คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เรื่องเล่าจากหนังสือปรัมปรา (ที่่มาที่ไปก่อนเริ่มเรื่องยาวหน่อยนะ)
เมื่อครั้งในอดีตการ จากการบันทึกเรื่องราวของศิลปินนักเขียนประวัติผู้หนึ่ง ในยุค เมอิค (1,400 ปีที่แล้ว) กล่าวไว้ว่า วิหารแห่งอาเธลนอร์ส หรือที่เรียกกันในชื่อของคนทั่วๆไปว่า วิหารแห่งความยุติธรรม มีเนื้อที่ปกคลุมอันกว้างใหญ่ไพศาล เป็นที่พักอาศัยของผู้อยู่อาศัยจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นคน เหล่าสัตว์ป่า หรือพวกซัมม่อน (ซัมม่อน สัตว์รูปร่างประหลาดหลายเผ่าพันธุ์ มีร่างกายที่ใหญ่โต และแข็งแกร่งมาก สื่อสารได้แบบมนุษย์ทุกอย่าง) มนุษย์กับเหล่าซัมม่อนนั้นมีวิวัฒนาการเติบโตขึ้นมาอย่างยาวนานก่อนที่หน้าประวัติศาสตร์เล่มแรกจะถือกำเนิดขึ้น และจึงค่อยๆปะติดปะต่ออารยธรรมให้เกิดขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างของแต่ละเผ่าพันธุ์นั้นๆ แต่ถึงจะแตกต่างกันอยู่มาก ทุกชีวิตต่างก็ล้วนมีรูปแบบการดำรงชีวิตที่คล้ายกัน เพราะเหตุนี้เอง ทั้งหมดจึงอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขเรื่อยมา
การปกครอง เหล่ามนุษย์และซัมม่อนถือว่าอยู่ในชนชั้นธรรมดา จะต้องเชื่อฟังและยอมรับคำสั่งจากชนชั้นสูงทั้งหมดไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม เหล่าชนชั้งสูงนั้นมาจากเชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์ซะส่วนใหญ่ “แต่ไม่ใช่ทั้งหมด” เพราะยังมีเหล่าชนชั้นธรรมดาที่สามารถไต่เต้าข้ามชนชั้นขึ้นไปบรรจุเป็นเหล่าชนชั้งสูงได้เหมือนกัน กรณีที่มีฝีไม้ลายมือทางด้านการออกรบตามศึกสงครามและนำชัยชนะกลับมาจนได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพ เช่นนั้นแล้ว เหล่าชั้นธรรมดาจึงค่อนข้างให้ความสำคัญกับชนชั้นสูงมาก หรืออีกนัยย์เป็นเพราะการเคารพเรื่องเชื้อสายที่แตกต่างกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ตามแต่ ผู้ที่ออกคำสั่งพิพากษาทั้งหมดนั้นมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาเขตของวิหารนั่นก็คือ กษัตริย์แห่งอาเธลนอร์ส หรือชื่อของพระองค์ ดิ-ดาร์คหลอด ผู้ที่ดูแลความผาสุขของประชาชนทั้งปวง พระองค์ทรงสร้างอู่ข้าวอู่น้ำ และบ้านเรือนอีกมากมาย มอบชีวิตแก่ทุกชีวิต จนถูกขนานนามตามสิ่งที่พระองค์กระทำว่า ท่านผู้สร้าง
อยู่มาวันหนึ่ง ข่าวร้ายก็ได้เกิดขึ้น พระองค์ได้ตามเสนาบดีให้ไปเตรียมการกระจายสาส์นให้ผู้อยู่อาศัยที่อยู่ห่างออกไปไกลหลายต่อหลายตัวเมืองได้รับทราบ และพร้อมที่จะอพยพเข้ามาในเขตกำแพงของวิหารให้โดยเร็วที่สุด เป็นข่าวร้ายที่พระองค์ไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้นเลย การโจมตีที่จะมีผู้สูญเสียและล้มตายนับไม่ถ้วนจากปีศาจร้ายที่พระองค์เริ่มรู้สึกได้ว่า มันเริ่มเคลื่อนไหวไกล้เข้ามาแล้ว
และเมื่อข่าวได้แพร่กระจายออกไป เหล่าผู้คนก็เริ่มแตกตื่นและรีบเก็บข้าวของอพยพตามคำสั่งของกษัตริย์ หัวเมืองต่างๆส่งสัญญาณเปิดประตูอพยพฉุกเฉิน เพื่อให้ชาวเมืองที่อยู่ไกลออกไปสามารถเข้ามาสู่ขอบเขตของวิหารและที่ปลอดภัยได้ทันท่วงที ทุกสิ่งที่อย่างมันชุลมุนและวุ่นวายไปหมด เหล่าคนงานเริ่มตีเหล็กกล้าหลอมอาวุธและโร่ให้กับนักรบที่เตรียมพร้อมจะออกศึก ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือซัมม่อน นักบวชตามโบสถ์ต่างๆก็เริ่มทำพิธีครั้งใหญ่โตแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน พิธีภาวนาและขอพรต่อพระเจ้าให้วิหารอาเธลนอร์สกลับมาสงบสุขอีกครั้ง
แต่นี่…ยังไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีสิ่งมีชีวิตจำพวกหนึ่งที่มีพลังพิเศษติดตัวมาตั้งแต่เกิด หรือชาวเมืองต่างเชื่อกันว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้มา กลับไม่ใช่สัตว์ประหลาดใหญ่ยักษ์แบบซัมม่อน มีขนาดเท่ามนุษย์ แต่กลับไม่ใช่มนุษย์ทั่วๆไป
“Knight” เหล่ากองทัพไนท์ที่เป็นตัวแทนของเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายต่างเตรียมสวมชุดเกราะศักดิสิทธิ์เพื่อออกรบ ชุดเกราะที่คนธรรมดาก็ห้ามจับโดยเด็ดขาด การถือกำเนิดขึ้นของเผ่าพันธุ์ไนท์จะเกิดขึ้นเพียงเชื้อสายกษัตริย์ และจะต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น ไนท์จะมีร่างกายและสัดส่วนเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง ทว่าจะเป็นมนุษย์ที่มีความพิเศษตรงที่มีพละกำลังแข็งแกร่งยิ่งกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปถึงร้อยเท่า และแข็งแกร่งกว่ายิ่งกว่าซัมม่อนที่มีน้ำหนักตัวหลายตันเป็นสิบเท่า การออกศึกสงครามนั้นจะถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้านักรบทุกครั้งไป เป็นนักรบแนวหน้าที่เหล่าปีศาจร้ายเกรงกลัวที่สุด บ้าบิ่น ทรงพลัง ถ้าอาวุธยังไม่แข็งแกร่งพอ ก็จงอย่าหวังว่าจะสะทกสะท้านต่อผิวกายของไนท์ ถ้าจิตใจยังมีความกลัวที่แอบแฝงอยู่ ก็จงทิ้งลมหายใจไว้ตั้งแต่ตรงนั้น ซึ่งกษัตริย์ของอาเธลนอร์สก็คือเผ่าพันธุ์ไนท์เช่นเดียวกัน
“Elf” เอลฟ์ เผ่าพันธุ์ที่บอบบาง เกิดขึ้นได้ทั้งชายและหญิง ชอบอยู่กับธรรมชาติ ตามป่าไม้ ไม่นิยมไปคลุกคลีกับเผ่าพันธุ์อื่นๆที่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ตัวเองเท่าไรนัก ถ้าไม่จำเป็น ไม่ใช่เพราะรังเกียจแต่มีความเชื่อว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆนั้นวุ่นวายเหลือเกิน อาจเป็นเพราะเอลฟ์นั้นมีนิสัยรักสันโดษ สุขุม นุ่มลึก ลักษณะพิเศษของเอลฟ์ผิวจะขาวดั่งไข่มุกและสันหูจะยาวแหลมมาก แต่การเคลื่อนไหวนั้นจะว่องไวที่สุด เอลฟ์จะแม่นยำเรื่องการใช้อาวุธระยะไกล ถ้าได้จับธนูแล้วละก็ไม่เคยที่จะพลาดเป้า
เสียงแตรดังขึ้นอย่างก้องกังวาล เป็นสัญญาณให้เหล่าผู้คนที่อพยพมาจากดินแดนอันห่างไกล หลบเข้าไปอยู่ในที่ปลอดภัยของวิหาร รวมไปถึงเป็นสัญาณของการเตรียมความพร้อมของเหล่านักรบผู้กล้าทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเหล่ามนุษย์และซัมม่อน หรือเผ่าพันธุ์ที่พระเจ้าประทานลงมา ประกอบกับเสียงของการพูดคุยวางแผนการอะไรซักอย่าง อย่างไม่ขาดสาย บ้างก็เกรงกลัวจนตัวสั่น บ้างก็จับกลุ่มกันภาวนาต่อพระเจ้าหวังให้สงครามครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และเจ้าปีศาจร้ายได้รับความพ่ายแพ้ ถูกเด็ดหัวจากน้ำมือของพระราชาซะ
“ครืนนนน!!”
กลิ่นไออันเยือกเย็นที่มาพร้อมกับความมืดอันน่าสะพรึงกลัวแพร่ขยายออกไปทั่วทุกหย่อมหญ่า เหล่ากองทัพ คาริม่า เคลื่อนพลปีศาจของพวกมันนับหลายล้านตน เดินหน้าชนกับพวกเราอย่างไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย สัตว์ประหลาดรูปร่างน่าอัปลักษณ์ร้องโหยหวนดังทั่วผืนแผ่นดิน พวกมันใกล้เข้ามาทุกทีๆ พวกมันไม่มีจิตใจไร้ซึ่งความกลัวและกระหายเนื้อมนุษย์เป็นที่สุด พวกมันประกาศศึกเตรียมโจมตีเพื่อจะยึดแผ่นดินที่พวกผู้คนและเหล่าสัตว์ต่างๆ รวมไปถึงซัมม่อนอาศัยอยู่ ให้รวมเป็นแผ่นดินเดียวกับของพวกมัน การโจมตีครั้งก่อนๆนั้นพวกมันได้นำร่างของผู้ที่เป็นและตาย เข้าสู่สภาวะแปรสภาพ กลายพันธุ์ เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจพวกเดียวกับพวกมันทั้งหมด รูปร่างอันใหญ่โตและน่าขยะแขยง ชุดเกราะและโล่ที่เป็นโลหะอันแข็งแกร่ง แววตาแดงฉานและเลือดเย็นเป็นที่สุด ช่างน่าหดหู่ยิ่งนักที่ต้องมารบกับปีศาจที่ครั้งหนึ่งเคยช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเคยเป็นครอบครัวเดียวกันแท้ๆ แต่ตอนนี้พวกเขาเหล่านั้นไม่รู้จักพวกเราอีกแล้ว พวกเขาถูกครอบงำด้วยความชั่วร้ายจนลืมทุกอย่างจนหมดสิ้น มีเพียงอย่างเดียวที่จำได้ขึ้นใจคือ ยึดวิหารอาเธลนอร์สพร้อมกับจับเหล่าผู้คนและซัมม่อนมาฉีกเป็นชิ้นๆ!
หลายครั้งที่พวกมันพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ไม่สำเร็จ พวกมันไม่สามารถแม้กระทั่งทำให้ปราสาทเป็นได้เพียงรอยขีดข่วน จริงอยู่ว่าครั้งที่แล้วมันล้มเหลว แต่ครั้งนี้ไม่…การโจมตีและกองกำลังของพวกมันยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมามาก รวมถึงพลังความชั่วร้ายและความแค้นบางอย่างที่สะสมอยู่ในตัวของมันอยู่นานแสนนานนั้นจะเป็นพลังที่เพิ่มพูลขึ้นมามากจนน่าตกใจ เมื่อรู้แบบนั้นแล้ว กษัตริย์ของเราจึงได้เตรียมการรวบรวมเหล่ากองทัพนักรบที่แข็งแกร่งมากกว่าทุกครั้งมาทั้งหมด
“จะประมาทไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ครั้งนี้พวกมันแข็งแกร่งมากจริงๆ แข็งแก่งกว่าที่คิดแต่พวกเราจะแข็งแกร่งกว่าพวกมัน!”
น้ำเสียงของพระองค์ที่เปล่งดังออกไปนั้นดังกังวาล ราวกับเป็นเสียงของพระเจ้าที่ส่งลงมาจากสวรรค์ ปลุกใจเหล่านักรบทั้งหลายให้รู้สึกกระหายศึกสงครามและโห่ร้องกึกก้องเรียกชัยชนะ
“เห้!!”
พวกเราตะบันหน้าต่อสู้กับเหล่าปีศาจร้ายอย่างไม่เกรงกลัว ต่อสู้เคียงข้างพระราชาที่กำลังห้ำหั่นเหล่าอสูรกายจำนวนมากมายที่อยู่ตรงหน้า ความแรงของดาบที่แกว่งไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจนหัวของเหล่าปีศาจร้ายหลุดกระเด็นกระดอนเกลื่อนไปทั่ว พระองค์ควบอาชาสีขาวของพระองค์อย่างรวดเร็ว วิ่งฝ่ากองทัพปีศาจจนแตกกระเจิง ร่างกายของอาชานั้นมีเหล็กกล้าที่แฝงไปด้วยคมหนามเหล็กอันแหลมคม ถีบกระทืบเหล่าปีศาจร้ายจนจมลงธรณีแหลกละเอียดไม่มีสิ้นดี
“เฟี้ยววว! ตู้มมม!”
เหล่าผู้คนยิงธนูไฟและปืนใหญ่จากกำแพงเมืองลงมายังเบื้องล่าง ความสูงของกำแพงเมืองนั้นเมื่อมองลงมาเบื้องล่างราวกับกลุ่มเงาแห่งความมืดและแสงสว่างกำลังจะกลืนกินกันยังไงยังนั้น เสียงดาบที่กระทบกับเกราะเหล็กดังโช้งเช้ง! เสียงผู้คนล้มตาย และเสียงของปีศาจร้ายที่โอดโอยโหยหวนด้วยความเจ็บปวด มันชุลมุนไปหมด ศึกสงครามครั้งนี้เริ่มรับรู้ได้ว่ามันไม่ชนะขาดลอยแบบครั้งก่อนๆเลย มันสูสีกันมาก เหล่าปีศาจร้ายคาริม่าแข็งแกร่งจริงๆ
“เคร้งงง! ครึกกกก!”
ทันใดนั้นเองก็บังเกิดร่างใหญ่ยักษณ์อันมหึมา ที่มีโซ่ตรวนคล้ายกับว่าควบคุมตัวเองไม่อยู่ มีผู้ใช้แซ่หวดยักษ์ตัวนี้อยู่ตรงส่วนหัวเพื่อบังคับมัน มือของมันนั้นถือลูกตุ้มเหล็กที่กำลังง้างทำท่าว่าจะกวาดเหล่านักรบแห่งอาเธลนอร์สให้ตายไม่มีชิ้นดี มันคำรามหนึ่งครั้งเพื่อเรียกกำลังในการฟาดของมันอย่างสุดแรง หลังจากนั้นมันก็ไม่รีรอ…
“อ้ากกกก!”
ร่างของเหล่านักรบแห่งอาเธลนอร์สปลิวหายกันไปคนละทิศคนละทาง แม้แต่นักรบที่อยู่เหนือกำแพงของวิหารที่เห็นภาพนั้นแล้วต่างก็อึ้งไปตามๆกันเพราะไม่มีใครที่เคยเห็นเจ้ายักษ์ตัวนี้มาก่อน มันทั้งทุบ ทั้งตีไม่ยั้ง พร้อมกับคำรามไปด้วยอย่างบ้าคลั่ง และเมื่อตั้งสติได้ เหล่านักรบที่อยู่เหนือหอคอยของปราสาทก็หันปากกระบอกปืนใหญ่ทั้งหมดไปในทิศทางเดียวกัน หวังจะถล่มเจ้ายักษ์ให้ราบ และขณะที่จะส่งสัญญาณให้ยิงปืนใหญ่นั้นเอง
“เปิดประตู!”
เป็นคำสั่งที่บ้าไปแล้วแน่ๆ การที่จะเปิดประตูได้นั้นจะต้องเป็นการถอยทัพเท่านั้น เพราะประตูเมืองเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งมาก คอยปกป้องเหล่าผู้คนจากปีศาจร้ายเพื่อไม่ให้มันเข้ามาในตัววิหารได้ หรือนอกซะจากว่าพระราชาได้รับบาดเจ็บสสาหัส แต่ที่ดูๆแล้วพระองค์ก็ยังทรงต่อสู้กับเหล่าปีศาจร้ายอย่างไม่ลดละเลย แต่จู่ๆการต่อสู้ก็ดูแปลกๆไปเมื่อเหล่านักรบทั้งหมดต่างก็วิ่งเข้ามาหลบในวิหารหลังจากประตูนั้นเปิดอ้าจนสุด ปล่อยให้พระราชาต่อสู้กับกองทัพปีศาจร้ายแต่เพียงลำพัง เมื่อเหล่าปีศาจร้ายคาริม่าเห็นแบบนั้นก็อดที่จะแฝงรอยยิ้มอันอัมหิตของมันไม่ได้ พวกมันค่อยๆเปลี่ยนเป้าหมายไปโจมตีแต่พระราชาฝ่ายเดียว ตอนนี้พระราชากำลังแย่ แต่ทำไมเหล่านักรบที่คอยสู้เคียงข้างกับพระราชาถึงทำแบบนั้น พวกเขาคิดอะไรอยู่ หรือพวกเขาคิดจะทอดทิ้งพระราชา ภาพที่ทุกคนนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่บ้างก็ต่างตะโกนด่าเหล่านักรบว่า “ไอ้พวกขี้ขลาดตาขาว” เพราะสิ่งที่นักรบทำมันก็ไม่ต่างกับการสังหารพระราชาทางอ้อมเลย
“ทันใดนั้นเอง”
ยักษ์ที่กำลังง้างอาวุธของมันหวังจะทุบพระราชาให้สิ้นไปในคราเดียว กับต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อความรู้สึกของมันนั้นราวกับว่าประสาทช่วงตัว กับประสาทส่วนหัวของมัน ขาดต่อจากกันแล้ว… เป็นดั่งลมพายุที่มองไม่เห็นในชั่วพริบตา เจ้ายักษ์ที่ว่าพร้อมกับศีรษะที่หลุดลอยไปในอากาศก็ล้มตึงนอนแน่นิ่งไปผืนดิน เหล่านักรบชนชั้นสูงไนท์ออกศึกแล้ว
กองทัพไนท์สร้างความหวาดกลัวให้พวกคาริม่าอย่างน่าสลดสยอง เดินหน้าต่อยตี และฟาดฟันจนร่างกายแหลกละเอียดทั้งๆที่ร่างก่ายของไนท์ก็เล็กกว่าพวกเหล่าปีศาจมาก เหมือนดั่งช้างกับตั๊กแตน แต่พละกำลังมากมายซะเหลือเกิน เพราะพระราชาเกรงว่าการนำเหล่ากองทัพท์ไนท์ออกศึกอาจทำให้เหล่านักรบที่เป็นมนุษย์ธรรมดาหรือซัมม่อนโดนลูกหลงไปด้วย อีกทั้งการต่อสู้เมื่อสักครู่นี้ พระองค์ก็ใช้กำลังยังไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ แต่ยังหรอก เพราะพระองค์รู้ว่าพวกคาริม่าก็มีไพ่ตายอีกใบหนึ่งเหมือนกัน
พวกมันเริ่มมีท่าทีแปลกๆไป กองทัพชุดใหม่เคลื่อนพลประจัญหน้าแทนกองทัพชุดเก่าคล้ายๆกับการเคลื่อนพลไปอยู่ในที่ๆปลอดภัยเหมือนกับคำสั่งเปิดประตูของพระราชาเมื่อครู่ และนี้เอง เป็นสิ่งที่พระราชาไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุดเลยคือ การต้องมาฆ่าฟันกับเหล่าปีศาจที่อดีตเคยเป็นครอบครัวของตัวเอง พระองค์มองร่างกายภายใต้ชุดเกราะของปีศาจร้าย แววตาแดงฉาน และเลือดเย็นของเหล่ากองทัพคาริม่าที่เมื่อก่อนยังเคยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มันได้นำร่างของเหล่านักรบคนธรรมดา ซัมม่อน และไนท์ที่สูญเสียจากสงครามครั้งที่แล้วไปแปลสภาพกลายพันธุ์ให้แข็งแกร่งกว่าเดิม เอามาใช้เป็นอาวุธทรงพลังในการต่อสู้กับเหล่านักรบอาเธลนอร์ส พวกเขาจำเราไม่ได้ จิตใจของพวกเขาถูกครอบงำหมดแล้ว พระองค์ไม่ต้องการที่จะสูญเสียใครไปอีก ในเมื่อเป็นแบบนั้นแล้วพระองค์จึงส่งสัญญาณเรียกเอลฟ์ออกมาเป็นนักธนูคอยหนุนแนวหลังไห้เหล่าไนท์ทั้งหลาย เพราะคงถึงเวลาแล้วที่ปฐพีจะลุกเป็นไฟในอีกไม่ช้า ไม่แน่ฝีมือของพวกมันอาจจะแข็งแกร่งกว่าพวกเราด้วยซ้ำ
“ฆ่ามัน!!!”
ดั่งกับหัวใจหยุดเต้น เสียงโห่ร้องกึกก้องดังมาอีกครั้ง กองทัพแห่งอาเธลนอร์สประจัญบาน ชุดเกราะสักดิ์สิทธิ์ของพระราชารวมถึงเหล่าไนท์ทั้งหมดเปล่งแสงสีทอง เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่ากำลังใช้พลังในรูปแบบร้อยเปอร์เซ็น เสียงดาบที่หนักอึ้งฟาดฟันกันดังสะท้าน แลกกันจนเลือดสาดกระเซ็น เหล่าเอลฟ์ไม่รอช้าหนุนหลังปกป้องไนท์อย่างสุดกำลัง ลูกศรของเอลฟ์พุ่งทะยานปักเข้าศรีษะของศัตรูอย่างไม่พลาดเป้า แม้ว่าฝ่ายของตัวเองจะต่อสู้ประชิดกับศัตรูแค่ไหนก็ตาม การต่อสู้ครั้งนี้เป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะพวกมันแข็งแกร่งเกินไป ฝ่ายเราเสียพลไปมากเกินกว่าครั้งก่อนๆแต่ก็พยายามสุดวิถีทางไม่ให้มันนำร่างของผู้สูญเสียไปแปลสภาพ ฟันแล้วฟันเล่า…ยิงแล้วยิงเล่า เหล่าปีศาจร้ายก็ไม่รู้จักเจ็บหรือร้องสักแอ่ะ พวกมันเดินหน้าชนลูกเดียวจนฝ่ายเรากำลังร่อแร่และเหน็ดเหนื่อยไปตามๆกัน เสียงหายใจของพระราชาเริ่มแผ่วลง เรี่ยวแรงที่จะหยิบดาบฟาดฟันก็ล้าลงเรื่อยๆ จากตอนแรกที่น้ำหนักของดาบนั้นเบาดุจขนนก แต่ตอนนี้หนักเสียยิ่งกว่าท่อนซุง แววตาเริ่มมองอะไรได้แคบลง ภาพที่มองเห็นเบื้องหน้าก็เป็นเพียงภาพลางๆของการฆ่าฟันกันอย่างวุ่นวาย แต่แปลกที่ว่าทำไมเสียงที่ได้ยินกับเบาเสียเหลือเกิน ที่ยินชัดเจนที่สุดก็เห็นจะเป็นอื่นไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เสียงลมหายใจตัวเอง
ทว่า ณ บนยอดสุดของวิหารกลับมีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ บุรุษที่กำลังชูไม้เท้าร่ายเวทมนต์อะไรสักอย่าง ปิดหน้าปิตตาด้วยผ้าคลุมสีดำตัดกับเส้นผมสีขาวของเขา เส้นผมและผ้าคลุมนั้นปลิวไสวตามกระแสลม มันช่างสง่าเสียเหลือเกิน แสงริบรี่ๆจากยอดวิหารที่กำลังแผ่ตัวขยายตัวไปทั่วอาณาจักร ทุกคนค่อยๆแหงนมองขึ้นไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่เว้นแม้แต่เหล่านักรบและปีศาจที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่เบื้องล่าง
“เมื่อใดที่ไม้เท้าของข้าเปร่งแสงเจิสจรัสไปทั่วแผ่นดิน เมื่อนั้นจะมีบางสิ่งล่องลอยลงมาจากฟากฟ้า เพียงชั่วพริบตา ทุกสรรพสิ่งจะหายไปตลอดกาล”
“แป่ะ!” เสียงปิดหนังสือที่มีลักษณะเก่าคร่ำครึดังขึ้น พร้อมด้วยรอยยิ้มเล็กๆของชายหนุ่มผู้หนึ่ง
“อ่าว จบแล้วหรอ?” เสียงของเด็กชายคนหนึ่งดังขึ้นอยากสงสัย
“ใช่ คงงั้นนะ” ชายหนุ่มตอบ
“แล้วใครกันที่มาช่วยตอนจบ?”
“ฮึๆ เขามีชื่อว่าเมจิกเชี่ยน…เผ่าพันธุ์ที่หายสาปสูญไปแล้ว” ชายหนุ่มยิ้มพลางยักคิ้ว
“สุดยอด…” เด็กๆพูดเป็นเสียงลากยาวพร้อมกัน
“ชื่อแปลกๆ นอกจากไนท์ เอลฟ์ และซัมม่อน ไม่ยักรู้เลยว่ามีเผ่าพันธุ์ประหลาดแบบนั้นอยู่ด้วยแฮะ” เด็กชายคนหนึ่งในกลุ่มทำท่าฉงนสงสัย
“เอาอีกๆ เล่าอีก” เด็กผู้หญิงในกลุ่มอ้อน อีกทั้งยังดึงชายกางเกงของข้า
“ได้สิ…” ข้ายิ้มอย่างมีเลศนัย “งั้นวันนี้เวรพวกเจ้าต้องไปหาแอปเปิ้ลมาให้ข้ากินคนละ 3 ลูก แล้วข้าจะเล่าต่อ”
“โห่” เด็กทั้งหมดโห่ลั่น
“อะไร แค่นี้เอง?” ข้าพูดและทำคิ้วขมวด
“นะๆ เล่าอีกนะ”
“งั้น 1 ลูก โอเคไหม?” ข้าต่อรองและมองพวกเด็กๆแต่เหมือนพวกเขาจะทำหน้าเซ็งๆใส่ข้า
“อ๊ะๆ ก็ได้”
“เยี่ยม! ถ้าอย่างนี้ค่อยมีกำลังใจในการเล่าหน่อย มาๆข้าจะเล่าให้ฟัง”
“เย้ๆๆ!”
ท่ามกลางผู้คนที่สัญจรไปมาตามท้องถนน พวกเขาไม่สนใจพวกข้าหรอก เสื้อผ้าหน้าผมกับเนื้อตัวที่มอมแมมใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ พวกเราเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีพ่อแม่ ไม่เคยเห็นหน้าพ่อกับแม่เลยตั้งแต่เกิดมา บางครั้งก็สงสัยว่าพวกท่านไปไหน แต่ ก็ไม่มีใครให้คำตอบข้าได้ นอกจากตัวข้าเองที่ไม่รู้ ในจำนวนเด็กกำพร้าพวกนี้มีข้าคนเดียวที่โตที่สุด งานของข้าถ้าไม่ออกไปหาข้าวปลาอาหารให้พวกเด็กๆ ก้อนั่งเล่านิทานปรัมปราจากหนังสือเล่มนี้นี่แหละ ข้าได้มันมาจากตอนที่เข้าไปวิ่งเล่นในโบสถ์ เห็นมันหล่นอยู่เลยหยิบมา เหมือนมันจะไร้ค่านะแต่ข้าก็ไม่เคยคิดจะทิ้งมัน
ความคิดเห็น