับอ้ายคำมา" โดยไม่ฟังคำตอบเขาเดินไปที่หน้าต่าง ชะโงกตัวออกไปเล็กน้อยตะโกนเรียกเสียงดัง
" อ้ายสม...อ้ายคำ...มาหาเฮาหน่อย"
สักครู่หนึ่งมีเสียงเดินขึ้นบันไดมาหยุดลงตรงหน้าประตูห้อง
" ก๊อก.....ก๊อก...จ้าวต่วนขอรับอ้ายสมกับอ้ายคำมาแล้วขอรับจ้าวต่วน"
" อ้ายสม อ้ายคำ ไปเอาข้าวกลางวันมาหื้อเฮากินบนห้องนี้เลยนะ เอามาก ๆ เลย เอามาเท่าคนกินได้สองคน เฮาหิวข้าวขนาด เร็ว ๆ เน้อ"
" ท่าแป๊บเดียวขอรับ อ้ายสมกับอ้ายคำจะรีบไปเอามาบ่าเดียวนี้ล่ะ"
**********************************
ความคิดเห็น