ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dragon Sword อภินิหารดาบครองพิภพ

    ลำดับตอนที่ #8 : หมู่บ้านคาซาอีร์

    • อัปเดตล่าสุด 29 ต.ค. 54


    บทที่ 8 หมู่บ้านคาซาอีร์

     

                หลังจากที่จาเร็ตวิ่งออกไปนอกบ้านแล้ว อลันก็เปิดประเด็นการสนทนาขึ้นในทันที

    “นางเป็นใครกัน?”เด็กหนุ่มถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้                                                                           

    เบนิซัสวางหนังสือลง ก่อนจะเดินไปปิดประตูบ้าน และปิดหน้าต่าง จากนั้นจึงหันมาทางอลันและแคทเทอรีน “นางชื่อลูซิเลียร์ ภรรยาของข้าและแม่ของจาเร็ต”

     

    คำพูดนั้นทำให้อลันและแคทเทอรีนใจหายวาบ พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าบุคคลที่ถูกบันทึกไว้ในหน้ากระดาษจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนใกล้ตัวพวกเขานี่เอง

    “ถะถ้าอย่างนั้น จาเร็ตก็ต้องรู้ว่าเขาเสียแม่ไปเพราะเรื่องนี้สิคะ”แคทเทอรีนถามขึ้น

    เบนิซัสพยักหน้าให้อย่างเศร้าๆ “ใช่ ลูตายไปตอนที่ปกป้องข้าและจาเร็ตให้พ้นจากพวกเออกัลล์ ในวันนั้นพวกมันบุกเข้ามาในหมู่บ้านเดิมของเราและสังหารทั้งหัวหน้าหมู่บ้านและเพื่อนของข้าตายไปหมด แต่เราสามคนหนีเข้าไปในป่าทันเวลา แต่ก็ยังจนมุมพวกมันอยู่ดี”

    อลันจ้องใบหน้าของเบนิซัส และสัมผัสได้ถึงแววตาของคนที่ผ่านประสบการณ์มานาน ความเศร้าสร้อยหดหู่ก่อขึ้นในดวงตาของชายผู้นี้ ทั้งความเศร้าที่ได้สูญเสียภรรยาของตนไปและความเสียใจที่ลูกชายของตนกลายเป็นเด็กมีปัญหา อลันเดินเข้าไปหาชายวัยกลางคน ก่อนจะกุมมือทั้งสองข้างของเขาไว้ และมองเข้าไปในดวงตาอันขุ่นมัวนั้น

    “ผมมั่นใจ”อลันบอก “ว่าเหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นอีก”

     

                เวลาล่วงเลยมาจนถึงรุ่งสาง จาเร็ตกำลังนั่งอยู่บนเนินเขาท้ายหมู่บ้าน ดวงตาของเด็กหนุ่มบวมเปล่งจากการร้องไห้ทั้งคืน ใบหน้าของเขาดูซีดลง

     

    จาเร็ตใช้นิ้วเขี่ยผืนหญ้าไปมาอย่างใจลอย แววตาของเขาเหม่อมองลงไปเบื้องล่าง ซึ่งก็คือสถานที่ตั้งของหมู่บ้าน “เคซาอีร์” ที่เขาอยู่นั่นเอง เด็กหนุ่มมองไปยังกระท่อมซึ่งเป็นบ้านของเขา ขณะนี้แสงเทียนจากกระท่อมของเขาดับวูบลงไปแล้ว บรรยากาศยิ่งสร้างความมัวหมองให้แก่จิตใจของเขามากขึ้นไปอีก

    บนท้องฟ้า ดวงจันทร์หลบซ่อนอยู่หลังก้อนเมฆสีดำ ไม่ทอแสงใดๆให้ราตรีนี้ดูโดดเด่นเลย

     

    แต่มีดาวดวงหนึ่งส่องสว่างขึ้นใจกลางท้องฟ้าพอดี

     

    จาเร็ตจ้องมองมัน พลางนึกถึงคำพูดที่พ่อเคยบอกเขาเมื่อครั้งที่เขายังคงเป็นเด็ก เขายังจำวันนั้นได้ดี ไม่ลืมเลือน

    “พ่อฮะ ทำไมดาวถึงทอแสงสว่างด้วยละฮะ”

    “ก็เพราะมันขยิบตาให้เราไงลูก”

    “ดาว มันขยิบตาได้ด้วยหรอฮะ”

    “ได้สิ บนดวงดาวแต่ละดวงมีวิญญาณของคนที่ตายแล้วสิงสถิตอยู่นะ”

    “แล้วแม่ของข้าละ ท่านอยู่บนดาวดวงไหนหรอ?”

    “แล้วสักวันลูกจะเห็นเอง”

     

    เห็นเองงั้นหรอ? จาเร็ตคิดในใจ ก่อนจะแอบยิ้มที่มุมปาก

    ไร้สาระสิ้นดี

     

                ทันใดนั้นเอง เงาลางๆก็ปรากฏขึ้นจากด้านหลังของเด็กหนุ่ม มันย่องเข้ามาหาจาเร็ตจากในความมืด มุ่งหมายจะประชิดกายเขา มือของมันไขว่คว้าออกมา – เมฆเคลื่อนตัวออกมาจากแสงจันทร์ ส่องให้เห็นร่างทมิฬนั้น แต่จาเร็ตยังคงหันหลังให้ร่างนั้น และเหม่อมองลงไปยังหมู่บ้านข้างล่างจึงไม่สามารถเห็นเงานั้นได้

                เงาประหลาดแสยะยิ้มออกมา ก่อนจะก้าวเข้าไปอีกก้าวหนึ่ง

     

                “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ”จาเร็ตพูดขึ้น ก่อนจะหันไปมอง

    อลันส่งยิ้มให้เขา พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงยียวนว่า “นายรู้ได้ไง”

    “นายคงไม่รู้ว่าฉันหูไวกว่าคนส่วนใหญ่—มันคงเป็นสิ่งที่ได้มาจากแม่”จาเร็ตพูดด้วยน้ำเสียงโศกาอาดูรทันทีที่เอ่ยถึงแม่ที่ตายไป

     

                อลันนั่งลงข้างๆจาเร็ต เงยหน้ารับลมยามราตรีที่โชยมา กลิ่นหอมของดอกหญ้าแตะจมูกเขา

    “เมื่อกี้นี้ฉันขอโทษ”อลันอึกอัก ก่อนจะหันไปจ้องตาจาเร็ต

    “ข้าก็เช่นกัน”ฝ่ายเด็กหัวกระเซิงพูดตอบไปบ้าง ถึงมันจะเป็นการพูดจาดูถูก แต่อลันก็รู้ว่าจาเร็ตไม่ได้ตั้งใจจะเรียกเขาว่า “ไอ้โสโครก”

    “นายมาทำอะไรที่นี่”อลันถาม พร้อมกับหยิบหญ้าขึ้นมาหนึ่งกำมือและโปรยมันลงเนินเขาไป

    “ข้าชอบมานั่งที่นี่เวลาที่รู้สึกไม่สบายใจมันช่วยให้ข้าลืมเรื่องของแม่ได้สักพักหนึ่ง”จาเร็ตตอบห้วนๆสั้นๆ

    เขาจ้องมองดูพระจันทร์ที่ส่องแสงนวลออกมา แสงนั้นกลบดวงดาวที่ส่องประกายเมื่อครู่ไปจนสิ้น

    เป็นเวลานานที่ไม่มีใครพูดอะไร

     

                “นายคิดถึงแม่ไหม”อลันเปิดคำถามที่กลั้นใจมานานออกไป เด็กหนุ่มชาวอเมริกันจ้องมองไปที่ใบหน้าของเพื่อนใหม่หัวกระเซิง เขากลัวว่าจะถูกจาเร็ตต่อยกลับ หรืออาจจะถูกเตะลงเขาไป แต่จาเร็ตยังคงเงียบ ไม่เปิดปากออกมา

    “ข้าคิดถึงแม่”ในที่สุดเด็กหนุ่มคนนั้นก็พูดขึ้น ดวงตาเหม่อลอยไปบนท้องฟ้า “คิดถึงทุกคืน”

     

                ดาวดวงเมื่อครู่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ณ สุดปลายขอบฟ้า ขณะนี้มันกำลังกะพริบตาให้พวกเขา

     

     

                เช้าวันรุ่งขึ้น อลันและแคทเทอรีนตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เด็กหนุ่มพบว่าผ้าพันแผลรอบตัวถูกปลดออกแล้ว พบว่าทั้งเบนิซัสและจาเร็ตหายไปจากบ้าน เหลือไว้เพียงเนยแข็งแห้งๆสองก้อนพร้อมจานรองวางไว้บนโต๊ะไม้มุมหนึ่งของบ้านแทน

    “พวกเขาหายไปไหน”แคทเทอรีนถามด้วยความหวาดกลัว

    อลันเดินไปที่โต๊ะไม้ตัวนั้น ก่อนจะพบกระดาษซึ่งทำจากหนังสัตว์ มีรอยหมึกซึ่งเขียนเป็นภาษาอังกฤษแปะอยู่บนจานรองหนึ่งในสองจาน

     

                เนื้อความในกระดาษเขียนได้ว่า “ข้าจะออกไปซื้อของในเมืองกับจาเร็ต ธนูและลูกธนูที่มีอยู่ถูกใช้จนหมดแล้ว เสบียงที่เหลือร่อยหรอ ข้าไม่คิดว่าจะกลับเร็วนัก เนยแข็งที่วางอยู่สามารถกินได้

                                                                                                                                                                                                              เบนิซัส”

     

                “เขาทิ้งเราไว้”แคทเทอรีนอ้าปากร้องทันทีที่อ่านข้อความนี้ “ให้เราอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้ว่าคือที่ไหนนี่นะ”

    “ใช่ ฉันว่ามันออกจะใจร้ายมาก”อลันเห็นด้วยอย่างยิ่ง ก่อนจะนึกทบทวนเรื่องราวเมื่อคืน เหตุการณ์ทุกสิ่งที่เขาได้รับรู้มา

    “คนพวกนี้บอกว่า ที่นี่คือมิติอีกมิติหนึ่งซึ่งซ้อนกับโลกของเราอยู่”เด็กหนุ่มพึมพำกับข้อมูล

    “ใช่”แคทเทอรีนคล้อยตาม “บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องโกหก—หรืออาจจะเป็นความฝัน”

    “ฉันมั่นใจว่าไม่ใช่ฝัน”อลันพูดออกไปอย่างมั่นใจ “มีบางอย่างที่น่าจะพิสูจน์ได้

     

                แคทเทอรีนนั่งลงบนพื้นหินอ่อนของกระท่อม ก่อนจะมองไปนอกหน้าต่าง ดวงอาทิตย์กลมโตกำลังส่องแสง อีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็จะเที่ยงแล้ว เธอพยายามคิดว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝันแต่ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องจริงจังจนไม่สามารถแยกออกได้

    ช่วงเวลาที่หมดไปก่อนเที่ยงวัน เด็กทั้งสองใช้เวลาไปกับการค้นหาข้อมูลภายในกระท่อมหลังนี้ พวกเขาค้นตั้งแต่ตู้เก็บถ้วยชาม ใต้พื้นปูนที่แตกเป็นร่อง ตามผนังอิฐที่น่าจะมีช่องลับ หรือแม้แต่บนหลังคามุงฟาง แต่ดูเหมือนจะไม่มีข้อมูลอะไรให้พวกเขารับรู้อีกเลย

     

                “เยี่ยม—สนุกจริงๆ”อลันพูดประชด “ผู้ชายคนนี้กับลูกชายของเขาไม่ทิ้งอะไรไว้ให้เรารู้เลย”

    “แล้วเราจะกลับบ้านกันยังไงละ”แคทเทอรีนถามด้วยความกลัว ในหัวเธอตอนนี้คือความกลัวและกลัว

    เธอหวาดกลัวว่าจะไม่มีวันได้กลับคืนสู่บ้านของอีกแล้ว

    “ไม่ต้องห่วง”อลันปลอบใจ เขาเดินไปที่หน้าต่างของกระท่อม ก่อนจะมองออกไปเบื้องนอก “ฉันมั่นใจว่าเราต้องได้กลับ—คุณเบนิซัสเคยบอกว่า ประตูมิติเวลาจะเปิดอีกครั้งนี่นา นั่นหมายความว่ามันจะต้องเกิดขึ้นไม่ช้าไม่นานนี้ และเราจะใช้โอกาสนั้นกลับสู่โลกของเรา”

     

                เด็กทั้งสองคนครุ่นคิดถึงสิ่งที่ได้ฟัง ดูเหมือนนี่จะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ เป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนบ้าคลั่งไปหมด ตั้งแต่หมาป่าที่พวกเขาเจอมา เมืองในสายหมอก ชายสองคนพ่อลูก เรื่องเล่าที่มาจากปากของเบนิซัส ทุกอย่างดูเหมือนเรื่องโกหก แต่นี่ไม่ใช่เอพริลฟูล

     

                อลันถอนหายใจ ก่อนจะหันมาทางเพื่อนสาวของเขา

    “เราไปเดินเล่นกันดีกว่า ลืมเรื่องงี่เง่าพวกนี้ซะ บางที—มันอาจจะเป็นความจริงก็ได้”

    แคทเทอรีนพยักหน้า เธอก็เชื่อเช่นนั้น

     

     

                ตลาดในหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลจากกระท่อมนัก มันอยู่ห่างออกไปราวสองไมล์เศษ บรรยากาศภายในตลาดดูอึกทึก มีผู้คนแต่งกายด้วยผ้าขนแกะ หรือขนแพะมากมายมาชุมนุมกันบริเวณนี้ราวกับนัดหมาย พ่อค้าคนหนึ่งตะโกนเรียกให้ลูกค้าซื้อ เนื้อลูกวัวราคาห้าร้อยกาเบอุส

    ส่วนแม่ค้าอีกคนตะโกนให้บรรดานักท่องเที่ยวที่เดินผ่านซื้อผักของนาง ผู้คนส่วนใหญ่เดินเบียดกันราวกับมดปลวก บางคนมีดาบสะพายไหล่ บางคนมีธนู มีคนพกมีดสั้นคาดเอว ผู้คนบางส่วนนั่งทานอาหารอยู่ในบาร์เหล้า แต่มีผู้หญิงบางคนที่เข้าไปในร้านทำนายดวงชะตา

     

                “คนที่นี่ดูแปลกตา”อลันตั้งข้อสังเกต พลางเหลียวมองไปรอบๆย่าน

    “ฉันก็คิดอย่างนั้น”แคทเทอรีนกล่าวด้วยเสียงหวาดระแวง

     

                แผ่นหินขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่หน้าประตูทางเข้าออกของตลาดถูกสลักหยาบๆว่า

    “หมู่บ้านคาซาอีร์ ชนบทสำหรับชาวต่างแดน”

    อลันและแคทเทอรีนก้าวเดินเข้าไปในตรอกมืดๆแห่งหนึ่ง จากนั้นจึงเดินลัดเลาะเข้าไปอีกซอย ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงทางออกของตลาด บริเวณนี้เงียบสงัด ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจร มีเสียงลมพัดกะพือไปตามต้นไม้ข้างทาง แต่สิ่งที่สร้างความงุนงงให้เด็กทั้งสองคนปรากฏอยู่ตรงหน้า

     

                มันถูกสร้างไว้ห่างไกลผู้คนราวกับต้องการแยกตัวออกมา  ประตูไม้โอ๊กแกะสลัก เป็นลวดลายมังกร ผนังประกอบด้วยไม้ทั้งเรือน และดูเหมือนจะถูกแดดเลียมาเป็นเวลาหลายสิบปี หน้าต่างค่อนข้างๆทรุดโซม หลังคาทำจากดินเหนียวก่อเป็นหน้าจั่ว และมีปล่อยควันอยู่ด้านบน เหนือประตูทางเข้า มีป้ายเอียงกะเท่เร่ติดไว้ว่า “ร้านทำนายดวงชะตา มิสอามีล่า”

     

                ร้านค้าแห่งนี้เป็นร้านขนาดเล็ก แคทเทอรีนก้าวเดินเข้าไปที่นั่นราวกับถูกมนตร์สะกด

    “นี่ เธอจะไปทำไมที่นั่น”อลันถามเพื่อนสาวด้วยความตกใจ ร่างของแคทเทอรีนก้าวเข้าไปใกล้ประตูทางเข้ามังกรนั้นแล้ว เด็กสาวหันมาหาอลันก่อนจะตอบออกไป “ฉันแค่อยากรู้ว่ามันเป็นร้านอะไรแค่นั้นเอง”

     

                แคทเทอรีน จอห์นสันเคาะประตูร้านเบาๆ มีเสียงกุกกักดังขึ้นในร้านค้า จากนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากในร้าน “เข้ามาเถิด นักเดินท่องจากไกลโพ้น ข้ารอพวกเจ้าอยู่แล้ว”

    อลันและแคทเทอรีนมองหน้ากันด้วยความงุนงง แต่ก็ยินยอมเข้าไปโดยดี

     

                เสียงกระดิ่งกุ๋งกิ๋งดังขึ้นเหนือศีรษะพวกเขาขณะที่พวกเขาเปิดประตูเข้าไป บรรยากาศภายในร้านมีกลิ่นหอมแปลกๆ เหมือนดอกลาเวนเดอร์กับธูปผสมกัน ภายในร้านมืดทึบ มีเทียนไขวางเรียงรายตามเชิงเทียนริมผนัง และมีห้องเล็กๆอีกห้องอยู่ข้างใน ทางเข้าห้องเล็กนั้นถูกกั้นด้วยผ้าม่านสีแดงสด มีจีบลูกไม้ระบายเพื่อความสวยงาม อลันและแคทเทอรีนแหวกผ้าเข้าไปในนั้น และพบร่างผอมบางร่างหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้

     

                ภายในห้องมีกลิ่นคล้ายข้างนอก แต่มีเครื่องเรือนเพิ่มขึ้น มีโต๊ะไม้มะฮอกกะนีหนึ่งตัว กับเก้าอี้ที่สตรีร่างสูงนั่งอยู่ นางดูอ่อนวัย และงดงามแม้ในความมืด แสงเทียนบนโต๊ะส่องให้ร่างของนางเปล่งประกาย ดวงตาของนางเป็นสีดำขลับเช่นเดียวกับเส้นผมยาวประบ่าของนาง นางทาขอบตาสีดำ และสวมชุดคลุมสีดำดูลึกลับ แต่สิ่งที่สตรีนางนั้นกำลังจ้องอยู่ไม่ใช่เด็กทั้งสอง มันกลับเป็นลูกแก้วขนาดใหญ่ซึ่งตั้งเด่นอยู่บนผ้ากำมะหยี่กลางโต๊ะเท่านั้น

     

                “ข้ารอพวกเจ้ามานานแล้วเด็กที่ได้รับเลือกจากมหาเทพโอริฟรอสต์”สตรีนางนั้นกล่าวด้วยเสียงไพเราะ ถึงจะอยู่ในความมืด แต่อลันยอมรับ เสน่ห์ของนางเย้ายวนเขาจริงๆ

    “คุณเป็นใคร”เด็กหนุ่มถามออกไป

    สตรีนางนั้นไม่ตอบ แต่กลับกวักมือเรียกให้เด็กทั้งสองเข้าไปหา

    อลันลังเลว่าจะหันหลังกลับออกไปหรือจะเข้าไปหาเธอดี แต่มีบางอย่างสะกดให้พวกเขาก้าวไปหาเธอ

     

                “ข้าชื่ออามีล่า”สตรีร่างงามบอก ก่อนจะชี้ไปที่อลันและแคทเทอรีน “พวกเจ้าตรงกับคำทำนายของมหาเทพไม่มีผิด”

    “คำทำนายอะไรคะ?”แคทเทอรีนถามอย่างสับสน “เราเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาและเรากำลังหาทางกลับบ้าน"

    "แต่เจ้าพึงหลุดเข้ามา ณ สถานที่แห่งนี้แล้ว”อะมีล่าบอก ก่อนจะจ้องมองลูกแก้วบนโต๊ะ “ข้าเห็นทุกสิ่งความมืดกำลังใกล้เข้ามา มันเยือนทุกหนทุกแห่งและคร่าชีวิตผู้คนไปกว่าพันคน

    “ท่านเสียสติ”อลันพูดลอยๆ แต่แล้วสายตาของหมอดูก็ตวัดมาที่เขา อลันจ้องตานางแล้วรู้สึกถึงอำนาจบางอย่างที่กรีดแทงหัวใจของเขา

    อะมีล่ากุมแขนของอลันไว้แน่น สบตาอลันไม่ว่างเว้น “เจ้าเป็นผู้นำแสงสว่างออกมาจัดการกับความมืด”

    “แต่..ผม”อลันสะบัดมือของเธอทิ้ง “บอกแล้วไง มันงี่เง่า ผมกับแคท เราแค่ฝันไป หรืออาจจะเป็นความจริงที่เรามายังมิติบ้าบอคอแตกนี่….แต่ท้ายที่สุด เราจะต้องหาทางกลับได้”

    “คุณช่วยบอกทางกลับบ้านให้หน่อยได้ไหมคะ ได้โปรดเถิดคะ”แคทเทอรีนขอร้อง ดูเหมือนในเวลานี้เธอหวนหาบ้านของเธอเหลือเกิน

     

                อะมีล่ายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะจ้องไปที่แคทเทอรีนและอลันสลับไปมา “พวกเจ้าได้กลับบ้านหรือไม่ได้กลับขึ้นอยู่กับดวง

    “งั้นแม่หมอ”อลันพูดอย่างยียวนกวนประสาท “คุณช่วยดูดวงเราทั้งคู่หน่อยซี่ ว่าเราจะได้เปิดตูดแน่บกลับบ้านเมื่อไร”

     

                พลันนั้น เสียงฟ้าร้องก็ดังก้องขึ้น เหนือศีรษะของพวกเขาขึ้นไปนี่เอง

    ลูกแก้วเกิดรอยร้าว และแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ เศษเสี้ยวของมันกระเด็นไปตามพื้น

     

                อะมีเลียจ้องมองเหตุการณ์นี้ด้วยแววตาเฉยเมยก่อนจะยิ้มอีกครั้ง “ข้ารู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้”นางบอกด้วยสีหน้าอมทุกข์ “พวกเจ้าเป็นความหวังของเรา”

     

                ฟ้าร้องขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่เสียงกระจกแตกจะดังขึ้นทั่วตลาดร้านรวงต่างๆโกลาหลยกใหญ่ ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างวิ่งหาที่หลบพายุร้ายที่กำลังจะมาถึงนี้ เมฆหมอกสีดำเข้าปกคลุมหมู่บ้านราวกับเทพพิรุณโกรธา เศษดินบนพื้นกลาดเกลื่อนเต็มทั่วฟ้า และถูกดูดขึ้นสู่เมฆดำก้อนหนึ่ง

     

              “นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!!”แคทเทอรีนร้องเสียงหลง เมื่อแผ่นดินที่เธอยืนอยู่เริ่มสั่นไหว

    ในวินาทีนั้นเอง หมอดูอะมีล่าก็กระเด็นตกจากเก้าอี้ที่นางนั่งอยู่ ฟ้าผ่าลงมากลางโต๊ะทำให้โต๊ะไม้หักครึ่งท่อนและเกิดไฟลุกวูบฉับพลัน

     

                ภายในตลาด ร้านค้าแผงลอยถูกพายุซึ่งก่อตัวขึ้นดูดเข้าหา เช่นเดียวกับชีวิตของพ่อค้าแม่ค้า รวมทั้งผู้คนที่มาเดินจ่ายตลาด พายุหมุนคร่าชีวิตของพวกเขาภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีเพียงแป๊บเดียว ศพมากมายก็เรียงรายเกลื่อนกลาดพื้นถนนราวกับทะเลมนุษย์

     

                ไฟลามไปทั่วห้องเล็กภายในเวลาอันรวดเร็วผนังไม้ไหม้ก่อนอันดับแรก จากนั้นก็ผ้าม่านสีแดง

    อลันและแคทเทอรีนช่วยกันประคองร่างของหมอดูขึ้นมาจากพื้น แล้วพาเธอหนีออกไปจากร้านค้า เทียนไขสิบกว่าเล่มภายในห้องใหญ่ล้มลงมาบนพื้น ทำให้ไฟลุกครั้งใหญ่อลันแบกร่างของอะมีล่าขณะพยายามมองหาทางรอด

     

                “หน้าต่าง”แคทเทอรีนตะโกนแข่งกับเสียงพายุ อลันพยักหน้าก่อนจะค่อยๆประคองร่างของอะมีล่าไปยังทางออกเดียวที่เหลืออยู่ พวกเขาทั้งสามกระโจนลงมาจากร้านทันเวลาก่อนที่ไฟจะลามไปทั่วทั้งห้องใหญ่ บัดนี้ร้านทำนายของหญิงชุดดำไม่เหลือหลออีกแล้ว มีเพียงป้ายเอียงกะเท่เร่เท่านั้นที่ยังคงปรากฏให้เห็นแม้ในกองไฟ

     

                “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย!!!อลันตะคอกถามหมอดู หลังจากที่วางนางนอนลงไปบนพื้นถนนด้านนอกร้านแล้ว

    อะมีล่าหอบหายใจหนักหน่วง ก่อนจะเค้นคำพูดออกมา “พวกก๊อบลินพวกมันกำลังมาหนีไปจากที่นี่เร็วที่สุด!

     

                หมอดูอะมีล่ามีน้ำตาไหลคลอแก้ม ตาของนางเหลือกลาน และลมหายใจค่อยๆแผ่วลงทุกที

     

     

               

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×