ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dragon Sword อภินิหารดาบครองพิภพ

    ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบทสู่จุดสิ้นสุด

    • อัปเดตล่าสุด 24 ต.ค. 54


    Dragon Sword

    อภินิหารนักสู้กู้พิภพ

             

    Episode  1 :Begin of Deathlord

    ปฐมภาค        : กำเนิดอสูรพิชิตโลกา

     

    ปฐมบทสู่จุดสิ้นสุด

     

              ไฟกำลังลุกท่วมทุ่งหญ้าภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที...

    ชาวบ้านแห่งหมู่บ้านอาซาต่างเร่งรุดฝีเท้าไปยังที่ปลอดภัยที่ใกล้ที่สุดอย่างเร่งรีบ

    แม่น้ำบอนดูร์

     

                นี่คือสถานที่แห่งเดียวที่พวกเขาจะใช้ในการหลบหนี ชาวบ้านอาซาใช้เส้นทางลับใต้แม่น้ำนี้หนีจากภัยพิบัติมาแล้วหลายชั่วอายุคน เนื่องจากช่วงยุคแรกๆแห่งการเพาะปลูก อาคิออฟ ซูริค หัวหน้าหมู่บ้านคนแรกของอาซาค้นพบแม่น้ำสายนี้และสร้างทางหนีทีไล่ขึ้นยามเกิดภัย จึงไม่แปลกที่ชาวบ้านแห่งตำบลบอนดูร์ หมู่บ้านอาซาจะรู้จักหาโอกาสนี้หนีรอดจากศัตรู

     

                ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วนับจากที่มีสงครามครั้งก่อนที่พวกชาวบ้านจะมารวมตัวกันห้อมล้อมธารสายหลักที่ไหลโยงไปสี่ทิศ ไหลผ่านหมู่บ้านสี่แห่ง  สี่ตำบล

                ฮัคส์ ซูริคหัวหน้าหมู่บ้านคนปัจจุบัน ผู้มีร่างกายบึกบึน กำยำและมีหนวดเครารุงรังเต็มใบหน้าจ้องมองแม่น้ำตรงหน้าก่อนจะตะโกนขึ้นมาท่ามกลางเสียงจอแจของผู้คนภายใต้การปกครองของตน

    ชาวบ้านทุกท่าน! โปรดฟังสิ่งที่ข้าต้องการจะพูดต่อไปนี้! เราทั้งหมดจะหนีพวกมันลงไปในแม่น้ำสายนี้โดยการดำลงไปในถ้ำที่อยู่ใต้น้ำ ถ้ำแห่งนี้อยู่ลึกจากผิวน้ำลงไปราว 15 เมตร และเชื่อมต่อไปยังหมู่บ้านอีกแห่งซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป ถ้าหากใครว่ายน้ำไม่แข็ง หรือว่ายไม่เป็น ข้าจะขอทิ้งไว้ ณ ตรงนี้!

     

              สิ้นเสียงอันกังวานของฮัคส์ ซูริค ประชากรทุกคนต่างเงียบกริบไปทันใดราวกับมีใครสักคนมาขโมยกล่องเสียงของพวกเขาไป ไม่มีใครกล้าหือ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรทั้งสิ้น ทุกคนกำลังครุ่นคิดถึงคำพูดของหัวหน้าหมู่บ้านคนล่าสุดอยู่

     

                แต่แล้วใครคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นเบาๆในหมู่ชาวบ้านที่กำลังตกตะลึง

    ท่านซูริคท่านหมายความว่าเราจะต้องจากหมู่บ้านของเราไปตลอดกาลอย่างนั้นรึเสียงนี้เป็นเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่ง อายุประมาณ 30 เศษ มีใบหน้าซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ และมั่นคง       เขาผู้นี้เคยเป็นที่ปรึกษาของหัวหน้าหมู่บ้านมาก่อน จนกระทั่งถึงวันนี้  เขาเป็นบุคคลที่หนุ่มที่สุดในหมู่บ้านอาซา และเป็นผู้ที่มีความคิดฉลาดหลักแหลมที่สุด

             

              เบนิซัส ข้าคิดว่าคงจะเป็นเช่นที่เจ้าพูดแล้วละหัวหน้าหมู่บ้านบอกด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย เราคงต้องทิ้งหมู่บ้านไปตลอดกาลแล้ว

     แต่ข้าไม่อยากไปจากที่นี่ ที่นี่มันบ้านของข้า ถิ่นที่ข้าเกิด เมียข้าเกิด ญาติพี่น้องของข้าเกิด และเป็นถิ่นที่ลูกชายของข้าเกิดมา

     

              ท่านพี่คะ!!!สตรีที่ยืนอยู่ข้างหลังเบนิซัสใช้มือขวาจับแขนเขาไว้พร้อมกับร่ำไห้ออกมา เราไม่มีทางเลือกอีกแล้ว

               

                สตรีผู้นี้เป็นภรรยาของเบนิซัส นางเป็นสตรีผู้เดียวที่ชาวบ้านต่างเห็นว่า เข้าคู่กันมากที่สุด เนื่องจากใบหน้าของนางงดงามมาก ด้วยดวงตากลมโตสีดำเป็นประกายใส และรูปหน้ากลมเกลี้ยงได้รูป ผมเผ้าสยายประบ่าของนางเป็นสีดำขลับตามธรรมชาติ แต่ส่วนที่งามที่สุดคือ ริมฝีปากของสตรีท่านนี้ มันได้รูปเรียวงามเสมือนหัวใจที่กำลังเต้นตูมตามภายในอุระ และเป็นสีแดงเรื่อเรืองราวกับ โลหิต

               

                ภายในมืออีกข้างของสตรีผู้นี้กำลังโอบห่อผ้าร่างหนึ่งอยู่ มันคือร่างของทารกแรกเกิดอายุได้ราว 3 เดือน ซึ่งถ้าดูจากอวัยวะเพศสามารถระบุได้ว่า ทารกนี้เป็นเพศชาย

                เบนิซัสถอนหายใจ ดวงตาหม่นหมองลง ชายหนุ่มจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่เคยเป็นประกายหากแต่บัดนี้กำลังแดงก่ำและบวมจากการร้องไห้มานานของภรรยาตน

                ลูซาเรียเบนิซัสพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เป็นเชิงปลอบโยน ข้าไม่อยากให้มันจบ บางทีเราอาจสู้กับพวกมันได้

    แต่มันมีจำนวนมากกว่าเรากว่าครึ่งนะชาวบ้านที่ได้ฟังการสนทนาขัดขึ้น

    ท่านจะเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆชาวบ้านที่ยืนข้างๆหัวหน้าหมู่บ้านเห็นด้วย

     

                ทันใดนั้นเอง ก่อนที่การสนทนาจะยืดยาวยิ่งกว่านี้ เสียงหนึ่งซึ่งดังกว่าเสียงพูดคุยและเสียงน้ำไหลก็ดังกังวาลให้เห็น บุคคลแรกที่ได้ยินเสียงนี้คือ ฮัคส์ ซูริค

               

                พวกมันเขาเอ่ยขึ้นเบาๆ ท่ามกลางความเปล่าเปลี่ยว มาแล้ว

    จากชายป่า จุดที่ชาวบ้านหนีมามีเงาประหลาดปรากฏขึ้นมากมาย ประมาณ 100 ตน ไม่สิ อาจจะมีประมาณ 200 ก็ย่อมได้ เสียงแหวกพงหญ้ากระหน่ำให้เห็น นกกาแตกตื่นหนีขึ้นท้องฟ้า สายน้ำเชี่ยวกราก เปลวคลื่นกระทบโขดหิน เหล่าชาวบ้านเริ่มตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

                พลันนั้น ท้องฟ้าซึ่งเคยสว่างไสวด้วยแสงอาทิตย์กลับย้อมเป็นสีดำด้วยเมฆาที่ครึ้มฝน

    สายลมพัดผ่านกายของร่างเล็กๆที่กำลังแตกตื่นของชาวบ้านอาซา เศษหินเศษดินปลิวว่อนไปทุกทิศ

    หายนะกำลังจะมาเยือนแล้ว!

     

              ฮัคส์ ซูริค หัวหน้าหมู่บ้านเป็นบุคคลแรกที่ได้สติ เขาร้องตะโกนฝ่าเสียงพายุไปยังหูของชาวบ้านแต่ละคน หนี!!!! เราต้องอพยพออกจากที่นี่!!! ทุกคน กระโดดลงน้ำ!!

              ไม่มีคำสั่งใดๆอีกครั้ง ชาวบ้านกว่า 100 ชีวิตต่างพุ่งตัวลงไปสู่ผืนธารที่ใสจนมองเห็นเบื้องล่างในทันที หากแต่สายไปเสียแล้ว

     

              ร่างทะมึนปรากฏตัวออกมาจากป่า สร้างความโกลาหลให้ชาวบ้านที่กำลังหวาดกลัวจากรูปร่าง พวกมันมีลักษณะคล้ายลิง แต่ตัวใหญ่กว่า และมีดวงตาสีแดงก่ำ มีกรงเล็บและเขี้ยวพร้อมสรรพเป็นอาวุธร้ายที่น่ากลัวยิ่ง

                แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาขวัญผวาคือ เสียงกรีดร้องโหยหวนของพวกมันที่ดังจนไม่มีมนุษย์ผู้ใดบนโลกสามารถทนรับได้อีกแล้ว

                ชาวบ้านที่กำลังอยู่บนบกถูกพวกมันแยกวิญญาณออกไปทีละคนๆ จากสิบเป็นยี่สิบ และเป็นห้าสิบ บางคนฆ่าตัวตาย บางคนกระโดดน้ำแต่ไม่รอด บางคนถูกพวกมันแหวกอกจนเห็นหัวใจสีแดงสดกำลังเต้นตูมๆอยู่ บางคนถูกพวกมันฉีกเป็นชิ้นๆก่อนจะมีโอกาสได้ร้องเป็นครั้งสุดท้ายด้วยซ้ำ

               

                ขณะนี้ชาวบ้านที่เหลืออยู่มีจำนวนไม่ถึงครึ่งหนึ่งจากที่เคยมีชีวิตอยู่เมื่อครู่นี้

    ร่างไร้วิญญาณหรือ ศพของชาวบ้านอาซาจำนวนห้าสิบสองร่างกำลังหลับใหล บ้างอยู่ตามแผ่นหิน บ้างอยู่ในน้ำขณะกำลังดำหนี บ้างอยู่บนศพอีกศพหนึ่ง เหลือเพียงนักสู้ที่ยังยืนหยัดอยู่บนพื้นดินเพียง 67 คนเท่านั้น

               

                ฮัคส์ ซูริค เป็นหนึ่งในนั้น

    หัวหน้าหมู่บ้านผู้มีใบหน้าและร่างกายดุจราชสีห์หยิบดาบซึ่งสะพายอยู่ที่แผ่นหลังมานานออกมารับอากาศ ก่อนจะตวัดตัดร่างของปีศาจเหล่านั้นทีละตัว

    ชาวบ้านที่เหลือเมื่อเห็นการกระทำของหัวหน้าจึงลงมือสู้ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางชนะ

     

                ทั้งที่รู้ว่าจุดสิ้นสุดของพวกเขากำลังมาถึงแล้ว

             

              สิบนาทีต่อมา ร่างที่หมดลมหายใจจำนวน 116 ร่างกำลังนอนแผ่หลาอยู่ริมแม่น้ำในสภาพที่ไม่สามารถเหลียวมองได้แม้แต่หางตา ศพทุกร่างตายในสภาพอนาถ และขาดอวัยวะชิ้นใดชิ้นหนึ่งเสมอ

               

                แต่ชาวบ้านอาซามี 119 คนทำไมถึงมีศพ 116 ร่างละ

    แล้วอีกสามศพหายไปไหน?

     

     

                 ลึกกลับเข้าไปในป่า ห่างจากจุดแห่งการสังหารสองไมล์เศษ ปรากฏร่างของมนุษย์ที่เหลือรอดเพียงสามร่าง ร่างหนึ่งกำลังหลับใหลอยู่ในอ้อมกอด ส่วนอีกสองร่างกำลังวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด

     

                ร่างสองร่างที่กำลังวิ่งคือเบนิซัส และ ลูซิเลียร์ นั่นเอง พวกเขาสามารถหลบหนีออกมาจากแม่น้ำเลือดเมื่อครู่ได้อย่างหวุดหวิด แต่ดูเหมือนอสูรกายพวกนั้นจะฝากรอยแผลที่หัวไหล่ไว้กับเบนิซัส

               

                เลือดข้าชายผู้เป็นพ่อคนเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกตลอดระยะการวิ่งครั้งนี้ มันไหลไม่หยุดเลย..

    ลูซิเลียร์ผู้เป็นภรรยาหยุดวิ่ง ก่อนจะวางห่อผ้าซึ่งมีทารกลงบนพื้นหญ้า จากนั้นจึงเดินเข้าไปหาผู้เป็นสามี เป็นอะไรหรือเปล่า ท่านพี่

    ข้าคงจะตายในไม่ช้านี้แล้วละเบนิซัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ลูซิเลียร์จ้องมองเขา จากนั้นจึงหันไปมองเด็กในห่อผ้า ก่อนจะยิ้มออกมา

    ท่านไม่ตายหรอกคำพูดนั้นมาจากริมฝีปากของลูซิเลียร์ แต่วันนี้ข้ามั่นใจว่าเราจะต้องมีศพเพิ่มเป็น 117 ศพ

    เมื่อได้ฟังดังนั้นเบนิซัสจึงเริ่มแสดงแววตาหวาดกลัวออกมา สีหน้าของเขาตระหนกมากขึ้น

    นี่เจ้า! หรือว่า…!ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงแหบพร่า

    ใช่แล้วลูซิเลียร์พยักหน้าด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ข้าจะล่อพวกมันเองท่านหนีไปเถิด

     

                นางอุ้มทารกขึ้นมาก่อนจะส่งให้สามี

    ในวินาทีนั้นเอง ที่ลูซิเลียร์รู้สึกได้ถึงสัมผัสบางอย่าง เป็นลางสังหรณ์ที่บ่งบอกถึง ความตาย

    นางหันมาหาเบนิซัสด้วยแววตาตื่นกลัว พวกมัน!!! มาแล้ว!!! มันตามกลิ่นเลือดของท่านมา!!!

    ไอ้เวรเอ๊ยเบนิซัสสบถ ก่อนจะหันไปรอบป่า ใช่จริงๆ เสียงฝีเท้าดังขึ้นมากแล้วเสียงแหวกพงหญ้าปรากฏให้ได้ยิน พวกมันมาทั้งฝูง!!!

                ลูซิเลียจ้องตาสามีตรงๆก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงโศกเศร้าว่า ท่านพี่ ข้ามั่นใจว่าชีวิตของข้าคงถึงจุดสิ้นสุดแล้ววันนี้ ข้าอยากตอบแทนทุกสิ่งกับท่าน

    ลูเจ้าไม่

    ไม่มีเวลาแล้วลูซิเลียใช้ฝ่ามือลูบไล้แก้มของเบนิซัส ก่อนจะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของผู้เคยเป็นสามีของนาง

     

                เสียงแหวกพงหญ้าดังให้ยิน อีกสามสิบเมตร

    สายลมกระพือโหมโรง เศษหินปลิวว่อน ทุกอย่างมืดลงเสียงหอนของสัตว์ป่ากระหึ่มก้อง

    เงาบางๆนับร้อยปรากฏขึ้นในสายตาของเบนิซัส

     

                พวกมันพุ่งเข้ามาจากในป่ารอบทิศ ห้อมล้อมพวกเขาไว้

    เกาะกลุ่มไว้ อย่าแยกกันเบนิซัสกระซิบเตือน ก่อนจะจ้องมองพวกมัน ประเมินจำนวนและความสามารถ พวกมันมีเป็นร้อย แต่พวกเขามีกันแค่สามคน ไม่มีทางเอาชนะได้แน่

    ถึงเวลาจบสิ้นแล้วจริงๆ

     

                ลาเทส ลิงซ์ลูซิเลียร์ตะโกนก้องป่า ในวินาทีนั้นเอง แสงสว่างสีขาวก็ปรากฏขึ้น

    มันเป็นแสงที่ส่องมาจากดวงอาทิตย์ แต่มีสีที่สว่างมากจนดวงตาของพวกอสูรกายร้ายไม่สามารถจ้องมองได้

                พวกมันตาบอดลูซิเลียร์กระซิบ ก่อนจะชูมือขึ้นไปบนท้องฟ้า และตะโกนดังๆ

    ข้าแต่วิญญาณแห่งไพรสัณฑ์ โปรดเปิดทางให้แด่สามีแห่งข้าและบุตรชายของข้า

    เบนิซัสตกใจในการกระทำของเธอ ลูซิเลียร์ไม่นะ เจ้า!!!

    โปรดคุ้มครองพวกเขาให้ผ่านป่าแห่งนี้โดยปลอดภัย

    ลูซิเลียร์ เจ้าอย่าทำเช่นนี้!!!เบนิซัสร้องตะโกนลั่น แต่ดูเหมือนเขาจะทำไม่สำเร็จ เขาไม่สามารถพาภรรยาของเขากลับมาได้อีกแล้ว

    และขอให้สามีแห่งข้า และบุตรชายข้ามีชีวิตรอดจากภยันตรายทั้งปวง

    ไม่นะ!!!!!!เบนิซัสหวีดร้อง โอบกอดทารกในมือแน่นขึ้น

     

                เสียงลมบาดแก้วหูดังขึ้น แต่เส้นผม หรืออาภรณ์ของพวกเขาไม่สั่นไหวเลยราวกับอยู่ภายใต้กำแพงหนาทึบ ฝูงลิงยักษ์หวีดร้องแหบพร่าด้วยความกลัวลูซิเลียร์หลับตา ก่อนจะยิ้มออกมา….

     

                ท่านพี่คะฝากดูแลจาเร็ตด้วยนะผู้เป็นแม่พูดก่อนจะล้มลงไป

    ภาพสุดท้ายที่เบนิซัสเห็นคือ หญิงที่เขารักมาเป็นเวลาสามสิบปีถูกฝูงลิงฉีกเป็นชิ้นๆ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×